พระพุทธเจ้าถามกุมารทั้งหลายว่าควรแสวงหาอะไร ?

ต้นเรื่อง....

เรื่องสหายภัททวัคคีย์
             [๓๖] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระนครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จ
จาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลอุรุเวลา  และทรงแวะจากทาง  แล้วเสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์
แห่งหนึ่ง  ครั้นถึงไพรสณฑ์นั้นแล้ว  ประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง.
             ก็โดยสมัยนั้นแล  สหายภัททวัคคีย์จำนวน  ๓๐ คน  พร้อมด้วยปชาบดีบำเรอกันอยู่ ณ
ไพรสณฑ์แห่งนั้น.  สหายคนหนึ่งไม่มีประชาบดี.  สหายทั้งหลายจึงได้นำหญิงแพศยามาเพื่อ
ประโยชน์แก่เขา.  ต่อมาหญิงแพศยานั้น เมื่อพวกสหายนั้นเผลอตัวมัวบำเรอกันอยู่  ได้ลัก
เครื่องประดับหนีไป.  จึงพวกสหายนั้น เมื่อจะทำการช่วยเหลือสหาย  เที่ยวตามหาหญิงแพศยา
นั้น ไปถึงไพรสณฑ์แห่งนั้น  ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง ครั้นแล้ว
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า  พระผู้มีพระภาคเห็นหญิงบ้างไหม
เจ้าข้า?
             พระผู้มีพระภาคทรงย้อนถามว่า  ดูกรกุมารทั้งหลาย  พวกเธอจะต้องการอะไรด้วย
หญิงเล่า?
             ภัท. เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าเป็นสหายภัททวัคคีย์จำนวน ๓๐ คน ในตำบลนี้  พร้อมด้วย
ปชาบดี บำเรอกันอยู่ในไพรสณฑ์แห่งนี้  สหายคนหนึ่งไม่มีปชาบดี  พวกข้าพเจ้าจึงได้นำหญิง
แพศยามาเพื่อประโยชน์แก่เขา ต่อมา หญิงแพศยานั้น  เมื่อพวกข้าพเจ้าเผลอตัวมัวบำเรอกันอยู่
ได้ลักเครื่องประดับหนีไป เพราะเหตุนั้น พวกข้าพระองค์ผู้เป็นสหายกัน เมื่อจะทำการช่วยเหลือ
สหาย จึงเที่ยวตามหาหญิงนั้นมาถึงไพรสณฑ์แห่งนี้ เจ้าข้า.
             ภ.  ดูกรกุมารทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ข้อที่พวกเธอแสวงหาหญิง
หรือแสวงหาตนนั้น อย่างไหนเป็นความดีของพวกเธอเล่า?
             ภัท.  ข้อที่พวกข้าพระองค์แสวงหาตนนั่นแล  เป็นความดีของพวกข้าพเจ้า เจ้าข้า.
             ภ.  ดูกรกุมารทั้งหลาย  ถ้าอย่างนั้นพวกเธอนั่งลงเถิด  เราจักแสดงธรรมแก่พวกเธอ.
             พวกสหายภัททวัคคีย์เหล่านั้น  รับพระพุทธาณัติพจน์ว่า อย่างนั้น เจ้าข้า  ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคแล้ว  นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.  พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถา
แก่พวกเขา คือทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม  ความเศร้าหมองของ
กามทั้งหลาย  และอานิสงส์ในความออกจากกาม.  เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า  พวกเขามีจิตสงบ
มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจากนิวรณ์  มีจิตเบิกบาน  มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา
ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง  คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.  ดวงตา
เห็นธรรม  ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทินว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้น
ทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั่นแล ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน
ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น. พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรม
แจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาค
ว่า พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรม
อันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
             พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.....
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ถามว่า....

ถ้าไม่มีอะไรเป็นตนอยู่เลย  ตน ในพระสูตรนี้หมายถึง ตน แบบไหน อย่างไร ?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่