กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....
มีพระราชาอยู่พระองค์หนึ่ง พระองค์ทรงมีธิดาสี่คน ธิดาสามคนแรกได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายต่างเมือง แล้วย้ายไปอยู่กับพระสวามี
เหลือเพียงแต่ธิดาพระองค์เล็ก ทรงพระนามว่ามินตรา และยังไร้คู่ครอง เจ้าหญิงมินตราอายุได้สิบแปดปี พระราชาจึงมีความประสงค์อยากให้เจ้าหญิงมินตราได้อภิเษกสมรสกับบุรุษที่คู่ควร
ทว่า..แผนการจะหาบุรุษที่คู่ควรให้กับเจ้าหญิงมินตราต้องหยุดชะงัก เหตุเพราะบ้านเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย ประชาชนหวาดกลัวสัตว์ร้ายที่ออกมาจากป่าต้องห้าม มันออกไล่ล่าเข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนเสียขวัญ วิตกกังวล บางส่วนเริ่มขนย้ายสิ่งของ ออกไปจากหมู่บ้าน อาณาจักรพลันตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เร้นแค้น และใกล้แตกสลาย
พระราชาจึงติดประกาศทั่วราชอาณาจักรว่า หากผู้ใดสามารถ สังหารสัตว์ร้ายในป่าต้องห้ามได้ ตนจะยกเจ้าหญิงมินตราให้เป็นคู่ครอง พร้อมแบ่งสมบัติครึ่งหนึ่งในท้องพระคลังให้แก่ผู้ที่สามารถสังหารสัตว์ร้ายได้สำเร็จ
สามวันก่อนข้าอ่านป้ายประกาศ ที่ติดไว้หน้าบ้าน ไม่มีอะไรให้ต้องคิดทบทวน ข้าวิ่งเข้าไปในบ้าน หยิบฉวยอาวุธทุกชนิดที่ข้ามี มีด ดาบ ธนู และแม้กระทั่งยาพิษที่ข้าปรุงขึ้นมาเอง
แน่นอนว่าสมบัติมหาศาลคือสิ่งที่ข้าต้องการ กระทั่งไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย ข้าพาร่างกายผ่ายผอม มุ่งหน้าเดินเข้าป่าต้องห้าม
ในขณะที่สหายของข้าตะโกนห้ามไม่ให้เข้าไปในป่า แต่ ช่างแมร่-ง .. ชีวิตข้าเป็นของข้า พวกเจ้าจะสนทำไม ข้าเพียงคิดในใจ หาได้ตอบสิ่งนี้ไปไม่
ข้ายกมือโบกอำลาเพื่อนพ้อง ก่อนจะควบม้าวิ่งตรงเข้าป่าต้องห้าม ด้วยหัวใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
ฆ่าสัตว์ร้ายได้ ก็ได้สมบัติ ฮึ.... มีเงินทองมากมายจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนก็ได้
ส่วนเจ้าหญิงมินตรานั่นนะหรือ เมื่อข้าได้ค่าตอบแทนตามที่พระราชาได้ประกาศไว้ ข้าจำต้องทำสิ่งที่ควรทำ คือหนีไปให้ไกล ข้าหาได้หวังครอบครองเจ้าหญิงมินตรา
ข้ามีเพียงโชเท่านั้น สตรีนางเดียวที่อยู่ในหัวใจ แม้นางจะจากไปนานแล้ว แต่ข้าจะไม่มีวันมอบหัวใจให้ใครอีก
ท้องฟ้ามืดมิด จันทราและดวงดาวเลือนหาย ข้านั่งอยู่บนต้นไม้ กวาดสายตามองความมืดมิดโดยรอบ ธนูในมือเตรียมพร้อมใช้งานทุกเมื่อ หากเห็นสิ่งใดก็ตามเคลื่อนเข้าใกล้
.......
......
......
เงียบ .... สรรพสิ่งรอบกายเงียบกริบ สัตว์ราตรีหยุดส่งเสียง ลมหยุดพัด ต้นไม้ยืนนิ่งราวไร้ชีวิต
ประสาทสัมผัสทุกส่วนในตัวข้าตื่นตัวเต็มที่ ภายใต้ความเงียบในเงารัตติกาล คือสัญญาณแห่งการลั่นกลองรบ ข้อนี้ข้ารู้ดี
เสียงสวบสาบเหมือนมีบางอย่าง กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ ข้ายกคันธนูเล็งไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง
เห็นแล้ว ข้าเห็นแล้ว เงาตะคุ่มดำกำลังเยื้องย่างมาอย่างช้าๆ ช้าๆ .... แต่เอ๊ะ ...นั่นหาใช่สัตว์ร้ายไม่ ความงุนงงบังเกิดขึ้นในใจ ยังมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาในป่าต้องห้าม หรือจะเป็นพวกที่มาตามล่าสัตว์ร้ายเช่นข้า
ขอดูให้ชัดๆหน่อยเถอะว่ามันเป็นผู้ใด ข้าลดคันธนูลง แล้วเพ่งไปยังบุคคลลึกลับ ทันทีที่มันเดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ที่ข้าแอบอยู่ ความตื่นตกใจที่ได้เห็นว่ามันเป็นใคร ส่งผลให้เกือบทำลูกธนูร่วงหล่น
เจ้าหญิงมินตรา..เป็นนาง นางมาทำอะไรในสถานที่อันตรายเยี่ยงนี้ ข้ารีบปีนลงจากต้นไม้อย่างเงียบกริบ สะกดรอยตามนางไป
นางหยุดเดิน ข้าหยุดเดิน นางเหลียวมองมาข้างหลัง มองซ้ายขวา ข้าแอบอยู่หลังต้นไม้ สกัดกั้นกระทั่งลมหายใจ เพื่อไม่ให้นางรับรู้ว่ามีคนตามมา
ไพล่นึกไปถึงคำบอกเล่าจากท่านปู่ ที่บอกว่า มีนักรบกลุ่มหนึ่งที่สามารถซ่อนตัวไม่ให้ใครมองเห็น แม้กระทั่งศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ก็มิอาจมองเห็นพวกเขา ท่านปู่เรียก พวกเขาว่า นินจา ในสถานการณ์เช่นนี้ข้านึกอยากเป็นนินจาเสียจริง
นางเริ่มออกเดินอีกครั้ง
ข้าย่องตามอย่างเงียบๆ
กระท่อมไม้...นางหยุดอยู่หน้ากระท่อม นี่มันเรื่องแปลกพิสดารอะไร เหตุใดมีกระท่อมอยู่ในป่าต้องห้ามได้ ข้ารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เจ้าหญิงมินตราซ่อนความลับอะไรไว้ในป่าแห่งนี้ จะต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากกระท่อม
“ไม่มีใครตามเจ้ามานะ” เขาเอ่ยถามนาง
“ไม่มี”
“เจ้าได้สิ่งที่ข้าต้องการมาหรือไม่”
“ตอนนี้ข้ายังหาไม่เจอ ท่านควรอดใจรอ มิใช่ไปออกอาละวาดฆ่าคนเล่นเยี่ยงนี้ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย รังแต่จะทำให้การหาอัญมณีโลหิตสะดุดไปด้วย ข้อนี้ท่านควรรู้ไว้” นางกล่าววาจาเสียงดัง
ข้าได้ยินสิ่งที่นางพูดเต็มสองหู
‘อัญมณีโลหิต’ ข้าเคยได้ยินมาก่อน ว่ากันว่ามันคือเพชรที่บรรจุโลหิตของแดร็กคูล่าสายพันธุ์ต้นกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
หากเผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้ไปครอบครอง พวกมันจะสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้ราวมนุษย์ทั่วไป
หากเผ่าพันธุ์มนุษย์หม่าป่าได้ไปครอบครอง พวกมันจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องรอให้พระจันทร์เต็มดวง
หากไปตกอยู่กับพวกพ่อมด หมอผี อัญมณีโลหิต จะทำให้พวกมันเป็นอมตะ ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย
แล้วไอ้เจ้าตัวใหญ่นี่เป็นเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่ ข้าอยากรู้นัก แต่ที่อยากรู้ยิ่งกว่า เจ้าหญิงมินตรามาช่วยมันทำไม
“ข้าแค่สร้างความหวาดกลัวให้พวกมนุษย์หน้าโง่ คนออกไปจากเมืองเยอะๆ เจ้ายิ่งทำงานได้ง่ายขึ้นมิใช่รึ”
“ท่านมิควรออกไปเปิดเผยตัว พวกนักล่าจะแห่มาตามล่าท่านแน่ ข้าไม่อยากต่อกรกับพวกนักล่า”
“อย่ากลัวไปเลยบริซเทีย ข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็นในภาพนิมิต เจ้าเห็นว่าอัญมณีโลหิตอยู่ที่นี่ ไม่นานเจ้าต้องหาเจอแน่”
“ข้าเกรงว่าจะใช้ร่างนี้ได้อีกไม่นาน เมื่อไหร่ที่ร่างของนางเน่าเปื่อย ข้าก็คงต้องกลับสู่ร่างเดิม ถึงเวลานั่นการเข้าออกในวังคงเป็นไปได้ยาก แต่ข้ามั่นใจเหลือเกิน อัญมณีโลหิตต้องอยู่ในปราสาทนั่นแน่”
“ข้าได้กลิ่นลมหายใจของมนุษย์” บุรุษร่างใหญ่กล่าวเสียงดัง
ข้าตกใจกลัวจนตัวสั่น ในป่าซึ่งหนาวยะเยือกเย็น เหงื่อที่หน้าผากกลับผุดขึ้นมาราวดอกเห็ดในหน้าฝน และเริ่มลุกลามไปทั่วตัว
วิ่งคือทางออกเดี๋ยวที่ข้าควรทำ หรือ ควรเผชิญหน้าต่อกรกับมันดี และไม่มีเวลาให้ข้าได้คิดใคร่ครวญ
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ พลันปรากฏกายอยู่ด้านหลังข้าแล้ว
“เจ้าแส่หาที่ตายเองนะ” น้ำเสียงเหี้ยมโหดกล่าวดังขึ้น
ข้าตวัดดาบในมือ ใส่ร่างที่อยู่ด้านหลัง ทว่ากลับฟาดฟันได้เพียงอากาศธาตุ ร่างของมันเคลื่อนกายหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
อ๊ากกก...
ของแข็งบางอย่างฟาดเข้ากกหูข้า ก่อนที่จะถูกมันกระชากคอเสื้อลากตัวมา แล้วโยนข้าลงพื้นดินหน้ากระท่อม
“มันคงเป็นคนที่ออกมาล่าสัตว์ร้าย พ่อข้าจะมอบรางวัลให้คนที่สามารถฆ่าท่านได้” เจ้าหญิงมินตราหันไปพูดกับบุรุษร่างใหญ่
“เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้งั้นรึ ไม่เจียมตัวเสียเลยนะเจ้าพวกมนุษย์”
“พวกแกเป็นใครกันแน่” ข้าเอ่ยถามพวกมัน
“อีกไม่นานเจ้าจะได้เห็น”
พระจันทร์เต็มดวง .... หมาป่าตัวสูงใหญ่ ยืนตะหง่านอยู่ตรงหน้าข้า มันแสยะยิ้ม ส่งเสียงคำรามกึกก้อง ก่อนจะตวัดกรงเล็บแหลมคมฟันใส่ใบหน้าข้าด้วยความรุนแรง เหี้ยมโหด
ข้าเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ทรมานแสนสาหัส และไม่นานโลกทั้งใบของข้าก็พลันมืดมิดไปตลอดกาล
อัญมณีโลหิต
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....
มีพระราชาอยู่พระองค์หนึ่ง พระองค์ทรงมีธิดาสี่คน ธิดาสามคนแรกได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายต่างเมือง แล้วย้ายไปอยู่กับพระสวามี
เหลือเพียงแต่ธิดาพระองค์เล็ก ทรงพระนามว่ามินตรา และยังไร้คู่ครอง เจ้าหญิงมินตราอายุได้สิบแปดปี พระราชาจึงมีความประสงค์อยากให้เจ้าหญิงมินตราได้อภิเษกสมรสกับบุรุษที่คู่ควร
ทว่า..แผนการจะหาบุรุษที่คู่ควรให้กับเจ้าหญิงมินตราต้องหยุดชะงัก เหตุเพราะบ้านเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย ประชาชนหวาดกลัวสัตว์ร้ายที่ออกมาจากป่าต้องห้าม มันออกไล่ล่าเข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนเสียขวัญ วิตกกังวล บางส่วนเริ่มขนย้ายสิ่งของ ออกไปจากหมู่บ้าน อาณาจักรพลันตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เร้นแค้น และใกล้แตกสลาย
พระราชาจึงติดประกาศทั่วราชอาณาจักรว่า หากผู้ใดสามารถ สังหารสัตว์ร้ายในป่าต้องห้ามได้ ตนจะยกเจ้าหญิงมินตราให้เป็นคู่ครอง พร้อมแบ่งสมบัติครึ่งหนึ่งในท้องพระคลังให้แก่ผู้ที่สามารถสังหารสัตว์ร้ายได้สำเร็จ
สามวันก่อนข้าอ่านป้ายประกาศ ที่ติดไว้หน้าบ้าน ไม่มีอะไรให้ต้องคิดทบทวน ข้าวิ่งเข้าไปในบ้าน หยิบฉวยอาวุธทุกชนิดที่ข้ามี มีด ดาบ ธนู และแม้กระทั่งยาพิษที่ข้าปรุงขึ้นมาเอง
แน่นอนว่าสมบัติมหาศาลคือสิ่งที่ข้าต้องการ กระทั่งไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย ข้าพาร่างกายผ่ายผอม มุ่งหน้าเดินเข้าป่าต้องห้าม
ในขณะที่สหายของข้าตะโกนห้ามไม่ให้เข้าไปในป่า แต่ ช่างแมร่-ง .. ชีวิตข้าเป็นของข้า พวกเจ้าจะสนทำไม ข้าเพียงคิดในใจ หาได้ตอบสิ่งนี้ไปไม่
ข้ายกมือโบกอำลาเพื่อนพ้อง ก่อนจะควบม้าวิ่งตรงเข้าป่าต้องห้าม ด้วยหัวใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
ฆ่าสัตว์ร้ายได้ ก็ได้สมบัติ ฮึ.... มีเงินทองมากมายจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนก็ได้
ส่วนเจ้าหญิงมินตรานั่นนะหรือ เมื่อข้าได้ค่าตอบแทนตามที่พระราชาได้ประกาศไว้ ข้าจำต้องทำสิ่งที่ควรทำ คือหนีไปให้ไกล ข้าหาได้หวังครอบครองเจ้าหญิงมินตรา
ข้ามีเพียงโชเท่านั้น สตรีนางเดียวที่อยู่ในหัวใจ แม้นางจะจากไปนานแล้ว แต่ข้าจะไม่มีวันมอบหัวใจให้ใครอีก
ท้องฟ้ามืดมิด จันทราและดวงดาวเลือนหาย ข้านั่งอยู่บนต้นไม้ กวาดสายตามองความมืดมิดโดยรอบ ธนูในมือเตรียมพร้อมใช้งานทุกเมื่อ หากเห็นสิ่งใดก็ตามเคลื่อนเข้าใกล้
.......
......
......
เงียบ .... สรรพสิ่งรอบกายเงียบกริบ สัตว์ราตรีหยุดส่งเสียง ลมหยุดพัด ต้นไม้ยืนนิ่งราวไร้ชีวิต
ประสาทสัมผัสทุกส่วนในตัวข้าตื่นตัวเต็มที่ ภายใต้ความเงียบในเงารัตติกาล คือสัญญาณแห่งการลั่นกลองรบ ข้อนี้ข้ารู้ดี
เสียงสวบสาบเหมือนมีบางอย่าง กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ ข้ายกคันธนูเล็งไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง
เห็นแล้ว ข้าเห็นแล้ว เงาตะคุ่มดำกำลังเยื้องย่างมาอย่างช้าๆ ช้าๆ .... แต่เอ๊ะ ...นั่นหาใช่สัตว์ร้ายไม่ ความงุนงงบังเกิดขึ้นในใจ ยังมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาในป่าต้องห้าม หรือจะเป็นพวกที่มาตามล่าสัตว์ร้ายเช่นข้า
ขอดูให้ชัดๆหน่อยเถอะว่ามันเป็นผู้ใด ข้าลดคันธนูลง แล้วเพ่งไปยังบุคคลลึกลับ ทันทีที่มันเดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ที่ข้าแอบอยู่ ความตื่นตกใจที่ได้เห็นว่ามันเป็นใคร ส่งผลให้เกือบทำลูกธนูร่วงหล่น
เจ้าหญิงมินตรา..เป็นนาง นางมาทำอะไรในสถานที่อันตรายเยี่ยงนี้ ข้ารีบปีนลงจากต้นไม้อย่างเงียบกริบ สะกดรอยตามนางไป
นางหยุดเดิน ข้าหยุดเดิน นางเหลียวมองมาข้างหลัง มองซ้ายขวา ข้าแอบอยู่หลังต้นไม้ สกัดกั้นกระทั่งลมหายใจ เพื่อไม่ให้นางรับรู้ว่ามีคนตามมา
ไพล่นึกไปถึงคำบอกเล่าจากท่านปู่ ที่บอกว่า มีนักรบกลุ่มหนึ่งที่สามารถซ่อนตัวไม่ให้ใครมองเห็น แม้กระทั่งศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ก็มิอาจมองเห็นพวกเขา ท่านปู่เรียก พวกเขาว่า นินจา ในสถานการณ์เช่นนี้ข้านึกอยากเป็นนินจาเสียจริง
นางเริ่มออกเดินอีกครั้ง
ข้าย่องตามอย่างเงียบๆ
กระท่อมไม้...นางหยุดอยู่หน้ากระท่อม นี่มันเรื่องแปลกพิสดารอะไร เหตุใดมีกระท่อมอยู่ในป่าต้องห้ามได้ ข้ารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เจ้าหญิงมินตราซ่อนความลับอะไรไว้ในป่าแห่งนี้ จะต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากกระท่อม
“ไม่มีใครตามเจ้ามานะ” เขาเอ่ยถามนาง
“ไม่มี”
“เจ้าได้สิ่งที่ข้าต้องการมาหรือไม่”
“ตอนนี้ข้ายังหาไม่เจอ ท่านควรอดใจรอ มิใช่ไปออกอาละวาดฆ่าคนเล่นเยี่ยงนี้ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย รังแต่จะทำให้การหาอัญมณีโลหิตสะดุดไปด้วย ข้อนี้ท่านควรรู้ไว้” นางกล่าววาจาเสียงดัง
ข้าได้ยินสิ่งที่นางพูดเต็มสองหู
‘อัญมณีโลหิต’ ข้าเคยได้ยินมาก่อน ว่ากันว่ามันคือเพชรที่บรรจุโลหิตของแดร็กคูล่าสายพันธุ์ต้นกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
หากเผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้ไปครอบครอง พวกมันจะสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้ราวมนุษย์ทั่วไป
หากเผ่าพันธุ์มนุษย์หม่าป่าได้ไปครอบครอง พวกมันจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องรอให้พระจันทร์เต็มดวง
หากไปตกอยู่กับพวกพ่อมด หมอผี อัญมณีโลหิต จะทำให้พวกมันเป็นอมตะ ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย
แล้วไอ้เจ้าตัวใหญ่นี่เป็นเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่ ข้าอยากรู้นัก แต่ที่อยากรู้ยิ่งกว่า เจ้าหญิงมินตรามาช่วยมันทำไม
“ข้าแค่สร้างความหวาดกลัวให้พวกมนุษย์หน้าโง่ คนออกไปจากเมืองเยอะๆ เจ้ายิ่งทำงานได้ง่ายขึ้นมิใช่รึ”
“ท่านมิควรออกไปเปิดเผยตัว พวกนักล่าจะแห่มาตามล่าท่านแน่ ข้าไม่อยากต่อกรกับพวกนักล่า”
“อย่ากลัวไปเลยบริซเทีย ข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็นในภาพนิมิต เจ้าเห็นว่าอัญมณีโลหิตอยู่ที่นี่ ไม่นานเจ้าต้องหาเจอแน่”
“ข้าเกรงว่าจะใช้ร่างนี้ได้อีกไม่นาน เมื่อไหร่ที่ร่างของนางเน่าเปื่อย ข้าก็คงต้องกลับสู่ร่างเดิม ถึงเวลานั่นการเข้าออกในวังคงเป็นไปได้ยาก แต่ข้ามั่นใจเหลือเกิน อัญมณีโลหิตต้องอยู่ในปราสาทนั่นแน่”
“ข้าได้กลิ่นลมหายใจของมนุษย์” บุรุษร่างใหญ่กล่าวเสียงดัง
ข้าตกใจกลัวจนตัวสั่น ในป่าซึ่งหนาวยะเยือกเย็น เหงื่อที่หน้าผากกลับผุดขึ้นมาราวดอกเห็ดในหน้าฝน และเริ่มลุกลามไปทั่วตัว
วิ่งคือทางออกเดี๋ยวที่ข้าควรทำ หรือ ควรเผชิญหน้าต่อกรกับมันดี และไม่มีเวลาให้ข้าได้คิดใคร่ครวญ
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ พลันปรากฏกายอยู่ด้านหลังข้าแล้ว
“เจ้าแส่หาที่ตายเองนะ” น้ำเสียงเหี้ยมโหดกล่าวดังขึ้น
ข้าตวัดดาบในมือ ใส่ร่างที่อยู่ด้านหลัง ทว่ากลับฟาดฟันได้เพียงอากาศธาตุ ร่างของมันเคลื่อนกายหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
อ๊ากกก...
ของแข็งบางอย่างฟาดเข้ากกหูข้า ก่อนที่จะถูกมันกระชากคอเสื้อลากตัวมา แล้วโยนข้าลงพื้นดินหน้ากระท่อม
“มันคงเป็นคนที่ออกมาล่าสัตว์ร้าย พ่อข้าจะมอบรางวัลให้คนที่สามารถฆ่าท่านได้” เจ้าหญิงมินตราหันไปพูดกับบุรุษร่างใหญ่
“เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้งั้นรึ ไม่เจียมตัวเสียเลยนะเจ้าพวกมนุษย์”
“พวกแกเป็นใครกันแน่” ข้าเอ่ยถามพวกมัน
“อีกไม่นานเจ้าจะได้เห็น”
พระจันทร์เต็มดวง .... หมาป่าตัวสูงใหญ่ ยืนตะหง่านอยู่ตรงหน้าข้า มันแสยะยิ้ม ส่งเสียงคำรามกึกก้อง ก่อนจะตวัดกรงเล็บแหลมคมฟันใส่ใบหน้าข้าด้วยความรุนแรง เหี้ยมโหด
ข้าเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ทรมานแสนสาหัส และไม่นานโลกทั้งใบของข้าก็พลันมืดมิดไปตลอดกาล