บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36517838
ทางสามแพร่งนอกเมือง
นภาจันทร์กระจ่างฟ้าดาราวาววิบวับ เงาร่างสายหนึ่งกรีดฝ่าอากาศออกมาจากเงาไม้ข้างทาง ด้วยท่าร่างสวยงามดั่งพญาอินทรีย์เหินหาว ก่อนร่วงตุบลงมาดั่งอีแร้งหมดแรงร่วง แต่ก็รีบตะกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเร้นกายหนีออกมาจากบ้าน
ใต้เงาจันทร์ สุนัขตัวหนึ่งโก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น เสียงเห่าหอนของมันฟังไปคล้ายรหัสนัดแนะชนิดหนึ่ง ภายหลังมันยืดตัวตรงลุกขึ้นยืนสองขาสลัดหน้ากากทิ้ง ความจริงเป็นคนผู้หนึ่งปลอมตัวเป็นสุนัข แนบเนียนกระทั่งสุนัขพันธุ์แท้ยังสังเกตไม่ออกว่าคนหรือสุนัขในคืนหอน
ในสายลมเฉื่อยฉิว หัวมุมถนนซึ่งทอดยาวออกมาจากตัวเมืองยังมีคนขาเป๋ผู้หนึ่งใช้ไม้เท้าพยุงกายมาอย่างลำบากยากเย็น แต่พอถึงทางสามแพร่งพลันโยนไม้เท้าทิ้ง ท่าทีเปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ที่แท้เป็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่งปลอมตัวเป็นคนขาเป๋ หลบหน้าภรรยาออกมาจากบ้าน บุรุษผู้นี้มั่นใจเปี่ยมล้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าภรรยาของมันสังเกตไม่ออกเด็ดขาด เพราะมันความจริงขาไม่เป๋ ความจริงข้อนี้ทำให้มั่นใจว่าต่อให้ภรรยามาเจอหน้าจังๆ ก็ไม่สามารถแยกแยะจดจำแน่นอน
เงาร่างค่อยทยอยปรากฏตัวขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นกลุ่มใหญ่
คนกลุ่มนั้นต่างวัยต่างอายุแต่เป็นบุรุษเพศโดยสิ้นเชิง พวกมันใช้สารพัดวิธีในการออกมาจากบ้าน เช่น ปลอมตัว โกหก หลอกลวง ละเมอ กระทั่งออกมาแบบหน้าด้านๆ
ท่วงท่าของมันแปรเปลี่ยนจากซึมเซาเหงาหงอยเป็นคึกคักแจ่มใสราวมีมนตร์มายากระตุ้น เสียงพูดคุยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“เมื่อคืนภรรยาท่านว่าอย่างไรบ้าง”
“เฮอะ…ว่าอย่างไร เรากลับไปนางยังบังอาจนั่งรออยู่ที่หน้าบ้าน พอเห็นหน้าเราทำท่าจะดุด่าว่ากล่าว เราอาศัยวิชา “บาทาไร้เงา” กวาดใส่ไปสามกระบวนท่า นางถึงกับล้มลง พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ในที่สุดต้องวิงวอนขอโทษเรา แล้วท่านล่ะ”
"เรากลับไปนางยังหลับอยู่เลย นับว่าเป็นโชคดีของนาง เพราะหากบังอาจไม่หลับมานั่งรอคอยเสนอหน้าก่อกวนบรรยากาศ ตบเป็นตบ เตะเป็นเตะ ศอกเป็นศอก เข่าเป็นเข่า ให้รู้ว่าไผเป็นไผ”
“ส่วนเราเห็นนางถือปังตอรอคอยอยู่ ท่านก็รู้นิสัยเราว่าห้าวหาญปานใด อาศัยมือเปล่าเท้าเปลือย เข้าไปแย่งปังตอมาได้ ก่อนจระเข้ฟาดหางเข้าก้านคอนางเป็นการสั่งสอน นางถึงกับล้มลง เราเข้าไปสับมือนับได้ถึงหก ก็ต้องรีบประคองถอดฟันปลอมออกพานางเข้ามุม…เอ้ย...เข้านอน ตอนเช้านางฟื้นคืนสติ ยังเลอะเลือนฟั่นเฟือนเข้าใจว่าฝันไป…”
“อ้อ….”
“พวกนางเป็นพวกที่เห็นโลงศพมิหลั่งน้ำลายจริงๆ”
เสียงพูดคุยกันอย่างโอ่อ่าลำพองผยองยิ่งสูงเยี่ยมเทียมฟ้า ท่าทีคล้ายผีดูดเลือดถึงยามราตรีพลันพลิกฟื้นมีชีวิตชีวา
ไกลออกไปทางนอกเมืองข้างหน้า แสงไฟสีเขียวปรากฏเห็นรำไร แสงนั้นดั่งมีพลานุภาพเร้นลับเพริดแพร้วพิสดาร พวกมันแค้นใจที่ไม่สามารถเร่งรุดไปให้เร็วกว่านี้
ไม่มีใครสังเกตว่าด้านหลังของพวกมัน เงาร่างอีกกลุ่มหนึ่งแอบไล่ล่าติดตามไปราวปีศาจล่าวิญญาณ คาดว่าคืนนี้เกิดเรื่องราวใหญ่โตแล้ว
โคมไฟสีเขียวกระจ่างสดใสช่างทอประกายอบอุ่นนุ่มนวลปลอบประโลมใจกระไรปานนั้น เพียงท่านอยู่หน้าหมู่ตึกก็แทบลืมความทุกข์ทั้งมวล ข้างในเล่ามีแต่คนเอาอกเอาใจ สตรีข้างในล้วนมีฝีมือในการปรนนิบัติพัดวี ร้องเพลงขับขาน สุราอาหารชั้นดี เช่นนี้จึงสามารถบันดาลให้เหล่าบุรุษจับจ่ายเงินทองออกไปไม่คิดชีวิต
พวกมันยินยอมถูกภรรยาโขกสับ ทุบตี สั่งสอน ดุด่าว่ากล่าว…ด้วยความหวังดีมาชั่วชีวิตการแต่งงาน บางทีนี่เป็นโอกาสเดียวของพวกมันกับการมีชีวิตเปี่ยมสุขดังฝัน มาตรว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ภายภาคหน้าพวกมันจะระลึกถึงช่วงเวลางดงามนี้…เก็บภาพฝันสวยงามไว้แนบอกตลอดไป ปลอบประโลมยามสิ้นหวังหดหู่
ควรที่ทุกคนควรมีความหลังงดงามสักช่วงหนึ่งเก็บไว้ดื่มด่ำหรือไม่…ความฝันและความทรงจำบางชนิดเพียงระลึกถึงก็มีความสุขแบบเงียบๆ…และเหงาๆ ได้แล้ว ไม่ว่าจะผ่านความโหดร้ายของกาลเวลาไปเท่าใดก็ตาม
ท่านมีความหลัง ความฝันที่งดงามประทับใจ ไม่มีใครแตะต้องรับรู้ได้ ควรค่าแก่การเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจช่วงหนึ่งหรือไม ถึงแม้จะเป็นวันเวลากระชั้นสั้นราวดาวตกร่วงหล่นบนฟากฟ้ายามค่ำคืน
บรรดาเหล่าบุรุษในเมืองที่พากันใช้สารพัดวิชามาร หลบออกมาจากบ้านยามค่ำคืน หลังรวมกลุ่มกันได้ก็เคลื่อนทัพตรงไปยังหมู่ตึกโคมเขียว สังขารไปยังไม่ถึง แต่จิตใจของพวกมันโบยบินล่วงหน้าไปนานแสนนานแล้ว ความลำพองผยองใจทำให้ลืมสังเกตรับรู้ลางสังหรณ์ฆ่าฟันแผ่ซ่านติดตามด้านหลังมาอย่างอำมหิตสุดแสน
เงาดำกลุ่มหนึ่งสะกดรอยตามมาย่อมเป็นบรรดาภรรยาของพวกมัน บรรยากาศยามค่ำคืนค่อนข้างเย็นยะเยียบแต่พวกนางกลับคล้ายตกลงไปในหล่มเพลิง โทสะปะทุแทบลุกไหม้ด้วยไฟนรกเผาผลาญ พวกนางติดตามมาจนเห็นตัวโง่งมจนพ้นออกจากแนวป่า พอพ้นแนวป่าทิวทัศน์พลันกระจ่างสดใส หมู่ตึกโคมเขียวคล้ายสรวงสวรรค์ร่วงหล่นบนดินจริงๆ โคมไฟสีเขียวอบอุ่นนุ่มนวลปลอบประโลม เสียงขับร้องลำนำขับขานแว่วออกมาจากทางหน้าต่าง เสียงหัวร่อต่อกระซิกหยอกล้อ ดนตรีมโหรีขับกล่อมประสานกลิ่นอาหารรสเลิศ...สภาพเช่นนี้หรือมิใช่ทิพย์พิมานบนดิน
ก่อนถึงหมู่ตึกมีคูนำกว้างใหญ่ขวางอยู่ สะพานหินทอดยาวข้ามไปฝั่งตรงข้าม พวกนางพากันดาหน้าข้ามไปแต่พลันพบว่าอีกฟากมีดรุณีสองนางดาหน้ามาต้อนรับเช่นกัน
ดรุณีน้อยที่ทั้งน่ารักทั้งสวยงาม บรรดาพวกภรรยาทั้งหลายพอพานพบไฟริษยาพลันพวยพุ่งขึ้นโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ทั้งแม่เฒ่าปากตลาด แม่นางส้มตำ แม่นางขนมเข่ง ซือเจ๊ผักดอง ท่านป้าอ่อมเนื้อ และคนอื่นๆครุ่นคิดว่าถ้าหากสามีพวกนางมาจะต้องจับพวกมันปิดตาเพื่อไม่ให้มองเห็น ปิดจมูกเพื่อไม่ได้รับกลิ่น มัดมือมัดเท้าจับวางใส่บ่าวิ่งเตลิดหนีไปไกลแสนไกลสุดหล้าฟ้าเขียว
ดรุณีน้อยทั้งสองยิ้มแย้มโค้งคาราระ นางหนึ่งกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ
“สถานที่นี้ต้อนรับเฉพาะบุรุษ พวกท่านเป็นอิสตรีไม่อาจตระเตรียมการต้อนรับทัน ขออภัย”
แม่นางซกเล็กกวาดตามองอีกฝ่าย เห็นพวกนางทั้งเยาว์วัยทั้งสวยงามน่าเกลียดจึงตวาดว่า
“สถานผีสางใดกัน บุรุษเข้าได้สตรีเข้าไม่ได้”
“ทุกที่ย่อมมีกฎระเบียบของตัวเอง กฎที่นี่คือเราต้อนรับเฉพาะบุรุษ”
“เชอะ…” แม่นางปูเค็มแค่นเสียงเหยียดหยามบ้าง “ที่แท้เป็นซ่องคณิกาโสโครกนั่นเอง”
ดรุณีน้อยสองนางถึงกับไม่มีโทสะสักน้อย ยังคงพากันอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบร้อยเกรงอกเกรงใจผู้คนเช่นเดิมว่า
“พวกท่านผิดแล้ว ที่นี่เราไม่ขายตัวเพียงขายเสียงเพลงโคลงกลอนกวีและดนตรีปรนนิบัติเท่านั้น ซึ่งเรื่องเช่นนี้อย่างไรก็ไม่เหมาะสมกับพวกท่านแน่นอน เชิญกลับไปก่อนเถิด”
แม่เฒ่าปากตลาดก้าวล้ำหน้าออกมาแล้ว รังสีแห่งการด่าแผ่ซ่านไปทั่ว หลายคนรู้สึกขนพองสยองก้าวอย่างยิ่ง เงาของไม้นามของคนสามารถข่มจิตใจผู้คนได้จริง……
นางร้องด่าไปชุดหนึ่ง
“@#$%&**+%#$%#@$W”
ในที่สุดนางพลันลงมือ คำด่าของนางชุดนี้จัดว่าทั้งอำมหิตทั้งโหดร้าย ใช้ถ้อยคำมากกว่านี้ก็จะดูเยิ่นเย้อ ใช้ถ้อยคำน้อยกว่านี้ก็จะดูรวบรัดเกินไป เรียบเรียงถ้อยคำสวยงามกินใจ การด่าแสนหมดจดงดงามสมบูรณ์ทั้งอักขระพยัญชนะ เสียงสูงต่ำเต็มไปด้วยอานุภาพรุนแรงเกรี้ยวกราดร้อนแรงรวดเร็ว จนบันดาลให้ไม่อาจหลบหนีปัดป้องทัดทาน
ในโลกนี้ยังมีผู้ใดสามารถต้านทาน
ดรุณีน้อยสองนางย่อมไม่อาจต้านทาน
คำด่าพอผ่านพ้น ดรุณีน้อยทั้งสองนางพลันล้มลงสลบทันที นกฮูกตัวหนึ่งที่บังเอิญบินผ่านมาฟังเสียงด่าจนแฉลบเสียหลักหล่นตูมลงไปในน้ำ พอตะกายขึ้นมาได้ก็คิดว่าตัวเองเป็นเป็ดส่งเสียงร้องก๊าบๆไปตลอดทาง…กลายเป็นนกฮูกวิกลจริตไปแล้ว
บรรดาแม่บ้านแม้นจะชินชากับกระบวนท่าแห่งการด่า ยังพากันซวนเซไปมาเป็นสนต้องลม เลือดลมพลุ่งพล่าน การด่าของแม่นางปลาปากร้ามิเสียทีเป็นเจ้าสำนักด่าปลิดวิญญาณจริงๆ
นางยกมือโบกมือเป็นสัญญาณโจมตี
“พวกเราบุก”
บรรดาแม่บ้านกำลังฮึกเหิมเกริม พากันร่ำร้องตวาดสับสน บุกเข้าไปราวกระแสน้ำเชี่ยว แต่แล้วพวกนางก็พากันหยุดอยู่หน้าตึกนั่นเอง เงาร่างสายหนึ่งโฉบพุ่งลงมาจากหมู่ตึก ท่าร่างสวยงามสูงส่ง ทว่าคนกลับยิ่งน่าดูชมกว่า สตรีนางที่พุ่งลงมายิ้มแย้มด้านหน้าอยู่ในชุดแพรพรรณสีเขียวกระจ่างสดใส นุ่มนวลล้อแลงโคมเขียวเปล่งปลั่งเจิดจรัส
ก่อนนางปรากฏกายบุปผานานาพันธุ์สองฝั่งฟากยังสวยงามโดดเด่นกลางแสงโคม พอนางปรากฏกาย บุปผากลับคล้ายอับหมองหม่นมัวไปทันที ความงดงามเช่นนี้มีไม่มากเลยในโลก
สายตาของเหล่าภรรยาทั้งหลายทอประกายริษยาตาร้อนแทบปะทุเป็นไฟ หลังนางปรากฏกาย สตรีนับสิบนางค่อยทยอยเรียงรายออกมาล้อมรอบนางเป็นรูปครึ่งวงกลมคันเคียวเสี้ยวจันทร์ พวกนางท่าทีนอบน้อมเกรงใจผู้คนอย่างยิ่ง
โฉมสะคราญโคมเขียวปรากฏกายแล้ว
ความงดงามของสตรีย่อมเป็นที่ขัดเคืองหูตาของอิสตรี แม่นางส้มตำไม่เพียงขัดหูขัดตาเท่านั้น ยังขุ่นแค้นริษยาอาฆาตพยาบาท นางพลิกมือวูบ…สากบินไร้เงาปรากฏในมือทันที
นางตวาดคำหนึ่ง..ซัดสากบินไร้เงาออกไป
สากบินไม่เคยพลาดเป้า สะบัดร้อยครั้งถูกครกร้อยครา
กำลังข้อมือและพลังภายในของนางเข้มแข็งอย่างยิ่ง สากที่ใช้เป็นสากวิเศษทำมาจากไม้มะขามพันปี เพียบพร้อมทั้งจังหวะโอกาส เพราะนางซัดหัดปาใส่หัวผู้เป็นสามีอยู่เป็นประจำจนชำนาญจัดเจน ผู้คนไม่ทราบว่านางพกสากบินไร้เงามากี่อัน เนื่องเพราะพอซัดอันแรกออกก็ไม่จำเป็นต้องซัดอันที่สอง สากบินไม่เคยพลาดเป้า ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องซัดอันที่สอง
โฉมสะคราญพลันยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง ด้วยท่าทีอ่อนช้อยสวยงามราวเริงระบำรำร่าย
สากบินไร้เงาพลันสลายหายวับ กลับกลายเป็นตะเกียบสิบคู่ ลอยกระเด็นเข้าไปอยู่ในมือของเหล่าอิสตรีทั้งสิบนาง ที่เรียงรายอยู่โดยรอบ
เหล่าภรรยาทั้งหลายตะลึงลานไปทันที โฉมสะคราญโคมเขียวไม่เพียงสวยงามเลอเลิศข่มบุปผาทั้งหลายทั้งมวลในใต้หล้า ฝีมือของนางยังยอดเยี่ยมสูงส่งสุดบรรยาย นางหันไปกล่าวกับเหล่าดรุณีของนางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“พวกเจ้าดู…เป็นตะเกียบคุณภาพดีหรือไม่”
มีต่อครับ
โฉมสะคราญโคมเขียว..........2 (จบ)
https://ppantip.com/topic/36517838
ทางสามแพร่งนอกเมือง
นภาจันทร์กระจ่างฟ้าดาราวาววิบวับ เงาร่างสายหนึ่งกรีดฝ่าอากาศออกมาจากเงาไม้ข้างทาง ด้วยท่าร่างสวยงามดั่งพญาอินทรีย์เหินหาว ก่อนร่วงตุบลงมาดั่งอีแร้งหมดแรงร่วง แต่ก็รีบตะกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเร้นกายหนีออกมาจากบ้าน
ใต้เงาจันทร์ สุนัขตัวหนึ่งโก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น เสียงเห่าหอนของมันฟังไปคล้ายรหัสนัดแนะชนิดหนึ่ง ภายหลังมันยืดตัวตรงลุกขึ้นยืนสองขาสลัดหน้ากากทิ้ง ความจริงเป็นคนผู้หนึ่งปลอมตัวเป็นสุนัข แนบเนียนกระทั่งสุนัขพันธุ์แท้ยังสังเกตไม่ออกว่าคนหรือสุนัขในคืนหอน
ในสายลมเฉื่อยฉิว หัวมุมถนนซึ่งทอดยาวออกมาจากตัวเมืองยังมีคนขาเป๋ผู้หนึ่งใช้ไม้เท้าพยุงกายมาอย่างลำบากยากเย็น แต่พอถึงทางสามแพร่งพลันโยนไม้เท้าทิ้ง ท่าทีเปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ที่แท้เป็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่งปลอมตัวเป็นคนขาเป๋ หลบหน้าภรรยาออกมาจากบ้าน บุรุษผู้นี้มั่นใจเปี่ยมล้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าภรรยาของมันสังเกตไม่ออกเด็ดขาด เพราะมันความจริงขาไม่เป๋ ความจริงข้อนี้ทำให้มั่นใจว่าต่อให้ภรรยามาเจอหน้าจังๆ ก็ไม่สามารถแยกแยะจดจำแน่นอน
เงาร่างค่อยทยอยปรากฏตัวขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นกลุ่มใหญ่
คนกลุ่มนั้นต่างวัยต่างอายุแต่เป็นบุรุษเพศโดยสิ้นเชิง พวกมันใช้สารพัดวิธีในการออกมาจากบ้าน เช่น ปลอมตัว โกหก หลอกลวง ละเมอ กระทั่งออกมาแบบหน้าด้านๆ
ท่วงท่าของมันแปรเปลี่ยนจากซึมเซาเหงาหงอยเป็นคึกคักแจ่มใสราวมีมนตร์มายากระตุ้น เสียงพูดคุยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“เมื่อคืนภรรยาท่านว่าอย่างไรบ้าง”
“เฮอะ…ว่าอย่างไร เรากลับไปนางยังบังอาจนั่งรออยู่ที่หน้าบ้าน พอเห็นหน้าเราทำท่าจะดุด่าว่ากล่าว เราอาศัยวิชา “บาทาไร้เงา” กวาดใส่ไปสามกระบวนท่า นางถึงกับล้มลง พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ในที่สุดต้องวิงวอนขอโทษเรา แล้วท่านล่ะ”
"เรากลับไปนางยังหลับอยู่เลย นับว่าเป็นโชคดีของนาง เพราะหากบังอาจไม่หลับมานั่งรอคอยเสนอหน้าก่อกวนบรรยากาศ ตบเป็นตบ เตะเป็นเตะ ศอกเป็นศอก เข่าเป็นเข่า ให้รู้ว่าไผเป็นไผ”
“ส่วนเราเห็นนางถือปังตอรอคอยอยู่ ท่านก็รู้นิสัยเราว่าห้าวหาญปานใด อาศัยมือเปล่าเท้าเปลือย เข้าไปแย่งปังตอมาได้ ก่อนจระเข้ฟาดหางเข้าก้านคอนางเป็นการสั่งสอน นางถึงกับล้มลง เราเข้าไปสับมือนับได้ถึงหก ก็ต้องรีบประคองถอดฟันปลอมออกพานางเข้ามุม…เอ้ย...เข้านอน ตอนเช้านางฟื้นคืนสติ ยังเลอะเลือนฟั่นเฟือนเข้าใจว่าฝันไป…”
“อ้อ….”
“พวกนางเป็นพวกที่เห็นโลงศพมิหลั่งน้ำลายจริงๆ”
เสียงพูดคุยกันอย่างโอ่อ่าลำพองผยองยิ่งสูงเยี่ยมเทียมฟ้า ท่าทีคล้ายผีดูดเลือดถึงยามราตรีพลันพลิกฟื้นมีชีวิตชีวา
ไกลออกไปทางนอกเมืองข้างหน้า แสงไฟสีเขียวปรากฏเห็นรำไร แสงนั้นดั่งมีพลานุภาพเร้นลับเพริดแพร้วพิสดาร พวกมันแค้นใจที่ไม่สามารถเร่งรุดไปให้เร็วกว่านี้
ไม่มีใครสังเกตว่าด้านหลังของพวกมัน เงาร่างอีกกลุ่มหนึ่งแอบไล่ล่าติดตามไปราวปีศาจล่าวิญญาณ คาดว่าคืนนี้เกิดเรื่องราวใหญ่โตแล้ว
โคมไฟสีเขียวกระจ่างสดใสช่างทอประกายอบอุ่นนุ่มนวลปลอบประโลมใจกระไรปานนั้น เพียงท่านอยู่หน้าหมู่ตึกก็แทบลืมความทุกข์ทั้งมวล ข้างในเล่ามีแต่คนเอาอกเอาใจ สตรีข้างในล้วนมีฝีมือในการปรนนิบัติพัดวี ร้องเพลงขับขาน สุราอาหารชั้นดี เช่นนี้จึงสามารถบันดาลให้เหล่าบุรุษจับจ่ายเงินทองออกไปไม่คิดชีวิต
พวกมันยินยอมถูกภรรยาโขกสับ ทุบตี สั่งสอน ดุด่าว่ากล่าว…ด้วยความหวังดีมาชั่วชีวิตการแต่งงาน บางทีนี่เป็นโอกาสเดียวของพวกมันกับการมีชีวิตเปี่ยมสุขดังฝัน มาตรว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ภายภาคหน้าพวกมันจะระลึกถึงช่วงเวลางดงามนี้…เก็บภาพฝันสวยงามไว้แนบอกตลอดไป ปลอบประโลมยามสิ้นหวังหดหู่
ควรที่ทุกคนควรมีความหลังงดงามสักช่วงหนึ่งเก็บไว้ดื่มด่ำหรือไม่…ความฝันและความทรงจำบางชนิดเพียงระลึกถึงก็มีความสุขแบบเงียบๆ…และเหงาๆ ได้แล้ว ไม่ว่าจะผ่านความโหดร้ายของกาลเวลาไปเท่าใดก็ตาม
ท่านมีความหลัง ความฝันที่งดงามประทับใจ ไม่มีใครแตะต้องรับรู้ได้ ควรค่าแก่การเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจช่วงหนึ่งหรือไม ถึงแม้จะเป็นวันเวลากระชั้นสั้นราวดาวตกร่วงหล่นบนฟากฟ้ายามค่ำคืน
บรรดาเหล่าบุรุษในเมืองที่พากันใช้สารพัดวิชามาร หลบออกมาจากบ้านยามค่ำคืน หลังรวมกลุ่มกันได้ก็เคลื่อนทัพตรงไปยังหมู่ตึกโคมเขียว สังขารไปยังไม่ถึง แต่จิตใจของพวกมันโบยบินล่วงหน้าไปนานแสนนานแล้ว ความลำพองผยองใจทำให้ลืมสังเกตรับรู้ลางสังหรณ์ฆ่าฟันแผ่ซ่านติดตามด้านหลังมาอย่างอำมหิตสุดแสน
เงาดำกลุ่มหนึ่งสะกดรอยตามมาย่อมเป็นบรรดาภรรยาของพวกมัน บรรยากาศยามค่ำคืนค่อนข้างเย็นยะเยียบแต่พวกนางกลับคล้ายตกลงไปในหล่มเพลิง โทสะปะทุแทบลุกไหม้ด้วยไฟนรกเผาผลาญ พวกนางติดตามมาจนเห็นตัวโง่งมจนพ้นออกจากแนวป่า พอพ้นแนวป่าทิวทัศน์พลันกระจ่างสดใส หมู่ตึกโคมเขียวคล้ายสรวงสวรรค์ร่วงหล่นบนดินจริงๆ โคมไฟสีเขียวอบอุ่นนุ่มนวลปลอบประโลม เสียงขับร้องลำนำขับขานแว่วออกมาจากทางหน้าต่าง เสียงหัวร่อต่อกระซิกหยอกล้อ ดนตรีมโหรีขับกล่อมประสานกลิ่นอาหารรสเลิศ...สภาพเช่นนี้หรือมิใช่ทิพย์พิมานบนดิน
ก่อนถึงหมู่ตึกมีคูนำกว้างใหญ่ขวางอยู่ สะพานหินทอดยาวข้ามไปฝั่งตรงข้าม พวกนางพากันดาหน้าข้ามไปแต่พลันพบว่าอีกฟากมีดรุณีสองนางดาหน้ามาต้อนรับเช่นกัน
ดรุณีน้อยที่ทั้งน่ารักทั้งสวยงาม บรรดาพวกภรรยาทั้งหลายพอพานพบไฟริษยาพลันพวยพุ่งขึ้นโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ทั้งแม่เฒ่าปากตลาด แม่นางส้มตำ แม่นางขนมเข่ง ซือเจ๊ผักดอง ท่านป้าอ่อมเนื้อ และคนอื่นๆครุ่นคิดว่าถ้าหากสามีพวกนางมาจะต้องจับพวกมันปิดตาเพื่อไม่ให้มองเห็น ปิดจมูกเพื่อไม่ได้รับกลิ่น มัดมือมัดเท้าจับวางใส่บ่าวิ่งเตลิดหนีไปไกลแสนไกลสุดหล้าฟ้าเขียว
ดรุณีน้อยทั้งสองยิ้มแย้มโค้งคาราระ นางหนึ่งกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ
“สถานที่นี้ต้อนรับเฉพาะบุรุษ พวกท่านเป็นอิสตรีไม่อาจตระเตรียมการต้อนรับทัน ขออภัย”
แม่นางซกเล็กกวาดตามองอีกฝ่าย เห็นพวกนางทั้งเยาว์วัยทั้งสวยงามน่าเกลียดจึงตวาดว่า
“สถานผีสางใดกัน บุรุษเข้าได้สตรีเข้าไม่ได้”
“ทุกที่ย่อมมีกฎระเบียบของตัวเอง กฎที่นี่คือเราต้อนรับเฉพาะบุรุษ”
“เชอะ…” แม่นางปูเค็มแค่นเสียงเหยียดหยามบ้าง “ที่แท้เป็นซ่องคณิกาโสโครกนั่นเอง”
ดรุณีน้อยสองนางถึงกับไม่มีโทสะสักน้อย ยังคงพากันอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบร้อยเกรงอกเกรงใจผู้คนเช่นเดิมว่า
“พวกท่านผิดแล้ว ที่นี่เราไม่ขายตัวเพียงขายเสียงเพลงโคลงกลอนกวีและดนตรีปรนนิบัติเท่านั้น ซึ่งเรื่องเช่นนี้อย่างไรก็ไม่เหมาะสมกับพวกท่านแน่นอน เชิญกลับไปก่อนเถิด”
แม่เฒ่าปากตลาดก้าวล้ำหน้าออกมาแล้ว รังสีแห่งการด่าแผ่ซ่านไปทั่ว หลายคนรู้สึกขนพองสยองก้าวอย่างยิ่ง เงาของไม้นามของคนสามารถข่มจิตใจผู้คนได้จริง……
นางร้องด่าไปชุดหนึ่ง
“@#$%&**+%#$%#@$W”
ในที่สุดนางพลันลงมือ คำด่าของนางชุดนี้จัดว่าทั้งอำมหิตทั้งโหดร้าย ใช้ถ้อยคำมากกว่านี้ก็จะดูเยิ่นเย้อ ใช้ถ้อยคำน้อยกว่านี้ก็จะดูรวบรัดเกินไป เรียบเรียงถ้อยคำสวยงามกินใจ การด่าแสนหมดจดงดงามสมบูรณ์ทั้งอักขระพยัญชนะ เสียงสูงต่ำเต็มไปด้วยอานุภาพรุนแรงเกรี้ยวกราดร้อนแรงรวดเร็ว จนบันดาลให้ไม่อาจหลบหนีปัดป้องทัดทาน
ในโลกนี้ยังมีผู้ใดสามารถต้านทาน
ดรุณีน้อยสองนางย่อมไม่อาจต้านทาน
คำด่าพอผ่านพ้น ดรุณีน้อยทั้งสองนางพลันล้มลงสลบทันที นกฮูกตัวหนึ่งที่บังเอิญบินผ่านมาฟังเสียงด่าจนแฉลบเสียหลักหล่นตูมลงไปในน้ำ พอตะกายขึ้นมาได้ก็คิดว่าตัวเองเป็นเป็ดส่งเสียงร้องก๊าบๆไปตลอดทาง…กลายเป็นนกฮูกวิกลจริตไปแล้ว
บรรดาแม่บ้านแม้นจะชินชากับกระบวนท่าแห่งการด่า ยังพากันซวนเซไปมาเป็นสนต้องลม เลือดลมพลุ่งพล่าน การด่าของแม่นางปลาปากร้ามิเสียทีเป็นเจ้าสำนักด่าปลิดวิญญาณจริงๆ
นางยกมือโบกมือเป็นสัญญาณโจมตี
“พวกเราบุก”
บรรดาแม่บ้านกำลังฮึกเหิมเกริม พากันร่ำร้องตวาดสับสน บุกเข้าไปราวกระแสน้ำเชี่ยว แต่แล้วพวกนางก็พากันหยุดอยู่หน้าตึกนั่นเอง เงาร่างสายหนึ่งโฉบพุ่งลงมาจากหมู่ตึก ท่าร่างสวยงามสูงส่ง ทว่าคนกลับยิ่งน่าดูชมกว่า สตรีนางที่พุ่งลงมายิ้มแย้มด้านหน้าอยู่ในชุดแพรพรรณสีเขียวกระจ่างสดใส นุ่มนวลล้อแลงโคมเขียวเปล่งปลั่งเจิดจรัส
ก่อนนางปรากฏกายบุปผานานาพันธุ์สองฝั่งฟากยังสวยงามโดดเด่นกลางแสงโคม พอนางปรากฏกาย บุปผากลับคล้ายอับหมองหม่นมัวไปทันที ความงดงามเช่นนี้มีไม่มากเลยในโลก
สายตาของเหล่าภรรยาทั้งหลายทอประกายริษยาตาร้อนแทบปะทุเป็นไฟ หลังนางปรากฏกาย สตรีนับสิบนางค่อยทยอยเรียงรายออกมาล้อมรอบนางเป็นรูปครึ่งวงกลมคันเคียวเสี้ยวจันทร์ พวกนางท่าทีนอบน้อมเกรงใจผู้คนอย่างยิ่ง
โฉมสะคราญโคมเขียวปรากฏกายแล้ว
ความงดงามของสตรีย่อมเป็นที่ขัดเคืองหูตาของอิสตรี แม่นางส้มตำไม่เพียงขัดหูขัดตาเท่านั้น ยังขุ่นแค้นริษยาอาฆาตพยาบาท นางพลิกมือวูบ…สากบินไร้เงาปรากฏในมือทันที
นางตวาดคำหนึ่ง..ซัดสากบินไร้เงาออกไป
สากบินไม่เคยพลาดเป้า สะบัดร้อยครั้งถูกครกร้อยครา
กำลังข้อมือและพลังภายในของนางเข้มแข็งอย่างยิ่ง สากที่ใช้เป็นสากวิเศษทำมาจากไม้มะขามพันปี เพียบพร้อมทั้งจังหวะโอกาส เพราะนางซัดหัดปาใส่หัวผู้เป็นสามีอยู่เป็นประจำจนชำนาญจัดเจน ผู้คนไม่ทราบว่านางพกสากบินไร้เงามากี่อัน เนื่องเพราะพอซัดอันแรกออกก็ไม่จำเป็นต้องซัดอันที่สอง สากบินไม่เคยพลาดเป้า ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องซัดอันที่สอง
โฉมสะคราญพลันยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง ด้วยท่าทีอ่อนช้อยสวยงามราวเริงระบำรำร่าย
สากบินไร้เงาพลันสลายหายวับ กลับกลายเป็นตะเกียบสิบคู่ ลอยกระเด็นเข้าไปอยู่ในมือของเหล่าอิสตรีทั้งสิบนาง ที่เรียงรายอยู่โดยรอบ
เหล่าภรรยาทั้งหลายตะลึงลานไปทันที โฉมสะคราญโคมเขียวไม่เพียงสวยงามเลอเลิศข่มบุปผาทั้งหลายทั้งมวลในใต้หล้า ฝีมือของนางยังยอดเยี่ยมสูงส่งสุดบรรยาย นางหันไปกล่าวกับเหล่าดรุณีของนางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“พวกเจ้าดู…เป็นตะเกียบคุณภาพดีหรือไม่”
มีต่อครับ