ความเดิม
หลังออกจากหมู่ตึกไร้รักได้ กระบี่รันทดเดินทางต่อไปยังเมืองแห่งหนึ่ง และเข้าไปพักในโรงเตี๊ยม
กระบี่แสนหล่อและทวนค้ำฟ้าปรากฏตัวพร้อมด้วยเกิดการล้วงกระเป๋ากันขึ้น โดยฝีมือของเด็กน้อยผู้หนึ่ง
การด่าของนางดุเดือดร้อนแรงปานประกายไฟและรวดเร็วต่อเนื่องไม่ขาดตอน แม้ว่าจะด่าออกมาแบบไม่เป็นภาษามนุษย์ฟังไม่ออกบอกไม่ได้ก็ตาม แต่ความร้ายกาจของการด่าอยู่ที่สีหน้าทางจนแทบหมดสิ้น
บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/37667276
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/37674255
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/37682542
บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/37710202
ทวนค้ำฟ้าเซถอยหลังตึงๆ ไปสามสี่ก้าวผมเผ้าลุกชี้ชันราวขนเม่น มันถูกด่าจนลมปราณพลุ่งพล่านแทบกระอักออกมาเป็นโลหิต ชีวิตนี้ยังไม่เคยถูกใครด่าขนาดนี้มาก่อน ความฝันและความหวังที่ว่า จะยอมให้เฉพาะภรรยาเท่านั่นด่าได้ พังทลายหมดสิ้น
กระบี่แสนหล่อพลันยกมือขึ้นร้องบอกด้วยเสียงหล่อว่า
“อะเห้ย...ท่านหยุดด่าก่อนฟังข้าสักนิด เกรงใจจริง ๆ อะเห้ย...”
เสียงอะเห้ย...ของมันทุ้มนุ่มนวล มิติของเสียงกระจ่างชัดทุ้มหนักแน่นแหลมไม่บาดหู แยกซ้ายขวาไกลใกล้ชัดเจนไม่อับทึบ จนสตรีนางนั้นพอรับฟังต้องชะงักปากทันที
กระบี่แสนหล่อยิ้มแย้มกล่าวต่อไปว่า
“ที่บอกเปิดผ้าหมายถึงผ้าปูโต๊ะ...ไม่ใช่กระโปรงของท่าน เกรงว่าจะเข้าใจผิดกัน เกรงใจจริงๆ อะเห้ย...”
สตรีนางนั้นสีหน้าชาค้างไปแล้ว นางนับว่าเข้าใจผิดไป ความเขินอายเริ่มบังเกิดทันทีจนต้องยกมือของนางขึ้น นางมิอาจไม่อาย ใช้ฟันกัดแทะเล็บตัวเองไม่คิดชีวิต
เข้าใจผิด...แต่ตบหน้าคนไม่ผิดเป้า ทวนค้ำฟ้าตั้งหลักได้พลันคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น ดึงทวนออกมาจากด้านหลัง พุ่งร่างเข้ามาปานพายุ
“ความจริงเจ้าด่าคนเปะปะ จงไปด่าคนต่อในยมโลกเถิด”
เพลงทวนรุนแรงหนักหน่วง พุ่งเข้าหาคอหอยของสตรีจอมด่าปานสายฟ้า
สามีของนางนั่งอยู่ ญาติพี่น้องหลายคนต่างนั่งอยู่ ทุกคนยังอึงอลมึนงงกับพลานุภาพแห่งการด่าเมื่อครู่ ไหนเลยยังสามารถเสนอตัวมารับทวนเกรี้ยวกราด
“ช้าก่อน”
พลันมีเสียงสดใจเจื้อยแจ้วดังขึ้น ขณะคมทวนกำลังพุ่งออกไป เสียงนั้นไม่ได้สนั่นหวั่นไหว ไม่ได้แผ่วเบาราวกระซิบกระซาบ แต่ทุกคนล้วนได้ยินชัดเจนราวผู้เอ่ยปากกำลังแทะเล็มข้างใบหู
“ในยมโลกมีเฉพาะภูตผีปีศาจ...ไหนเลยยังมีผู้คนเป็น ๆ ให้ด่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
สภาวะทวนชะงักค้าง นิ้วชี้นิ้วกลางเรียวงามของคนผู้หนึ่ง คีบปลายทวนทั้งแหลมทั้งคมทั้งรวดเร็วทั้งหนักหน่วงไว้
เป็นสตรีในชุดแดงยาวลายดอกเหมยบาดตาบาดใจผู้คน อายุไม่อยู่ในวัยดรุณีแรกแย้มแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัยทองชราภาพจนหมดอายุการใช้งาน ยังคงความงามนุ่นนวลเร้าใจของวัยสามสิบกว่าขวบปีได้อย่างน่าตื่นตาเร้าใจ
ไม่ทราบว่านางมาตั้งแต่เมื่อไร ลงมือเช่นไร เพียงทราบนางลงมือก็ใช้สองนิ้วสยบคมทวนไว้ได้ นับว่าน่าแตกตื่นสะท้านขวัญสุดแสน
นิ้วคีบคมทวน สายตาจับจ้องมองหยาดเยิ้ม ริมฝีปากบางยิ้มแย้มกล่าวต่อไปว่า
“ดังนั้นนางควรอยู่ต่อไป เพื่อสร้างสีสันแห่งการด่าทอกับมนุษยชาติให้ครึกครื้น ไม่ทราบว่าท่านยอมเห็นแก่เรา ลดตัวผ่อนมือวางทวนลงนั่งสักครา”
ทวนค้ำฟ้าคล้ายเป็นคนทุ่มเทกำลังทั้งหมดเป็นกรวดหินลงสู่ทะเล ว้างว้างกว้างใหญ่ไร้ความหมายหมดสิ้น ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลยังมีกรวดหินที่ใดทับถมทะเลเต็มตื้น พลันรู้สึกผิดท่าแล้ว กระบี่แสนหล่อพอเห็นหน้าสตรีนางนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง แต่ยังยิ้มแย้มคารวะจรดพื้นกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“ที่แท้เป็นท่านโฉมสะคราญโรงเตี๊ยม...มิทราบว่าท่านมา พวกเราเสียมรรยาทไปแล้ว เกรงใจจริง ๆ อะเห้ย......”
‘โฉมสะคราญโรงเตี๊ยม’ นามนี้คล้ายมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ หลายคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที
นางเป็นใครกัน
นางมีนาม ‘โฉมสะคราญ’ แต่ผู้คนมักเรียกขานกันว่า ‘โฉมสะคราญโรงเตี๊ยม’ เพราะนางเป็นเจ้าของกิจการโรงเตี๊ยมหลายแห่ง นางอยู่ในชุดผ้าลายดอกเหมยเบ่งบาน ใบหน้าคล้ายดอกเหมยที่เบ่งบาน ทั้งน่าชมน่าดู ไม่ยิ้มแย้มยังน่าดู ยิ่งยิ้มแย้มยิ่งสุดแสนน่าดู นางคลายนิ้วออก ร่างสูงผอมของทวนค้ำฟ้าเซตึง ๆ ไปกระแทกฝาดังโครม
ความจริงทวนค้ำฟ้ายังสามารถลงมือ แต่ยามนี้ไม่แม้แต่จะคิด
ท่านลงมือใส่คนผู้หนึ่งสุดกำลัง กลับถูกทำลายขั้นตอนและกระบวนการลงมืออย่างง่ายดาย นับว่าทำลายความอาจหาญฮึกเหิมของท่านจนหมดสิ้น
นางหันมามองหน้ากระบี่แสนหล่อกล่าวว่า
“กระบี่แสนหล่อ ท่านหล่อได้เต็มที่มิต้องเกรงใจ ท่านเข้าหามาคนใช่หรือไม่”
กระบี่แสนหล่อพออยู่ต่อหน้านางคล้ายเป็นมุสิกอยู่ต่อหน้าแมว ดูไปเริ่มไม่หล่อเท่าไร รัศมีความหล่อเหลาคล้ายถูกบั่นทอนลง พยักหน้ารับคำไม่ส่งเสียง นางจึงถามต่อไป
“เป็นขอทานน้อยซกมกนางหนึ่ง?”
“ถูกต้อง...เกรงใจจริง ๆ อะเห้ย...”
“นางอยู่ที่นี่จริง แต่นางล่วงเกินอะไรพวกท่าน”
“นางขโมยเงินพวกเรา เกรงใจจริง ๆ อะโห้ย”
“เท่าไร”
“ร้อยเหรียญ เกรงใจจริง ๆ ”
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมฟังแล้วพลันหัวร่อกล่าว “พวกท่านเป็นจอมยุทธ์ ไฉนให้นางล้วงกระเป๋าพวกท่านได้ “
“อะเห้ย...ชะมดน้อยตัวนั้นกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง...เกรงใจจริง ๆ”
นางรับฟังแล้วยิ้มแย้ม พลันหันกายเดินมาที่โต๊ะของกระบี่รันทดซึ่งกำลังนั่งมองเหตุการณ์อยู่อย่างเงียบงัน ใช้สายตาชนิดหนึ่งจับจ้องมองหน้ากระบี่รันทดพลางบอก
“เปิดผ้า”
ไฉนวันนี้พาลมีแต่คนอยากเปิดผ้า...วันโลกาวินาศใดกัน... กระบี่รันทดใช่กระโดดปราดขึ้น ตบใส่หน้านางหนึ่งฉาดหรือไม่
มันย่อมไม่ทำ อย่าว่าแต่ไม่ได้สวมกระโปรง แต่คนที่เปิดผ้าคลุมโต๊ะออก กระโดดปราดขึ้นกลับเป็นขอทานซกมกน้อยตัวนั้น นางพอโผล่พ้นออกมาก็กระโดดปราดขึ้นราวกระต่ายน้อยระแวงภัย ทั้งปราดเปรียวทั้งรวดเร็ว
จนใจว่าถ้านางเป็นกระต่ายน้อย โฉมสะคราญก็เป็นพรานล่ากระต่าย ขยับร่างวูบไม่ทราบว่าใช้ท่วงท่าใด พลันถึงตัวขอทานน้อยตะปบมือวูบหนึ่ง คว้าคอเสื้อ มืออีกข้างจี้จุดปราดไปตามร่างกายของกระต่ายน้อยราวสายฟ้า ร่างของขอทานน้อยนับว่าคล้ายกระต่ายน้อยในมือพรานล่ากระต่ายไปแล้ว ทั้งร่างกลับกลายเป็นแข็งทื่อราวขอนไม้ ถูกหิ้วคอเสื้อลากไปเหวี่ยงโครมลงกลางห้องโถงนอนแน่นิ่งเบิ่งตาโตไปมาอย่างอับจนปัญญาอยู่กับพื้น
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมหันไปมองพวกทวนค้ำฟ้าเลิกคิ้วถาม
“ใช่ชะมดน้อยตัวนี้หรือไม่”
ทวนค้ำฟ้ามีสีหน้าอำมหิตขึ้นมาทันที ขบกรามแค่นเสียง
“ความจริงถูกต้อง “
“ท่านคิดทำอย่างไร”
“ยังมีที่ใดดีกว่าการกัดกลืนกินทั้งเป็น...กระดูกเอาไปฝัง เนื้อหนังประดับฝาผนัง ยังมีที่ใดเหมาะกว่านี้ ความจริงเราคิดไม่ออก โด่เอ้ย...”
วาจาของมันพอกล่าวออกไป ชะมดน้อยยังไม่ถูกกัดกลืนกินทั้งเป็นแต่ยามนี้ดูไม่ห่างจากถูกกัดกลืนเข้าไปแล้วจริง ๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแว่วประหวั่นพรั่นพรึงขวัญเสีย มีคนบอกว่าจะกัดกินกลืนท่านทั้งเป็นท่านยังจะสามารถเบิกบานใจได้
ทวนค้ำฟ้ากระโดดปราดออกมากลางห้อง พร้อมทวนคู่มือในท่วงท่าเตรียมพร้อม
เงินร้อยเหรียญ บอกว่ามากก็มาก บอกว่าน้อยก็น้อย บอกว่าไม่มากไม่น้อย ก็ไม่อาจมากไปหรือน้อยไป ย่อมขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์ เฉกเช่นเศรษฐีชั้นผู้ใหญ่บางคนเห็นเงินร้อยเหรียญไม่อยู่ในสายตา พบพานหล่นข้างทางเห็นเป็นเพียงเศษงานเล็กน้อย อับอายจะลดตัวงอเอวก้มหลังลงเก็บ แต่กับคนยากไร้พบเงินร้อยเหรียญ ดีใจแทบฟั่นเฟือน นำไปเจือจุนครอบครัวได้เนิ่นนาน
กับขอทานซกมกน้อย ไม่ทราบว่าเงินจำนวนนี้ควรมากควรน้อย ? ที่ทราบชัดมันกำลังจะตายเพราะเงินจำนวนนี้ ภายใต้คมทวนค้ำฟ้าผู้ขุ่นเคืองดาลเดือดสุดขีด เพียงคมทวนแทงออกไป ขอทานชะมดน้อยต้องไม่มีวาจากล่าวอีกตลอดกาล
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมกระทั่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปร ความเป็นความตายคนอื่นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของนาง...ดังนั้นมีที่ใดควรวิตกกังวล นางกลับดูเลือดเย็นอย่างยิ่ง หรือนางเป็นสตรีเลือดเย็นขนาดนั้น
“ช้าก่อน”
เสียงไม่ดังไม่ค่อยดังขึ้นก่อนทวนค้ำฟ้าจะลงมือ
กระบี่รันทดนั่นเองสอดแทรกเข้ามากลางคัน
กระบี่ของมันคงวางบนโต๊ะไม่มีทีท่าชักออก อาหารบนโต๊ะหมดไปกว่าค่อน มันอิ่มไปกว่าครึ่ง น้ำชาหลายจอกกรอกแห้งไปเจ็ดส่วน มองหน้าทวนค้ำฟ้าด้วยสายตาหม่นมัวคล้ายมองความว่างเปล่า กล่าวต่อไปช้า ๆ ว่า
“ขอทานน้อยขโมยเงินท่านข้าเข้าใจความเศร้าเสียใจของท่านดี คาดว่าเงินคงอยู่ในตัวนาง ค้นตัวนางย่อมเจอเงินของท่าน ท่านรับเงินคืน นางจากไป เรื่องราวควรจบลงเช่นนี้ใช่หรือไม่”
ทวนค้ำฟ้าคล้ายกำลังหาที่ระบายออก พลันกระแทกด้ามทวนลงพื้นโครมใหญ่ แค่นเสียงคำรามลั่น
“ความจริงเรื่องราวไฉนจบลงหมดจดสวยงามเช่นนี้ ขอทานน้อยขโมยเงินผู้คนไม่ใช่ซักผ้ารีดผ้า ต่อให้ได้เงินคืนมา ยังต้องสับนางเป็นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบก้าวแผล โรยน้ำมันงาและขิงฝอยทอดน้ำมันร้อน ๆ ส่งขึ้นโต๊ะอาหารเย็น โด่เอ้ย...”
วาจายิ่งฟังไปยิ่งดุร้ายป่าเถื่อนไม่คล้ายวาจาผู้คน
กระบี่รันทดถอนใจ สายตาคล้ายมีม่านหมอกเลือนรางบัดบังเหม่อมองไปยังดินแดนไกลแสนไกลที่คนอื่นไม่อาจสัมผัสรับรู้ ตอนนี้มันไม่เห็นทวนค้ำฟ้าผู้อยู่เบื้องหน้า ทว่ามันเห็นดรุณีน้อยแห่งหมู่ตึกไร้รักซึ่งตามหลอกหลอนในความรู้สึกแทบทุกลมหายใจ กระทั่งคมทวนคุกคามเข้ามามันจึงคล้ายคนเพิ่งรู้ตัวได้สติจากความฝัน
“ไฉนในโลกเราจึงมีคนเช่นนี้ ไฉนเราพบพานคนเช่นนี้ ทำไมเป็นคนแบบนี้ ทำไมถึงทำเช่นนี้”
มันกล่าวประโยคแรกก็ลุกขึ้น กล่าวจบประโยคที่สองก็ชักกระบี่ออก กล่าวจบประโยคที่สามมันมาอยู่ข้างหน้าทวนค้ำฟ้าแล้ว
เริ่มต้นพยางค์แรกในประโยคที่สี่ มันเริ่มแทงกระบี่แรกออก จบสิ้นประโยคที่สี่ มันแทงกระบี่ออกไปสิบสามกระบี่ สิบสามกระบี่รวดเร็วร้อนแรงยิ่งกว่าประกายไฟ
ทวนค้ำฟ้าคาดคิดไม่ถึงเด็ดขาด ว่าคนที่มีสีหน้าโศกเศร้าเหลือแสนเช่นนี้จู่ ๆ จะลุกขึ้นจู่โจมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คล้ายนึกลงมือเป็นลงมือ ไม่มีการถามไถ่ประกาศชื่อแซ่ตามกฎกติกาและมารยาทของจอมยุทธ์ แม้แต่น้อย
แต่มันก็ยอดฝีมือผู้หนึ่ง ประกายกระบี่พอสว่างวาบ ทวนในมือก็กลายเป็นม่านทวนผืนหนึ่งถักทอจากสามสิบทวนต้านรับสิบสามกระบี่ ทวนของมันสร้างมาจากไม้ฉำฉาพันปี ทั้งแข็งทั้งเหนียว ไม่ทราบว่ารับศาสตราอาวุธมามากน้อยเท่าใดยังไม่เคยบุบสลาย
.
กระบี่รันทด 5.........โฉมสะคราญโรงเตี๊ยม
หลังออกจากหมู่ตึกไร้รักได้ กระบี่รันทดเดินทางต่อไปยังเมืองแห่งหนึ่ง และเข้าไปพักในโรงเตี๊ยม
กระบี่แสนหล่อและทวนค้ำฟ้าปรากฏตัวพร้อมด้วยเกิดการล้วงกระเป๋ากันขึ้น โดยฝีมือของเด็กน้อยผู้หนึ่ง
การด่าของนางดุเดือดร้อนแรงปานประกายไฟและรวดเร็วต่อเนื่องไม่ขาดตอน แม้ว่าจะด่าออกมาแบบไม่เป็นภาษามนุษย์ฟังไม่ออกบอกไม่ได้ก็ตาม แต่ความร้ายกาจของการด่าอยู่ที่สีหน้าทางจนแทบหมดสิ้น
บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทวนค้ำฟ้าเซถอยหลังตึงๆ ไปสามสี่ก้าวผมเผ้าลุกชี้ชันราวขนเม่น มันถูกด่าจนลมปราณพลุ่งพล่านแทบกระอักออกมาเป็นโลหิต ชีวิตนี้ยังไม่เคยถูกใครด่าขนาดนี้มาก่อน ความฝันและความหวังที่ว่า จะยอมให้เฉพาะภรรยาเท่านั่นด่าได้ พังทลายหมดสิ้น
กระบี่แสนหล่อพลันยกมือขึ้นร้องบอกด้วยเสียงหล่อว่า
“อะเห้ย...ท่านหยุดด่าก่อนฟังข้าสักนิด เกรงใจจริง ๆ อะเห้ย...”
เสียงอะเห้ย...ของมันทุ้มนุ่มนวล มิติของเสียงกระจ่างชัดทุ้มหนักแน่นแหลมไม่บาดหู แยกซ้ายขวาไกลใกล้ชัดเจนไม่อับทึบ จนสตรีนางนั้นพอรับฟังต้องชะงักปากทันที
กระบี่แสนหล่อยิ้มแย้มกล่าวต่อไปว่า
“ที่บอกเปิดผ้าหมายถึงผ้าปูโต๊ะ...ไม่ใช่กระโปรงของท่าน เกรงว่าจะเข้าใจผิดกัน เกรงใจจริงๆ อะเห้ย...”
สตรีนางนั้นสีหน้าชาค้างไปแล้ว นางนับว่าเข้าใจผิดไป ความเขินอายเริ่มบังเกิดทันทีจนต้องยกมือของนางขึ้น นางมิอาจไม่อาย ใช้ฟันกัดแทะเล็บตัวเองไม่คิดชีวิต
เข้าใจผิด...แต่ตบหน้าคนไม่ผิดเป้า ทวนค้ำฟ้าตั้งหลักได้พลันคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น ดึงทวนออกมาจากด้านหลัง พุ่งร่างเข้ามาปานพายุ
“ความจริงเจ้าด่าคนเปะปะ จงไปด่าคนต่อในยมโลกเถิด”
เพลงทวนรุนแรงหนักหน่วง พุ่งเข้าหาคอหอยของสตรีจอมด่าปานสายฟ้า
สามีของนางนั่งอยู่ ญาติพี่น้องหลายคนต่างนั่งอยู่ ทุกคนยังอึงอลมึนงงกับพลานุภาพแห่งการด่าเมื่อครู่ ไหนเลยยังสามารถเสนอตัวมารับทวนเกรี้ยวกราด
“ช้าก่อน”
พลันมีเสียงสดใจเจื้อยแจ้วดังขึ้น ขณะคมทวนกำลังพุ่งออกไป เสียงนั้นไม่ได้สนั่นหวั่นไหว ไม่ได้แผ่วเบาราวกระซิบกระซาบ แต่ทุกคนล้วนได้ยินชัดเจนราวผู้เอ่ยปากกำลังแทะเล็มข้างใบหู
“ในยมโลกมีเฉพาะภูตผีปีศาจ...ไหนเลยยังมีผู้คนเป็น ๆ ให้ด่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
สภาวะทวนชะงักค้าง นิ้วชี้นิ้วกลางเรียวงามของคนผู้หนึ่ง คีบปลายทวนทั้งแหลมทั้งคมทั้งรวดเร็วทั้งหนักหน่วงไว้
เป็นสตรีในชุดแดงยาวลายดอกเหมยบาดตาบาดใจผู้คน อายุไม่อยู่ในวัยดรุณีแรกแย้มแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัยทองชราภาพจนหมดอายุการใช้งาน ยังคงความงามนุ่นนวลเร้าใจของวัยสามสิบกว่าขวบปีได้อย่างน่าตื่นตาเร้าใจ
ไม่ทราบว่านางมาตั้งแต่เมื่อไร ลงมือเช่นไร เพียงทราบนางลงมือก็ใช้สองนิ้วสยบคมทวนไว้ได้ นับว่าน่าแตกตื่นสะท้านขวัญสุดแสน
นิ้วคีบคมทวน สายตาจับจ้องมองหยาดเยิ้ม ริมฝีปากบางยิ้มแย้มกล่าวต่อไปว่า
“ดังนั้นนางควรอยู่ต่อไป เพื่อสร้างสีสันแห่งการด่าทอกับมนุษยชาติให้ครึกครื้น ไม่ทราบว่าท่านยอมเห็นแก่เรา ลดตัวผ่อนมือวางทวนลงนั่งสักครา”
ทวนค้ำฟ้าคล้ายเป็นคนทุ่มเทกำลังทั้งหมดเป็นกรวดหินลงสู่ทะเล ว้างว้างกว้างใหญ่ไร้ความหมายหมดสิ้น ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลยังมีกรวดหินที่ใดทับถมทะเลเต็มตื้น พลันรู้สึกผิดท่าแล้ว กระบี่แสนหล่อพอเห็นหน้าสตรีนางนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง แต่ยังยิ้มแย้มคารวะจรดพื้นกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“ที่แท้เป็นท่านโฉมสะคราญโรงเตี๊ยม...มิทราบว่าท่านมา พวกเราเสียมรรยาทไปแล้ว เกรงใจจริง ๆ อะเห้ย......”
‘โฉมสะคราญโรงเตี๊ยม’ นามนี้คล้ายมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ หลายคนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที
นางเป็นใครกัน
นางมีนาม ‘โฉมสะคราญ’ แต่ผู้คนมักเรียกขานกันว่า ‘โฉมสะคราญโรงเตี๊ยม’ เพราะนางเป็นเจ้าของกิจการโรงเตี๊ยมหลายแห่ง นางอยู่ในชุดผ้าลายดอกเหมยเบ่งบาน ใบหน้าคล้ายดอกเหมยที่เบ่งบาน ทั้งน่าชมน่าดู ไม่ยิ้มแย้มยังน่าดู ยิ่งยิ้มแย้มยิ่งสุดแสนน่าดู นางคลายนิ้วออก ร่างสูงผอมของทวนค้ำฟ้าเซตึง ๆ ไปกระแทกฝาดังโครม
ความจริงทวนค้ำฟ้ายังสามารถลงมือ แต่ยามนี้ไม่แม้แต่จะคิด
ท่านลงมือใส่คนผู้หนึ่งสุดกำลัง กลับถูกทำลายขั้นตอนและกระบวนการลงมืออย่างง่ายดาย นับว่าทำลายความอาจหาญฮึกเหิมของท่านจนหมดสิ้น
นางหันมามองหน้ากระบี่แสนหล่อกล่าวว่า
“กระบี่แสนหล่อ ท่านหล่อได้เต็มที่มิต้องเกรงใจ ท่านเข้าหามาคนใช่หรือไม่”
กระบี่แสนหล่อพออยู่ต่อหน้านางคล้ายเป็นมุสิกอยู่ต่อหน้าแมว ดูไปเริ่มไม่หล่อเท่าไร รัศมีความหล่อเหลาคล้ายถูกบั่นทอนลง พยักหน้ารับคำไม่ส่งเสียง นางจึงถามต่อไป
“เป็นขอทานน้อยซกมกนางหนึ่ง?”
“ถูกต้อง...เกรงใจจริง ๆ อะเห้ย...”
“นางอยู่ที่นี่จริง แต่นางล่วงเกินอะไรพวกท่าน”
“นางขโมยเงินพวกเรา เกรงใจจริง ๆ อะโห้ย”
“เท่าไร”
“ร้อยเหรียญ เกรงใจจริง ๆ ”
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมฟังแล้วพลันหัวร่อกล่าว “พวกท่านเป็นจอมยุทธ์ ไฉนให้นางล้วงกระเป๋าพวกท่านได้ “
“อะเห้ย...ชะมดน้อยตัวนั้นกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง...เกรงใจจริง ๆ”
นางรับฟังแล้วยิ้มแย้ม พลันหันกายเดินมาที่โต๊ะของกระบี่รันทดซึ่งกำลังนั่งมองเหตุการณ์อยู่อย่างเงียบงัน ใช้สายตาชนิดหนึ่งจับจ้องมองหน้ากระบี่รันทดพลางบอก
“เปิดผ้า”
ไฉนวันนี้พาลมีแต่คนอยากเปิดผ้า...วันโลกาวินาศใดกัน... กระบี่รันทดใช่กระโดดปราดขึ้น ตบใส่หน้านางหนึ่งฉาดหรือไม่
มันย่อมไม่ทำ อย่าว่าแต่ไม่ได้สวมกระโปรง แต่คนที่เปิดผ้าคลุมโต๊ะออก กระโดดปราดขึ้นกลับเป็นขอทานซกมกน้อยตัวนั้น นางพอโผล่พ้นออกมาก็กระโดดปราดขึ้นราวกระต่ายน้อยระแวงภัย ทั้งปราดเปรียวทั้งรวดเร็ว
จนใจว่าถ้านางเป็นกระต่ายน้อย โฉมสะคราญก็เป็นพรานล่ากระต่าย ขยับร่างวูบไม่ทราบว่าใช้ท่วงท่าใด พลันถึงตัวขอทานน้อยตะปบมือวูบหนึ่ง คว้าคอเสื้อ มืออีกข้างจี้จุดปราดไปตามร่างกายของกระต่ายน้อยราวสายฟ้า ร่างของขอทานน้อยนับว่าคล้ายกระต่ายน้อยในมือพรานล่ากระต่ายไปแล้ว ทั้งร่างกลับกลายเป็นแข็งทื่อราวขอนไม้ ถูกหิ้วคอเสื้อลากไปเหวี่ยงโครมลงกลางห้องโถงนอนแน่นิ่งเบิ่งตาโตไปมาอย่างอับจนปัญญาอยู่กับพื้น
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมหันไปมองพวกทวนค้ำฟ้าเลิกคิ้วถาม
“ใช่ชะมดน้อยตัวนี้หรือไม่”
ทวนค้ำฟ้ามีสีหน้าอำมหิตขึ้นมาทันที ขบกรามแค่นเสียง
“ความจริงถูกต้อง “
“ท่านคิดทำอย่างไร”
“ยังมีที่ใดดีกว่าการกัดกลืนกินทั้งเป็น...กระดูกเอาไปฝัง เนื้อหนังประดับฝาผนัง ยังมีที่ใดเหมาะกว่านี้ ความจริงเราคิดไม่ออก โด่เอ้ย...”
วาจาของมันพอกล่าวออกไป ชะมดน้อยยังไม่ถูกกัดกลืนกินทั้งเป็นแต่ยามนี้ดูไม่ห่างจากถูกกัดกลืนเข้าไปแล้วจริง ๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแว่วประหวั่นพรั่นพรึงขวัญเสีย มีคนบอกว่าจะกัดกินกลืนท่านทั้งเป็นท่านยังจะสามารถเบิกบานใจได้
ทวนค้ำฟ้ากระโดดปราดออกมากลางห้อง พร้อมทวนคู่มือในท่วงท่าเตรียมพร้อม
เงินร้อยเหรียญ บอกว่ามากก็มาก บอกว่าน้อยก็น้อย บอกว่าไม่มากไม่น้อย ก็ไม่อาจมากไปหรือน้อยไป ย่อมขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์ เฉกเช่นเศรษฐีชั้นผู้ใหญ่บางคนเห็นเงินร้อยเหรียญไม่อยู่ในสายตา พบพานหล่นข้างทางเห็นเป็นเพียงเศษงานเล็กน้อย อับอายจะลดตัวงอเอวก้มหลังลงเก็บ แต่กับคนยากไร้พบเงินร้อยเหรียญ ดีใจแทบฟั่นเฟือน นำไปเจือจุนครอบครัวได้เนิ่นนาน
กับขอทานซกมกน้อย ไม่ทราบว่าเงินจำนวนนี้ควรมากควรน้อย ? ที่ทราบชัดมันกำลังจะตายเพราะเงินจำนวนนี้ ภายใต้คมทวนค้ำฟ้าผู้ขุ่นเคืองดาลเดือดสุดขีด เพียงคมทวนแทงออกไป ขอทานชะมดน้อยต้องไม่มีวาจากล่าวอีกตลอดกาล
โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมกระทั่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปร ความเป็นความตายคนอื่นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของนาง...ดังนั้นมีที่ใดควรวิตกกังวล นางกลับดูเลือดเย็นอย่างยิ่ง หรือนางเป็นสตรีเลือดเย็นขนาดนั้น
“ช้าก่อน”
เสียงไม่ดังไม่ค่อยดังขึ้นก่อนทวนค้ำฟ้าจะลงมือ
กระบี่รันทดนั่นเองสอดแทรกเข้ามากลางคัน
กระบี่ของมันคงวางบนโต๊ะไม่มีทีท่าชักออก อาหารบนโต๊ะหมดไปกว่าค่อน มันอิ่มไปกว่าครึ่ง น้ำชาหลายจอกกรอกแห้งไปเจ็ดส่วน มองหน้าทวนค้ำฟ้าด้วยสายตาหม่นมัวคล้ายมองความว่างเปล่า กล่าวต่อไปช้า ๆ ว่า
“ขอทานน้อยขโมยเงินท่านข้าเข้าใจความเศร้าเสียใจของท่านดี คาดว่าเงินคงอยู่ในตัวนาง ค้นตัวนางย่อมเจอเงินของท่าน ท่านรับเงินคืน นางจากไป เรื่องราวควรจบลงเช่นนี้ใช่หรือไม่”
ทวนค้ำฟ้าคล้ายกำลังหาที่ระบายออก พลันกระแทกด้ามทวนลงพื้นโครมใหญ่ แค่นเสียงคำรามลั่น
“ความจริงเรื่องราวไฉนจบลงหมดจดสวยงามเช่นนี้ ขอทานน้อยขโมยเงินผู้คนไม่ใช่ซักผ้ารีดผ้า ต่อให้ได้เงินคืนมา ยังต้องสับนางเป็นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบก้าวแผล โรยน้ำมันงาและขิงฝอยทอดน้ำมันร้อน ๆ ส่งขึ้นโต๊ะอาหารเย็น โด่เอ้ย...”
วาจายิ่งฟังไปยิ่งดุร้ายป่าเถื่อนไม่คล้ายวาจาผู้คน
กระบี่รันทดถอนใจ สายตาคล้ายมีม่านหมอกเลือนรางบัดบังเหม่อมองไปยังดินแดนไกลแสนไกลที่คนอื่นไม่อาจสัมผัสรับรู้ ตอนนี้มันไม่เห็นทวนค้ำฟ้าผู้อยู่เบื้องหน้า ทว่ามันเห็นดรุณีน้อยแห่งหมู่ตึกไร้รักซึ่งตามหลอกหลอนในความรู้สึกแทบทุกลมหายใจ กระทั่งคมทวนคุกคามเข้ามามันจึงคล้ายคนเพิ่งรู้ตัวได้สติจากความฝัน
“ไฉนในโลกเราจึงมีคนเช่นนี้ ไฉนเราพบพานคนเช่นนี้ ทำไมเป็นคนแบบนี้ ทำไมถึงทำเช่นนี้”
มันกล่าวประโยคแรกก็ลุกขึ้น กล่าวจบประโยคที่สองก็ชักกระบี่ออก กล่าวจบประโยคที่สามมันมาอยู่ข้างหน้าทวนค้ำฟ้าแล้ว
เริ่มต้นพยางค์แรกในประโยคที่สี่ มันเริ่มแทงกระบี่แรกออก จบสิ้นประโยคที่สี่ มันแทงกระบี่ออกไปสิบสามกระบี่ สิบสามกระบี่รวดเร็วร้อนแรงยิ่งกว่าประกายไฟ
ทวนค้ำฟ้าคาดคิดไม่ถึงเด็ดขาด ว่าคนที่มีสีหน้าโศกเศร้าเหลือแสนเช่นนี้จู่ ๆ จะลุกขึ้นจู่โจมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คล้ายนึกลงมือเป็นลงมือ ไม่มีการถามไถ่ประกาศชื่อแซ่ตามกฎกติกาและมารยาทของจอมยุทธ์ แม้แต่น้อย
แต่มันก็ยอดฝีมือผู้หนึ่ง ประกายกระบี่พอสว่างวาบ ทวนในมือก็กลายเป็นม่านทวนผืนหนึ่งถักทอจากสามสิบทวนต้านรับสิบสามกระบี่ ทวนของมันสร้างมาจากไม้ฉำฉาพันปี ทั้งแข็งทั้งเหนียว ไม่ทราบว่ารับศาสตราอาวุธมามากน้อยเท่าใดยังไม่เคยบุบสลาย
.