.
โฉมสะคราญโคมเขียว...........1
ไปค้นเจอต้นฉบับ ที่เขียนเล่นๆ เอาไว้เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว
รู้สึกเสียดาย เลยเอามารีไรท์ใหม่ มาให้อ่านเล่นๆ กันครับ
-------------------
โคมไฟมีมากมายหลายหลากสี ผู้คนมีมากมายหลายหลากหัวใจ ความรักมีมากมายหลายหลากอารมณ์ ชีวิตมีมากมายหลายหลากรสชาติ แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะมีอะไรมากมายอย่างไร ย่อมมีความพิสดารเฉพาะตัว ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวพิสดารของโคมเขียวที่มีพลานุภาพเร้นลับพิสดาร ทำให้บุรุษเพศปางตายใกล้แตกดับ เพียงได้ยินชื่อโคมเขียวยังผวาลุกขึ้นมาปากอ้าตาค้างมีชีวิตชีวา
ทางใต้ของเมืองหลวงมีหมู่ตึกร้างใหญ่โตแต่กลับว่างเปล่าอยู่แห่งหนึ่ง ฟังว่าเจ้าของเดิมเดิมฐานะร่ำรวย เนื่องจากชอบดั้นด้นออกสู่ยุทธภพ เดินทางไปหาหวยสุดขอบฟ้า พักหลังปรากฏว่าท่านถูกวิชามารครอบงำ "หวยล็อคกิน" ติดต่อกันหกงวดซ้อน ๆ ทำให้ธาตุหวยในร่างกายแตกซ่าน กลายเป็นคนวิกลจริตฟั่นเฟือน คิดว่าตนเองเป็นเซียนใบ้หวยเตลิดหายไปจนบัดนี้ ทายาทของท่านไม่มีใครตามไปรับใช้เซียน ต่างพากันหลบหนีด้วยความอับอายขายหน้าจนกลายเป็นหมู่ตึกรกร้างว่างเปล่า
แต่จู่ๆ ปรากฏการณ์พิสดารพลันก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีเค้า
หมู่ตึกที่เคยเงียบเหงาราวสุสานร้าง ตกเย็นพลันปรากฏแสงไฟจากโคมไฟเขียวขจีกระจ่างสดใสเรียงรายอยู่ทั่วไปทั้งทางเดินและตามห้องหับของหมู่ตึก แสงไฟอันอบอุ่นนุ่มนวลรัญจวนใจจนสุดบรรยาย พาจิตใจโบยบินเคลิ้มฝัน ยังคล้ายมีเสียงบรรเลงดนตรีนารีขับขานหัวร่อสดใจราวฝนไข่มุกร่วงลงบนจานหยก เป็นมนต์สะกดให้ชะงักงัน ก่อนชักเท้าก้าวเดินเข้าไปไม่รู้ตัว เป็นสรวงสวรรค์ที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นพิภพ
บรรดาบุรุษเพศในเมือง แต่ก่อนผ่านพ้นแต่ละวันไปด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายปางตาย ยามนี้พลันแปรเปลี่ยนราวภูตผีปีศาจคืนชีพ ตกเย็นกลับกลายเป็นคึกคักแจ่มใสระริกรื่นออกนอกหน้า
เฒ่าเป็ดย่างก็ไม่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์นี้
ตกเย็นมามันมักจะบอกภรรยาว่ามันจะไปดูแลร้าน.... ลืมของในร้าน ลืมใส่กุญแจหน้าร้าน ลืมล้างชามในร้าน กระทั่งบอกว่าจะไปยิงกระต่ายนอกเมือง ตอนแรกภรรยาของมันไม่คิดอะไร เพราะสามีนางเคยอยู่ในโอวาสอย่างเชื่องเชื่อ แต่พักหลังนางเริ่มสังเกตความผิดปกติ
เมื่อเอ่ยถึงเฒ่าเป็ดย่าง มิอาจไม่เอ่ยถึง ภรรยา ของมัน
ภรรยาผู้มีฉายาว่า "แม่เฒ่าปากตลาด"
ในตลาดสดแห่งนี้ร่ำลือถึงสุดยอดหลักวิชาแห่งการด่าทอผู้คนของนาง ด้วยพรสวรรค์และอัจฉริยภาพแห่งการถักร้อยถ้อยอักษรเป็นคำด่าร้ายกาจสุดแสน ฟ้าสะท้านแผ่นดินสะเทือน จนมีข่าวว่านางเคยด่าผู้คนอย่างน้อยด่าจนคนวิกลจิตฟั่นเฟือน อย่างมากด่าคนจนตายทั้งเป็นมาแล้ว
ทารกเมื่อตอนคลอดปกติธรรมดาจะแผดเสียงร่ำร้อง แต่นางเมื่อคลอดจากครรภ์มารดา หมอตำแยบอกว่านางไม่ร้อง พอคลอดออกมาใหม่ ๆ เสียงร้องทาริกาน้อยฟังไปคล้ายเสียงด่าทอ... หมอตำแยถึงกับปากอ้าตาค้าง ทำนายว่าเติบใหญ่นางจะกลายเป็นยอดฝีมือปรมาจารย์ในการด่า อายุเจ็ดขวบ...นางเริ่มค้นพบสวรรค์ของนาง หรือไม่ก็เป็นพรนรกแตก มีสตรีนางหนึ่งหน้าตาสวยสดงดงามเดินผ่านหน้าบ้าน หนูน้อยปากตลาดเกิดความประทับใจจึงเอ่ยปากชมเชยออกไปด้วยความประทับใจในความงดงามด้วยความจริงใจ
"...................."
มิคาดว่าสตรีนางนั้นพอได้ฟังสะดุ้งเฮือก หันมามองด้วยใบหน้าซีดขาว ร่ำร้องว่า
"เจ้า...เจ้าด่าเราทำไม"
มิทันอธิบายก็ปิดหน้าร่ำไห้วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไร้ทิศทางแน่นอนออกไปอย่างอับอาย
ขนาดเอ่ยปากชมผู้คนยังขนาดนี้ ถ้าตั้งใจด่าจะขนาดไหน ลองคิดดู ดังนั้นอีกสามปีต่อมา นางมีงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่ง คือเปิดสำนัก "ด่าปลิดวิญญาณ” คนบางคนด่าคนไม่เป็น บางคนด่าได้แต่ด่าไม่ถูกหลัก หรือด่าถูกหลักแต่ขาดประสิทธิภาพ การด่ามิใช่ง่ายเด็ดขาด การหาเรื่องด่าคนก็มิใคร่ง่าย และการรับมือกับการถูกด่ายิ่งมิใช่เรื่องง่าย ยอดฝีมือในการด่าจำเป็นต้องทนทานต่อการด่าเช่นกัน
ดังนั้นนางจึงกลายเป็น “เจ้าสำนักแห่งการด่าปลิดวิญญาณ” อายุน้อยที่สุด มิเพียงแค่วาจาที่สามารถด่าผู้คนได้ ทุกท่วงท่า ทุกอิริยาบถ ทุกส่วนสัดร่างกายของนางล้วนสามารถด่าผู้คน...เพียงเฉียดใกล้ระยะมองเห็นรังสีแห่งการด่าก็ทำให้หลายคนรู้สึกคล้ายถูกด่าล่วงหน้าไปในอนาคตแล้ว
นางสามารถด่าคนได้หลายแบบ ด่าแบบเผ็ดร้อนรุนแรง ด่าแบบน้ำไหลไฟดับ ด่าเป็นบทกวีลำนำขับขาน ด่าแบบผู้ดี ด่าประเภทสวยงาม ด่าประเภทความคิดสร้างสรรค์ ด่าแบบอาจหาญทะยานฟ้า ด่าแบบลับคมใน ด่าตรงๆ ด่าตีวงโค้ง ด่าด้วยสายตา ด่าแบบนางเอก ด่าแบบหยาบคาย ด่าแบบทะนุถนอม ด่าแบบคลาสสิก ด่าแบบร็อคแอนด์โรล ด่าแบบลำเซิ้ง ด่าแบบกระทบกระเทียบเปรียบเปรย ด่าแบบกระซิบกระซาบอ่อนหวาน ด่าด้วยรอยยิ้ม ด่าต่อหน้า ด่าลับหลัง สารพัดด่า... กระทั่งด่าในใจ
โดยเฉพาะวิชา “การด่าในใจ” นี่จัดว่าร้ายกาจที่สุด คนถูกด่าไม่มีโอกาสรู้ตัว ไม่มีโอกาสโต้ตอบ ด่าได้ทุกเวลาทุกสถานการณ์ทุกสถานที่ ใกล้ไกลไม่สำคัญ อยู่สุดข้ามโลกก็ด่าได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับใดก็มิอาจหลบพ้น เปรียบได้กับสุดยอดกระบี่ของมือกระบี่ที่ไร้รูปไร้ลักษณ์
มีเพียงสามีนาง ถูกด่าจนชาชินกลายเป็นคนเสพติดการถูกด่า วันไดไม่โดนด่านอนมิอาจหลับ เฒ่าเป็ดย่างบอกว่าจะไปยิงกระต่ายแต่กลับไม่มีหน้าไม้ติดมือไปด้วย นางเคยถามเรื่องนี้ แต่เฒ่าเป็ดย่างกลับจ้องมองนางเนิ่นนานก่อนย้อนถามว่า
"แล้วท่านไปเก็บดอกไม้ยามค่ำคืน ไฉนไม่เอาตะกร้าไปด้วย..."
นางอ้ำอึ้งไปทันที เมื่อนางไปเก็บดอกไม้ ก็ไม่เคยจะถือตะกร้าไปด้วย ไฉนมันจะต้องเอาหน้าไม้ไปด้วย เมื่อไปยิงกระต่าย
"เอ้อ...ใช่แล้ว ไ. เวร..." นางยิ้มแย้มบอกอย่างเขินอาย " แต่ไฉนแกต้องไปไกลถึงนอกเมือง และกลับมาตัวหอมหึ่งเช่นนี้"
"ข้าไม่ต้องการสร้างมลภาวะให้แก่เมือง ส่วนตัวหอมเพราะข้าเดินผ่านร้านขายแป้ง"
เฒ่าเป็ดย่างอธิบายข้างๆคูๆอย่างเปี่ยมเหตุผลอาจหาญเยี่ยมเทียมฟ้า พริบตากลับกลายเป็นคนที่โดนวิญญาณแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิงสู่อย่างน่าเลื่อมใส แม่เฒ่าปากตลาดจ้องมองสามีนางอย่างชื่นชม มีบุรุษกี่คนยินยอมเดินออกไปยิงกระต่ายถึงนอกเมือง เป็นเวลานานค่อนคืน นางคิดว่าสามีของนางช่างเป็นบุรุษโชคดีอย่างยิ่งที่ได้ภรรยาอย่างนาง นางรับงานบ้านทั้งหมด ยอมให้สามีกลับมาจากร้านเป็ดย่างอย่างสบายใจพร้อมกับทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการกระตุ้นร่างกายให้คักคักแจ่มใส กลับมาสามีนางเพียงแต่กวาดถูบ้าน ซักผ้า ทำอาหาร ผ่าฟืน ตักนำ รีดผ้า นอกเหนือจากนี้ก็แทบไม่มีอะไรอีกแล้ว ยกเว้นบางคืนเมื่อเห็นว่ามันว่าง นางก็ใช้ให้มันบีบนวดให้เป็นเวลาสามชั่วยาม สุขสบายกระไรปานนั้น
การปรากฏโฉมของหมู่ตึกโคมเขียวนอกเมืองทำให้คนในเมืองนี้มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ เหล่าบุรุษตอนกลางวันซึ่งมีท่าทีปางตายอยู่กับงานประจำวันพอยามคำคืนมาเยือนพลันพลิกฟื้นสู่สภาพคึกคักแจ่มใสผิดแผกแตกต่างเป็นคนละคน
แม่เฒ่าปากตลาดเองก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน
เฒ่าเป็ดย่างสามีของของนางเริ่มใช้เวลาไปยิงกระต่ายนอกเมืองนานขึ้น
วันนี้เช่นกัน แม่เฒ่าปากตลาดหลังจากวานให้สามีนางทำงานบ้านเล็กๆน้อยด้วยการผ่าฟืนหุงหาอาหารตักน้ำซักผ้าถูบ้านทำงานบ้านและงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายเช่นทุกวัน… นางชมดูอย่างเหน็ดเหนื่อยจึงเผลอหลับไป
นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มืดแล้ว
เฒ่าเป็ดย่างหายไป
ผ่านพ้นพลบค่ำไปยังไม่นาน แต่เฒ่าเป็ดย่างถึงกับบังอาจหายหน้าไปแล้ว
นางตรวจค้นดูตามห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก ใต้เตียง ในกระปุกออมสิน ไหปลาร้า แต่ไม่มีวี่แวว
แม่เฒ่าปลาปลาร้าพลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่งเริ่มคืบคลานขึ้นมาตามไขสันหลังให้ความรู้สึกเย็นยะเยียบกัดกร่อนจิตวิญญาณอย่างบอกไม่ถูก
หรือบางทีเรื่องเล่ากล่าวถึงอาถรรพ์ชั่วร้ายของ หมู่ตึกโคมเขียวนอกเมืองจะเป็นจริง
หมู่ตึกพิสดารสามารถดูดกลืนวิญญาณบุรุษเพศ เพียงเดินเฉียดผ่านไปใกล้จะถูกมนตร์มายาชักนำจนเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยก้าวเท้าเข้าไปไม่รู้ตัว
หมู่ตึกที่เพียงเอ่ยถึง บรรดาบุรุษจะมีนัยน์ตาลุกวาวแพรวพรายอย่างพิกลพิสดาร
“หรือมันจะไปที่นั่น” นางคิดอย่างคลั่งแค้น ก่อนจะรู้ตัวนางก็ด่าในใจออกไปหลายชุดแล้ว คนเช่นนี้สมควรถูกด่าจนตายทั้งเป็นสามสิบสองครั้งต่อวันไม่ขาดไม่เกิน ฟังว่าหมู่ตึกโคมเขียวยังสามารถบันดาลทำให้ทรัพย์สินเงินทองของเหล่าบุรุษหายไปจากร่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ พวกนางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน อยู่ดีๆ เงินจะหายไปจากกระเป๋าได้อย่างไรนางครุ่นคิดคำนวณไม่ออกเลย
นางพลันนึกถึงเงินของนาง
แม่เฒ่าปากตลาดเป็นคนที่เป็นห่วงเป็นไยสามีของนางอย่างดียิ่ง เกรงว่าสามีพกพาเก็บเงินทองอยู่กับตัวจะเดือดร้อนมีปัญหาในการจับจ่ายใช้เงินนางจึงเสียสละความสุขส่วนตัว โดยการอุทิศตนเก็บเงินของสามีไว้ทั้งหมด เงินที่เก็บมานางแอบซ่อนไว้อย่างดีใต้เตียง นางขุดหลุมลงไปฝังเงินทองไว้ในที่นั่น นางมั่นใจว่าสามีนางไม่มีทางค้นพบเด็ดขาด เพราะว่าเฒ่าเป็ดย่างไม่เคยแสดงออกว่าชอบนอนใต้เตียง ทั้งเพื่อความมั่นใจนางยังติดป้ายบอกไว้ว่า “ไม่ได้เก็บเงินไว้ที่นี่” เป็นการยืนยัน
แต่วันนี้นางพลันรู้สึกเป็นห่วงเงินขึ้นมาอย่างประหลาด จึงก้มตัวลงไปเปิดช่องลับใต้เตียงดึงถุงเงินออกมานับดู พลันใจหายวาบ เงินของนางเหลืออยู่น้อยกว่าครึ่ง เงินที่ถูกแอบซ่อนไว้อย่างดีจะหายไปได้อย่างไร เรื่องราวผีสางเช่นนี้ไยมีบนโลก นางครุ่นคิดไม่ออกเลย หรือบางทีคำกล่าวที่ว่า “เงินไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับมา” จะสามารถเป็นไปได้
จะมีสามีนางขโมยไปก็ไม่ใช่เด็ดขาดเพราะปากถุงเงินยังมีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนบอกไว้ว่า
“ข้าไม่ได้ขโมยเงินจากถุงนี้”
ลายมือของสามีนางแน่ชัด ไม่มีทางเป็นอื่น ถ้าเป็นลายมือผู้อื่น ยังพอสันนิฐานได้ว่าสามีนางขโมยเงินไป แต่นี่เป็นลายมือของเฒ่าเป็ดย่างแน่นอนยังจะสามารถสันนิษฐานเช่นนั้นได้อย่างไร อย่างไรต้องถามให้แน่ชัด
ยามสอง
เฒ่าเป็ดย่างกลับมาแล้ว
มันกลับมาด้วยใบหน้าประแป้งดวงตาแจ่มใสเป็นพิเศษ ประกายตาเช่นนี้หายไปจากมันทีละน้อยตามกาลเวลาที่ผ่านไป แม่เฒ่าปากตลาดนั่งรอมันอยู่ และคล้ายเนิ่นนานแล้ว สายตาของนางกะพริบถี่เป็นความหมายด่ามันด้วยสายตา รุนแรงกราดเกรี้ยว นางยังไม่ลงมือออกปากด่า…แต่รังสีแห่งการด่าทอผู้คนก็แผ่ซ่านออกไปอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง
หากเฒ่าเป็ดย่างมีสีหน้าสัตย์ๆซื่อๆ เหลือเกิน
“ข้าไปยิงกระต่ายมา” มันบอกอย่างยิ้มแย้ม
แม่เฒ่าปากตลาดใช้สายตาขูดไปทั่วร่างของมัน ขูดเอากลิ่นแป้งร่ำหอมกรุ่นออกมาจนหมดสิ้น นางพลันเอ่ยปากด่าออกไปชุดหนึ่งก่อนตะคอกเสียงถาม
“๑๑+๓๔๕฿๙@#%^*เจ้าไปยิงกระต่ายหลายชั่วยามผีสางใดกัน#$%^*”
การด่าของนางรวบรัดชัดเจน ในความกราดเกรี้ยวยังแฝงด้วยความสุนทรแห่งอรรถรสของการด่าเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบสุดบรรยาย คำหนักคำเบาสมดุลภาพสระและพยัญชนะที่ใช้ไม่มากไม่น้อยเกินไป
เฒ่าเป็ดย่างถึงกับไม่สะทกสะท้านสักน้อย
.
โฉมสะคราญโคมเขียว.........1
โฉมสะคราญโคมเขียว...........1
ไปค้นเจอต้นฉบับ ที่เขียนเล่นๆ เอาไว้เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว
รู้สึกเสียดาย เลยเอามารีไรท์ใหม่ มาให้อ่านเล่นๆ กันครับ
-------------------
โคมไฟมีมากมายหลายหลากสี ผู้คนมีมากมายหลายหลากหัวใจ ความรักมีมากมายหลายหลากอารมณ์ ชีวิตมีมากมายหลายหลากรสชาติ แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะมีอะไรมากมายอย่างไร ย่อมมีความพิสดารเฉพาะตัว ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวพิสดารของโคมเขียวที่มีพลานุภาพเร้นลับพิสดาร ทำให้บุรุษเพศปางตายใกล้แตกดับ เพียงได้ยินชื่อโคมเขียวยังผวาลุกขึ้นมาปากอ้าตาค้างมีชีวิตชีวา
ทางใต้ของเมืองหลวงมีหมู่ตึกร้างใหญ่โตแต่กลับว่างเปล่าอยู่แห่งหนึ่ง ฟังว่าเจ้าของเดิมเดิมฐานะร่ำรวย เนื่องจากชอบดั้นด้นออกสู่ยุทธภพ เดินทางไปหาหวยสุดขอบฟ้า พักหลังปรากฏว่าท่านถูกวิชามารครอบงำ "หวยล็อคกิน" ติดต่อกันหกงวดซ้อน ๆ ทำให้ธาตุหวยในร่างกายแตกซ่าน กลายเป็นคนวิกลจริตฟั่นเฟือน คิดว่าตนเองเป็นเซียนใบ้หวยเตลิดหายไปจนบัดนี้ ทายาทของท่านไม่มีใครตามไปรับใช้เซียน ต่างพากันหลบหนีด้วยความอับอายขายหน้าจนกลายเป็นหมู่ตึกรกร้างว่างเปล่า
แต่จู่ๆ ปรากฏการณ์พิสดารพลันก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีเค้า
หมู่ตึกที่เคยเงียบเหงาราวสุสานร้าง ตกเย็นพลันปรากฏแสงไฟจากโคมไฟเขียวขจีกระจ่างสดใสเรียงรายอยู่ทั่วไปทั้งทางเดินและตามห้องหับของหมู่ตึก แสงไฟอันอบอุ่นนุ่มนวลรัญจวนใจจนสุดบรรยาย พาจิตใจโบยบินเคลิ้มฝัน ยังคล้ายมีเสียงบรรเลงดนตรีนารีขับขานหัวร่อสดใจราวฝนไข่มุกร่วงลงบนจานหยก เป็นมนต์สะกดให้ชะงักงัน ก่อนชักเท้าก้าวเดินเข้าไปไม่รู้ตัว เป็นสรวงสวรรค์ที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นพิภพ
บรรดาบุรุษเพศในเมือง แต่ก่อนผ่านพ้นแต่ละวันไปด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายปางตาย ยามนี้พลันแปรเปลี่ยนราวภูตผีปีศาจคืนชีพ ตกเย็นกลับกลายเป็นคึกคักแจ่มใสระริกรื่นออกนอกหน้า
เฒ่าเป็ดย่างก็ไม่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์นี้
ตกเย็นมามันมักจะบอกภรรยาว่ามันจะไปดูแลร้าน.... ลืมของในร้าน ลืมใส่กุญแจหน้าร้าน ลืมล้างชามในร้าน กระทั่งบอกว่าจะไปยิงกระต่ายนอกเมือง ตอนแรกภรรยาของมันไม่คิดอะไร เพราะสามีนางเคยอยู่ในโอวาสอย่างเชื่องเชื่อ แต่พักหลังนางเริ่มสังเกตความผิดปกติ
เมื่อเอ่ยถึงเฒ่าเป็ดย่าง มิอาจไม่เอ่ยถึง ภรรยา ของมัน
ภรรยาผู้มีฉายาว่า "แม่เฒ่าปากตลาด"
ในตลาดสดแห่งนี้ร่ำลือถึงสุดยอดหลักวิชาแห่งการด่าทอผู้คนของนาง ด้วยพรสวรรค์และอัจฉริยภาพแห่งการถักร้อยถ้อยอักษรเป็นคำด่าร้ายกาจสุดแสน ฟ้าสะท้านแผ่นดินสะเทือน จนมีข่าวว่านางเคยด่าผู้คนอย่างน้อยด่าจนคนวิกลจิตฟั่นเฟือน อย่างมากด่าคนจนตายทั้งเป็นมาแล้ว
ทารกเมื่อตอนคลอดปกติธรรมดาจะแผดเสียงร่ำร้อง แต่นางเมื่อคลอดจากครรภ์มารดา หมอตำแยบอกว่านางไม่ร้อง พอคลอดออกมาใหม่ ๆ เสียงร้องทาริกาน้อยฟังไปคล้ายเสียงด่าทอ... หมอตำแยถึงกับปากอ้าตาค้าง ทำนายว่าเติบใหญ่นางจะกลายเป็นยอดฝีมือปรมาจารย์ในการด่า อายุเจ็ดขวบ...นางเริ่มค้นพบสวรรค์ของนาง หรือไม่ก็เป็นพรนรกแตก มีสตรีนางหนึ่งหน้าตาสวยสดงดงามเดินผ่านหน้าบ้าน หนูน้อยปากตลาดเกิดความประทับใจจึงเอ่ยปากชมเชยออกไปด้วยความประทับใจในความงดงามด้วยความจริงใจ
"...................."
มิคาดว่าสตรีนางนั้นพอได้ฟังสะดุ้งเฮือก หันมามองด้วยใบหน้าซีดขาว ร่ำร้องว่า
"เจ้า...เจ้าด่าเราทำไม"
มิทันอธิบายก็ปิดหน้าร่ำไห้วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไร้ทิศทางแน่นอนออกไปอย่างอับอาย
ขนาดเอ่ยปากชมผู้คนยังขนาดนี้ ถ้าตั้งใจด่าจะขนาดไหน ลองคิดดู ดังนั้นอีกสามปีต่อมา นางมีงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่ง คือเปิดสำนัก "ด่าปลิดวิญญาณ” คนบางคนด่าคนไม่เป็น บางคนด่าได้แต่ด่าไม่ถูกหลัก หรือด่าถูกหลักแต่ขาดประสิทธิภาพ การด่ามิใช่ง่ายเด็ดขาด การหาเรื่องด่าคนก็มิใคร่ง่าย และการรับมือกับการถูกด่ายิ่งมิใช่เรื่องง่าย ยอดฝีมือในการด่าจำเป็นต้องทนทานต่อการด่าเช่นกัน
ดังนั้นนางจึงกลายเป็น “เจ้าสำนักแห่งการด่าปลิดวิญญาณ” อายุน้อยที่สุด มิเพียงแค่วาจาที่สามารถด่าผู้คนได้ ทุกท่วงท่า ทุกอิริยาบถ ทุกส่วนสัดร่างกายของนางล้วนสามารถด่าผู้คน...เพียงเฉียดใกล้ระยะมองเห็นรังสีแห่งการด่าก็ทำให้หลายคนรู้สึกคล้ายถูกด่าล่วงหน้าไปในอนาคตแล้ว
นางสามารถด่าคนได้หลายแบบ ด่าแบบเผ็ดร้อนรุนแรง ด่าแบบน้ำไหลไฟดับ ด่าเป็นบทกวีลำนำขับขาน ด่าแบบผู้ดี ด่าประเภทสวยงาม ด่าประเภทความคิดสร้างสรรค์ ด่าแบบอาจหาญทะยานฟ้า ด่าแบบลับคมใน ด่าตรงๆ ด่าตีวงโค้ง ด่าด้วยสายตา ด่าแบบนางเอก ด่าแบบหยาบคาย ด่าแบบทะนุถนอม ด่าแบบคลาสสิก ด่าแบบร็อคแอนด์โรล ด่าแบบลำเซิ้ง ด่าแบบกระทบกระเทียบเปรียบเปรย ด่าแบบกระซิบกระซาบอ่อนหวาน ด่าด้วยรอยยิ้ม ด่าต่อหน้า ด่าลับหลัง สารพัดด่า... กระทั่งด่าในใจ
โดยเฉพาะวิชา “การด่าในใจ” นี่จัดว่าร้ายกาจที่สุด คนถูกด่าไม่มีโอกาสรู้ตัว ไม่มีโอกาสโต้ตอบ ด่าได้ทุกเวลาทุกสถานการณ์ทุกสถานที่ ใกล้ไกลไม่สำคัญ อยู่สุดข้ามโลกก็ด่าได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับใดก็มิอาจหลบพ้น เปรียบได้กับสุดยอดกระบี่ของมือกระบี่ที่ไร้รูปไร้ลักษณ์
มีเพียงสามีนาง ถูกด่าจนชาชินกลายเป็นคนเสพติดการถูกด่า วันไดไม่โดนด่านอนมิอาจหลับ เฒ่าเป็ดย่างบอกว่าจะไปยิงกระต่ายแต่กลับไม่มีหน้าไม้ติดมือไปด้วย นางเคยถามเรื่องนี้ แต่เฒ่าเป็ดย่างกลับจ้องมองนางเนิ่นนานก่อนย้อนถามว่า
"แล้วท่านไปเก็บดอกไม้ยามค่ำคืน ไฉนไม่เอาตะกร้าไปด้วย..."
นางอ้ำอึ้งไปทันที เมื่อนางไปเก็บดอกไม้ ก็ไม่เคยจะถือตะกร้าไปด้วย ไฉนมันจะต้องเอาหน้าไม้ไปด้วย เมื่อไปยิงกระต่าย
"เอ้อ...ใช่แล้ว ไ. เวร..." นางยิ้มแย้มบอกอย่างเขินอาย " แต่ไฉนแกต้องไปไกลถึงนอกเมือง และกลับมาตัวหอมหึ่งเช่นนี้"
"ข้าไม่ต้องการสร้างมลภาวะให้แก่เมือง ส่วนตัวหอมเพราะข้าเดินผ่านร้านขายแป้ง"
เฒ่าเป็ดย่างอธิบายข้างๆคูๆอย่างเปี่ยมเหตุผลอาจหาญเยี่ยมเทียมฟ้า พริบตากลับกลายเป็นคนที่โดนวิญญาณแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิงสู่อย่างน่าเลื่อมใส แม่เฒ่าปากตลาดจ้องมองสามีนางอย่างชื่นชม มีบุรุษกี่คนยินยอมเดินออกไปยิงกระต่ายถึงนอกเมือง เป็นเวลานานค่อนคืน นางคิดว่าสามีของนางช่างเป็นบุรุษโชคดีอย่างยิ่งที่ได้ภรรยาอย่างนาง นางรับงานบ้านทั้งหมด ยอมให้สามีกลับมาจากร้านเป็ดย่างอย่างสบายใจพร้อมกับทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการกระตุ้นร่างกายให้คักคักแจ่มใส กลับมาสามีนางเพียงแต่กวาดถูบ้าน ซักผ้า ทำอาหาร ผ่าฟืน ตักนำ รีดผ้า นอกเหนือจากนี้ก็แทบไม่มีอะไรอีกแล้ว ยกเว้นบางคืนเมื่อเห็นว่ามันว่าง นางก็ใช้ให้มันบีบนวดให้เป็นเวลาสามชั่วยาม สุขสบายกระไรปานนั้น
การปรากฏโฉมของหมู่ตึกโคมเขียวนอกเมืองทำให้คนในเมืองนี้มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ เหล่าบุรุษตอนกลางวันซึ่งมีท่าทีปางตายอยู่กับงานประจำวันพอยามคำคืนมาเยือนพลันพลิกฟื้นสู่สภาพคึกคักแจ่มใสผิดแผกแตกต่างเป็นคนละคน
แม่เฒ่าปากตลาดเองก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน
เฒ่าเป็ดย่างสามีของของนางเริ่มใช้เวลาไปยิงกระต่ายนอกเมืองนานขึ้น
วันนี้เช่นกัน แม่เฒ่าปากตลาดหลังจากวานให้สามีนางทำงานบ้านเล็กๆน้อยด้วยการผ่าฟืนหุงหาอาหารตักน้ำซักผ้าถูบ้านทำงานบ้านและงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายเช่นทุกวัน… นางชมดูอย่างเหน็ดเหนื่อยจึงเผลอหลับไป
นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มืดแล้ว
เฒ่าเป็ดย่างหายไป
ผ่านพ้นพลบค่ำไปยังไม่นาน แต่เฒ่าเป็ดย่างถึงกับบังอาจหายหน้าไปแล้ว
นางตรวจค้นดูตามห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก ใต้เตียง ในกระปุกออมสิน ไหปลาร้า แต่ไม่มีวี่แวว
แม่เฒ่าปลาปลาร้าพลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่งเริ่มคืบคลานขึ้นมาตามไขสันหลังให้ความรู้สึกเย็นยะเยียบกัดกร่อนจิตวิญญาณอย่างบอกไม่ถูก
หรือบางทีเรื่องเล่ากล่าวถึงอาถรรพ์ชั่วร้ายของ หมู่ตึกโคมเขียวนอกเมืองจะเป็นจริง
หมู่ตึกพิสดารสามารถดูดกลืนวิญญาณบุรุษเพศ เพียงเดินเฉียดผ่านไปใกล้จะถูกมนตร์มายาชักนำจนเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยก้าวเท้าเข้าไปไม่รู้ตัว
หมู่ตึกที่เพียงเอ่ยถึง บรรดาบุรุษจะมีนัยน์ตาลุกวาวแพรวพรายอย่างพิกลพิสดาร
“หรือมันจะไปที่นั่น” นางคิดอย่างคลั่งแค้น ก่อนจะรู้ตัวนางก็ด่าในใจออกไปหลายชุดแล้ว คนเช่นนี้สมควรถูกด่าจนตายทั้งเป็นสามสิบสองครั้งต่อวันไม่ขาดไม่เกิน ฟังว่าหมู่ตึกโคมเขียวยังสามารถบันดาลทำให้ทรัพย์สินเงินทองของเหล่าบุรุษหายไปจากร่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ พวกนางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน อยู่ดีๆ เงินจะหายไปจากกระเป๋าได้อย่างไรนางครุ่นคิดคำนวณไม่ออกเลย
นางพลันนึกถึงเงินของนาง
แม่เฒ่าปากตลาดเป็นคนที่เป็นห่วงเป็นไยสามีของนางอย่างดียิ่ง เกรงว่าสามีพกพาเก็บเงินทองอยู่กับตัวจะเดือดร้อนมีปัญหาในการจับจ่ายใช้เงินนางจึงเสียสละความสุขส่วนตัว โดยการอุทิศตนเก็บเงินของสามีไว้ทั้งหมด เงินที่เก็บมานางแอบซ่อนไว้อย่างดีใต้เตียง นางขุดหลุมลงไปฝังเงินทองไว้ในที่นั่น นางมั่นใจว่าสามีนางไม่มีทางค้นพบเด็ดขาด เพราะว่าเฒ่าเป็ดย่างไม่เคยแสดงออกว่าชอบนอนใต้เตียง ทั้งเพื่อความมั่นใจนางยังติดป้ายบอกไว้ว่า “ไม่ได้เก็บเงินไว้ที่นี่” เป็นการยืนยัน
แต่วันนี้นางพลันรู้สึกเป็นห่วงเงินขึ้นมาอย่างประหลาด จึงก้มตัวลงไปเปิดช่องลับใต้เตียงดึงถุงเงินออกมานับดู พลันใจหายวาบ เงินของนางเหลืออยู่น้อยกว่าครึ่ง เงินที่ถูกแอบซ่อนไว้อย่างดีจะหายไปได้อย่างไร เรื่องราวผีสางเช่นนี้ไยมีบนโลก นางครุ่นคิดไม่ออกเลย หรือบางทีคำกล่าวที่ว่า “เงินไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับมา” จะสามารถเป็นไปได้
จะมีสามีนางขโมยไปก็ไม่ใช่เด็ดขาดเพราะปากถุงเงินยังมีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนบอกไว้ว่า
“ข้าไม่ได้ขโมยเงินจากถุงนี้”
ลายมือของสามีนางแน่ชัด ไม่มีทางเป็นอื่น ถ้าเป็นลายมือผู้อื่น ยังพอสันนิฐานได้ว่าสามีนางขโมยเงินไป แต่นี่เป็นลายมือของเฒ่าเป็ดย่างแน่นอนยังจะสามารถสันนิษฐานเช่นนั้นได้อย่างไร อย่างไรต้องถามให้แน่ชัด
ยามสอง
เฒ่าเป็ดย่างกลับมาแล้ว
มันกลับมาด้วยใบหน้าประแป้งดวงตาแจ่มใสเป็นพิเศษ ประกายตาเช่นนี้หายไปจากมันทีละน้อยตามกาลเวลาที่ผ่านไป แม่เฒ่าปากตลาดนั่งรอมันอยู่ และคล้ายเนิ่นนานแล้ว สายตาของนางกะพริบถี่เป็นความหมายด่ามันด้วยสายตา รุนแรงกราดเกรี้ยว นางยังไม่ลงมือออกปากด่า…แต่รังสีแห่งการด่าทอผู้คนก็แผ่ซ่านออกไปอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง
หากเฒ่าเป็ดย่างมีสีหน้าสัตย์ๆซื่อๆ เหลือเกิน
“ข้าไปยิงกระต่ายมา” มันบอกอย่างยิ้มแย้ม
แม่เฒ่าปากตลาดใช้สายตาขูดไปทั่วร่างของมัน ขูดเอากลิ่นแป้งร่ำหอมกรุ่นออกมาจนหมดสิ้น นางพลันเอ่ยปากด่าออกไปชุดหนึ่งก่อนตะคอกเสียงถาม
“๑๑+๓๔๕฿๙@#%^*เจ้าไปยิงกระต่ายหลายชั่วยามผีสางใดกัน#$%^*”
การด่าของนางรวบรัดชัดเจน ในความกราดเกรี้ยวยังแฝงด้วยความสุนทรแห่งอรรถรสของการด่าเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบสุดบรรยาย คำหนักคำเบาสมดุลภาพสระและพยัญชนะที่ใช้ไม่มากไม่น้อยเกินไป
เฒ่าเป็ดย่างถึงกับไม่สะทกสะท้านสักน้อย
.