บทที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37667276
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/37674255
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/37682542
บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/37710202
บทที่ 5
https://ppantip.com/topic/37729207
บทที่ 6
https://ppantip.com/topic/37755906
หมู่ตึกไร้รัก
ดรุณีน้อยนางหนึ่งก็ยืนล้างจานอยู่ในห้องล้างจานเช่นกัน
นางแทบไม่เคยล้างจานล้างชามมาก่อนในชีวิต เนื่องเพราะนางเป็นถึงธิดาของประมุขหมู่ตกไร้รักอันเกริกไกร แต่วันนี้มือเรียวงามของนางล้างจานล้างชามอย่างหมกมุ่นตั้งใจอย่างยิ่ง
ดรุณีร่างใหญ่ คนสนิทของนาง ได้แต่ยืนเฝ้ามองอยู่ด้านหลังมิอาจทัดทานได้
เนื่องเพราะนางบอกเหตุผลว่า “ข้าพเจ้าต้องฝึกงานบ้าน จวบจนวันใดมันกลับมา จะพบว่าข้าพเจ้ามีคุณสมบัติเป็นแม่บ้านที่ดี ไม่ให้มันอับอายขายหน้าเด็ดขาด”
ดรุณีร่างใหญ่ได้ค้านว่านางเป็นถึงธิดาของหมู่ตึกไร้รัก ไม่ต้องกรีดมือวาดเท้าลงแรงเองย่อมมีคนบริการรับใช้ ทว่านางยังแย้งอีกว่า
“ข้าพเจ้าจะมัวพึ่งคนอื่นตลอดชีวิตได้อย่างไร แน่ใจอย่างไรว่าจะมีคนเสนอเป็นมือเท้าทุกเวลา จำเป็นมา ข้าพเจ้ามิต้องกลายเป็นดรุณีมือบางเท้าบาง ปวกเปียกเป็นโคลนเหลว ทำอะไรไม่เป็นหรืออย่างไร”
ดังนั้นนางจึงเริ่มฝึกงานบ้านทุกชนิด
ดรุณีร่างใหญ่ยืนเฝ้าอย่างเงียบงัน ไม่ส่งเสียงรบกวนสมาธิของธิดาหมู่ตึกไร้รักเป็นเวลานาน พลันรู้สึกว่าภาพที่ดรุณีเฝ้าฝึกงานบ้าน เป็นภาพน่าชื่นชมชนิดหนึ่ง ประเสริฐกว่าดรุณีนั่งเสริมทรงองค์เอวอย่างน้อยสิบส่วน อานุภาพแห่งความรักสามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้เช่นนี้... แต่ในที่สุดดรุณีร่างใหญ่ก็อดส่งเสียงถามไม่ได้
“นายหญิงแน่ใจว่ามันจะกลับมา”
ธิดาหมู่ตึกไร้รักตอบทันทีเสียงของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น “เราแน่ใจ”
“ไฉนท่านแน่ใจปานนั้น”
“เพราะมันบอกเรา”
“ท่านเชื่อวาจามัน”
“เราไม่ได้เชื่อวาจามัน”
“เช่นนั้น.....?”
“เราเชื่อใจมัน”
“เชื่อใจมัน?”… ดรุณีร่างใหญ่ทวนคำเคลือบแคลง “ท่านสามารถหยั่งรู้ใจมัน ?”
“ไม่เพียงเรารู้ใจมัน มันก็รู้ใจเรา”
“ท่านทราบได้อย่างไร”
“เราทราบด้วยใจ...เรื่องราวบางประการสามารถรับรู้ด้วยจิต และความรู้สึกภายใน เรื่องเช่นนี้ไม่อาจอธิบายด้วยอักขระพยัญชนะให้ท่านเข้าใจได้ชัดเจน”
ดรุณีร่างใหญ่อึ้งไปเนิ่นนาน พลันรู้สึกว่านายหญิงน้อยของนางมิเพียงเติบใหญ่ ยังสมบูรณ์ทางความคิดแล้ว กระทั่งนางยังไม่อาจเทียบเคียง วูบนั้นพลันรู้สึกเงียบเหงาอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก นางยังไม่มีผู้ใดรู้ใจ...นางเองก็ยังไม่รู้ใจบุรุษคนใด หรือชีวิตที่ขาดความรักมีรสชาติเป็นเช่นนี้
ธิดาหมู่ตึกไร้รักราวกับจะรู้ใจคนของนาง ทางหนึ่งล้างถ้วยชามทางหนึ่งเอ่ยปากว่า
“ความรักไปมาไร้ร่องรอยไม่บอกไม่กล่าว คิดเสาะหาพาลกลับหลีกลี้ไล่ลมชมเงา คิดหลบหนีกลับยิ่งตามติดพัวพัน ท่านเองก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจไว้…มิเช่นนั้นถึงเวลามา เกรงว่าท่านอาจหัวใจแหลกสลายจนตายทั้งเป็น”
“นายหญิงน้อย หรือท่านไม่กลัวหัวใจแหลกสลายจนตายทั้งเป็น”
“เรากลัว...กลัวแทบตาย”
“เช่นนั้น.....”
“ไม่รับรู้ความทุกข์บ้างจะรับรู้ความสุขได้อย่างไร ความสมหวังผิดหวังทุกข์สุขเป็นของคู่กัน ท่านจะรับเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดได้อย่างไร....มีความมืดจึงรู้คุณค่าของแสงสว่าง ดังนั้นเรากลัว...แต่เพราะเรามีชีวิตจิตใจ... ต่อให้กลัวก็ต้องทำใจยอมรับมัน”
ราตรีกำลังมาเยือน
กระบี่รันทดล้างถ้วยชามทำหน้าที่ของตนไม่ขาดตกบกพร่อง ได้รับเสื้อผ้าชุดหนึ่งเปลี่ยนเพื่อเข้านอนในห้องเก็บฟืน หลังจากจัดการภารกิจส่วนตัวมันเตรียมเข้านอน ห้องเก็บฟืนไม่เลวร้ายเกินไปความจริงมันเป็นกระท่อมหลังเล็ก แยกห่างจากด้านหลังโรงเตี๊ยมหนึ่งระยะ คนสันโดษเช่นมันอยู่อย่างนี้ดีกว่าอยู่ในส่วนคนพลุกพล่านเสียอีก
ดึกแล้ว ดวงเดือนเคลื่อนคล้อยลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างและรอยแยกของไม้เสียดแทงเหน็บหนาว บนพื้นมีชุดที่นอนพร้อมผ้าห่ม มองออกไปนอกหน้าต่างยังสามารถเห็นคันเคียวเสี้ยวจันทร์ แขวนริบหรี่ประดับฟากฟ้าเหนือทิวไม้ดำทะมืน สูงต่ำไล่เรียงรายในปีกม่านของรัตติกาลคลี่ปกคลุม
มันหารู้ไม่ว่า คืนแรกของที่นี่ ไม่มีทางได้หลับสุขสบายโดยเด็ดขาด ความยุ่งยากมากหลายคล้ายรอคอยพัวพันอยู่ ราวเป็นตาข่ายสายไยแห่งโชคชะตากรรมซับซ้อน
เดือนยังไม่ดับลับลา ห้องเก็บฟืนของโรงเตี๊ยมไม่เลวเกินไปทางหนึ่งไม้มีรอยแยกให้สายลมเกเรแทรกเย้ยหยัน ทางหนึ่งมีหน้าต่างเปิดมองจันทร์กระจ่างฟ้า ปรากฏไม่เต็มดวงเป็นเพียงคันเคียวเกี่ยวฟ้าแขวนห้อยทอแสงสลัวเลือนราง ใจพลันหวนคิดถึงธิดาหมู่ตึกไร้รัก
กระบี่รันทดถอนใจ...เรื่องราวที่อาจารย์สั่งให้มากระทำยังมิบรรลุเป้าหมาย มิคาดว่าต้องมาล้างจานในโรงเตี๊ยม กระทั่งยังมาพบแรกรักอีกต่างหาก เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดคิดสุดคาดคำนวณ
มันตระเตรียมหลับตานอนหลับพักผ่อน ตรวจประตูว่าปิดเรียบร้อย ทว่าสายตาพลันเห็นใครบางคนปรากฏที่หน้าต่าง
ใบหน้าของธิดาหมู่ตึกไร้รัก
คิดถึงใบหน้านางลอยเด่นในห้วงความคิดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่คิดถึงจนใบหน้านางลอยเด่นชัดเจนนอกหน้าต่างอย่างไรก็ไม่รวดรัดกระจ่างแน่นอน
ตัวเย็นเฉียบทันที
ดวงหน้ายิ้มปลอบประโลมอบอุ่นใจเช่นนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว กรอบหน้าต่างยังคงเป็นกรอบหน้าต่าง แต่คันเคียวเสี้ยวจันทร์กลับกลายเป็นใบหน้าผุดผาดของนาง เช่นนี้มีใครรับได้... บุรุษหนุ่มย่อมรับไม่ได้เช่นกัน คล้ายร่างกายผนึกค้างชาแข็ง
ลมกระโชกวูบ ในหน้านอกหน้าต่างพลันดับหายไป เหลือเพียงม่านแห่งปีกรัตติกาล
บุรุษหนุ่มพลิกตัววูบ มือขวาหยิบกระบี่มือซ้ายกดลงพื้น..มีแรงส่งพาร่างพุ่งออกทางหน้าต่างราวสายฟ้า จะให้เชื่อว่าเป็นผีสางย่อมเป็นไปไม่ได้
จันทร์หลบเข้าเงาเมฆ เหลือเพียงสายลมลูบไล้และเงาไม้ร่ายระบำกลางสายลมในความมืด พลันพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทางขวาเป็นโรงเตี๊ยมทะมึน ทางซ้ายเป็นทิวไม้สูงต่ำไล่เรียงรายไหวเอนตามแรงลมแห่งราตรี ฟากฟ้าไกลหมู่เมฆลอยลิ่วตัดจันทร์สลัวลางราง ราวกับภูตผีปีศาจสามารถปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ สายลมยามดึกเย็นยะเยือกบาดลึกเข้าไปในหัวใจ
ผู้คนย่อมนิทราหลับใหล เสียงลมสะบัดพัดโบกกิ่งไม้ไหวเอนร่ายรำคร่ำครวญ ฟังดูเหมือนเสียงกระซิบกระซาบบางครั้งหวีดร้องแหลมสูง เงาไม้เคลื่อนไหวเป็นวิญญาณร้ายเริงร่า
กระบี่รันทดเคยฝึกวิชาอยู่กับอาจารย์ในป่าลึกมาตลอดหลายปีผ่านมา ไหนเลยจะหวั่นไหวเกรงกลัว ภูตผีตนใดคิดหลอกหลอนมันนับว่าเป็นภูตผีโง่งมคิดผิดแล้ว
ในเงาไม้ยังมีเงาร่างโฉบผ่าน
หางตาของกระบี่รันทดเห็นเงาดำพุ่งตัดผ่านเงาไม้ใต้เงาจันทร์ไปด้านข้าง
กระบี่รันทดพอเห็นพลันทุ่มเทเรี่ยวแรงวิ่งไล่ล่าตาม มิว่าจะเป็นใครก็ตาม ต่อให้เป็นภูตผีปีศาจมันก็ต้องไล่ตาม ยิ่งไม่ใช่ภูตผีปีศาจยิ่งต้องไล่ตาม
พอหลุดออกจากทิวไม้เป็นถนนสายแคบ พลันพบว่าตนเองกำลังอยู่กลางถนนของหมู่บ้าน อาคารที่อยู่ผู้คนสองฟากฝั่งดับไฟหลับนอนหมดสิ้น มีเพียงสายลมยามดึกพัดผ่านเป็นระยะ สายลมยามดึกเหน็บหนาว อาจมีเพียงกระบี่รันทดเท่านั้นที่อ้างว้างโดดเดี่ยวเดียวดาย
แสงไฟจากข้างทางไม่ดับสิ้นเสียเลยทีเดียว
ปีศาจสุราอย่างน้อยสองสามคนเดินโซเซผ่านไป ผ่านความมืดมน ผ่านสายลมหนาวเย็น ผ่านความอ้างว้าง เพียงสามารถเป็นปีศาจสุราอย่างน้อยความอ้างว้างเดียวดายก็คลายบรรเทาลงเกินครึ่ง
ไม่ใช่นาง....ไม่ใช่นางเด็ดขาด
ต่อให้มีคีมใหญ่บีบคั้นสมองจนปริแตกมันก็จะยืนยันเช่นนี้ วงหน้านอกหน้าต่างประกันว่ามิใช่ธิดาแห่งหมู่ตึกไร้รัก ลมยามดึกไม่เพียงหนาวเย็นจนกายสะท้าน กระทั่งใจยังสะท้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ด้านหลังห่างไปหลายสิบก้าว ประตูห้องร้านสุราถูกถีบออก คนผู้หนึ่งก็ถูกถีบออกมา ชายชราท่าทีแทบไม่ต่างจากดินโคลนทั้งเหลวทั้งปวกเปียกก้อนหนึ่ง ลงมากองนอนกลางถนน
“ปีศาจสุรายามราตรี ดึกจนป่านนี้ยังไม่ยอมกลับบ้าน ร้านปิดแล้ว” เสียงก่นด่าดังออกมาพร้อมกับประตูปิดดังโครม คนถูกถีบจนลงมากองกลางถนนอย่างไรไม่เบิกบานปลอดโปร่ง แต่ชายชราคนนี้กลับดูเบิกบานปลอดโปร่งอย่างยิ่ง มือทั้งสองยังคงโอบกอดไหสุราไม่คิดชีวิต
พอตั้งหลักได้พลันตะกายขึ้นมา ยกไหสุราขึ้นซดจนธารสุราหลั่งรินมุมปากไม่ขาดสาย ก่อนจะใช้มือปาดเช็ดปากหัวร่อเสียงดัง ๆ พลางกล่าว
“ร่ำสุราเมามายคลายทุกข์สู่สุขสันต์...ใต้เงาจันทร์ในสายลม ยังมีที่ใดประเสริฐกว่า”
พลันเหลือบมองเห็นผู้คนยืนจ้องมอง จึงพยักหน้าหัวร่อเสียงดังกล่าวว่า
“คืนนี้เจ้าดื่มสุราหรือยัง”
ชายชราผู้นี้ดูไปคล้ายไหสุราไหหนึ่ง ไหสุราที่มีหน้าที่เพียงสามารถบรรจุสุราเท่านั้นชีวิตที่เหลือนอกนั้นล้วนเวิ้งว้างว่างเปล่าหมดสิ้น
กระบี่รันทดส่ายหน้าบอก “ข้าไม่ดื่มสุรายามวิกาล”
“ฮา....ดูข้ามาเจอคนเคร่งครัดจริยธรรมมากเหลือแสนเข้าให้แล้ว น่าเสียดาย....ไม่ดื่มสุรายามวิกาลเจ้าไหนเลยรู้สึกถึงสุนทรียรสหวานซาบซ่านที่แท้จริงของสุรา พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความเมาอันยิ่งใหญ่”
“ข้าเพียงหาคน”
ชายชราเบิ่งตาขุ่นมัวดูกระบี่รันทดครู่หนึ่งก่อนยก ไหสุรายืดคอกระหน่ำซดไม่คิดชีวิต พักหนึ่งจึงวางไหสุราอย่างอย่างทะนุถนอม ให้แขนเสื้อคร่ำคราปาดมุมปากอีกครา พึมพำว่า
“เจ้าไม่ดื่มสุรายามวิกาลก็ดูโง่งมไปเจ็ดส่วนแล้ว ยังมาหาคนยามวิกาลอีก ห้าส่วนที่เหลือของเจ้านับว่าวิกลจริตเต็มที่ทั้งห้าส่วน คนทั้งโง่ทั้งวิกลจริตเช่นนี้น่าสนใจจริงๆ”
กระบี่รันทดพบว่าตัวเองเป็นคนโง่งมและวิกลจริต ที่กำลังสนทนากับคนเมา คนเมากับคนวิกลจริตบางครั้งห่างกันแค่เศษเสี้ยวองคุลี จึงได้แต่ส่ายหน้าหันหลังก้าวเดินออกไป มิคาดชายชราร้องตามหลังมาว่า
“เจ้าตามหานางใช่หรือไม่”
กระบี่รันทดสะดุ้งเฮือกทันที ฝีเท้าชะงักงัน หันกลับไปมอง คนผู้หนึ่งเมามายปางตายอยู่ในร้านสุรา ไฉนทราบว่ามันกำลังตามหาดรุณีนอกหน้าต่างใต้เงาจันทร์นางหนึ่ง วาจาของชายชราไม่เพียงชะงักฝีเท้าของกระบี่รันทด ยังรั้งหัวใจตกวูบลง
ลมราตรีผ่านกายพัดใจจนเย็นยะเยียบ
.
กระบี่รันทด 7..........เงาใจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หมู่ตึกไร้รัก
ดรุณีน้อยนางหนึ่งก็ยืนล้างจานอยู่ในห้องล้างจานเช่นกัน
นางแทบไม่เคยล้างจานล้างชามมาก่อนในชีวิต เนื่องเพราะนางเป็นถึงธิดาของประมุขหมู่ตกไร้รักอันเกริกไกร แต่วันนี้มือเรียวงามของนางล้างจานล้างชามอย่างหมกมุ่นตั้งใจอย่างยิ่ง
ดรุณีร่างใหญ่ คนสนิทของนาง ได้แต่ยืนเฝ้ามองอยู่ด้านหลังมิอาจทัดทานได้
เนื่องเพราะนางบอกเหตุผลว่า “ข้าพเจ้าต้องฝึกงานบ้าน จวบจนวันใดมันกลับมา จะพบว่าข้าพเจ้ามีคุณสมบัติเป็นแม่บ้านที่ดี ไม่ให้มันอับอายขายหน้าเด็ดขาด”
ดรุณีร่างใหญ่ได้ค้านว่านางเป็นถึงธิดาของหมู่ตึกไร้รัก ไม่ต้องกรีดมือวาดเท้าลงแรงเองย่อมมีคนบริการรับใช้ ทว่านางยังแย้งอีกว่า
“ข้าพเจ้าจะมัวพึ่งคนอื่นตลอดชีวิตได้อย่างไร แน่ใจอย่างไรว่าจะมีคนเสนอเป็นมือเท้าทุกเวลา จำเป็นมา ข้าพเจ้ามิต้องกลายเป็นดรุณีมือบางเท้าบาง ปวกเปียกเป็นโคลนเหลว ทำอะไรไม่เป็นหรืออย่างไร”
ดังนั้นนางจึงเริ่มฝึกงานบ้านทุกชนิด
ดรุณีร่างใหญ่ยืนเฝ้าอย่างเงียบงัน ไม่ส่งเสียงรบกวนสมาธิของธิดาหมู่ตึกไร้รักเป็นเวลานาน พลันรู้สึกว่าภาพที่ดรุณีเฝ้าฝึกงานบ้าน เป็นภาพน่าชื่นชมชนิดหนึ่ง ประเสริฐกว่าดรุณีนั่งเสริมทรงองค์เอวอย่างน้อยสิบส่วน อานุภาพแห่งความรักสามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้เช่นนี้... แต่ในที่สุดดรุณีร่างใหญ่ก็อดส่งเสียงถามไม่ได้
“นายหญิงแน่ใจว่ามันจะกลับมา”
ธิดาหมู่ตึกไร้รักตอบทันทีเสียงของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น “เราแน่ใจ”
“ไฉนท่านแน่ใจปานนั้น”
“เพราะมันบอกเรา”
“ท่านเชื่อวาจามัน”
“เราไม่ได้เชื่อวาจามัน”
“เช่นนั้น.....?”
“เราเชื่อใจมัน”
“เชื่อใจมัน?”… ดรุณีร่างใหญ่ทวนคำเคลือบแคลง “ท่านสามารถหยั่งรู้ใจมัน ?”
“ไม่เพียงเรารู้ใจมัน มันก็รู้ใจเรา”
“ท่านทราบได้อย่างไร”
“เราทราบด้วยใจ...เรื่องราวบางประการสามารถรับรู้ด้วยจิต และความรู้สึกภายใน เรื่องเช่นนี้ไม่อาจอธิบายด้วยอักขระพยัญชนะให้ท่านเข้าใจได้ชัดเจน”
ดรุณีร่างใหญ่อึ้งไปเนิ่นนาน พลันรู้สึกว่านายหญิงน้อยของนางมิเพียงเติบใหญ่ ยังสมบูรณ์ทางความคิดแล้ว กระทั่งนางยังไม่อาจเทียบเคียง วูบนั้นพลันรู้สึกเงียบเหงาอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก นางยังไม่มีผู้ใดรู้ใจ...นางเองก็ยังไม่รู้ใจบุรุษคนใด หรือชีวิตที่ขาดความรักมีรสชาติเป็นเช่นนี้
ธิดาหมู่ตึกไร้รักราวกับจะรู้ใจคนของนาง ทางหนึ่งล้างถ้วยชามทางหนึ่งเอ่ยปากว่า
“ความรักไปมาไร้ร่องรอยไม่บอกไม่กล่าว คิดเสาะหาพาลกลับหลีกลี้ไล่ลมชมเงา คิดหลบหนีกลับยิ่งตามติดพัวพัน ท่านเองก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจไว้…มิเช่นนั้นถึงเวลามา เกรงว่าท่านอาจหัวใจแหลกสลายจนตายทั้งเป็น”
“นายหญิงน้อย หรือท่านไม่กลัวหัวใจแหลกสลายจนตายทั้งเป็น”
“เรากลัว...กลัวแทบตาย”
“เช่นนั้น.....”
“ไม่รับรู้ความทุกข์บ้างจะรับรู้ความสุขได้อย่างไร ความสมหวังผิดหวังทุกข์สุขเป็นของคู่กัน ท่านจะรับเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดได้อย่างไร....มีความมืดจึงรู้คุณค่าของแสงสว่าง ดังนั้นเรากลัว...แต่เพราะเรามีชีวิตจิตใจ... ต่อให้กลัวก็ต้องทำใจยอมรับมัน”
ราตรีกำลังมาเยือน
กระบี่รันทดล้างถ้วยชามทำหน้าที่ของตนไม่ขาดตกบกพร่อง ได้รับเสื้อผ้าชุดหนึ่งเปลี่ยนเพื่อเข้านอนในห้องเก็บฟืน หลังจากจัดการภารกิจส่วนตัวมันเตรียมเข้านอน ห้องเก็บฟืนไม่เลวร้ายเกินไปความจริงมันเป็นกระท่อมหลังเล็ก แยกห่างจากด้านหลังโรงเตี๊ยมหนึ่งระยะ คนสันโดษเช่นมันอยู่อย่างนี้ดีกว่าอยู่ในส่วนคนพลุกพล่านเสียอีก
ดึกแล้ว ดวงเดือนเคลื่อนคล้อยลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างและรอยแยกของไม้เสียดแทงเหน็บหนาว บนพื้นมีชุดที่นอนพร้อมผ้าห่ม มองออกไปนอกหน้าต่างยังสามารถเห็นคันเคียวเสี้ยวจันทร์ แขวนริบหรี่ประดับฟากฟ้าเหนือทิวไม้ดำทะมืน สูงต่ำไล่เรียงรายในปีกม่านของรัตติกาลคลี่ปกคลุม
มันหารู้ไม่ว่า คืนแรกของที่นี่ ไม่มีทางได้หลับสุขสบายโดยเด็ดขาด ความยุ่งยากมากหลายคล้ายรอคอยพัวพันอยู่ ราวเป็นตาข่ายสายไยแห่งโชคชะตากรรมซับซ้อน
เดือนยังไม่ดับลับลา ห้องเก็บฟืนของโรงเตี๊ยมไม่เลวเกินไปทางหนึ่งไม้มีรอยแยกให้สายลมเกเรแทรกเย้ยหยัน ทางหนึ่งมีหน้าต่างเปิดมองจันทร์กระจ่างฟ้า ปรากฏไม่เต็มดวงเป็นเพียงคันเคียวเกี่ยวฟ้าแขวนห้อยทอแสงสลัวเลือนราง ใจพลันหวนคิดถึงธิดาหมู่ตึกไร้รัก
กระบี่รันทดถอนใจ...เรื่องราวที่อาจารย์สั่งให้มากระทำยังมิบรรลุเป้าหมาย มิคาดว่าต้องมาล้างจานในโรงเตี๊ยม กระทั่งยังมาพบแรกรักอีกต่างหาก เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดคิดสุดคาดคำนวณ
มันตระเตรียมหลับตานอนหลับพักผ่อน ตรวจประตูว่าปิดเรียบร้อย ทว่าสายตาพลันเห็นใครบางคนปรากฏที่หน้าต่าง
ใบหน้าของธิดาหมู่ตึกไร้รัก
คิดถึงใบหน้านางลอยเด่นในห้วงความคิดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่คิดถึงจนใบหน้านางลอยเด่นชัดเจนนอกหน้าต่างอย่างไรก็ไม่รวดรัดกระจ่างแน่นอน
ตัวเย็นเฉียบทันที
ดวงหน้ายิ้มปลอบประโลมอบอุ่นใจเช่นนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว กรอบหน้าต่างยังคงเป็นกรอบหน้าต่าง แต่คันเคียวเสี้ยวจันทร์กลับกลายเป็นใบหน้าผุดผาดของนาง เช่นนี้มีใครรับได้... บุรุษหนุ่มย่อมรับไม่ได้เช่นกัน คล้ายร่างกายผนึกค้างชาแข็ง
ลมกระโชกวูบ ในหน้านอกหน้าต่างพลันดับหายไป เหลือเพียงม่านแห่งปีกรัตติกาล
บุรุษหนุ่มพลิกตัววูบ มือขวาหยิบกระบี่มือซ้ายกดลงพื้น..มีแรงส่งพาร่างพุ่งออกทางหน้าต่างราวสายฟ้า จะให้เชื่อว่าเป็นผีสางย่อมเป็นไปไม่ได้
จันทร์หลบเข้าเงาเมฆ เหลือเพียงสายลมลูบไล้และเงาไม้ร่ายระบำกลางสายลมในความมืด พลันพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทางขวาเป็นโรงเตี๊ยมทะมึน ทางซ้ายเป็นทิวไม้สูงต่ำไล่เรียงรายไหวเอนตามแรงลมแห่งราตรี ฟากฟ้าไกลหมู่เมฆลอยลิ่วตัดจันทร์สลัวลางราง ราวกับภูตผีปีศาจสามารถปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ สายลมยามดึกเย็นยะเยือกบาดลึกเข้าไปในหัวใจ
ผู้คนย่อมนิทราหลับใหล เสียงลมสะบัดพัดโบกกิ่งไม้ไหวเอนร่ายรำคร่ำครวญ ฟังดูเหมือนเสียงกระซิบกระซาบบางครั้งหวีดร้องแหลมสูง เงาไม้เคลื่อนไหวเป็นวิญญาณร้ายเริงร่า
กระบี่รันทดเคยฝึกวิชาอยู่กับอาจารย์ในป่าลึกมาตลอดหลายปีผ่านมา ไหนเลยจะหวั่นไหวเกรงกลัว ภูตผีตนใดคิดหลอกหลอนมันนับว่าเป็นภูตผีโง่งมคิดผิดแล้ว
ในเงาไม้ยังมีเงาร่างโฉบผ่าน
หางตาของกระบี่รันทดเห็นเงาดำพุ่งตัดผ่านเงาไม้ใต้เงาจันทร์ไปด้านข้าง
กระบี่รันทดพอเห็นพลันทุ่มเทเรี่ยวแรงวิ่งไล่ล่าตาม มิว่าจะเป็นใครก็ตาม ต่อให้เป็นภูตผีปีศาจมันก็ต้องไล่ตาม ยิ่งไม่ใช่ภูตผีปีศาจยิ่งต้องไล่ตาม
พอหลุดออกจากทิวไม้เป็นถนนสายแคบ พลันพบว่าตนเองกำลังอยู่กลางถนนของหมู่บ้าน อาคารที่อยู่ผู้คนสองฟากฝั่งดับไฟหลับนอนหมดสิ้น มีเพียงสายลมยามดึกพัดผ่านเป็นระยะ สายลมยามดึกเหน็บหนาว อาจมีเพียงกระบี่รันทดเท่านั้นที่อ้างว้างโดดเดี่ยวเดียวดาย
แสงไฟจากข้างทางไม่ดับสิ้นเสียเลยทีเดียว
ปีศาจสุราอย่างน้อยสองสามคนเดินโซเซผ่านไป ผ่านความมืดมน ผ่านสายลมหนาวเย็น ผ่านความอ้างว้าง เพียงสามารถเป็นปีศาจสุราอย่างน้อยความอ้างว้างเดียวดายก็คลายบรรเทาลงเกินครึ่ง
ไม่ใช่นาง....ไม่ใช่นางเด็ดขาด
ต่อให้มีคีมใหญ่บีบคั้นสมองจนปริแตกมันก็จะยืนยันเช่นนี้ วงหน้านอกหน้าต่างประกันว่ามิใช่ธิดาแห่งหมู่ตึกไร้รัก ลมยามดึกไม่เพียงหนาวเย็นจนกายสะท้าน กระทั่งใจยังสะท้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ด้านหลังห่างไปหลายสิบก้าว ประตูห้องร้านสุราถูกถีบออก คนผู้หนึ่งก็ถูกถีบออกมา ชายชราท่าทีแทบไม่ต่างจากดินโคลนทั้งเหลวทั้งปวกเปียกก้อนหนึ่ง ลงมากองนอนกลางถนน
“ปีศาจสุรายามราตรี ดึกจนป่านนี้ยังไม่ยอมกลับบ้าน ร้านปิดแล้ว” เสียงก่นด่าดังออกมาพร้อมกับประตูปิดดังโครม คนถูกถีบจนลงมากองกลางถนนอย่างไรไม่เบิกบานปลอดโปร่ง แต่ชายชราคนนี้กลับดูเบิกบานปลอดโปร่งอย่างยิ่ง มือทั้งสองยังคงโอบกอดไหสุราไม่คิดชีวิต
พอตั้งหลักได้พลันตะกายขึ้นมา ยกไหสุราขึ้นซดจนธารสุราหลั่งรินมุมปากไม่ขาดสาย ก่อนจะใช้มือปาดเช็ดปากหัวร่อเสียงดัง ๆ พลางกล่าว
“ร่ำสุราเมามายคลายทุกข์สู่สุขสันต์...ใต้เงาจันทร์ในสายลม ยังมีที่ใดประเสริฐกว่า”
พลันเหลือบมองเห็นผู้คนยืนจ้องมอง จึงพยักหน้าหัวร่อเสียงดังกล่าวว่า
“คืนนี้เจ้าดื่มสุราหรือยัง”
ชายชราผู้นี้ดูไปคล้ายไหสุราไหหนึ่ง ไหสุราที่มีหน้าที่เพียงสามารถบรรจุสุราเท่านั้นชีวิตที่เหลือนอกนั้นล้วนเวิ้งว้างว่างเปล่าหมดสิ้น
กระบี่รันทดส่ายหน้าบอก “ข้าไม่ดื่มสุรายามวิกาล”
“ฮา....ดูข้ามาเจอคนเคร่งครัดจริยธรรมมากเหลือแสนเข้าให้แล้ว น่าเสียดาย....ไม่ดื่มสุรายามวิกาลเจ้าไหนเลยรู้สึกถึงสุนทรียรสหวานซาบซ่านที่แท้จริงของสุรา พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความเมาอันยิ่งใหญ่”
“ข้าเพียงหาคน”
ชายชราเบิ่งตาขุ่นมัวดูกระบี่รันทดครู่หนึ่งก่อนยก ไหสุรายืดคอกระหน่ำซดไม่คิดชีวิต พักหนึ่งจึงวางไหสุราอย่างอย่างทะนุถนอม ให้แขนเสื้อคร่ำคราปาดมุมปากอีกครา พึมพำว่า
“เจ้าไม่ดื่มสุรายามวิกาลก็ดูโง่งมไปเจ็ดส่วนแล้ว ยังมาหาคนยามวิกาลอีก ห้าส่วนที่เหลือของเจ้านับว่าวิกลจริตเต็มที่ทั้งห้าส่วน คนทั้งโง่ทั้งวิกลจริตเช่นนี้น่าสนใจจริงๆ”
กระบี่รันทดพบว่าตัวเองเป็นคนโง่งมและวิกลจริต ที่กำลังสนทนากับคนเมา คนเมากับคนวิกลจริตบางครั้งห่างกันแค่เศษเสี้ยวองคุลี จึงได้แต่ส่ายหน้าหันหลังก้าวเดินออกไป มิคาดชายชราร้องตามหลังมาว่า
“เจ้าตามหานางใช่หรือไม่”
กระบี่รันทดสะดุ้งเฮือกทันที ฝีเท้าชะงักงัน หันกลับไปมอง คนผู้หนึ่งเมามายปางตายอยู่ในร้านสุรา ไฉนทราบว่ามันกำลังตามหาดรุณีนอกหน้าต่างใต้เงาจันทร์นางหนึ่ง วาจาของชายชราไม่เพียงชะงักฝีเท้าของกระบี่รันทด ยังรั้งหัวใจตกวูบลง
ลมราตรีผ่านกายพัดใจจนเย็นยะเยียบ
.