กระบี่รันทด 6.........จอมยุทธ์ล้างจาน

กระทู้สนทนา
ความเดินตอนที่แล้ว
กระบี่รันทด โดนดรุณีน้อยนางหนึ่ง ล้วงกระเป๋าสูญเสียเงินไปหมดสิ้น
จะทำอย่างไรต่อไป

บทที่ผ่านมา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



             “ท้องช้างกับขอบประตูล้วนสามารถลอดได้ มีที่ใดต่างกัน”
            
             เป็นวาจาผีสางจริงๆ ทวนค้ำฟ้ารับฟังจนปากอ้าตาค้างหมดปัญญาโต้เถียง


............



           
              กระบี่แสนหล่อมองหน้าทวนค้ำฟ้า ซึ่งตอนนี้คล้ายผอมลงไปอีกสามส่วน ถอนใจกล่าวบ้าง
            
             “ทวนค้ำฟ้า ท่านนับว่ามีวาสนาสุดแสนที่พบพานแม่นางโรงเตี๊ยมทั้งเค็มทั้งขม....เกรงใจจริงๆ”
            
             โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมเก็บตั๋วแลกเงินเข้าอกเสื้อ หัวร่อกล่าวว่า    “ถูกต้อง คนที่พบพานเราล้วนมีวาสนาต้องกัน ควรปลาบปลื้มยินดี ดังนั้นเราเลี้ยงสุราพวกท่านสักหลายจอกเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีอันดีงาม”
            
             ทั้งกระบี่แสนหล่อและทวนค้ำฟ้าสั่นศีรษะไม่คิดชีวิต กับสตรีทั้งขมทั้งเค็มนางนี้ ภายภาคหน้าพบพานสมควรเผ่นหนีให้ไกลแสนไกล นางคล้ายนึกถึงกระบี่รันทดได้ พลันหันไปมอง เอ่ยถามถามด้วยเสียงนุ่มนวล
            
             “ท่านคิดทำประการใด”
            
             กระบี่รันทดเหม่อมองไปไกลแสนไกลครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวผิวทะเลไร้คลื่นลม
            
             “เราไม่คิดทำประการใด เพียงคิดล้างถ้วยล้างชามล้างจาน”
           
              หลายคนพากันส่งเสียงฮือฮาทันที   ยอดมือกระบี่ลดตัวมาล้างจานเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ภาพพจน์เช่นนี้คล้ายไม่เคยมีมาก่อนในวงการ
            
             มือกระบี่มีหลายแบบ บางคนเงียบขรึมสุขุม พูดสามคำชักกระบี่สามหนฆ่าคนสามคน บางคนร่าเริงเบิกบาน พูดสามคำสุราสามจอกกรอกแห้ง บางคนรุ่มรวยสำอางเที่ยวเสพย์สุขทุกข์สถานมวลหมู่มนุษย์จนสุดสิ้น บางคนบุคลิกสูงส่งดุจเทพเจ้าราวกลายเป็นเซียนเทพเทวา ไหนเลยเคยมีมือกระบี่นั่งล้างจานปัดกวาดกวาดซักล้างถูพื้น
           
              “เมื่อข้าไม่มีปัญญาจ่ายเงินค่าอาหารก็ต้องล้างจาน นี่เป็นกฎประเพณีวัฒนธรรมสืบเนื่องมาช้านาน หรือพวกท่านไม่ทราบ”
            
             ทวนค้ำฟ้าหัวร่อก้องทันที หัวร่อพลางพูดพลางว่า    “เราคิดว่าเราวันนี้เราเป็นคนโชคร้ายที่สุดแล้ว ความจริงยังมีคนเคราะห์ร้ายที่โชคร้ายกว่าเรา จอมยุทธ์ล้างจาน ฮา...ฮา....ฮา และ ฮา”
            
             บางทีนี่อาจเป็นธรรมชาติของมนุษยชาติประการหนึ่ง ตัวเองโชคร้ายพอพบพานคนโชคร้าย ความโชคร้ายที่มีคล้ายบรรเทาเบาบาง ยิ่งพบพานคนโชคร้ายกว่ามากเท่าไร โชคร้ายที่มียิ่งบรรเทาเบาบางจนแทบกลายเป็นโชคลาภวาสนา
            
             กระบี่รันทดมองหน้ามันถามเสียงหนัก ๆ ว่า
            
             “ล้างจานมีที่ใดไม่ดี”
            
             ครานี้ทวนค้ำฟ้ากลับไม่ทราบว่าจะตอบประการใด   มันเพียงนึกการล้างจานล้างชามล้วนดูอับอายขายหน้าเสียเกียรติยศ แต่กลับมิทราบว่าจะตอบเหตุผลเช่นไร
           
             ว่าที่จอมล้างจานกล่าวต่อไป
            
             “ยามท่านเป็นทารก บิดามารดาท่านหุงหาอาหารปัดกวาดบ้านช่องล้างถ้วยล้างชาม นั่นน่าอับอายขายหน้าหรือไม่...ต่ำทรามหรือไม่...ร้านอาหารไม่มีคนล้างถ้วยชามท่านยังสามารถมีถ้วยชามดื่มกิน…คนเรากระทำเรื่องราวใด ๆ ไฉนต้องอับอาย ถ้าหากเรื่องราวนั้นไม่ขัดต่อศีลธรรมและมโนธรรมของตนเอง....ดังนั้นไฉนจอมยุทธ์จะล้างชามไม่ได้..”
           
              “อา...”
            
             เสียงผู้คนในร้านร้องสับสนทันที
            
             วาจาของกระบี่รันทดไม่อาจนับว่าเป็นวาจาผีสางเด็ดขาด มิหนำซ้ำยังเปี่ยมเหตุผลสุดแสน
            
             มันยังคงกล่าวต่อไปว่า
            
             “พวกท่านคิดหรือว่าวีรบุรุษวีรสตรี ก่อเกิดจากประกายอาวุธเลือดเนื้อความตายเท่านั้น กับเราวีรบุรุษวีรสตรีล้วนสามารถก่อเกิดได้ทุกสถานการณ์ ท่านเหล่านั้นที่ล้างถ้วยชามในบ้านเช้าค่ำคืนวันหมุนเปลี่ยนเลี้ยงดูพวกท่านเติบใหญ่ ยังดูยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษจอมปลอมในโลกมากมายหลายเท่า”
            
             “อา.....”
            
             เสียงผู้คนร้องสับสนอีกครั้ง
           
              คนผู้นี้ไม่เพียงในมือมีกระบี่ ในใจยังมีกระบี่
            
             กระบี่ทิ่มเพียงสามารถแทงร่างกายเป็นโพรงโลหิต วาจาทิ่มแทงจิตใจสั่นสะท้านวิญญาณแตกสลาย พริบตานั้นทุกคนพลันคล้ายมองเห็นบ้านหลังน้อยกลางทิวเขาใกล้แมกไม้สายธารสายลมแสงแดด ครอบครัวอบอุ่นสงบสุข ทารกอ่อนวัยนอนพริ้มตาหลับน่าชังในเบาะน้อย ภรรยานั่งปักชุนปะเสื้อผ้า ฝ่ายสามีถูบ้านล้างชามขยันขันแข็งไม่ร่ำรวยแต่ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเหลือทน
            
             ภาพเช่นนี้ไหนเลยมีเรื่องราวน่าอับอาย
            
             โรครันทดคล้ายแพร่ระบาด คนผู้หนึ่งร่ำร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
           
              “อา...เราเข้าใจแล้ว...เราเข้าใจแล้ว ภรรยาเราจิกหัวเราใช้เราให้เรากวาดบ้านล้างถ้วยชามทุกวัน เรายังคิดว่านางหยามหมิ่นเรา ที่แท้นางต้องการให้เราเป็นวีรบุรุษในห้องครัว......”
            
             คนผู้นี้กล่าวยังไม่ทันจบ ความตื้นตันประดังจนไม่อาจกล่าววาจาน้ำตาคลอเบ้าด้วยความรู้สึกประดังขึ้นมาจนน้ำตาเริ่มหลังไหล
    
             “อา...!”  

             เสียงร่ำร้องสับสนอีกครั้ง    คนอีกผู้หนึ่งพลันลุกขึ้นวางเงินลงบนโต๊ะกล่าวด้วยสีหน้ารันทดซาบซึ้ง
            
             “อา...เราจะกลับบ้าน....เราจากบิดามารดามาเนิ่นนานแล้ว ควรที่จะกลับไปล้างถ้วยล้างชามปรนนิบัติพวกท่าน ที่ผ่านมาเราละเลยลืมเลือนไป   เราจะกลับไปล้างจานให้ท่านมารดา”
                
             ทุกคนพลันคิดถึงบ้านขึ้นมา
            
             โลดแล่นในดินแดนเวิ้งว้างทั้งทุกข์ทั้งเศร้าหัวร่อหลั่งน้ำตา ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนลืมเลือนบ้าน จวบจนครุ่นคิดได้จึงมีเวลากลับบ้านบางทีก็อาจสายเกินไปแล้ว
            
             กลับบ้านล้างถ้วยล้างจาน ปัดกวาดบ้านถูบ้าน เป็นภาพงดงามพิสดาร
            
             วูบนั้นทุกคนคล้ายเห็นภาพจอมยุทธ์เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าผู้หนึ่งเดินทางกลับบ้าน บ้านที่จากมาเนิ่นนานจนลืมเลือน เลี้ยวผ่านทิวไม้ข้างหน้าก็จะเป็นลานดินกว้างใหญ่ที่เคยวิ่งโลดแล่นตอนเป็นเด็ก ธารน้ำที่เคยแหวกว่ายยิ่งใกล้ความคิดถึงยิ่งรุนแรงจนแทบวิ่งปราดไป    บิดามารดาพี่น้องคงตั้งหน้ารอคอยยิ้มแย้มทักทาย พอพ้นทิวไม้ก็กลับถึงบ้านแล้ว
            
             บ้านที่รกร้างไร้ผู้คน ไม่มีจานชามให้ล้างมีเพียงหยากไย่รุงรังเก่าแก่และกลิ่นไอแห่งความตายสูญเสียตลอดกาล
            
             “อา...!”

             หลายคนร้องขึ้นหลังจากไม่ได้ร้องเช่นนี้มาสักพัก
           
              “เราจะกลับบ้านไปล้างจานแล้ว”

             “ข้าคิดถึงไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วผืนนั้นที่เคยฝันหนุนนอน”

             “อา...”
           
              ผู้คนร้องสับสนพากันวางเงินบนโต๊ะ บางคนถือโอกาสชักดาบดังเช้งสดใสคราหนึ่งก่อนออกจากโรงเตี๊ยมไปจนแทบหมดสิ้น
           
              โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมส่ายหน้าพึมพำเลื่อนลอย
           
              “ท่านคิดล้างจานเราไม่ว่า แต่ท่านกล่าววาจา จนลูกค้าเราหนีหาย เช่นนี้ท่านต้องชดใช้”
            
             “เท่าใด”
            
             “ท่านล้างจานปัดกวาดอยู่ที่นี่เจ็ดวัน นอนในห้องเก็บฟืนเจ็ดคืน อาหารสองมื้อ รับใช้งานทั่วไป เจ็ดวันผ่านพ้นถือว่าหนี้สินตกค้างหมดสิ้น”
อาหารมื้อหนึ่งมีค่าถึงเจ็ดวัน...ราวกับจะรู้ปริศนาข้อนี้ เจ้าของโรงเตี๊ยมผู้งดงามเอ่นปากถามว่า

             “ท่านทราบหรือไม่ว่า ราคาอาหารท่านมีค่าเท่าไร”

             “ข้าไม่ทราบ”

             มันมิทราบจริง ๆ เพราะไม่ได้ดูรายการราคาอาหาร เพราะความหิวโหยนั่นเอง  เสียงหวานแว่วกล่าวต่อไปว่า

             “ท่านสั่งส้มปลาน้อยมาหนึ่งจาน ตำมะละก้ามาหนึ่งจาน  ซุปบักมี่ถ้วยหนึ่ง  แกงเขียวหวานถ้วยใหญ่ ข้าวเหนียวหนึ่งกระติบ ปลาซิวอ้าวย่างสองตัว  อึ่งอ่างทะเลต้มโคล้งถ้วยหนึ่ง น้ำชากาหนึ่ง   ที่ราคาแพงจริงๆ เป็นอึ่งอ่างทะเลเพราะเป็นของหายาก ท่านมีปัญหาวาจาใดจะกล่าวหรือไม่”
            
             “ไม่เป็นปัญหา สำหรับเรา”
           
              มันยังจะมีปัญหาใด เงินทองไม่มียังสามารถมี อาหารมี ที่พักมี นับว่าเป็นวาสนาในคราวเคราะห์
            
             กระบี่แสนหล่อมองมาคล้ายเห็นใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า
            
             “เจ็ดวันเราจะมาดูท่านล้างจาน เจ็ดวันจองจาน เป็นกำลังใจให้ท่านจ้างจาน ฝ่าฟืน คาดว่าเป็นสุดยอดหลักวิชาเร้นลับพิสดารสาขาหนึ่ง…เกรงใจจริง อ่ะเห้ย...”
            
             โฉมสะคราญพลันมีประกายตารันทดวูบหนึ่ง นางถอนใจกล่าวอ้อยอิ่ง
            
             “เราไม่ได้ล้างจานมานานแล้ว สิบห้าสิบหกกำลังพอดี ยี่สิบแปดแก่ไปสองปี สามสิบห้าต้องแถมฟรี...เราจนเลยสามสิบปี ยังไม่มีโอกาสนั่งดูทารกน้อยในเบาะผ้าปักชุน มองดูตัวโง่งมล้างชามปัดกวาด”
            
             ทวนค้ำฟ้าได้โอกาส สวนคำขึ้นทันที
            
             “ท่านทั้งเค็มทั้งขม ยังมีตัวโง่งมใดมาติดกับดักท่าน ต่อให้มี... เกรงว่ามันคงกลายเป็นตัวโง่งม ดองเค็มรสชาติทั้งขมทั้งเผ็ดทั้งเฝื่อนเป็นแน่แท้”
            
             “วาจาผีสางของท่านขืนพูดต่อไปเกรงว่าท่านต้องกลายเป็นตัวอุบาทว์ดองเค็มทั้งขมทั้งเฝื่อนเป็นแน่” น้ำเสียงโฉมสะคราญโรงเตี๊ยมเริ่มเข้มขึ้นอย่างไม่พอใจ
            
             “ท่านนึกว่าเรากลัวท่าน โด่เอ้ย...” ทวนค้ำฟ้าแค่นเสียงในลำคอ
            
             “ท่านรนหาที่”
            
            “พวกท่านอย่ากัด เอ้ย ทะเลาะกัน.....เกรงใจจริง อ่ะเห้ย”
           
              กระบี่รันทดไม่คิดจะดูต่อไปว่าใครจะถูกดองเค็มใครจะเกรงใจใคร ใครจะกัดกับใคร  มันเลี่ยงเดินหลบไปยังห้องครัวอย่างเงียบงัน ตอนนี้มันเพียงต้องการล้างถ้วยล้างชามเท่านั้น



             ห้องล้างชามอยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยม ถ้วยชามตะเกียบเศษอาหารในห้องล้างชามกลับวางกองสุมมากมายราวขุนเขา เด็กส่งอาหารกำลังทยอยเก็บกวาดโต๊ะ ร้านอาหารล้วนเป็นเช่นนี้ มีคนเข้า มีคนออก มีคนหิว มีคนอิ่ม มีคนสร่างเมา มีคนเมามาย มีทุกข์ มีสุข มีเงินและไม่มีเงิน
              
             เด็กชายวัยสิบลมหนาวผู้หนึ่งกำลังก้มหน้าล้างถ้วยชามอย่างเอาเป็นเอาตาย
              
             ความรวดเร็วคล่องแคล่วของมันรวบรัดจัดเจนไม่ขัดตา ราวการร่ายรำเพลงกระบี่ของจอมยุทธ์ ขอเพียงไม่ขัดตาย่อมน่าชมน่าดูไม่มากก็น้อย
              
             กระบี่รันทดยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นด้านข้างมีที่ว่างจึงเดินเข้าไปประจำที่  สะบัดมือวูบ...ตะเกียบคู่หนึ่งปรากฏในมือขวา  มือซ้ายคว้าตะปบออกไปราวสายฟ้าจานเลอะเทอะอันหนึ่งติดมือขึ้นมาทันที
              
             เด็กชายพอมองเห็นพลันชะงักมองอย่างประหลาดใจ
              
             กระบี่รันทดขยับนิ้วรวดเร็วคล่องแคล่วพลิ้วไหว รังสีตะเกียบแผ่ซ่านไปทั่วแทบถึงระดับไร้รูปไร้ลักษณ์ ประกายตะเกียบแยกเป็นหลายสิบสายทั้งเขี่ย ฟาด กวาด กระแทก ปัด ทิ่ม แทง  เศษอาหารพร่างพรมร่วงลงสู่ถังขยะด้านข้างจนหมดสิ้นไม่ผิดพลาดปล่อยโอกาสให้เล็ดลอดได้สักชิ้น จากนั้นพลิกข้อมือซ้ายหมุนจานในมือราวกังหัน ลอยละลิ่วลงสู่อ่างน้ำล้างจานด้านข้าง
              
       
        

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่