บทที่ 1 กระบี่รันทด
งานรืไรท์ครับ เสียดาย เขียนไว้นานแล้ว
หมู่ตึกไร้รัก ป้ายลงรัก ข้อความกล่าวถึงความรัก
รักคือทุกข์... มีรักมีทุกข์... ไร้รักไร้ทุกข์... ตัดรักตัดทุกข์...
ข้อความดังกล่าวเขียนอยู่บนแผ่นป้ายขัดเงาลงรักจนแวววาว แขวนไว้บนเสาเบื้องหน้าประตูทางเข้า ‘หมู่ตึกไร้รัก’ อันโออ่าสง่างาม
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ยืนเหม่อมองจนซึมเซา เวลาสายของวันอ้างว้างเงียบเหงา
หมู่ตึกไร้รัก ผู้คนอยู่ในหมู่ตึกสามารถไร้รักหรือไม่ ...คนไร้รักมีหัวใจหรือไม่...หรือไร้หัวใจ...คนเช่นไรสามารถไร้ใจ...
มันยืนอยู่เนิ่นนาน คล้ายยืนอยู่หลายชั่วยาม คล้ายยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน บางทีอาจยืนอยู่ตั้งแต่คืนวาน จนคล้ายยืนมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ใบหน้าท่าทางไม่ได้หล่อเหลาสะดุดตา และไม่ย่ำแย่จนสะดุดตาผู้คน จัดเป็นใบหน้าทางสายกลาง ไม่หล่อก็ไม่ใช่ หล่อก็ไม่เชิง คล้ายเป็นคนเรียบ ๆ ร้อย ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
กระบี่ของมันแขวนอยู่ระหว่างเอว ผ้าคาดเอวสีดำ เสื้อผ้าของมันสีดำ ราวเป็นส่วนที่ตกค้างหลงเหลือจากม่านแห่งรัตติกาล ดวงตาของมันความจริงควรสุกใสเจิดจ้าเยี่ยงจอมยุทธ์ทั่วไป ยามนี้กลับคล้ายมีหมอกบดบังเลือนรางเศร้าหมอง ดูไปคล้ายพอคลอดออกมา บิดามารดาล้มหายตายจาก ญาติพี่น้องหายสาบสูญทรัพย์สินมลายหมดสิ้น จึงสามารถมีสีหน้าท่าทางรันทดหดหู่ปางตาย
“หมู่ตึกไร้รัก…เป็นเพียงหมู่ตึก ไฉนสามารถไร้รัก ” ในที่สุดมันรำพันออกมา แฝงด้วยความเศร้าจนสุดบรรยาย เสียดแทงกัดกร่อนจิตใจผู้คนจนฟุ้งซ่านแทบแหลกสลาย เพียงข้างกายไม่มีผู้ใด
“เป็นคนจะต้องสามารถมีรัก มีรักเพื่อให้หัวใจมีทุกข์ หัวใจมีทุกข์เพื่อให้หัวใจไม่ต้องตายด้าน เช่นนั้นจึงสมควรมีชีวิต”
ในคำรำพันสุดท้าย ร่างของมันกระยานพุ่งขึ้นราวพลุไฟ ประกายกระบี่เจิดจ้าสายหนึ่งพวยพุ่งรวดเร็วซับซ้อน เพลงกระบี่ของมันรวดเร็วแต่ไม่สับสน รุนแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง ฉับไวแต่ไม่เร่งร้อน คมกระบี่ฝ่าอากาศฟังไปเหมือนเสียงคร่ำครวญหวนไห้ มายากระบี่แฝงด้วยพลังไร้สภาพแสนเศร้าโศกาอาดูรถึงสิบแปดชนิด ในเสี้ยวพริบตา
พอเท้าลงแตะพื้น กระบี่สอดเข้าฝัก ประกายกระบี่สลายวับ
ไม่เพียงประกายกระบี่สลายวับ
ป้ายลงรักข้อความไร้รัก แยกแยกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร่างพรูลงบนพื้น เรียงรายกันเป็นประโยคบนพื้นอ่านรอบตัวมันได้ข้อความหลายประโยค
มีรัก มากรัก หารัก
แต่ละข้อความล้วนตรงข้ามกับป้ายไร้รักทั้งสิ้น
บุรุษหนุ่มผู้นี้ลงมือใส่ป้ายไร้รัก แต่ท่าทีของมันคล้ายกระบี่เมื่อครู่ฟันใส่หัวใจของมันมิปาน เศษเสี้ยวหัวใจของมันคล้ายแตกปริแตกแหลกสลายเรียงรายอยู่บนพื้นตามไปด้วย
หัวใจแหลกสลายสามารถมีน้ำตา ดังนั้นบุรุษหนุ่มผู้นี้พลันหลั่งน้ำตาปานสายฝน
ลูกผู้ชายยินยอมหลั่งโลหิตมิยอมหลั่งน้ำตา ไฉนคนผู้นี้หลั่งน้ำตามิยอมหลั่งโลหิต
เนื่องเพราะมันมีฉายา ‘กระบี่รันทด’
ท้องฟ้าไร้เมฆ ฟ้าครามกว้างไกลสุดสายตา ฟ้าไร้ฝน ฟ้าไม่หลั่งหยาดฝน แต่คนหลั่งหยาดน้ำตา ดรุณีน้อยนางหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นสนโบราณไม่ไกลไปจากบริเวณนั้นสักเท่าไร นางไม่ได้หลั่งน้ำตา แต่ชมดูคนหลั่งน้ำตาอย่างปากอ้าตาค้าง นางมีเค้าหน้าท่าทางอย่างที่ดรุณีน้อยทั่วไปควรจะเป็น ไม่สวยงามเลิศเลอไม่สะดุดตาแต่สามารถสะดุดใจ
ดรุณีทั่วไปย่อมมีบางประการ สามารถสะดุดใจผู้คนตามวัยสดใสของพวกนาง ดังนั้นต้อให้ไม่แต่งเติมเสริมส่วน ก็งดงามเร้าใจตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ความจริงความบริสุทธิ์ไร้การแต่มแต้มก็สามารถเป็นความงดงามอีกชนิดหนึ่ง
นางรีรออยู่ครู่หนึ่งค่อยเดินมาก้ม ๆ เงย ๆ ดูเศษไม้ มองหน้ากระบี่รันทดสลับไปสลับมาอยู่เช่นนั้น
“ท่านมีนามใด” ในที่สุดนางพลันเงยหน้าหันมาเอ่ยถามขึ้น สายตาคมวาวตอกตรึงอยู่ใบหน้าอีกฝ่าย
“เราไม่มีนามใด…ท่านเรียกเราว่ากระบี่รันทด”
“กระบี่รันทด…เราว่าท่านเป็น 'กระบี่มือบอน' มากกว่า ทำลายป้ายเชิดชูเกียรติของสำนักไร้รัก แสดงว่าท่านจะช้าจะเร็วต้องกลายเป็นคนไร้รักแล้ว…หรือไม่ก็กลายเป็นคนมากรัก…แต่ดูท่าทางท่านจะเป็นคนไร้รักมากกว่า หรือบางทีท่านอาจไร้หัวใจ”
วาจาของนางราบเรียบ ใช้สายตาราวมองคนตายจับจ้องอยู่ใบหน้าอีกฝ่าย กระบี่มือบอน ยังคงหลั่งน้ำตาไปอีกครู่ใหญ่จนสาแก่ใจจึงเอ่ยถามขึ้นลอย ๆ
“ไฉนเราจะกลายเป็นคนไร้รัก”
“มีคนประเภทหนึ่งที่สามารถไร้รักเด็ดขาด”
“คนประเภทใด”
“คนตาย”
บุรุษหนุ่มนิ่งอึ้ง สายตาของมันจับจ้องอยู่บนท้องฟ้า คล้ายไม่กล้ามองหน้าดรุณีน้อย ความจริงมันไฉนเลยไม่กล้า ไม่กล้าย่อมไม่ใช่กลัว เพียงมันกำลังตกอยู่ในห้วงรันทด ถ้าสบตากับดรุณีน้อยอาจทำให้มันจิตใจเบิกบาน ความเพียรพยายามของมันเกรงว่าสูญเปล่าแล้ว เนิ่นนานมันค่อยกล่าวว่า
“เวลานี้เรายังไม่เป็นคนตาย”
ดรุณีน้อยชำเลืองมองด้วยหางตาแค่นเสียงเย็นชาบอกว่า
“เวลานี้ท่านยังไม่เป็นคนตาย แต่ประกันว่าชิดใกล้สนิทสนมกับความตาย เพียงเส้นใยบางเบาเท่านั้น..ท่านสมควรทราบ จู่ ๆ ไปทำลายป้ายคนบ้าน อื่นสุดท้ายเป็นเช่นไร”
“คนตายสามารถไร้รัก แต่คนตายไม่สามารถไร้การถูกรัก เช่นนั้นนับว่าตายไม่สูญเปล่า อย่าว่าแต่เหตุใดเราจึงจะตาย”
“ท่านทำลายป้ายไร้รัก ท่านต้องตายเพราะไร้รัก...หรือไม่ก็ตายเพราะมากรัก... เป็นอาถรรพ์ของหมู่ตึกไร้รัก”
กระบี่รันทดรับฟังจนขนลุกเกรียว ตายเพราะมากรักฟังดูน่าสยดสยองประหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุก ตายเพราะไร้รักฟังดูอ้างว้างเดียวดายสุดแสน สายลมกระโชกชักนำใบสนหล่นร่วงโปรยปราย มีแต่ใบสนที่ตายจึงปลิดปลิว มีแต่คนตายจึงร่วงหล่น กระบี่รันทดยังมิได้ตายยังไม่ร่วงหล่นลงหลุมศพ มันมิใช่ไม่สามารถตาย แต่ยังไม่อาจตาย
กระบี่รันทดเห็นอีกฝ่ายเงียบงันไปจึงหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
ไม่ตั้งใจบางครั้งร้ายกาจกว่าตั้งใจ เพราะไม่ตั้งใจท่านจึงไม่ทันตั้งตัว พอไม่ตั้งตัวและไม่ตั้งใจร่างกายและจิตใจจึงเปิดช่องว่างน่ากลัวชนิดหนึ่ง ช่องว่างเปิดเข้าสู่ส่วนลึกและละเอียดอ่อนที่สุดของจิตใจ สายตาของทั้งคู่ประสานกันกลางอากาศ ประกายไร้สภาพเจิดจ้าจนโลกทั้งสว่างไสว
บุรุษหนุ่มพลันรู้สึกถึงอานุภาพบางอย่างพุ่งทะลวงเข้ามาจากตาคู่สดใส สมองลั่นเปรี้ยะโลกทั้งโลกหยุดนิ่ง เท้าทั้งคู่กลายเป็นตะปูตอกตรึงแนบแน่น
สบตา... คำสั้น ๆ บางครั้งกระทำไม่ยากเย็น บางครั้งกระทำได้ยากลำบากเหลือแสน ดังนั้นสบตาจึงมีมนตร์ขลังทุกยุคทุกสมัย บางครั้งสบตาอาจสามารถสร้างโอกาส ดลบันดาลให้เกิดเรื่องราวพิเศษสุด ดวงตาของดรุณีน้อยเปิดเผยปมเด่นความน่ารักความ งดงามตามธรรมชาติของนางออกมาจนหมดสิ้นจนดูไปคล้ายไข่มุกขัดถูจนเปล่งปลั่งทอ ประกายจับตาจับใจผู้คน
กระบี่รันทดพลันเซตึง ๆ ถอยหลังไปสามสี่ก้าว ลมปราณปั่นป่วนพลุ่งพล่านแทบปะทุ แก้วตาหดเล็กลงเป็นรูปหัวใจสีชมพูวูบวาบสั่นไหวไปมาครู่หนึ่ง ราวต้องมนตร์มายา ร่างของมันไม่ได้ทรุดลง แต่หัวใจของมันหลุดร่วงลงไป ร่วงคล้ายใบสนต้องลม
“โอย………”
เสียงแผดร้องร่างโอนเอนราวสนต้องลมแทบล้มได้ทุกขณะจิต พริบตานั้นความในใจของทั้งคู่ต่างเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น ความรักบางครั้งรวดเร็วยิ่งกว่าเพลงกระบี่ของมือกระบี่อันดับหนึ่ง บางคู่พบพานกับนานนับสิบปี ต้นรักไม่งอกเงยเติบโต บางคู่เพียงสบตาครั้งแรกช่อรักพลันเบ่งบานสว่างไหวสวยงามในพริบตา
หรือความรักไม่จำเป็นต้องผ่านการบ่มฟักเนิ่นนาน บางคนจึงสามารถมีแรกรักและแรกพบ!
บางคนแรกรักเพียงได้ยินซื่อแซ่ ยังไม่พบพานด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเอง ประตูบานใหญ่บริเวณกำแพงหมู่ตึกไร้รักเปิดออก
กระบี่รันทดคาดว่าจะเป็นผู้คนถาโถมเข้ามา พร้อมกับห่าประกายอาวุธนานาชนิด เสียงตวาดร่ำร้องกราดเกรี้ยวลงมือเข่นฆ่า แต่สภาพการณ์กลับผิดแผกสิ้นเชิง
ที่ออกมากลับเป็นทารกทาริกาเจ็ดแปดคน เดินเรียงรายมาอย่างสำรวมเรียบร้อย ทั้งหมดพากันก้มลงเก็บเก็บเศษป้ายไร้รักอย่างทะนุถนอมจนหมดสิ้น ก่อนค่อยๆ พากันเดินกลับเข้าไปในหมู่ตึกอีกครั้ง
กระบี่รันทดตะลึงลานไปทันที ส่วนดรุณีน้อยยิ้มแย้มแล้ว
“โอย...”
บุรุษหนุ่มหลบรอยยิ้มไม่ทัน ร้องออกมาคำหนึ่ง โลหิตประดังขึ้นมาแทบกระอัก ข่มใจกล้ำกลืนฝืนทนอย่างลำบากยากเย็น ดรุณีน้อยเดินประสานมือชดช้อยเข้ามาใกล้ ยิ้มแย้มงดงาม จับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาคมวาวอบอุ่นนุ่มนวล
คนที่ถูกจ้องมองเช่นนี้ยังสามารถทนทานได้... คล้ายเป็นคนไปตายแล้วเพราะรอยยิ้ม
ดรุณีน้อยเอื้อมมือจับแขนเสื้อมันเบา ๆ ร่างสูงเซซวนลมปราณติดขัด ดรุณีน้อยคว้าแขนมันไว้อย่างไม่ตั้งใจ
กระบี่รันทดราวเป็นคนตายจริงๆ? คนตายแน่ที่นิ่งไม่ไหวติง ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลพลัดพรากจากลาร่วงหล่นลงไปในหุบเหวมืดดำอันเป็นผลมาจากลมปราณรันทดแปรปรวนมากเกินไป
ลมหนาวพัดผ่าน นกกาเรียงรายโบยบินตัดฟากฟ้าครามกว้างไกล เบื้องหน้าคลื่นลมครวญครางกระซิบฝันชั่วนาตาปี เบื้องหลังเป็นทิวไม้เขียวสูงต่ำไล่เรียงรายไหวเอนพลิ้วไหวคร่ำครวญท่วงทำนองมโหรีธรรมชาติขับขาน บุรุษหนุ่มยืนหยัดสองเท้ายืนอยู่บนหาดทรายขาวสะอาดตา อ้างว้างเดียวดายฟังเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น มองทะเลกว้างฟ้าไกล มือขวากุมด้ามกระบี่รันทดแนบแน่น ราวกลัวกระบี่จะโบยบิน กระบี่คู่ใจของมันจะเปล่งอานุภาพสุดยอดก็ต่อเมื่อจิตใจรันทดหดหู่ถึงขีดสุดเท่านั้น ยิ่งรันทดโศกเศร้ากระบี่ยิ่งร้ายกาจสุดแสน ยิ่งจิตใจเบิกบานพลังกระบี่กลับหายลดถดถอย
เสียใจหนึ่งส่วนพลังเพิ่มพูนหนึ่งส่วน ดีใจหนึ่งส่วนพลังลดทอนหนึ่งส่วน รันทดสุดยอดพลังฝีมือสุดยอด เบิกบานแจ่มใสสุดยอดตายทั้งเป็นสถานเดียว….
นับตั้งแต่เข้าสู่ยุทธภพ กระบี่รันทดดิ้นรนดั้นด้นเสาะหาเรื่องรันทดใส่ตัว สถานที่ใดมีเรื่องรันทดมันต้องเสาะหาเพื่อเพิ่มพูนวิทยายุทธ์ เป็นต้นว่า งานศพ สุสาน ที่ใดมีเสียงคร่ำครวญหวนไห้จิตใจยิ่งคึกคักทวีคูณ พลังลมปราณเปล่งอานุภาพสูงสุด เพลงกระบี่ "เก้ารันทด" ของมันจัดว่าเป็นสุดยอดหลักวิชาเร้นลับชนิดหนึ่ง คนฝึกวิชาแนวนี้มีน้อยกว่าน้อยแล้ว
.
กระบี่รันทด .........1
งานรืไรท์ครับ เสียดาย เขียนไว้นานแล้ว
หมู่ตึกไร้รัก ป้ายลงรัก ข้อความกล่าวถึงความรัก
รักคือทุกข์... มีรักมีทุกข์... ไร้รักไร้ทุกข์... ตัดรักตัดทุกข์...
ข้อความดังกล่าวเขียนอยู่บนแผ่นป้ายขัดเงาลงรักจนแวววาว แขวนไว้บนเสาเบื้องหน้าประตูทางเข้า ‘หมู่ตึกไร้รัก’ อันโออ่าสง่างาม
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ยืนเหม่อมองจนซึมเซา เวลาสายของวันอ้างว้างเงียบเหงา
หมู่ตึกไร้รัก ผู้คนอยู่ในหมู่ตึกสามารถไร้รักหรือไม่ ...คนไร้รักมีหัวใจหรือไม่...หรือไร้หัวใจ...คนเช่นไรสามารถไร้ใจ...
มันยืนอยู่เนิ่นนาน คล้ายยืนอยู่หลายชั่วยาม คล้ายยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน บางทีอาจยืนอยู่ตั้งแต่คืนวาน จนคล้ายยืนมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ใบหน้าท่าทางไม่ได้หล่อเหลาสะดุดตา และไม่ย่ำแย่จนสะดุดตาผู้คน จัดเป็นใบหน้าทางสายกลาง ไม่หล่อก็ไม่ใช่ หล่อก็ไม่เชิง คล้ายเป็นคนเรียบ ๆ ร้อย ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
กระบี่ของมันแขวนอยู่ระหว่างเอว ผ้าคาดเอวสีดำ เสื้อผ้าของมันสีดำ ราวเป็นส่วนที่ตกค้างหลงเหลือจากม่านแห่งรัตติกาล ดวงตาของมันความจริงควรสุกใสเจิดจ้าเยี่ยงจอมยุทธ์ทั่วไป ยามนี้กลับคล้ายมีหมอกบดบังเลือนรางเศร้าหมอง ดูไปคล้ายพอคลอดออกมา บิดามารดาล้มหายตายจาก ญาติพี่น้องหายสาบสูญทรัพย์สินมลายหมดสิ้น จึงสามารถมีสีหน้าท่าทางรันทดหดหู่ปางตาย
“หมู่ตึกไร้รัก…เป็นเพียงหมู่ตึก ไฉนสามารถไร้รัก ” ในที่สุดมันรำพันออกมา แฝงด้วยความเศร้าจนสุดบรรยาย เสียดแทงกัดกร่อนจิตใจผู้คนจนฟุ้งซ่านแทบแหลกสลาย เพียงข้างกายไม่มีผู้ใด
“เป็นคนจะต้องสามารถมีรัก มีรักเพื่อให้หัวใจมีทุกข์ หัวใจมีทุกข์เพื่อให้หัวใจไม่ต้องตายด้าน เช่นนั้นจึงสมควรมีชีวิต”
ในคำรำพันสุดท้าย ร่างของมันกระยานพุ่งขึ้นราวพลุไฟ ประกายกระบี่เจิดจ้าสายหนึ่งพวยพุ่งรวดเร็วซับซ้อน เพลงกระบี่ของมันรวดเร็วแต่ไม่สับสน รุนแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง ฉับไวแต่ไม่เร่งร้อน คมกระบี่ฝ่าอากาศฟังไปเหมือนเสียงคร่ำครวญหวนไห้ มายากระบี่แฝงด้วยพลังไร้สภาพแสนเศร้าโศกาอาดูรถึงสิบแปดชนิด ในเสี้ยวพริบตา
พอเท้าลงแตะพื้น กระบี่สอดเข้าฝัก ประกายกระบี่สลายวับ
ไม่เพียงประกายกระบี่สลายวับ
ป้ายลงรักข้อความไร้รัก แยกแยกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร่างพรูลงบนพื้น เรียงรายกันเป็นประโยคบนพื้นอ่านรอบตัวมันได้ข้อความหลายประโยค
มีรัก มากรัก หารัก
แต่ละข้อความล้วนตรงข้ามกับป้ายไร้รักทั้งสิ้น
บุรุษหนุ่มผู้นี้ลงมือใส่ป้ายไร้รัก แต่ท่าทีของมันคล้ายกระบี่เมื่อครู่ฟันใส่หัวใจของมันมิปาน เศษเสี้ยวหัวใจของมันคล้ายแตกปริแตกแหลกสลายเรียงรายอยู่บนพื้นตามไปด้วย
หัวใจแหลกสลายสามารถมีน้ำตา ดังนั้นบุรุษหนุ่มผู้นี้พลันหลั่งน้ำตาปานสายฝน
ลูกผู้ชายยินยอมหลั่งโลหิตมิยอมหลั่งน้ำตา ไฉนคนผู้นี้หลั่งน้ำตามิยอมหลั่งโลหิต
เนื่องเพราะมันมีฉายา ‘กระบี่รันทด’
ท้องฟ้าไร้เมฆ ฟ้าครามกว้างไกลสุดสายตา ฟ้าไร้ฝน ฟ้าไม่หลั่งหยาดฝน แต่คนหลั่งหยาดน้ำตา ดรุณีน้อยนางหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นสนโบราณไม่ไกลไปจากบริเวณนั้นสักเท่าไร นางไม่ได้หลั่งน้ำตา แต่ชมดูคนหลั่งน้ำตาอย่างปากอ้าตาค้าง นางมีเค้าหน้าท่าทางอย่างที่ดรุณีน้อยทั่วไปควรจะเป็น ไม่สวยงามเลิศเลอไม่สะดุดตาแต่สามารถสะดุดใจ
ดรุณีทั่วไปย่อมมีบางประการ สามารถสะดุดใจผู้คนตามวัยสดใสของพวกนาง ดังนั้นต้อให้ไม่แต่งเติมเสริมส่วน ก็งดงามเร้าใจตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ความจริงความบริสุทธิ์ไร้การแต่มแต้มก็สามารถเป็นความงดงามอีกชนิดหนึ่ง
นางรีรออยู่ครู่หนึ่งค่อยเดินมาก้ม ๆ เงย ๆ ดูเศษไม้ มองหน้ากระบี่รันทดสลับไปสลับมาอยู่เช่นนั้น
“ท่านมีนามใด” ในที่สุดนางพลันเงยหน้าหันมาเอ่ยถามขึ้น สายตาคมวาวตอกตรึงอยู่ใบหน้าอีกฝ่าย
“เราไม่มีนามใด…ท่านเรียกเราว่ากระบี่รันทด”
“กระบี่รันทด…เราว่าท่านเป็น 'กระบี่มือบอน' มากกว่า ทำลายป้ายเชิดชูเกียรติของสำนักไร้รัก แสดงว่าท่านจะช้าจะเร็วต้องกลายเป็นคนไร้รักแล้ว…หรือไม่ก็กลายเป็นคนมากรัก…แต่ดูท่าทางท่านจะเป็นคนไร้รักมากกว่า หรือบางทีท่านอาจไร้หัวใจ”
วาจาของนางราบเรียบ ใช้สายตาราวมองคนตายจับจ้องอยู่ใบหน้าอีกฝ่าย กระบี่มือบอน ยังคงหลั่งน้ำตาไปอีกครู่ใหญ่จนสาแก่ใจจึงเอ่ยถามขึ้นลอย ๆ
“ไฉนเราจะกลายเป็นคนไร้รัก”
“มีคนประเภทหนึ่งที่สามารถไร้รักเด็ดขาด”
“คนประเภทใด”
“คนตาย”
บุรุษหนุ่มนิ่งอึ้ง สายตาของมันจับจ้องอยู่บนท้องฟ้า คล้ายไม่กล้ามองหน้าดรุณีน้อย ความจริงมันไฉนเลยไม่กล้า ไม่กล้าย่อมไม่ใช่กลัว เพียงมันกำลังตกอยู่ในห้วงรันทด ถ้าสบตากับดรุณีน้อยอาจทำให้มันจิตใจเบิกบาน ความเพียรพยายามของมันเกรงว่าสูญเปล่าแล้ว เนิ่นนานมันค่อยกล่าวว่า
“เวลานี้เรายังไม่เป็นคนตาย”
ดรุณีน้อยชำเลืองมองด้วยหางตาแค่นเสียงเย็นชาบอกว่า
“เวลานี้ท่านยังไม่เป็นคนตาย แต่ประกันว่าชิดใกล้สนิทสนมกับความตาย เพียงเส้นใยบางเบาเท่านั้น..ท่านสมควรทราบ จู่ ๆ ไปทำลายป้ายคนบ้าน อื่นสุดท้ายเป็นเช่นไร”
“คนตายสามารถไร้รัก แต่คนตายไม่สามารถไร้การถูกรัก เช่นนั้นนับว่าตายไม่สูญเปล่า อย่าว่าแต่เหตุใดเราจึงจะตาย”
“ท่านทำลายป้ายไร้รัก ท่านต้องตายเพราะไร้รัก...หรือไม่ก็ตายเพราะมากรัก... เป็นอาถรรพ์ของหมู่ตึกไร้รัก”
กระบี่รันทดรับฟังจนขนลุกเกรียว ตายเพราะมากรักฟังดูน่าสยดสยองประหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุก ตายเพราะไร้รักฟังดูอ้างว้างเดียวดายสุดแสน สายลมกระโชกชักนำใบสนหล่นร่วงโปรยปราย มีแต่ใบสนที่ตายจึงปลิดปลิว มีแต่คนตายจึงร่วงหล่น กระบี่รันทดยังมิได้ตายยังไม่ร่วงหล่นลงหลุมศพ มันมิใช่ไม่สามารถตาย แต่ยังไม่อาจตาย
กระบี่รันทดเห็นอีกฝ่ายเงียบงันไปจึงหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
ไม่ตั้งใจบางครั้งร้ายกาจกว่าตั้งใจ เพราะไม่ตั้งใจท่านจึงไม่ทันตั้งตัว พอไม่ตั้งตัวและไม่ตั้งใจร่างกายและจิตใจจึงเปิดช่องว่างน่ากลัวชนิดหนึ่ง ช่องว่างเปิดเข้าสู่ส่วนลึกและละเอียดอ่อนที่สุดของจิตใจ สายตาของทั้งคู่ประสานกันกลางอากาศ ประกายไร้สภาพเจิดจ้าจนโลกทั้งสว่างไสว
บุรุษหนุ่มพลันรู้สึกถึงอานุภาพบางอย่างพุ่งทะลวงเข้ามาจากตาคู่สดใส สมองลั่นเปรี้ยะโลกทั้งโลกหยุดนิ่ง เท้าทั้งคู่กลายเป็นตะปูตอกตรึงแนบแน่น
สบตา... คำสั้น ๆ บางครั้งกระทำไม่ยากเย็น บางครั้งกระทำได้ยากลำบากเหลือแสน ดังนั้นสบตาจึงมีมนตร์ขลังทุกยุคทุกสมัย บางครั้งสบตาอาจสามารถสร้างโอกาส ดลบันดาลให้เกิดเรื่องราวพิเศษสุด ดวงตาของดรุณีน้อยเปิดเผยปมเด่นความน่ารักความ งดงามตามธรรมชาติของนางออกมาจนหมดสิ้นจนดูไปคล้ายไข่มุกขัดถูจนเปล่งปลั่งทอ ประกายจับตาจับใจผู้คน
กระบี่รันทดพลันเซตึง ๆ ถอยหลังไปสามสี่ก้าว ลมปราณปั่นป่วนพลุ่งพล่านแทบปะทุ แก้วตาหดเล็กลงเป็นรูปหัวใจสีชมพูวูบวาบสั่นไหวไปมาครู่หนึ่ง ราวต้องมนตร์มายา ร่างของมันไม่ได้ทรุดลง แต่หัวใจของมันหลุดร่วงลงไป ร่วงคล้ายใบสนต้องลม
“โอย………”
เสียงแผดร้องร่างโอนเอนราวสนต้องลมแทบล้มได้ทุกขณะจิต พริบตานั้นความในใจของทั้งคู่ต่างเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น ความรักบางครั้งรวดเร็วยิ่งกว่าเพลงกระบี่ของมือกระบี่อันดับหนึ่ง บางคู่พบพานกับนานนับสิบปี ต้นรักไม่งอกเงยเติบโต บางคู่เพียงสบตาครั้งแรกช่อรักพลันเบ่งบานสว่างไหวสวยงามในพริบตา
หรือความรักไม่จำเป็นต้องผ่านการบ่มฟักเนิ่นนาน บางคนจึงสามารถมีแรกรักและแรกพบ!
บางคนแรกรักเพียงได้ยินซื่อแซ่ ยังไม่พบพานด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเอง ประตูบานใหญ่บริเวณกำแพงหมู่ตึกไร้รักเปิดออก
กระบี่รันทดคาดว่าจะเป็นผู้คนถาโถมเข้ามา พร้อมกับห่าประกายอาวุธนานาชนิด เสียงตวาดร่ำร้องกราดเกรี้ยวลงมือเข่นฆ่า แต่สภาพการณ์กลับผิดแผกสิ้นเชิง
ที่ออกมากลับเป็นทารกทาริกาเจ็ดแปดคน เดินเรียงรายมาอย่างสำรวมเรียบร้อย ทั้งหมดพากันก้มลงเก็บเก็บเศษป้ายไร้รักอย่างทะนุถนอมจนหมดสิ้น ก่อนค่อยๆ พากันเดินกลับเข้าไปในหมู่ตึกอีกครั้ง
กระบี่รันทดตะลึงลานไปทันที ส่วนดรุณีน้อยยิ้มแย้มแล้ว
“โอย...”
บุรุษหนุ่มหลบรอยยิ้มไม่ทัน ร้องออกมาคำหนึ่ง โลหิตประดังขึ้นมาแทบกระอัก ข่มใจกล้ำกลืนฝืนทนอย่างลำบากยากเย็น ดรุณีน้อยเดินประสานมือชดช้อยเข้ามาใกล้ ยิ้มแย้มงดงาม จับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาคมวาวอบอุ่นนุ่มนวล
คนที่ถูกจ้องมองเช่นนี้ยังสามารถทนทานได้... คล้ายเป็นคนไปตายแล้วเพราะรอยยิ้ม
ดรุณีน้อยเอื้อมมือจับแขนเสื้อมันเบา ๆ ร่างสูงเซซวนลมปราณติดขัด ดรุณีน้อยคว้าแขนมันไว้อย่างไม่ตั้งใจ
กระบี่รันทดราวเป็นคนตายจริงๆ? คนตายแน่ที่นิ่งไม่ไหวติง ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลพลัดพรากจากลาร่วงหล่นลงไปในหุบเหวมืดดำอันเป็นผลมาจากลมปราณรันทดแปรปรวนมากเกินไป
ลมหนาวพัดผ่าน นกกาเรียงรายโบยบินตัดฟากฟ้าครามกว้างไกล เบื้องหน้าคลื่นลมครวญครางกระซิบฝันชั่วนาตาปี เบื้องหลังเป็นทิวไม้เขียวสูงต่ำไล่เรียงรายไหวเอนพลิ้วไหวคร่ำครวญท่วงทำนองมโหรีธรรมชาติขับขาน บุรุษหนุ่มยืนหยัดสองเท้ายืนอยู่บนหาดทรายขาวสะอาดตา อ้างว้างเดียวดายฟังเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น มองทะเลกว้างฟ้าไกล มือขวากุมด้ามกระบี่รันทดแนบแน่น ราวกลัวกระบี่จะโบยบิน กระบี่คู่ใจของมันจะเปล่งอานุภาพสุดยอดก็ต่อเมื่อจิตใจรันทดหดหู่ถึงขีดสุดเท่านั้น ยิ่งรันทดโศกเศร้ากระบี่ยิ่งร้ายกาจสุดแสน ยิ่งจิตใจเบิกบานพลังกระบี่กลับหายลดถดถอย
เสียใจหนึ่งส่วนพลังเพิ่มพูนหนึ่งส่วน ดีใจหนึ่งส่วนพลังลดทอนหนึ่งส่วน รันทดสุดยอดพลังฝีมือสุดยอด เบิกบานแจ่มใสสุดยอดตายทั้งเป็นสถานเดียว….
นับตั้งแต่เข้าสู่ยุทธภพ กระบี่รันทดดิ้นรนดั้นด้นเสาะหาเรื่องรันทดใส่ตัว สถานที่ใดมีเรื่องรันทดมันต้องเสาะหาเพื่อเพิ่มพูนวิทยายุทธ์ เป็นต้นว่า งานศพ สุสาน ที่ใดมีเสียงคร่ำครวญหวนไห้จิตใจยิ่งคึกคักทวีคูณ พลังลมปราณเปล่งอานุภาพสูงสุด เพลงกระบี่ "เก้ารันทด" ของมันจัดว่าเป็นสุดยอดหลักวิชาเร้นลับชนิดหนึ่ง คนฝึกวิชาแนวนี้มีน้อยกว่าน้อยแล้ว
.