จากกระทู้เดิม
https://ppantip.com/topic/38047957
1 กลุ่มที่ไม่เชื่อคำสอนที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฏก (คำสอนใหนที่คิดไม่ออกก็จะไม่เชื่อ)
2 กลุ่มที่เชื่อคำสอนที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฏก
จึงทำให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ตีความคำสอนออกไปคนละทาง
แค่คำว่า " เห็น " คำเดียวก็จะตีความออกไปคนละทางแล้ว
กลุ่มที่1 เห็น คือ คิดออกแล้วเข้าใจแล้วหมายความว่าเห็นแล้ว
กลุ่มที่2 เห็น คือ ต้องเห็นจริงๆถึงจะเรียกว่าเห็น เช่น เห็นโต๊ะเก้าอี้ เป็นต้น
ต่างคนต่างก็ยกพุทธพจน์มา ทั้งๆที่เป็นพุทธพจน์ประโยคเดียวกัน แต่คิดกันไปคนละทาง ตีความไปคนละอย่าง
ความเชื่อต่างกัน ถกเถียงกันยังไงก็ไม่มีทางจบ เพราะเชื่อกันไปคนละทาง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่พอตื่นขึ้นมาเช้านี้เข้ามาในพันทิป
พบปัญหาความขัดแย้งที่ต้องถกเถียงกันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 อย่าง คือ
กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่เชื่อคำสอนที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งหมด ก็ยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 2 ฝ่าย
1 กลุ่มที่ปฏิบัติและเข้าถึงจริง
2 กลุ่มที่ปฏิบัติแต่เข้าไม่ถึง
ทำให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ถึงแม้จะเชื่อพระไตรปิฏกเหมือนกัน แต่เนื่องจากการเข้าถึงไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน
ก็ย่อมรู้แจ้ง เห็นแจ้งในธรรมะนั้นต่างกัน จึงเท่าให้การสอนธรรมะของทั้ง 2 กลุ่มนี้ย่อมแตกต่างกันไปบ้าง
กลุ่มที่ปฏิบัติแต่เข้าไม่ถึง เนื่องจากตัวเองไม่ไช่นักปฏิบัติ ปฏิบัติบ้างแต่เข้ายังไม่ถึง
เป็นได้แค่นักคิด เป็นนักเขียน ก็ต้องนั่งอ่านพระไตรปิฏก แล้วก็ตีความเอาจากความคิดของตัวเอง
จึงทำให้วิธีสอนการปฏิบัติธรรม การนั่งสมาธิ ของกลุ่มที่ปฏิบัติแต่เข้าไม่ถึงนี้
มีการนำคำสอนของกลุ่มที่ไม่เชื่อพระไตรปิฏก เข้ามาผสมผสานเข้าไปด้วย
เนื่องจากตัวเองเป็นนักคิด เป็นนักเขียนกันเหมือนกัน จึงมีจริตที่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นการสอนธรรมะของกลุ่มนี้ เชื่อว่ามีนรกสวรรค์ เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด
แต่เวลาสอนปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ไปเอาคำสอนของกลุ่มที่ไม่เชื่อพระไตรปิฏกมาสอน คือวิปัสสนึก
กลุ่มนี้จึงผสผสานคำสอนปนเปกันไปหมด นรกสวรรค์ก็เชื่อ เเต่เวลาสอนสมาธิให้นั่งนึกๆเอา แบบวิปัสสนึก
ในขณะที่กลุ่มที่ปฏิบัติและเข้าถึงจริง (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ) นอกจากจะเอาคำสอนจากพระไตรปิฏกมาสอนแล้ว
ก็มีการสอดแทรกธรรมะที่ได้จากการปฏิบัติและเข้าถึงนั้น มาเป็นตัวอย่างให้ดูด้วย เพื่อความเข้าใจในธรรมะนั้นให้แจ่มแจ้งมากขึ้น
ทั้ง 2 กลุ่มนี้จึงมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น ญาติโยมก็มี 2 ฝ่ายทั้งฝ่ายแรกและฝ่ายหลัง
เห็นได้ชัดเจนจากกรณีวัดพระธรรมกาย ถกเทียงกันมากี่สิบปีก็ไม่จบสิ้น
มีหลายเรื่องมากมายที่ถกเทียงกัน ทั้งเรื่องของทางโลก (คดีต่างๆ) และเรื่องของทางธรรม(คำสอน)
2 เรื่องหลักๆ
1 นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
2 มีการกล่าวหาว่าหลวงพ่อธัมชโยอวดอุตริมนุสธรรม
ทั้ง 2 เรื่องนี้แล้วใครจะเป็นผู้ตัดสิน ต่างคนต่างก็ตีความไปตามความคิดความเชื่อตัวเอง
ความคิดส่วนตัวผมนะครับ
1 นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
1.1 ไม่มีบันทึกในพระไตรปิฏกว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
1.2 พระปฏิบัติรุ่นเก่าๆพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า " นิพพานมีอยู่ " ไม่เมื่อเรายังไม่รู้ไม่เห็น ก็ต้องเชื่อครูบาอาจารย์ท่านก่อน
2 มีการกล่าวหาว่าหลวงพ่อธัมชโยอวดอุตริมนุสธรรม
อวดอุตริมนุสธรรม อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ อวดอ้างคุณวิเศษต่างๆที่ไม่มีในตัว ว่ามี
ผมขอถามคนที่กล่าวหาท่านว่าท่านอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมที่ไม่มีจริง
1 คุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่มีจริง
2 แต่ถ้าท่านไม่มีธรรมอันวิเศษจริงตามที่ท่านสอนญาติโยม แสดงว่าท่านโกหกหลอกลวงมาตลอด 50 ปี
ท่านก็มีสิทธิไปอเวจี
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าท่านมีคุณวิเศษจริง คนที่กล่าวหาโจมตีท่านอย่างรุนแรง ใช้คำที่หยาบคาย ก็ต้องไปอเวจีเหมือนกัน
ข้อน่าสังเกตุสำหรับตัวผม
ที่วัดพระธรรมกายมีการสอนที่เรื่องว่า case study โยมเป็นผู้เขียนมา ถามปัญหาให้หลวงพ่อท่านตอบ
เท่าที่ผมทราบมีทั้งหมดพันกว่าเคส พันกว่าเคส 40 - 50 ปีที่ผ่านมา คุณว่าท่านใช้คำพูดไปกี่พันล้านคำ
ถ้าเป็นการโกหกหลอกลวง คุณคิดว่าท่านจะจำได้เหรอว่าเคยเทศน์ไว้ว่าอย่างไร ถ้าคนโกหกไม่มีทางที่จะจำได้
ในขณะที่มีคนคอยจับผิดอยู่นับหมื่นนับแสนคน พูดไปเมื่อ 30 -40 ปีที่แล้วพูดอะไรไว้ ใครจะไปจำได้ ต่อให้มีการจด
ต่อให้มีสคิปก็ไม่มีทางที่จะพูดได้เหมือนเดิม นอกจากท่านรู้เห็นจริงเท่านั้น จะผ่านไปกี่สิบปีก็ยังพูดได้เหมือนเดิม
- คำว่าพระธรรมกายมีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฏก
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_seek.php?text=%B8%C3%C3%C1%A1%D2%C2&book=1&bookZ=45&option=2
- เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ เอาฉะเพราะคำสอนกับพระไตรปิฏกนะครับ
เรื่องอื่นๆไปว่ากันเอง ผมไม่มีหลักฐานอะไรกับเขาด้วย
ปัญหาของชาวพุทธที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้น
https://ppantip.com/topic/38047957
1 กลุ่มที่ไม่เชื่อคำสอนที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฏก (คำสอนใหนที่คิดไม่ออกก็จะไม่เชื่อ)
2 กลุ่มที่เชื่อคำสอนที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฏก
จึงทำให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ตีความคำสอนออกไปคนละทาง
แค่คำว่า " เห็น " คำเดียวก็จะตีความออกไปคนละทางแล้ว
กลุ่มที่1 เห็น คือ คิดออกแล้วเข้าใจแล้วหมายความว่าเห็นแล้ว
กลุ่มที่2 เห็น คือ ต้องเห็นจริงๆถึงจะเรียกว่าเห็น เช่น เห็นโต๊ะเก้าอี้ เป็นต้น
ต่างคนต่างก็ยกพุทธพจน์มา ทั้งๆที่เป็นพุทธพจน์ประโยคเดียวกัน แต่คิดกันไปคนละทาง ตีความไปคนละอย่าง
ความเชื่อต่างกัน ถกเถียงกันยังไงก็ไม่มีทางจบ เพราะเชื่อกันไปคนละทาง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่พอตื่นขึ้นมาเช้านี้เข้ามาในพันทิป
พบปัญหาความขัดแย้งที่ต้องถกเถียงกันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 อย่าง คือ
กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่เชื่อคำสอนที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งหมด ก็ยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 2 ฝ่าย
1 กลุ่มที่ปฏิบัติและเข้าถึงจริง
2 กลุ่มที่ปฏิบัติแต่เข้าไม่ถึง
ทำให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ถึงแม้จะเชื่อพระไตรปิฏกเหมือนกัน แต่เนื่องจากการเข้าถึงไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน
ก็ย่อมรู้แจ้ง เห็นแจ้งในธรรมะนั้นต่างกัน จึงเท่าให้การสอนธรรมะของทั้ง 2 กลุ่มนี้ย่อมแตกต่างกันไปบ้าง
กลุ่มที่ปฏิบัติแต่เข้าไม่ถึง เนื่องจากตัวเองไม่ไช่นักปฏิบัติ ปฏิบัติบ้างแต่เข้ายังไม่ถึง
เป็นได้แค่นักคิด เป็นนักเขียน ก็ต้องนั่งอ่านพระไตรปิฏก แล้วก็ตีความเอาจากความคิดของตัวเอง
จึงทำให้วิธีสอนการปฏิบัติธรรม การนั่งสมาธิ ของกลุ่มที่ปฏิบัติแต่เข้าไม่ถึงนี้
มีการนำคำสอนของกลุ่มที่ไม่เชื่อพระไตรปิฏก เข้ามาผสมผสานเข้าไปด้วย
เนื่องจากตัวเองเป็นนักคิด เป็นนักเขียนกันเหมือนกัน จึงมีจริตที่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นการสอนธรรมะของกลุ่มนี้ เชื่อว่ามีนรกสวรรค์ เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด
แต่เวลาสอนปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ไปเอาคำสอนของกลุ่มที่ไม่เชื่อพระไตรปิฏกมาสอน คือวิปัสสนึก
กลุ่มนี้จึงผสผสานคำสอนปนเปกันไปหมด นรกสวรรค์ก็เชื่อ เเต่เวลาสอนสมาธิให้นั่งนึกๆเอา แบบวิปัสสนึก
ในขณะที่กลุ่มที่ปฏิบัติและเข้าถึงจริง (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ) นอกจากจะเอาคำสอนจากพระไตรปิฏกมาสอนแล้ว
ก็มีการสอดแทรกธรรมะที่ได้จากการปฏิบัติและเข้าถึงนั้น มาเป็นตัวอย่างให้ดูด้วย เพื่อความเข้าใจในธรรมะนั้นให้แจ่มแจ้งมากขึ้น
ทั้ง 2 กลุ่มนี้จึงมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น ญาติโยมก็มี 2 ฝ่ายทั้งฝ่ายแรกและฝ่ายหลัง
เห็นได้ชัดเจนจากกรณีวัดพระธรรมกาย ถกเทียงกันมากี่สิบปีก็ไม่จบสิ้น
มีหลายเรื่องมากมายที่ถกเทียงกัน ทั้งเรื่องของทางโลก (คดีต่างๆ) และเรื่องของทางธรรม(คำสอน)
2 เรื่องหลักๆ
1 นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
2 มีการกล่าวหาว่าหลวงพ่อธัมชโยอวดอุตริมนุสธรรม
ทั้ง 2 เรื่องนี้แล้วใครจะเป็นผู้ตัดสิน ต่างคนต่างก็ตีความไปตามความคิดความเชื่อตัวเอง
ความคิดส่วนตัวผมนะครับ
1 นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
1.1 ไม่มีบันทึกในพระไตรปิฏกว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
1.2 พระปฏิบัติรุ่นเก่าๆพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า " นิพพานมีอยู่ " ไม่เมื่อเรายังไม่รู้ไม่เห็น ก็ต้องเชื่อครูบาอาจารย์ท่านก่อน
2 มีการกล่าวหาว่าหลวงพ่อธัมชโยอวดอุตริมนุสธรรม
อวดอุตริมนุสธรรม อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ อวดอ้างคุณวิเศษต่างๆที่ไม่มีในตัว ว่ามี
ผมขอถามคนที่กล่าวหาท่านว่าท่านอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมที่ไม่มีจริง
1 คุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่มีจริง
2 แต่ถ้าท่านไม่มีธรรมอันวิเศษจริงตามที่ท่านสอนญาติโยม แสดงว่าท่านโกหกหลอกลวงมาตลอด 50 ปี
ท่านก็มีสิทธิไปอเวจี
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าท่านมีคุณวิเศษจริง คนที่กล่าวหาโจมตีท่านอย่างรุนแรง ใช้คำที่หยาบคาย ก็ต้องไปอเวจีเหมือนกัน
ข้อน่าสังเกตุสำหรับตัวผม
ที่วัดพระธรรมกายมีการสอนที่เรื่องว่า case study โยมเป็นผู้เขียนมา ถามปัญหาให้หลวงพ่อท่านตอบ
เท่าที่ผมทราบมีทั้งหมดพันกว่าเคส พันกว่าเคส 40 - 50 ปีที่ผ่านมา คุณว่าท่านใช้คำพูดไปกี่พันล้านคำ
ถ้าเป็นการโกหกหลอกลวง คุณคิดว่าท่านจะจำได้เหรอว่าเคยเทศน์ไว้ว่าอย่างไร ถ้าคนโกหกไม่มีทางที่จะจำได้
ในขณะที่มีคนคอยจับผิดอยู่นับหมื่นนับแสนคน พูดไปเมื่อ 30 -40 ปีที่แล้วพูดอะไรไว้ ใครจะไปจำได้ ต่อให้มีการจด
ต่อให้มีสคิปก็ไม่มีทางที่จะพูดได้เหมือนเดิม นอกจากท่านรู้เห็นจริงเท่านั้น จะผ่านไปกี่สิบปีก็ยังพูดได้เหมือนเดิม
- คำว่าพระธรรมกายมีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฏก
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_seek.php?text=%B8%C3%C3%C1%A1%D2%C2&book=1&bookZ=45&option=2
- เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ เอาฉะเพราะคำสอนกับพระไตรปิฏกนะครับ
เรื่องอื่นๆไปว่ากันเอง ผมไม่มีหลักฐานอะไรกับเขาด้วย