ความเดินตอนที่แล้ว
กระบี่รันทด โดนดรุณีน้อยนางหนึ่ง ล้วงกระเป๋าสูญเสียเงินไปหมดสิ้น
จะทำอย่างไรต่อไป
บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37667276
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/37674255
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/37682542
บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/37710202
บทที่ 5
https://ppantip.com/topic/37729207
“ท้องช้างกับขอบประตูล้วนสามารถลอดได้ มีที่ใดต่างกัน”
เป็นวาจาผีสางจริงๆ ทวนค้ำฟ้ารับฟังจนปากอ้าตาค้างหมดปัญญาโต้เถียง
............
กระบี่แสนหล่อมองหน้าทวนค้ำฟ้า ซึ่งตอนนี้คล้ายผอมลงไปอีกสามส่วน ถอนใจกล่าวบ้าง
“ทวนค้ำฟ้า ท่านนับว่ามีวาสนาสุดแสนที่พบพานแม่นางโรงเตี๊ยมทั้งเค็มทั้งขม....เกรงใจจริงๆ”
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมเก็บตั๋วแลกเงินเข้าอกเสื้อ หัวร่อกล่าวว่า “ถูกต้อง คนที่พบพานเราล้วนมีวาสนาต้องกัน ควรปลาบปลื้มยินดี ดังนั้นเราเลี้ยงสุราพวกท่านสักหลายจอกเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีอันดีงาม”
ทั้งกระบี่แสนหล่อและทวนค้ำฟ้าสั่นศีรษะไม่คิดชีวิต กับสตรีทั้งขมทั้งเค็มนางนี้ ภายภาคหน้าพบพานสมควรเผ่นหนีให้ไกลแสนไกล นางคล้ายนึกถึงกระบี่รันทดได้ พลันหันไปมอง เอ่ยถามถามด้วยเสียงนุ่มนวล
“ท่านคิดทำประการใด”
กระบี่รันทดเหม่อมองไปไกลแสนไกลครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวผิวทะเลไร้คลื่นลม
“เราไม่คิดทำประการใด เพียงคิดล้างถ้วยล้างชามล้างจาน”
หลายคนพากันส่งเสียงฮือฮาทันที ยอดมือกระบี่ลดตัวมาล้างจานเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ภาพพจน์เช่นนี้คล้ายไม่เคยมีมาก่อนในวงการ
มือกระบี่มีหลายแบบ บางคนเงียบขรึมสุขุม พูดสามคำชักกระบี่สามหนฆ่าคนสามคน บางคนร่าเริงเบิกบาน พูดสามคำสุราสามจอกกรอกแห้ง บางคนรุ่มรวยสำอางเที่ยวเสพย์สุขทุกข์สถานมวลหมู่มนุษย์จนสุดสิ้น บางคนบุคลิกสูงส่งดุจเทพเจ้าราวกลายเป็นเซียนเทพเทวา ไหนเลยเคยมีมือกระบี่นั่งล้างจานปัดกวาดกวาดซักล้างถูพื้น
“เมื่อข้าไม่มีปัญญาจ่ายเงินค่าอาหารก็ต้องล้างจาน นี่เป็นกฎประเพณีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาช้านาน หรือพวกท่านไม่ทราบ”
ทวนค้ำฟ้าหัวร่อก้องทันที หัวร่อพลางพูดพลางว่า “เราคิดว่าเราวันนี้เราเป็นคนโชคร้ายที่สุดแล้ว ความจริงยังมีคนเคราะห์ร้ายที่โชคร้ายกว่าเรา จอมยุทธ์ล้างจาน ฮา...ฮา....ฮา และ ฮา”
บางทีนี่อาจเป็นธรรมชาติของมนุษยชาติประการหนึ่ง ตัวเองโชคร้ายพอพบพานคนโชคร้าย ความโชคร้ายที่มีคล้ายบรรเทาเบาบาง ยิ่งพบพานคนโชคร้ายกว่ามากเท่าไร โชคร้ายที่มียิ่งบรรเทาเบาบางจนแทบกลายเป็นโชคลาภวาสนา
กระบี่รันทดมองหน้ามันถามเสียงหนัก ๆ ว่า
“ล้างจานมีที่ใดไม่ดี”
ครานี้ทวนค้ำฟ้ากลับไม่ทราบว่าจะตอบประการใด มันเพียงนึกการล้างจานล้างชามล้วนดูอับอายขายหน้าเสียเกียรติยศ แต่กลับมิทราบว่าจะตอบเหตุผลเช่นไร
ว่าที่จอมล้างจานกล่าวต่อไป
“ยามท่านเป็นทารก บิดามารดาท่านหุงหาอาหารปัดกวาดบ้านช่องล้างถ้วยล้างชาม นั่นน่าอับอายขายหน้าหรือไม่...ต่ำทรามหรือไม่...ร้านอาหารไม่มีคนล้างถ้วยชามท่านยังสามารถมีถ้วยชามดื่มกิน…คนเรากระทำเรื่องราวใด ๆ ไฉนต้องอับอาย ถ้าหากเรื่องราวนั้นไม่ขัดต่อศีลธรรมและมโนธรรมของตนเอง....ดังนั้นไฉนจอมยุทธ์จะล้างชามไม่ได้..”
“อา...”
เสียงผู้คนในร้านร้องสับสนทันที
วาจาของกระบี่รันทดไม่อาจนับว่าเป็นวาจาผีสางเด็ดขาด มิหนำซ้ำยังเปี่ยมเหตุผลสุดแสน
มันยังคงกล่าวต่อไปว่า
“พวกท่านคิดหรือว่าวีรบุรุษวีรสตรี ก่อเกิดจากประกายอาวุธเลือดเนื้อความตายเท่านั้น กับเราวีรบุรุษวีรสตรีล้วนสามารถก่อเกิดได้ทุกสถานการณ์ ท่านเหล่านั้นที่ล้างถ้วยชามในบ้านเช้าค่ำคืนวันหมุนเปลี่ยนเลี้ยงดูพวกท่านเติบใหญ่ ยังดูยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษจอมปลอมในโลกมากมายหลายเท่า”
“อา.....”
เสียงผู้คนร้องสับสนอีกครั้ง
คนผู้นี้ไม่เพียงในมือมีกระบี่ ในใจยังมีกระบี่
กระบี่ทิ่มเพียงสามารถแทงร่างกายเป็นโพรงโลหิต วาจาทิ่มแทงจิตใจสั่นสะท้านวิญญาณแตกสลาย พริบตานั้นทุกคนพลันคล้ายมองเห็นบ้านหลังน้อยกลางทิวเขาใกล้แมกไม้สายธารสายลมแสงแดด ครอบครัวอบอุ่นสงบสุข ทารกอ่อนวัยนอนพริ้มตาหลับน่าชังในเบาะน้อย ภรรยานั่งปักชุนปะเสื้อผ้า ฝ่ายสามีถูบ้านล้างชามขยันขันแข็งไม่ร่ำรวยแต่ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเหลือทน
ภาพเช่นนี้ไหนเลยมีเรื่องราวน่าอับอาย
โรครันทดคล้ายแพร่ระบาด คนผู้หนึ่งร่ำร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อา...เราเข้าใจแล้ว...เราเข้าใจแล้ว ภรรยาเราจิกหัวเราใช้เราให้เรากวาดบ้านล้างถ้วยชามทุกวัน เรายังคิดว่านางหยามหมิ่นเรา ที่แท้นางต้องการให้เราเป็นวีรบุรุษในห้องครัว......”
คนผู้นี้กล่าวยังไม่ทันจบ ความตื้นตันประดังจนไม่อาจกล่าววาจาน้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกประดังขึ้นมาจนน้ำตาเริ่มหลังไหล
“อา...!”
เสียงร่ำร้องสับสนอีกครั้ง คนอีกผู้หนึ่งพลันลุกขึ้นวางเงินลงบนโต๊ะกล่าวด้วยสีหน้ารันทดซาบซึ้ง
“อา...เราจะกลับบ้าน....เราจากบิดามารดามาเนิ่นนานแล้ว ควรที่จะกลับไปล้างถ้วยล้างชามปรนนิบัติพวกท่าน ที่ผ่านมาเราละเลยลืมเลือนไป เราจะกลับไปล้างจานให้ท่านมารดา”
ทุกคนพลันคิดถึงบ้านขึ้นมา
โลดแล่นในดินแดนเวิ้งว้างทั้งทุกข์ทั้งเศร้าหัวร่อหลั่งน้ำตา ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนลืมเลือนบ้าน จวบจนครุ่นคิดได้จึงมีเวลากลับบ้านบางทีก็อาจสายเกินไปแล้ว
กลับบ้านล้างถ้วยล้างจาน ปัดกวาดบ้านถูบ้าน เป็นภาพงดงามพิสดาร
วูบนั้นทุกคนคล้ายเห็นภาพจอมยุทธ์เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าผู้หนึ่งเดินทางกลับบ้าน บ้านที่จากมาเนิ่นนานจนลืมเลือน เลี้ยวผ่านทิวไม้ข้างหน้าก็จะเป็นลานดินกว้างใหญ่ที่เคยวิ่งโลดแล่นตอนเป็นเด็ก ธารน้ำที่เคยแหวกว่ายยิ่งใกล้ความคิดถึงยิ่งรุนแรงจนแทบวิ่งปราดไป บิดามารดาพี่น้องคงตั้งหน้ารอคอยยิ้มแย้มทักทาย พอพ้นทิวไม้ก็กลับถึงบ้านแล้ว
บ้านที่รกร้างไร้ผู้คน ไม่มีจานชามให้ล้างมีเพียงหยากไย่รุงรังเก่าแก่และกลิ่นไอแห่งความตายสูญเสียตลอดกาล
“อา...!”
หลายคนร้องขึ้นหลังจากไม่ได้ร้องเช่นนี้มาสักพัก
“เราจะกลับบ้านไปล้างจานแล้ว”
“ข้าคิดถึงไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วผืนนั้นที่เคยฝันหนุนนอน”
“อา...”
ผู้คนร้องสับสนพากันวางเงินบนโต๊ะ บางคนถือโอกาสชักดาบดังเช้งสดใสคราหนึ่งก่อนออกจากโรงเตี๊ยมไปจนแทบหมดสิ้น
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมส่ายหน้าพึมพำเลื่อนลอย
“ท่านคิดล้างจานเราไม่ว่า แต่ท่านกล่าววาจา จนลูกค้าเราหนีหาย เช่นนี้ท่านต้องชดใช้”
“เท่าใด”
“ท่านล้างจานปัดกวาดอยู่ที่นี่เจ็ดวัน นอนในห้องเก็บฟืนเจ็ดคืน อาหารสองมื้อ รับใช้งานทั่วไป เจ็ดวันผ่านพ้นถือว่าหนี้สินตกค้างหมดสิ้น”
อาหารมื้อหนึ่งมีค่าถึงเจ็ดวัน...ราวกับจะรู้ปริศนาข้อนี้ เจ้าของโรงเตี๊ยมผู้งดงามเอ่นปากถามว่า
“ท่านทราบหรือไม่ว่า ราคาอาหารท่านมีค่าเท่าไร”
“ข้าไม่ทราบ”
มันมิทราบจริง ๆ เพราะไม่ได้ดูรายการราคาอาหาร เพราะความหิวโหยนั่นเอง เสียงหวานแว่วกล่าวต่อไปว่า
“ท่านสั่งส้มปลาน้อยมาหนึ่งจาน ตำมะละก้ามาหนึ่งจาน ซุปบักมี่ถ้วยหนึ่ง แกงเขียวหวานถ้วยใหญ่ ข้าวเหนียวหนึ่งกระติบ ปลาซิวอ้าวย่างสองตัว อึ่งอ่างทะเลต้มโคล้งถ้วยหนึ่ง น้ำชากาหนึ่ง ที่ราคาแพงจริงๆ เป็นอึ่งอ่างทะเลเพราะเป็นของหายาก ท่านมีปัญหาวาจาใดจะกล่าวหรือไม่”
“ไม่เป็นปัญหา สำหรับเรา”
มันยังจะมีปัญหาใด เงินทองไม่มียังสามารถมี อาหารมี ที่พักมี นับว่าเป็นวาสนาในคราวเคราะห์
กระบี่แสนหล่อมองมาคล้ายเห็นใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า
“เจ็ดวันเราจะมาดูท่านล้างจาน เจ็ดวันจองจาน เป็นกำลังใจให้ท่านจ้างจาน ฝ่าฟืน คาดว่าเป็นสุดยอดหลักวิชาเร้นลับพิสดารสาขาหนึ่ง…เกรงใจจริง อ่ะเห้ย...”
โฉมสะคราญพลันมีประกายตารันทดวูบหนึ่ง นางถอนใจกล่าวอ้อยอิ่ง
“เราไม่ได้ล้างจานมานานแล้ว สิบห้าสิบหกกำลังพอดี ยี่สิบแปดแก่ไปสองปี สามสิบห้าต้องแถมฟรี...เราจนเลยสามสิบปี ยังไม่มีโอกาสนั่งดูทารกน้อยในเบาะผ้าปักชุน มองดูตัวโง่งมล้างชามปัดกวาด”
ทวนค้ำฟ้าได้โอกาส สวนคำขึ้นทันที
“ท่านทั้งเค็มทั้งขม ยังมีตัวโง่งมใดมาติดกับดักท่าน ต่อให้มี... เกรงว่ามันคงกลายเป็นตัวโง่งม ดองเค็มรสชาติทั้งขมทั้งเผ็ดทั้งเฝื่อนเป็นแน่แท้”
“วาจาผีสางของท่านขืนพูดต่อไปเกรงว่าท่านต้องกลายเป็นตัวอุบาทว์ดองเค็มทั้งขมทั้งเฝื่อนเป็นแน่” น้ำเสียงโฉมสะคราญโรงเตี๊ยมเริ่มเข้มขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ท่านนึกว่าเรากลัวท่าน โด่เอ้ย...” ทวนค้ำฟ้าแค่นเสียงในลำคอ
“ท่านรนหาที่”
“พวกท่านอย่ากัด เอ้ย ทะเลาะกัน.....เกรงใจจริง อ่ะเห้ย”
กระบี่รันทดไม่คิดจะดูต่อไปว่าใครจะถูกดองเค็มใครจะเกรงใจใคร ใครจะกัดกับใคร มันเลี่ยงเดินหลบไปยังห้องครัวอย่างเงียบงัน ตอนนี้มันเพียงต้องการล้างถ้วยล้างชามเท่านั้น
ห้องล้างชามอยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยม ถ้วยชามตะเกียบเศษอาหารในห้องล้างชามกลับวางกองสุมมากมายราวขุนเขา เด็กส่งอาหารกำลังทยอยเก็บกวาดโต๊ะ ร้านอาหารล้วนเป็นเช่นนี้ มีคนเข้า มีคนออก มีคนหิว มีคนอิ่ม มีคนสร่างเมา มีคนเมามาย มีทุกข์ มีสุข มีเงินและไม่มีเงิน
เด็กชายวัยสิบลมหนาวผู้หนึ่งกำลังก้มหน้าล้างถ้วยชามอย่างเอาเป็นเอาตาย
ความรวดเร็วคล่องแคล่วของมันรวบรัดจัดเจนไม่ขัดตา ราวการร่ายรำเพลงกระบี่ของจอมยุทธ์ ขอเพียงไม่ขัดตาย่อมน่าชมน่าดูไม่มากก็น้อย
กระบี่รันทดยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นด้านข้างมีที่ว่างจึงเดินเข้าไปประจำที่ สะบัดมือวูบ...ตะเกียบคู่หนึ่งปรากฏในมือขวา มือซ้ายคว้าตะปบออกไปราวสายฟ้าจานเลอะเทอะอันหนึ่งติดมือขึ้นมาทันที
เด็กชายพอมองเห็นพลันชะงักมองอย่างประหลาดใจ
กระบี่รันทดขยับนิ้วรวดเร็วคล่องแคล่วพลิ้วไหว รังสีตะเกียบแผ่ซ่านไปทั่วแทบถึงระดับไร้รูปไร้ลักษณ์ ประกายตะเกียบแยกเป็นหลายสิบสายทั้งเขี่ย ฟาด กวาด กระแทก ปัด ทิ่ม แทง เศษอาหารพร่างพรมร่วงลงสู่ถังขยะด้านข้างจนหมดสิ้นไม่ผิดพลาดปล่อยโอกาสให้เล็ดลอดได้สักชิ้น จากนั้นพลิกข้อมือซ้ายหมุนจานในมือราวกังหัน ลอยละลิ่วลงสู่อ่างน้ำล้างจานด้านข้าง
.
กระบี่รันทด 6.........จอมยุทธ์ล้างจาน
กระบี่รันทด โดนดรุณีน้อยนางหนึ่ง ล้วงกระเป๋าสูญเสียเงินไปหมดสิ้น
จะทำอย่างไรต่อไป
บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“ท้องช้างกับขอบประตูล้วนสามารถลอดได้ มีที่ใดต่างกัน”
เป็นวาจาผีสางจริงๆ ทวนค้ำฟ้ารับฟังจนปากอ้าตาค้างหมดปัญญาโต้เถียง
............
กระบี่แสนหล่อมองหน้าทวนค้ำฟ้า ซึ่งตอนนี้คล้ายผอมลงไปอีกสามส่วน ถอนใจกล่าวบ้าง
“ทวนค้ำฟ้า ท่านนับว่ามีวาสนาสุดแสนที่พบพานแม่นางโรงเตี๊ยมทั้งเค็มทั้งขม....เกรงใจจริงๆ”
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมเก็บตั๋วแลกเงินเข้าอกเสื้อ หัวร่อกล่าวว่า “ถูกต้อง คนที่พบพานเราล้วนมีวาสนาต้องกัน ควรปลาบปลื้มยินดี ดังนั้นเราเลี้ยงสุราพวกท่านสักหลายจอกเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีอันดีงาม”
ทั้งกระบี่แสนหล่อและทวนค้ำฟ้าสั่นศีรษะไม่คิดชีวิต กับสตรีทั้งขมทั้งเค็มนางนี้ ภายภาคหน้าพบพานสมควรเผ่นหนีให้ไกลแสนไกล นางคล้ายนึกถึงกระบี่รันทดได้ พลันหันไปมอง เอ่ยถามถามด้วยเสียงนุ่มนวล
“ท่านคิดทำประการใด”
กระบี่รันทดเหม่อมองไปไกลแสนไกลครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวผิวทะเลไร้คลื่นลม
“เราไม่คิดทำประการใด เพียงคิดล้างถ้วยล้างชามล้างจาน”
หลายคนพากันส่งเสียงฮือฮาทันที ยอดมือกระบี่ลดตัวมาล้างจานเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ภาพพจน์เช่นนี้คล้ายไม่เคยมีมาก่อนในวงการ
มือกระบี่มีหลายแบบ บางคนเงียบขรึมสุขุม พูดสามคำชักกระบี่สามหนฆ่าคนสามคน บางคนร่าเริงเบิกบาน พูดสามคำสุราสามจอกกรอกแห้ง บางคนรุ่มรวยสำอางเที่ยวเสพย์สุขทุกข์สถานมวลหมู่มนุษย์จนสุดสิ้น บางคนบุคลิกสูงส่งดุจเทพเจ้าราวกลายเป็นเซียนเทพเทวา ไหนเลยเคยมีมือกระบี่นั่งล้างจานปัดกวาดกวาดซักล้างถูพื้น
“เมื่อข้าไม่มีปัญญาจ่ายเงินค่าอาหารก็ต้องล้างจาน นี่เป็นกฎประเพณีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาช้านาน หรือพวกท่านไม่ทราบ”
ทวนค้ำฟ้าหัวร่อก้องทันที หัวร่อพลางพูดพลางว่า “เราคิดว่าเราวันนี้เราเป็นคนโชคร้ายที่สุดแล้ว ความจริงยังมีคนเคราะห์ร้ายที่โชคร้ายกว่าเรา จอมยุทธ์ล้างจาน ฮา...ฮา....ฮา และ ฮา”
บางทีนี่อาจเป็นธรรมชาติของมนุษยชาติประการหนึ่ง ตัวเองโชคร้ายพอพบพานคนโชคร้าย ความโชคร้ายที่มีคล้ายบรรเทาเบาบาง ยิ่งพบพานคนโชคร้ายกว่ามากเท่าไร โชคร้ายที่มียิ่งบรรเทาเบาบางจนแทบกลายเป็นโชคลาภวาสนา
กระบี่รันทดมองหน้ามันถามเสียงหนัก ๆ ว่า
“ล้างจานมีที่ใดไม่ดี”
ครานี้ทวนค้ำฟ้ากลับไม่ทราบว่าจะตอบประการใด มันเพียงนึกการล้างจานล้างชามล้วนดูอับอายขายหน้าเสียเกียรติยศ แต่กลับมิทราบว่าจะตอบเหตุผลเช่นไร
ว่าที่จอมล้างจานกล่าวต่อไป
“ยามท่านเป็นทารก บิดามารดาท่านหุงหาอาหารปัดกวาดบ้านช่องล้างถ้วยล้างชาม นั่นน่าอับอายขายหน้าหรือไม่...ต่ำทรามหรือไม่...ร้านอาหารไม่มีคนล้างถ้วยชามท่านยังสามารถมีถ้วยชามดื่มกิน…คนเรากระทำเรื่องราวใด ๆ ไฉนต้องอับอาย ถ้าหากเรื่องราวนั้นไม่ขัดต่อศีลธรรมและมโนธรรมของตนเอง....ดังนั้นไฉนจอมยุทธ์จะล้างชามไม่ได้..”
“อา...”
เสียงผู้คนในร้านร้องสับสนทันที
วาจาของกระบี่รันทดไม่อาจนับว่าเป็นวาจาผีสางเด็ดขาด มิหนำซ้ำยังเปี่ยมเหตุผลสุดแสน
มันยังคงกล่าวต่อไปว่า
“พวกท่านคิดหรือว่าวีรบุรุษวีรสตรี ก่อเกิดจากประกายอาวุธเลือดเนื้อความตายเท่านั้น กับเราวีรบุรุษวีรสตรีล้วนสามารถก่อเกิดได้ทุกสถานการณ์ ท่านเหล่านั้นที่ล้างถ้วยชามในบ้านเช้าค่ำคืนวันหมุนเปลี่ยนเลี้ยงดูพวกท่านเติบใหญ่ ยังดูยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษจอมปลอมในโลกมากมายหลายเท่า”
“อา.....”
เสียงผู้คนร้องสับสนอีกครั้ง
คนผู้นี้ไม่เพียงในมือมีกระบี่ ในใจยังมีกระบี่
กระบี่ทิ่มเพียงสามารถแทงร่างกายเป็นโพรงโลหิต วาจาทิ่มแทงจิตใจสั่นสะท้านวิญญาณแตกสลาย พริบตานั้นทุกคนพลันคล้ายมองเห็นบ้านหลังน้อยกลางทิวเขาใกล้แมกไม้สายธารสายลมแสงแดด ครอบครัวอบอุ่นสงบสุข ทารกอ่อนวัยนอนพริ้มตาหลับน่าชังในเบาะน้อย ภรรยานั่งปักชุนปะเสื้อผ้า ฝ่ายสามีถูบ้านล้างชามขยันขันแข็งไม่ร่ำรวยแต่ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเหลือทน
ภาพเช่นนี้ไหนเลยมีเรื่องราวน่าอับอาย
โรครันทดคล้ายแพร่ระบาด คนผู้หนึ่งร่ำร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อา...เราเข้าใจแล้ว...เราเข้าใจแล้ว ภรรยาเราจิกหัวเราใช้เราให้เรากวาดบ้านล้างถ้วยชามทุกวัน เรายังคิดว่านางหยามหมิ่นเรา ที่แท้นางต้องการให้เราเป็นวีรบุรุษในห้องครัว......”
คนผู้นี้กล่าวยังไม่ทันจบ ความตื้นตันประดังจนไม่อาจกล่าววาจาน้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกประดังขึ้นมาจนน้ำตาเริ่มหลังไหล
“อา...!”
เสียงร่ำร้องสับสนอีกครั้ง คนอีกผู้หนึ่งพลันลุกขึ้นวางเงินลงบนโต๊ะกล่าวด้วยสีหน้ารันทดซาบซึ้ง
“อา...เราจะกลับบ้าน....เราจากบิดามารดามาเนิ่นนานแล้ว ควรที่จะกลับไปล้างถ้วยล้างชามปรนนิบัติพวกท่าน ที่ผ่านมาเราละเลยลืมเลือนไป เราจะกลับไปล้างจานให้ท่านมารดา”
ทุกคนพลันคิดถึงบ้านขึ้นมา
โลดแล่นในดินแดนเวิ้งว้างทั้งทุกข์ทั้งเศร้าหัวร่อหลั่งน้ำตา ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนลืมเลือนบ้าน จวบจนครุ่นคิดได้จึงมีเวลากลับบ้านบางทีก็อาจสายเกินไปแล้ว
กลับบ้านล้างถ้วยล้างจาน ปัดกวาดบ้านถูบ้าน เป็นภาพงดงามพิสดาร
วูบนั้นทุกคนคล้ายเห็นภาพจอมยุทธ์เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าผู้หนึ่งเดินทางกลับบ้าน บ้านที่จากมาเนิ่นนานจนลืมเลือน เลี้ยวผ่านทิวไม้ข้างหน้าก็จะเป็นลานดินกว้างใหญ่ที่เคยวิ่งโลดแล่นตอนเป็นเด็ก ธารน้ำที่เคยแหวกว่ายยิ่งใกล้ความคิดถึงยิ่งรุนแรงจนแทบวิ่งปราดไป บิดามารดาพี่น้องคงตั้งหน้ารอคอยยิ้มแย้มทักทาย พอพ้นทิวไม้ก็กลับถึงบ้านแล้ว
บ้านที่รกร้างไร้ผู้คน ไม่มีจานชามให้ล้างมีเพียงหยากไย่รุงรังเก่าแก่และกลิ่นไอแห่งความตายสูญเสียตลอดกาล
“อา...!”
หลายคนร้องขึ้นหลังจากไม่ได้ร้องเช่นนี้มาสักพัก
“เราจะกลับบ้านไปล้างจานแล้ว”
“ข้าคิดถึงไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วผืนนั้นที่เคยฝันหนุนนอน”
“อา...”
ผู้คนร้องสับสนพากันวางเงินบนโต๊ะ บางคนถือโอกาสชักดาบดังเช้งสดใสคราหนึ่งก่อนออกจากโรงเตี๊ยมไปจนแทบหมดสิ้น
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมส่ายหน้าพึมพำเลื่อนลอย
“ท่านคิดล้างจานเราไม่ว่า แต่ท่านกล่าววาจา จนลูกค้าเราหนีหาย เช่นนี้ท่านต้องชดใช้”
“เท่าใด”
“ท่านล้างจานปัดกวาดอยู่ที่นี่เจ็ดวัน นอนในห้องเก็บฟืนเจ็ดคืน อาหารสองมื้อ รับใช้งานทั่วไป เจ็ดวันผ่านพ้นถือว่าหนี้สินตกค้างหมดสิ้น”
อาหารมื้อหนึ่งมีค่าถึงเจ็ดวัน...ราวกับจะรู้ปริศนาข้อนี้ เจ้าของโรงเตี๊ยมผู้งดงามเอ่นปากถามว่า
“ท่านทราบหรือไม่ว่า ราคาอาหารท่านมีค่าเท่าไร”
“ข้าไม่ทราบ”
มันมิทราบจริง ๆ เพราะไม่ได้ดูรายการราคาอาหาร เพราะความหิวโหยนั่นเอง เสียงหวานแว่วกล่าวต่อไปว่า
“ท่านสั่งส้มปลาน้อยมาหนึ่งจาน ตำมะละก้ามาหนึ่งจาน ซุปบักมี่ถ้วยหนึ่ง แกงเขียวหวานถ้วยใหญ่ ข้าวเหนียวหนึ่งกระติบ ปลาซิวอ้าวย่างสองตัว อึ่งอ่างทะเลต้มโคล้งถ้วยหนึ่ง น้ำชากาหนึ่ง ที่ราคาแพงจริงๆ เป็นอึ่งอ่างทะเลเพราะเป็นของหายาก ท่านมีปัญหาวาจาใดจะกล่าวหรือไม่”
“ไม่เป็นปัญหา สำหรับเรา”
มันยังจะมีปัญหาใด เงินทองไม่มียังสามารถมี อาหารมี ที่พักมี นับว่าเป็นวาสนาในคราวเคราะห์
กระบี่แสนหล่อมองมาคล้ายเห็นใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า
“เจ็ดวันเราจะมาดูท่านล้างจาน เจ็ดวันจองจาน เป็นกำลังใจให้ท่านจ้างจาน ฝ่าฟืน คาดว่าเป็นสุดยอดหลักวิชาเร้นลับพิสดารสาขาหนึ่ง…เกรงใจจริง อ่ะเห้ย...”
โฉมสะคราญพลันมีประกายตารันทดวูบหนึ่ง นางถอนใจกล่าวอ้อยอิ่ง
“เราไม่ได้ล้างจานมานานแล้ว สิบห้าสิบหกกำลังพอดี ยี่สิบแปดแก่ไปสองปี สามสิบห้าต้องแถมฟรี...เราจนเลยสามสิบปี ยังไม่มีโอกาสนั่งดูทารกน้อยในเบาะผ้าปักชุน มองดูตัวโง่งมล้างชามปัดกวาด”
ทวนค้ำฟ้าได้โอกาส สวนคำขึ้นทันที
“ท่านทั้งเค็มทั้งขม ยังมีตัวโง่งมใดมาติดกับดักท่าน ต่อให้มี... เกรงว่ามันคงกลายเป็นตัวโง่งม ดองเค็มรสชาติทั้งขมทั้งเผ็ดทั้งเฝื่อนเป็นแน่แท้”
“วาจาผีสางของท่านขืนพูดต่อไปเกรงว่าท่านต้องกลายเป็นตัวอุบาทว์ดองเค็มทั้งขมทั้งเฝื่อนเป็นแน่” น้ำเสียงโฉมสะคราญโรงเตี๊ยมเริ่มเข้มขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ท่านนึกว่าเรากลัวท่าน โด่เอ้ย...” ทวนค้ำฟ้าแค่นเสียงในลำคอ
“ท่านรนหาที่”
“พวกท่านอย่ากัด เอ้ย ทะเลาะกัน.....เกรงใจจริง อ่ะเห้ย”
กระบี่รันทดไม่คิดจะดูต่อไปว่าใครจะถูกดองเค็มใครจะเกรงใจใคร ใครจะกัดกับใคร มันเลี่ยงเดินหลบไปยังห้องครัวอย่างเงียบงัน ตอนนี้มันเพียงต้องการล้างถ้วยล้างชามเท่านั้น
ห้องล้างชามอยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยม ถ้วยชามตะเกียบเศษอาหารในห้องล้างชามกลับวางกองสุมมากมายราวขุนเขา เด็กส่งอาหารกำลังทยอยเก็บกวาดโต๊ะ ร้านอาหารล้วนเป็นเช่นนี้ มีคนเข้า มีคนออก มีคนหิว มีคนอิ่ม มีคนสร่างเมา มีคนเมามาย มีทุกข์ มีสุข มีเงินและไม่มีเงิน
เด็กชายวัยสิบลมหนาวผู้หนึ่งกำลังก้มหน้าล้างถ้วยชามอย่างเอาเป็นเอาตาย
ความรวดเร็วคล่องแคล่วของมันรวบรัดจัดเจนไม่ขัดตา ราวการร่ายรำเพลงกระบี่ของจอมยุทธ์ ขอเพียงไม่ขัดตาย่อมน่าชมน่าดูไม่มากก็น้อย
กระบี่รันทดยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นด้านข้างมีที่ว่างจึงเดินเข้าไปประจำที่ สะบัดมือวูบ...ตะเกียบคู่หนึ่งปรากฏในมือขวา มือซ้ายคว้าตะปบออกไปราวสายฟ้าจานเลอะเทอะอันหนึ่งติดมือขึ้นมาทันที
เด็กชายพอมองเห็นพลันชะงักมองอย่างประหลาดใจ
กระบี่รันทดขยับนิ้วรวดเร็วคล่องแคล่วพลิ้วไหว รังสีตะเกียบแผ่ซ่านไปทั่วแทบถึงระดับไร้รูปไร้ลักษณ์ ประกายตะเกียบแยกเป็นหลายสิบสายทั้งเขี่ย ฟาด กวาด กระแทก ปัด ทิ่ม แทง เศษอาหารพร่างพรมร่วงลงสู่ถังขยะด้านข้างจนหมดสิ้นไม่ผิดพลาดปล่อยโอกาสให้เล็ดลอดได้สักชิ้น จากนั้นพลิกข้อมือซ้ายหมุนจานในมือราวกังหัน ลอยละลิ่วลงสู่อ่างน้ำล้างจานด้านข้าง
.