คำเตือน นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่ในช่องทางใด ๆ ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้เขียน
ตอนที่2. ปืนเอกซ์คาลิเบอร์
บริเวณชานเรือนของพรานเจิด เจ้าบ้านซึ่งสุขภาพร่างกายในปัจจุบัน ไม่อนุญาตให้แบกปืนเข้าป่าหาเลี้ยงชีพและครอบครัวได้สะดวกนัก ดังนั้น สามปีก่อนหน้านี้ ประกาศิตจากหมออำนาจจึงทิ้งโครมให้พรานเจิดต้องรับและปฏิบัติตามด้วยข้อความสั้น ๆ ห้าม...เข้าป่าอีกเป็นอันขาด
ด้วยสภาวะร่างกายที่ไขข้อทุกจุดเสื่อมขาดน้ำหล่อลื่น และอาการถุงลมโป่งพองอันเกิดจากการอัดยาเส้นวันหนึ่งหลายต่อหลายมวน ไหนจะอีกหลายต่อหลายโรคยิบย่อยซึ่งหากกำเริบขึ้นระหว่างอยู่กลางป่าและอาจคร่าชีวิตพรานเจิดได้ในทันทีหากไม่มีใครช่วยเหลือ ฉะนั้นแล้ว หากยังอยากอยู่บนโลกดูหน้าเมียและเลี้ยงดูลูกสาวบุญธรรม แล้วค่อยจากไปอย่างสงบ จงอยู่แต่บ้าน งานแบกหามหนัก ๆ เว้นได้ควรเว้น พืชผักสวนครัวและสมุนไพรหากปลูกเอาไว้ข้างบ้านหมั่นรดน้ำพรวนดินดูแลเข้า มันได้ประโยชน์หลายทาง ที่แน่ ๆ คือใช้ประทังชีวิตได้ และอีกอย่าง การพรวนดินดูแลแปลงผักก็นับว่าเป็นงานที่ต้องใช้แรงในระดับหนึ่ง ได้ออกแรงให้เหงื่อซึมพรานเจิดจะไม่เกิดความเบื่อหน่าย เรียกว่าธรรมชาติบำบัดกลาย ๆ นั่นเอง
“ไหน มาให้ลุงหมอดูแผลหน่อยสิเจ้าอิน”
ได้ยินแบบนั้นเล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยง เบตาดีนนั้นไม่เท่าไร แต่ทิงเจอร์ไอโอดีนนี่ล่ะตัวปัญหาที่ทำให้ขยาดขั้นสุด น้ำยาล้างแผลสดกลิ่นฉุนเล็กน้อยแต่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อจนฟองฟอด ใครเคยโดนจะรู้ว่าแสบไม่น้อยทีเดียว ด้วยเหตุนั้น สองถึงสามครั้งที่หมออำนาจเรียกให้ไอ้อินเข้าไปหา มันจึงยืนนิ่งไม่ต่างกับคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้เสียอย่างนั้น กระทั่งคำผกาจัดการหิ้วคอเสื้อกึ่งยกยกลากนั่นล่ะ ไอ้อินจึงอยู่ในสภาพจำยอม
“โอ๊ย! ซี้ด...เบาได้เบาจ้ะลุงหมอ!!”
“อะไรของเอ็ง ลุงยังไม่ทันได้ลงยาอะไรเลย นี่แค่น้ำเกลือล้างเชื้อโรคเท่านั้น ร้องหยั่งก๊ะไตหลุด”
อาการซึ่งแสดงอออกเกินกว่าความเป็นจริงของไอ้อิน และคำตำหนิซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูของหมออำนาจ ทำเอาทุกคนซึ่งอยู่ตรงนั้นหัวเราะร่วน หลังเสร็จภารกิจจากไอ้อินแล้ว คำผการู้ดีว่าคราวนี้คงเป็นทีของตน จังหวะที่เด็กสาวตั้งใจจะเลี่ยงหลบไปเสียอีกทางนั้น หมออำนาจผู้ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมอีกคนก็ชิงคว้าข้อมือคอดรับกับท่อนแขนขาวเนียนได้รูปเอาไว้เสียก่อน มันเป็นข้อมือข้างขวา เพียงการกระตุกเบา ๆ เด็กสาวพลันครางซี้ดหน้าเบ้เหยเกราวกับเจ็บปวดอย่างถึงขนาด
“นั่นประไรพ่อนึกแล้ว เอ็นไหล่พลิก นี่คงแอบเอาปืนไปยิงเล่นอีกแล้วสิท่า?”
“มะ...ได้ยิงเล่นนะคะคุณพ่อ” คำผกาแย้ง ศัพท์แสงที่ใช้สนทนาล้วนกลั่นกรองมาจากความจำที่หมออำนาจและภรรยาสอนสั่งทั้งสิ้น “ยิงจริง ๆ ล้มกระทิงโทนได้ในเปรี้ยงเดียว ได้เงินมาไม่น้อยทีเดียว ไม่เชื่อถามเจ้า...อิน...มันดู...”
เสร็จกัน! เด็กสาวครวญ ความลับทั้งหลายแหล่ที่ตนอุตส่าห์ขู่เข็ญไอ้อินให้ปกปิดไว้ กลับถูกแพร่งพรายจากปากตัวเองเสียนี่ คำผกาเด็กสาววัยสิบหกปีเศษก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาพรานเจิดซึ่งยามนี้โกรธจนหูแดงเรื่อ
“เอ็งนี่มันสอนไม่เคยจดเคยจำ! เป็นผู้หญิงยิงเรือจะเข้าป่าอย่างชายร่างกายกำยำได้ยังไง? แบบนี้โตไปใครเขาจะเอาทำเมีย!?”
“ก็ที่ฉันเกิดมาเป็นคนแบบนี้ได้เพราะแม่ละไมเป็นพรานแล้วมัดใจพ่อต่วนได้ไม่ใช่รึจ๊ะพ่อ?” ข้อโต้แย้งนั้นเล่นเอาพรานเจิดอ้าปากพะงาบไปไม่เป็น นางลำดวน หมออำนาจหัวเราะร่วนอดชื่นชมและเอ็นดูในความฉลาดของเด็กสาวในอุปการะของตนไม่ได้
“เอาเถอะ ๆ ไหนลองเล่าให้พ่อฟังหน่อย เรื่องกระทิงตัวนั้นน่ะ ไปล่ามันยังไง ยิงยังไงแล้วเอาไปขายที่ไหน ถ้าใหญ่จริงลำพังเราสองคนคงแบกไม่ไหวหรอกใช่ไหม? ใครล่ะที่ไปช่วย?”
หมออำนาจถามด้วยความอยากรู้จากก้นบึ้ง ตัวพรานเจิดเองก็นิ่งฟังอย่างลืมตัว ลึก ๆ แล้วเขาก็ภูมิใจในลูกสาวบุญธรรมคนนี้อยู่ไม่น้อย ในหมู่เด็กทั้งหญิงชายในวัยเดียวกัน คำผกาอยู่บนจุดสูงสุดของทำเนียบการจัดอันดับ ทั้งฝีมือการต่อสู้เมื่อเกิดอันตรายจากชายใจทราม ทั้งฝีมือการแกะรอยป่า ทั้งฝีมือการยิงปืนซึ่งเรียกได้ว่าลั่นเปรี้ยงเป็นล้ม และที่สำคัญ ความงามของรูปลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหน้าและทรวดทรงที่ไม่เป็นสองรองใคร ข้อหลังนี้ พรานเจิดถือวิสาสะแต่งตั้งให้เอง
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนไปเป็นสดใสราวกับสิ่งที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมานั้น เป็นความสุขที่สุดของชีวิตนับแต่จำความได้ เธอเล่าว่า เมื่อวานซืนขณะเดินอยู่ในตลาด หลังลงไปเมืองล่างเพื่อซื้อหาของกินของใช้ที่จำเป็นแทนพรานเจิดที่นั่งพาหนะใด ๆ ก็ตามครั้งละนาน ๆ เริ่มไม่ไหว เธอได้ยินพ่อค้าซึ่งเปิดร้านขายอาหารป่า และยังเป็นพ่อค้าคนกลางขายอวัยวะสำคัญของสัตว์ตามความเชื่อของเหล่าคนจีนว่า ส่วนนั้นดีกินแล้วมีกำลังวังชา ส่วนนั้นยอดกินแล้วอายุยืน
พ่อค้าคนนั้นบ่นอุบว่าเวลานี้ดีกระทิง ตับ และเนื้อหายากเสียยิ่งกว่าทอง ไม่มีพรานคนไหนจะบากบั่นฟันป่าเข้าไปล่าหรือนั่งซากมาขายให้เลย ทั้งที่เสนอราคาให้สูงกว่าทุกครั้งเป็นเท่าตัวแท้ ๆ ทว่าที่มีมาก็เป็นเก้ง กวาง กระจงหรือสัตว์ที่ไม่ได้ระบุเอาไว้ในใบสั่งทั้งนั้น
ตนเองซื้อมาก็ต้องแปรรูปซึ่งบางครั้งก็ได้กำไร บางคราก็ขาดทุน จะไม่รับซื้อหรือก็เห็นใจบรรดาพรานทั้งหลายที่อุตส่าห์ไปล่ามา รักษาความสัมพันธ์เอาไว้เผื่อครั้งหน้าเขาจะหาของดี ๆ มาให้ นั่นเอง คำผกาและไอ้อินเหลียวมองหน้ากันและยิ้มอย่างรู้ใจ กระทิงใหญ่ยามนี้ไปหลบลี้เร้นกายอยู่ป่าใดทั้งคู่รู้ดี ด้วยเหตุนั้นเอง
“แปะ ให้ราคาเท่าไหร่รึไอ้ที่ว่าสูงกว่าเดิมน่ะ?” คำผกาถามเสียงใส แปะจง พ่อค้าคนดังกล่าวเหลือบมองเด็กสาวแวบหนึ่งก่อนเบนหน้าไปทางอื่นแสร้งทำเป็นไม่สนใจไปเสีย อย่างว่าล่ะ หากเป็นพรานหนุ่มพรานแก่กร้านโลกเจนป่ามาถาม แปะจงก็พร้อมจะให้ข้อมูล แต่นี้ผู้ตั้งกระทู้ด้วยอาการกระตือรือร้นนั้นเป็นเพียงเด็กสาวแรกรุ่น รู้ไปจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า เปลืองน้ำลายเปล่า ๆ
“ตกลงยังไงแปะ? ราคาที่ว่าเพิ่มให้อีกน่ะ มันเท่าไหร่?” คำผกาถามย้ำอีกครั้งพร้อมเสียงที่ค่อนไปทางแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
“ฮ่าย...ลื่อจะถามไปทามมาย...จาไปล่าไปยิงมาให้รื้อ? ล่วนซัว ๆ ไป ๆ จาไปไหนก็ปาย...”
“อ้าวแปะ! มาล่วน ๆ ส่วน ๆ อะไรไม่รู้เรื่อง พี่ผกาเขาถามแปะก็บอกเขาไปซี เขาจะได้ไปหามาให้” คราวนี้ เป็นทีของไอ้อินที่ต้องออกหน้าปกป้องพี่สาวต่างสายเลือด
“หามาให้? อั้ยหยา...อาตี๋เอ้ย...ลื่อพูดยังกับว่าอาเจ้ของลื่อเป็นพรานอย่างนั้นล่ะ ซี๊ซั๊วจริง ๆ ไปเล่นที่อื่นไป๊!”
เป็นอีกครั้งที่แปะจะสะบัดมือไล่พร้อมคำพูดคำจาดูถูกอย่างชัดเจน กระทั่งต้องยอมฟังเมื่อมีหนึ่งในพรานบ้านมะค่าแดงได้ยินเข้าแล้วค้านว่า เด็กสาวที่แปะจงดูถูกอยู่นี่ล่ะ ฝีมือนับได้ว่าเป็นพรานคนหนึ่งทีเดียว หากแต่เธอต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้เป็นความลับ แม้มันจะไม่เคยลับอยู่ได้นานเกินสองสามวันก็ตาม ด้วยว่าพ่อบุญธรรมของเธอไม่ใคร่ให้เด็กสาวออกไปพบเจออันตรายจากป่า
ได้ยินเข้าแบบนั้นแปะจงมีอันหัวคิ้วผูกกันด้วยความฉงนสนเท่ห์ จะไม่เชื่อหรือคนพูดก็เป็นพรานที่รู้จักมักจี่กันในระดับหนึ่ง แต่ครั้นจะเชื่อเลยก็ทำใจไม่ลง ด้วยว่ามองอย่างไรผู้ท้าทายสอบถามก็เป็นเพียงเด็กสาวรูปงามนางหนึ่งเท่านั้น
“เชื่อเถอะน่าแปะ ฉันเห็นฝีมือคำผกามันมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองหน หนึ่งเสือ อีกหนึ่งเป็นหมี นี่...ได้ยินแล้วเหยียบเอาไว้เลยนะ” ท้ายประโยคพรานคนนั้นยกมือป้องปากกระซิบ “เครื่องในสัตว์ เนื้อหนังหรือแม้แต่หัวที่ตายแบบไร้รอยขีดข่วนเพราะถูกยิงตัดกระดูกต้นคอที่พรานบางคนเอามาขายในราคาสูงให้แปะ ก็ฝีมือมันนี่แหละ”
สีหน้าแปะจงยิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายากจะเชื่อลง มองหน้าไอ้อิน คำผกาและพรานที่ช่วยขยายความเก่งกาจของเด็กสาวสลับกันไปมาครู่ใหญ่ ครั้นแล้วจึงถอนใจ เปรยแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ฟังดูแล้วเป็นการท้าทายกราย ๆ
“เอาอย่างนี้นา...พรุ่งนี้ก่อนสี่โมงเย็นถ้าลื่อเอากระทิงทั้งตัวมาให้อั๊วได้ อั๊วจาให้ค่าซากสองพัน แล้วก็จะแถมให้อีกห้าร้อย เป็นค่าความกล้าและเก่ง ตกลงไหมอาหมวย?”
“ตกลง” คำผกาตอบฉะฉานและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ครั้นแล้วจึงจูงมือไอ้อินไปหาจ่าผ่าว อดีตทหารที่ผันตัวมาค้าอาวุธและทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง น้อยคนนักจะรู้ว่าจ่าผ่าวและเด็กสาวคำผกาคุ้นเคยกันดี เพียงเห็นหน้าก็ยิ้มร่าเอามือเท้าคางถามสั้น ๆ
“วันนี้เอาอะไร?”
“ลูกโดดห้า ลูกเก้าห้าจ้ะลุงจ่า” คำผกาตอบพร้อมควักเอาเงินออกจากกระเป๋า จ่าผ่าวถอนใจพร้อมยิ้ม หันไปเปิดกล่องกระสุนปืนลูกซองยี่ห้อไทยอาร์ม หยิบกระสุนขนาดที่คำผกาสั่งเกินมาอย่างละปลอก
“ล้มอะไรล่ะคราวนี้?” จ่าผ่าวถาม
“กระทิงจ้ะ” คำผกาตอบสั้น ๆ เล่นเอาเจ้าของร้านเลิกคิ้วสูงเอ่ยเสียงเครือด้วยความชื่นชม
“บ๊ะ ๆ ยิ่งนานยิ่งโหดนะเอ็งนี่ เฮ่อ...เป็นสาวเป็นแส้ ดั๊น...แก่แดดแก่ลมบากบั่นเข้าป่าหยั่งกะผู้ชาย เอ็งก็ไม่รู้จักห้ามพี่สาวเลยนะเจ้าอิน ระวังเถ๊อะ พี่สาวเอ็งจะกลายเป็นสาวเคิ้นเพราะผู้ชายกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้”
“มันจำเป็นน่ะลุงจ่า” ทั้งคู่ตอบพร้อมกันก่อนจะพากันจากไป
คำผกาวางเงินเอาไว้ตามจำนวนกระสุนที่สั่งโดยไม่ไยดีอีกสองปลอกที่จ่าผ่าวแถมให้ ทีไหนทีนั้น เด็กสาวเลือกเอาความซื่อสัตย์ หยิบฉวยเฉพาะสิ่งที่ต้องการและเป็นไปด้วยความสุจริตใจไม่เคยคดโกงหรือเอาเปรียบ
ครั้นแล้ว ชั้นต่อไปคือตกลงกับใครสักคนในการว่าจ้างเพื่อเป็นลูกหาบ หามเอากระทิงทั้งตัวจากป่าสู่เมืองล่างเพื่อขายให้แปะจงทั้งตัว ก็จะเป็นใครเสียอีกเล่า พรานผู้ออกปากปกป้องเกียรติยศพรานสาวของตนนั่นเอง
“ตกลงน้าจะช่วยฉันได้ไหมจ๊ะ? เจ็ดสิบสามสิบจากเงินทั้งหมดที่จะได้ ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนา...” พรานผู้นั้นนิ่งไปครู่มุมปากยกยิ้ม พยักหน้าโดยไม่พูดใด ๆ ออกมา ทว่าแสดงให้รู้ข้อตกลงนั้นเขารับไว้ไม่ต้องกังวล
(มีต่อครับ)
คำผกา ตอนที่ 2.
ด้วยสภาวะร่างกายที่ไขข้อทุกจุดเสื่อมขาดน้ำหล่อลื่น และอาการถุงลมโป่งพองอันเกิดจากการอัดยาเส้นวันหนึ่งหลายต่อหลายมวน ไหนจะอีกหลายต่อหลายโรคยิบย่อยซึ่งหากกำเริบขึ้นระหว่างอยู่กลางป่าและอาจคร่าชีวิตพรานเจิดได้ในทันทีหากไม่มีใครช่วยเหลือ ฉะนั้นแล้ว หากยังอยากอยู่บนโลกดูหน้าเมียและเลี้ยงดูลูกสาวบุญธรรม แล้วค่อยจากไปอย่างสงบ จงอยู่แต่บ้าน งานแบกหามหนัก ๆ เว้นได้ควรเว้น พืชผักสวนครัวและสมุนไพรหากปลูกเอาไว้ข้างบ้านหมั่นรดน้ำพรวนดินดูแลเข้า มันได้ประโยชน์หลายทาง ที่แน่ ๆ คือใช้ประทังชีวิตได้ และอีกอย่าง การพรวนดินดูแลแปลงผักก็นับว่าเป็นงานที่ต้องใช้แรงในระดับหนึ่ง ได้ออกแรงให้เหงื่อซึมพรานเจิดจะไม่เกิดความเบื่อหน่าย เรียกว่าธรรมชาติบำบัดกลาย ๆ นั่นเอง
“ไหน มาให้ลุงหมอดูแผลหน่อยสิเจ้าอิน”
ได้ยินแบบนั้นเล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยง เบตาดีนนั้นไม่เท่าไร แต่ทิงเจอร์ไอโอดีนนี่ล่ะตัวปัญหาที่ทำให้ขยาดขั้นสุด น้ำยาล้างแผลสดกลิ่นฉุนเล็กน้อยแต่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อจนฟองฟอด ใครเคยโดนจะรู้ว่าแสบไม่น้อยทีเดียว ด้วยเหตุนั้น สองถึงสามครั้งที่หมออำนาจเรียกให้ไอ้อินเข้าไปหา มันจึงยืนนิ่งไม่ต่างกับคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้เสียอย่างนั้น กระทั่งคำผกาจัดการหิ้วคอเสื้อกึ่งยกยกลากนั่นล่ะ ไอ้อินจึงอยู่ในสภาพจำยอม
“โอ๊ย! ซี้ด...เบาได้เบาจ้ะลุงหมอ!!”
“อะไรของเอ็ง ลุงยังไม่ทันได้ลงยาอะไรเลย นี่แค่น้ำเกลือล้างเชื้อโรคเท่านั้น ร้องหยั่งก๊ะไตหลุด”
อาการซึ่งแสดงอออกเกินกว่าความเป็นจริงของไอ้อิน และคำตำหนิซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูของหมออำนาจ ทำเอาทุกคนซึ่งอยู่ตรงนั้นหัวเราะร่วน หลังเสร็จภารกิจจากไอ้อินแล้ว คำผการู้ดีว่าคราวนี้คงเป็นทีของตน จังหวะที่เด็กสาวตั้งใจจะเลี่ยงหลบไปเสียอีกทางนั้น หมออำนาจผู้ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมอีกคนก็ชิงคว้าข้อมือคอดรับกับท่อนแขนขาวเนียนได้รูปเอาไว้เสียก่อน มันเป็นข้อมือข้างขวา เพียงการกระตุกเบา ๆ เด็กสาวพลันครางซี้ดหน้าเบ้เหยเกราวกับเจ็บปวดอย่างถึงขนาด
“นั่นประไรพ่อนึกแล้ว เอ็นไหล่พลิก นี่คงแอบเอาปืนไปยิงเล่นอีกแล้วสิท่า?”
“มะ...ได้ยิงเล่นนะคะคุณพ่อ” คำผกาแย้ง ศัพท์แสงที่ใช้สนทนาล้วนกลั่นกรองมาจากความจำที่หมออำนาจและภรรยาสอนสั่งทั้งสิ้น “ยิงจริง ๆ ล้มกระทิงโทนได้ในเปรี้ยงเดียว ได้เงินมาไม่น้อยทีเดียว ไม่เชื่อถามเจ้า...อิน...มันดู...”
เสร็จกัน! เด็กสาวครวญ ความลับทั้งหลายแหล่ที่ตนอุตส่าห์ขู่เข็ญไอ้อินให้ปกปิดไว้ กลับถูกแพร่งพรายจากปากตัวเองเสียนี่ คำผกาเด็กสาววัยสิบหกปีเศษก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาพรานเจิดซึ่งยามนี้โกรธจนหูแดงเรื่อ
“เอ็งนี่มันสอนไม่เคยจดเคยจำ! เป็นผู้หญิงยิงเรือจะเข้าป่าอย่างชายร่างกายกำยำได้ยังไง? แบบนี้โตไปใครเขาจะเอาทำเมีย!?”
“ก็ที่ฉันเกิดมาเป็นคนแบบนี้ได้เพราะแม่ละไมเป็นพรานแล้วมัดใจพ่อต่วนได้ไม่ใช่รึจ๊ะพ่อ?” ข้อโต้แย้งนั้นเล่นเอาพรานเจิดอ้าปากพะงาบไปไม่เป็น นางลำดวน หมออำนาจหัวเราะร่วนอดชื่นชมและเอ็นดูในความฉลาดของเด็กสาวในอุปการะของตนไม่ได้
“เอาเถอะ ๆ ไหนลองเล่าให้พ่อฟังหน่อย เรื่องกระทิงตัวนั้นน่ะ ไปล่ามันยังไง ยิงยังไงแล้วเอาไปขายที่ไหน ถ้าใหญ่จริงลำพังเราสองคนคงแบกไม่ไหวหรอกใช่ไหม? ใครล่ะที่ไปช่วย?”
หมออำนาจถามด้วยความอยากรู้จากก้นบึ้ง ตัวพรานเจิดเองก็นิ่งฟังอย่างลืมตัว ลึก ๆ แล้วเขาก็ภูมิใจในลูกสาวบุญธรรมคนนี้อยู่ไม่น้อย ในหมู่เด็กทั้งหญิงชายในวัยเดียวกัน คำผกาอยู่บนจุดสูงสุดของทำเนียบการจัดอันดับ ทั้งฝีมือการต่อสู้เมื่อเกิดอันตรายจากชายใจทราม ทั้งฝีมือการแกะรอยป่า ทั้งฝีมือการยิงปืนซึ่งเรียกได้ว่าลั่นเปรี้ยงเป็นล้ม และที่สำคัญ ความงามของรูปลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหน้าและทรวดทรงที่ไม่เป็นสองรองใคร ข้อหลังนี้ พรานเจิดถือวิสาสะแต่งตั้งให้เอง
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนไปเป็นสดใสราวกับสิ่งที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมานั้น เป็นความสุขที่สุดของชีวิตนับแต่จำความได้ เธอเล่าว่า เมื่อวานซืนขณะเดินอยู่ในตลาด หลังลงไปเมืองล่างเพื่อซื้อหาของกินของใช้ที่จำเป็นแทนพรานเจิดที่นั่งพาหนะใด ๆ ก็ตามครั้งละนาน ๆ เริ่มไม่ไหว เธอได้ยินพ่อค้าซึ่งเปิดร้านขายอาหารป่า และยังเป็นพ่อค้าคนกลางขายอวัยวะสำคัญของสัตว์ตามความเชื่อของเหล่าคนจีนว่า ส่วนนั้นดีกินแล้วมีกำลังวังชา ส่วนนั้นยอดกินแล้วอายุยืน
พ่อค้าคนนั้นบ่นอุบว่าเวลานี้ดีกระทิง ตับ และเนื้อหายากเสียยิ่งกว่าทอง ไม่มีพรานคนไหนจะบากบั่นฟันป่าเข้าไปล่าหรือนั่งซากมาขายให้เลย ทั้งที่เสนอราคาให้สูงกว่าทุกครั้งเป็นเท่าตัวแท้ ๆ ทว่าที่มีมาก็เป็นเก้ง กวาง กระจงหรือสัตว์ที่ไม่ได้ระบุเอาไว้ในใบสั่งทั้งนั้น
ตนเองซื้อมาก็ต้องแปรรูปซึ่งบางครั้งก็ได้กำไร บางคราก็ขาดทุน จะไม่รับซื้อหรือก็เห็นใจบรรดาพรานทั้งหลายที่อุตส่าห์ไปล่ามา รักษาความสัมพันธ์เอาไว้เผื่อครั้งหน้าเขาจะหาของดี ๆ มาให้ นั่นเอง คำผกาและไอ้อินเหลียวมองหน้ากันและยิ้มอย่างรู้ใจ กระทิงใหญ่ยามนี้ไปหลบลี้เร้นกายอยู่ป่าใดทั้งคู่รู้ดี ด้วยเหตุนั้นเอง
“แปะ ให้ราคาเท่าไหร่รึไอ้ที่ว่าสูงกว่าเดิมน่ะ?” คำผกาถามเสียงใส แปะจง พ่อค้าคนดังกล่าวเหลือบมองเด็กสาวแวบหนึ่งก่อนเบนหน้าไปทางอื่นแสร้งทำเป็นไม่สนใจไปเสีย อย่างว่าล่ะ หากเป็นพรานหนุ่มพรานแก่กร้านโลกเจนป่ามาถาม แปะจงก็พร้อมจะให้ข้อมูล แต่นี้ผู้ตั้งกระทู้ด้วยอาการกระตือรือร้นนั้นเป็นเพียงเด็กสาวแรกรุ่น รู้ไปจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า เปลืองน้ำลายเปล่า ๆ
“ตกลงยังไงแปะ? ราคาที่ว่าเพิ่มให้อีกน่ะ มันเท่าไหร่?” คำผกาถามย้ำอีกครั้งพร้อมเสียงที่ค่อนไปทางแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
“ฮ่าย...ลื่อจะถามไปทามมาย...จาไปล่าไปยิงมาให้รื้อ? ล่วนซัว ๆ ไป ๆ จาไปไหนก็ปาย...”
“อ้าวแปะ! มาล่วน ๆ ส่วน ๆ อะไรไม่รู้เรื่อง พี่ผกาเขาถามแปะก็บอกเขาไปซี เขาจะได้ไปหามาให้” คราวนี้ เป็นทีของไอ้อินที่ต้องออกหน้าปกป้องพี่สาวต่างสายเลือด
“หามาให้? อั้ยหยา...อาตี๋เอ้ย...ลื่อพูดยังกับว่าอาเจ้ของลื่อเป็นพรานอย่างนั้นล่ะ ซี๊ซั๊วจริง ๆ ไปเล่นที่อื่นไป๊!”
เป็นอีกครั้งที่แปะจะสะบัดมือไล่พร้อมคำพูดคำจาดูถูกอย่างชัดเจน กระทั่งต้องยอมฟังเมื่อมีหนึ่งในพรานบ้านมะค่าแดงได้ยินเข้าแล้วค้านว่า เด็กสาวที่แปะจงดูถูกอยู่นี่ล่ะ ฝีมือนับได้ว่าเป็นพรานคนหนึ่งทีเดียว หากแต่เธอต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้เป็นความลับ แม้มันจะไม่เคยลับอยู่ได้นานเกินสองสามวันก็ตาม ด้วยว่าพ่อบุญธรรมของเธอไม่ใคร่ให้เด็กสาวออกไปพบเจออันตรายจากป่า
ได้ยินเข้าแบบนั้นแปะจงมีอันหัวคิ้วผูกกันด้วยความฉงนสนเท่ห์ จะไม่เชื่อหรือคนพูดก็เป็นพรานที่รู้จักมักจี่กันในระดับหนึ่ง แต่ครั้นจะเชื่อเลยก็ทำใจไม่ลง ด้วยว่ามองอย่างไรผู้ท้าทายสอบถามก็เป็นเพียงเด็กสาวรูปงามนางหนึ่งเท่านั้น
“เชื่อเถอะน่าแปะ ฉันเห็นฝีมือคำผกามันมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองหน หนึ่งเสือ อีกหนึ่งเป็นหมี นี่...ได้ยินแล้วเหยียบเอาไว้เลยนะ” ท้ายประโยคพรานคนนั้นยกมือป้องปากกระซิบ “เครื่องในสัตว์ เนื้อหนังหรือแม้แต่หัวที่ตายแบบไร้รอยขีดข่วนเพราะถูกยิงตัดกระดูกต้นคอที่พรานบางคนเอามาขายในราคาสูงให้แปะ ก็ฝีมือมันนี่แหละ”
สีหน้าแปะจงยิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายากจะเชื่อลง มองหน้าไอ้อิน คำผกาและพรานที่ช่วยขยายความเก่งกาจของเด็กสาวสลับกันไปมาครู่ใหญ่ ครั้นแล้วจึงถอนใจ เปรยแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ฟังดูแล้วเป็นการท้าทายกราย ๆ
“เอาอย่างนี้นา...พรุ่งนี้ก่อนสี่โมงเย็นถ้าลื่อเอากระทิงทั้งตัวมาให้อั๊วได้ อั๊วจาให้ค่าซากสองพัน แล้วก็จะแถมให้อีกห้าร้อย เป็นค่าความกล้าและเก่ง ตกลงไหมอาหมวย?”
“ตกลง” คำผกาตอบฉะฉานและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ครั้นแล้วจึงจูงมือไอ้อินไปหาจ่าผ่าว อดีตทหารที่ผันตัวมาค้าอาวุธและทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง น้อยคนนักจะรู้ว่าจ่าผ่าวและเด็กสาวคำผกาคุ้นเคยกันดี เพียงเห็นหน้าก็ยิ้มร่าเอามือเท้าคางถามสั้น ๆ
“วันนี้เอาอะไร?”
“ลูกโดดห้า ลูกเก้าห้าจ้ะลุงจ่า” คำผกาตอบพร้อมควักเอาเงินออกจากกระเป๋า จ่าผ่าวถอนใจพร้อมยิ้ม หันไปเปิดกล่องกระสุนปืนลูกซองยี่ห้อไทยอาร์ม หยิบกระสุนขนาดที่คำผกาสั่งเกินมาอย่างละปลอก
“ล้มอะไรล่ะคราวนี้?” จ่าผ่าวถาม
“กระทิงจ้ะ” คำผกาตอบสั้น ๆ เล่นเอาเจ้าของร้านเลิกคิ้วสูงเอ่ยเสียงเครือด้วยความชื่นชม
“บ๊ะ ๆ ยิ่งนานยิ่งโหดนะเอ็งนี่ เฮ่อ...เป็นสาวเป็นแส้ ดั๊น...แก่แดดแก่ลมบากบั่นเข้าป่าหยั่งกะผู้ชาย เอ็งก็ไม่รู้จักห้ามพี่สาวเลยนะเจ้าอิน ระวังเถ๊อะ พี่สาวเอ็งจะกลายเป็นสาวเคิ้นเพราะผู้ชายกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้”
“มันจำเป็นน่ะลุงจ่า” ทั้งคู่ตอบพร้อมกันก่อนจะพากันจากไป
คำผกาวางเงินเอาไว้ตามจำนวนกระสุนที่สั่งโดยไม่ไยดีอีกสองปลอกที่จ่าผ่าวแถมให้ ทีไหนทีนั้น เด็กสาวเลือกเอาความซื่อสัตย์ หยิบฉวยเฉพาะสิ่งที่ต้องการและเป็นไปด้วยความสุจริตใจไม่เคยคดโกงหรือเอาเปรียบ
ครั้นแล้ว ชั้นต่อไปคือตกลงกับใครสักคนในการว่าจ้างเพื่อเป็นลูกหาบ หามเอากระทิงทั้งตัวจากป่าสู่เมืองล่างเพื่อขายให้แปะจงทั้งตัว ก็จะเป็นใครเสียอีกเล่า พรานผู้ออกปากปกป้องเกียรติยศพรานสาวของตนนั่นเอง
“ตกลงน้าจะช่วยฉันได้ไหมจ๊ะ? เจ็ดสิบสามสิบจากเงินทั้งหมดที่จะได้ ไม่ใช่น้อย ๆ เลยนา...” พรานผู้นั้นนิ่งไปครู่มุมปากยกยิ้ม พยักหน้าโดยไม่พูดใด ๆ ออกมา ทว่าแสดงให้รู้ข้อตกลงนั้นเขารับไว้ไม่ต้องกังวล
(มีต่อครับ)