------------------------------------
บทที่ ๑ กองเรือจากแดนมังกร
------------------------------------
พุทธศักราช ๑๙๑๖ ปีฉลู เบญจศก เดือนอ้าย ณ อ่าวปตานี
อาทิตย์ยามบ่ายของปลายฤดูมรสุมตะวันออกสาดแสงอบอุ่น ผืนน้ำบริเวณอ่าวปตานีซึ่งเคยสงบเพราะมีแหลมโพธิ์โอบล้อมกั้นคลื่นลมพลันเริ่มตีเกลียวสะบัดซัดไล่เป็นระลอกกระทบฝั่งเมื่อกองเรือสำเภาขนาดใหญ่จำนวนหลายสิบลำทยอยตีใบสีขาวขุ่นล่องเข้ามาในอ่าว ท่ามกลางเสียงผู้คนริมฝั่งตะโกนร้องป้องปากแสดงอาการดีใจ
ทิวธงลายมังกรโบกสะบัดเหนือเสากระโดงเรือแสดงสัญลักษณ์แห่งราชสำนักกรุงจีน
กระแสลมในเวิ้งอ่าวมิรุนแรง ใบเรือขนาดใหญ่ที่กินลมจนพองตึงค่อยๆ ทิ้งใบคล้อยหย่อนยามล่องผ่านปากอ่าวเข้ามาทีละลำ จากผังกระบวนเรือรูปนกนางแอ่นยามล่องท่องสมุทรถูกแปรขบวนเป็นจอดเรียง ๔ แถว แถวละ ๙ ลำ ทั้งหมด ๓๖ ลำต่างทิ้งทุ่นทอดสมอและเก็บใบเรือพรักพร้อม
เมืองปตานีตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกของคาบสมุทร แต่ปากอ่าวกลับอยู่ทางทิศตะวันตก ด้วยตัวอ่าวอยู่บริเวณทิศเหนือของเมืองมีแหลมโพธิ์ทอดยาวขึ้นไปโอบวงรอบผืนน้ำทางด้านตะวันออกแล้ววกโค้งไปตลอดด้านทิศเหนือ เกิดเป็นเวิ้งอ่าวขนาดใหญ่อยู่ภายใน สงัดจากคลื่นลมมรสุมเหมาะแก่การเข้าเทียบท่าพักเรือมากที่สุดในคาบสมุทร ด้วยเหตุนี้ทำให้ปตานีรุ่งเรืองขึ้นเป็นเมืองท่าหลักในการขนถ่ายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างเมือง เชื่อมต่อดินแดนอารยธรรมตะวันออกจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึงขอม จาม และหมู่เกาะทะเลจีนใต้ สู่ดินแดนอารยธรรมตะวันตกคือชมพูทวีป ลังกา อาหรับ เปอร์เชีย โดยอาศัยเมืองไทรบุรีเป็นเมืองท่าคู่ขนานทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทร
ธรรมเนียมการค้าชายฝั่งกำหนดให้นายเรือต้องส่งผู้แทนเข้าเจรจากับนายท่าเพื่อขออนุญาตขนถ่ายสินค้าพร้อมตกลงค่าชำระชักอากร ด้วยปตานีเป็นเมืองท่าใหญ่กว่าทั้งปวงพระจักรพรรดิกรุงจีนจึงโปรดให้มีผู้แทนการค้าจากราชสำนักมาประจำการอยู่เพื่อรวบรวมสินค้าและเป็นผู้แทนเจรจากับนายท่า ส่วนผู้บัญชาการกองเรือสินค้ามีศักดิ์เทียบได้กับราชทูตผู้แทนแห่งองค์จักรพรรดิ
“ออกเรือ”
สิ้นเสียงคำสั่งเป็นภาษาจีน เรือพายขนาดใหญ่ ๒ ลำก็ออกจากท่าริมฝั่ง
ผู้ออกคำสั่งเป็นชายชาวจีนอายุราว ๓๕-๔๐ ปี รูปร่างผอมผิวเหลืองแต่คล้ำกร้านแดด คิ้วเหยียดแทบเป็นเส้นตรง ตารียาวไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปาก ลักษณะเป็นคนคล่องแคล่วแต่งกายชุดขุนนางราชวงศ์หมิง เป็นชุดยาวสีน้ำเงินลวดลายดอกโบตั๋น แขนเสื้อยาวจนต้องถือรั้งปลายแขนไว้ในอุ้งมือ ชายเสื้อแม้ยาวกรอมข้อเท้าแต่ตัดแหวกด้านข้างทั้งซ้ายขวา ยามต้องลมสะบัดเปิดเห็นกางเกงขายาวสีดำอยู่ด้านใน... คนผู้นี้คือไต้ซีหง ข้าราชสำนักจากกรุงจีนผู้แทนการค้าประจำเมืองปตานี พาบริวารซึ่งปะปนทั้งชาวจีนและชาวพื้นเมืองราวยี่สิบคนพายเรือเล็กเข้าหากองเรือมหึมาจากกรุงจีน
ผู้คนริมฝั่งยิ่งนานยิ่งเพิ่มมากขึ้น บ้างชักชวนกันมาดูกองเรือขนาดใหญ่ซึ่งล่องมาเทียบท่าปีละครั้ง บ้างเป็นพ่อค้าที่รอติดต่อซื้อขาย ทุกคนย่อมตื่นเต้นดีใจเพราะการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างเมืองขนาดใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
เรือพายสองลำมุ่งตรงสู่กลางกองเรือ ทุกคนบนเรือต่างวาดฝีพายขะมักเขม้นเว้นไว้แต่เพียงไต้ซีหงผู้เป็นนายกับหนุ่มน้อยวัยราว ๑๖ ปีชาวปตานีซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ด้านหลัง ร่างนั้นสูงเปรียวตามวัย ผิวกายไม่คล้ำดำเหมือนชาวพื้นเมืองทั่วไป หน้าตาหมดจดคมคายชวนมอง แววตานิ่งลึกบ่งบอกลักษณะนิสัยชอบเก็บตัว ผมยาวถูกเกล้ารวบเป็นมวยเหนือศีรษะแล้วรัดด้วยผ้าฝ้ายมิได้เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่มักตัดสั้น แต่งกายลักษณะของชาวเมืองผู้มีศักดิ์ฐานะแต่กลับใช้เนื้อผ้าค่อนข้างหยาบสีเข้มไร้ลาย ผ้านุ่งคาดหยักรั้งคร่อมเข่าลงมา ตัวเสื้อกลัดกระดุมใหญ่แขนยาว ปักขอบปลายเสื้อและปลายแขนด้วยแถบสีน้ำเงินอ่อน รอบเอวคาดผ้าผืนใหญ่รวบปล่อยชายด้านหน้า
ยิ่งพายเรือเข้าใกล้ยิ่งเห็นขนาดเรือจากกรุงจีนใหญ่ขึ้นทุกที
เสียงรหัสสัญญาณตอบโต้ระหว่างเรือพายกับเรือกองตระเวนที่อยู่แถวหน้าดังขึ้น ไม่นานก็ส่งอาณัติสัญญาณให้เรือเล็กทั้งสองลำพายตรงสู่เรือธงด้านในซึ่งเป็นเรือบังคับบัญชาขบวนเรือทั้งหมด
บันไดเชือกถูกโยนลงมาเมื่อเรือพายเข้าเทียบข้างเรือธง ไต้ซีหงนำคณะปีนป่ายขึ้นไปทิ้งไว้แค่คนเฝ้าเรือ
“ผู้น้อยไต้ซีหง ผู้แทนการค้าประจำนครปตานี ขอกราบคารวะท่าน “เซียงจือกง” ผู้บัญชาการกองเรือสินค้าแห่งราชสำนักต้าหมิง” ผู้นำคนขึ้นเรือกล่าวเป็นภาษาจีนพร้อมประสานมือคุกเข่าคำนับ
เบื้องหน้าคือชายอายุราว ๔๐ ปี รูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายอยู่ในชุดจอมพลเรือแห่งราชวงศ์หมิง เสื้อสีเหลืองทองปักลายมังกรสามเล็บเด่นอยู่ด้านหน้า บ่งบอกอาญาสิทธิ์แทนองค์จักรพรรดินอกอาณาเขตกรุงจีนชัดเจน
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ซีหง.. ลุกขึ้นเถิด” ขุนนางใหญ่แห่งน่านน้ำกล่าวเคร่งขรึม น้ำเสียงแฝงอำนาจประกาศิตแม้ช่วงท้ายจะเจือเสียงหัวเราะในลำคอก็ตาม ครั้นผู้คุกเข่าคารวะลุกขึ้นยืนแล้วจึงถามต่อไปว่า
“ตัวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ความเป็นอยู่ที่ปตานีสุขสบายดีไหม”
“ด้วยพระบารมีขององค์จักรพรรดิและการสนับสนุนของท่านเซียงจือกง ตัวข้าน้อยมีความสุขดีทุกประการขอรับ”
“ดีมาก” พลางผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ
สายตาคมวาวของเซียงจือกงทอดผ่านไปยังด้านหลังจับจ้องที่ใบหน้าชายหนุ่มรุ่นเยาว์ชาวปตานี รอยยิ้มของท่านพลันฉีกกว้างอย่างจริงใจ ใบหน้าใหญ่จมูกโตดุจราชสีห์ คิ้วหนาตาพองหน้าผากกว้างซึ่งปกติดูน่าเกรงขามพรั่นพรึงพลันเปลี่ยนเป็นอิ่มเอิบแจ่มใสดึงดูดผู้คนให้รู้สึกสบายใจอยากอยู่ใกล้ ร่างของท่านรีบสาวเท้าผ่านไต้ซีหงไปหาหนุ่มน้อยทันที
“ขอต้อนรับเจ้าทิพากรแห่งนครปตานี”
ผู้เป็นใหญ่ในกองเรือชิงกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์ยินดีพร้อมสวมกอดชายหนุ่มสนิทแน่น ร่างทั้งสองกอดกระชับดุจดั่งญาติสนิทที่ห่างหายได้คืนมาพบกัน สักครู่หนึ่งจึงคลายออก เซียงจือกงวางแผ่นมือใหญ่ลงบนไหล่เด็กหนุ่ม ส่ายตาสำรวจตรวจดูความสูงต่ำล่ำสัน
“ปีนี้หลานเราดูรูปร่างช่างสูงใหญ่ขึ้นกว่าปีกลายมากนัก กลายเป็นหนุ่มงามสง่าแล้ว” พลางหัวเราะรื่นด้วยความรักเอ็นดู
“ท่านอาจือกงก็ดูแข็งแรง องอาจยิ่งใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง... ข้าพเจ้าเฝ้าคิดถึงท่าน ทุกวันนี้สวดมนต์ภาวนาขอให้พระพุทธและพระโพธิสัตว์คุ้มครอง ให้ท่านอาแข็งแรงเดินเรือปลอดภัยตลอดเส้นทาง”
เด็กหนุ่มแห่งนครปตานีกลับกล่าววาจาเป็นภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ในบริเวณคาบสมุทรนี้ นอกจากภาษาท้องถิ่นแล้ว ผู้คนต่างใช้ภาษาจีนและภาษาอินเดียในการติดต่อค้าขาย
“หลานเรากลับมาถึงปตานีได้กี่วันแล้ว”
คำถามของผู้ที่ถูกเรียกว่า “อา” ทำให้เด็กหนุ่มสีหน้าเจื่อนลง
“ข้าพเจ้ามาถึงได้ ๓ วัน ไปไหว้สถูปพระมารดาแล้วแต่รอให้ถึงขึ้น ๑๐ ค่ำจึงจะไปทำพิธีบวงสรวง”
“อืม... ขอให้เป็นบุตรกตัญญู จะกราบไหว้เซ่นสรวงวันไหนหรือสถานที่ใด ดวงพระวิญญาณของพระนางบนสรวงสวรรค์ทรงรับรู้ได้ทั้งสิ้น”
“หากไม่ใช่เพราะความกรุณาของท่านอาที่ช่วยเหลือไว้ ป่านนี้หลานคงเหมือนคนถูกเนรเทศห้ามเข้าเมืองปตานีอย่างเด็ดขาด”
“เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย คนที่ไม่ธรรมดา ฟ้ามักจะเคี่ยวกรำเป็นพิเศษ”
“แต่ข้าพเจ้าเป็นปีศาจจากท้องน้ำ ไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับท้องฟ้า...”
น้ำเสียงสะท้อนความหดหู่น้อยใจในตนเองทำให้ผู้ถูกเรียกเป็นอาต้องหยุดชะงักแล้วมองตาพิเคราะห์... สิ่งที่เห็นคือความระทมหม่นหมองในเบื้องลึกของแววตากับประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวทระนง
“ไปเถอะ.. เราไปจัดการเรื่องคนและสินค้าให้ซีหงกัน เขาจะได้รีบกลับไปทำเรื่องเทียบท่าให้เสร็จก่อนค่ำ”
ปากแม้กล่าววาจาชักชวนผู้ที่ตนรักเสมอหลานชายไปจัดการธุระสำคัญเฉพาะหน้า แต่ภายในกลับรู้สึกสะท้อนใจในชะตาชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้...
เจ้าทิพากรเป็นบุตรชายพระเจ้านครปตานีกำเนิดแต่พระสนมจันทรา หญิงสามัญชนบุตรีคนเดียวของนายช่างฝีมือเอกชาวเชียงแสนซึ่งอพยพมาอยู่ยังเมืองนครศรีธรรมราชจนได้รับแต่งตั้งเป็นนายกองช่างหลวง ครั้นพระเจ้าปตานีเสด็จเยือนเมืองนครฯ ได้ทรงพบและสมัครรักใคร่ด้วยพระนาง โปรดให้รับตัวมาแล้วสถาปนาขึ้นเป็นพระสนมเอก พระอิสริยยศเป็นรองเพียงพระมเหสีเนรัญวีผู้สืบสายไศยเลนทร์วงศ์แห่งศรีวิชัย
ด้วยพระสิริโฉมที่งดงามพร้อมพระอุปนิสัยอ่อนโยนทำให้พระสนมจันทราทรงเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระเจ้าปตานียิ่งนัก กระทั่งทรงพระครรถ์ขึ้นขณะพระราชชนนี (มารดา) ของพระเจ้าปตานีประชวรหนักและสิ้นพระชนม์ในกาลใกล้เคียงกับพระประสูติกาลของเจ้าทิพากร สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป เจ้าทิพากรถูกพราหมณ์ชั้นเอกทำนายว่าเป็นกาลกิณี มีการจัดพิธีล้างชะตาต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ จนครั้งสุดท้ายเกิดเหตุโศกนาฏกรรมพระสนมจันทราสิ้นพระชนม์ขณะดำเนินพิธีกรรม เจ้าทิพากรจึงถูกขับไล่ให้ไปอยู่กับตาที่เมืองนครศรีธรรมราชแทบเป็นการถาวร จะได้กลับเมืองมาไหว้อัฐิพระมารดาเพียงปีละหนึ่งครั้งโดยติดตามพระคลังนายท่าเมืองนครศรีธรรมราชผู้แวะเวียนมาติดต่อกองเรือสินค้าของพระเจ้ากรุงจีนทุกปี
ที่สำคัญ.. ไม่โปรดให้ถือศักดิ์เป็นองค์ชายแต่อย่างใด ผู้คนทั่วไปมักเรียกนามสั้นๆ ว่า “เจ้าทิพ” ฐานะบุตรชายเจ้าเมืองปตานี
เซียงจือกงได้มอบหมายให้นายกองสินค้าเป็นผู้รายงานจำนวนสินค้าและผู้คนโดยสารที่จะขึ้นท่าปตานีต่อไต้ซีหง โดยตนเองและเจ้าทิพเพียงร่วมรับฟัง จากนั้นทั้งนายกองและไต้ซีหงจึงขอตัวพาผู้คนแยกย้ายไปตรวจดูสินค้าที่บรรทุกอยู่ตามเรือต่างๆ ในกองเรือกลาง
“ท่านอาได้มีโอกาสนำแพรไหมจากวังหลวงมาให้ข้าพเจ้าหรือไม่” เจ้าทิพกล่าวถามขึ้นหลังจากได้สนทนากันตามลำพังอยู่สักพัก
“ฮาฮา ตกลงคิดถึงอา หรือของที่อานำมาฝาก” พลางหัวเราะจนร่างที่ท้วมใหญ่กระเพื่อม ก่อนจะตอบอย่างเบิกบานใจ “แพรไหมที่หลานเราต้องการ มีหรือจะไม่หามาให้... เจ้ารู้ไหม ทั้งหมดมีเพียง ๗ พับเท่านั้น เราขอมาให้เจ้าได้พับหนึ่ง”
เมื่อเห็นสีหน้าลิงโลดเป็นสุขของชายหนุ่มพลอยอดกระเซ้าต่อไปมิได้
“ว่าแต่เราลืมไปแล้ว เจ้าจะเอาแพรพรรณไปให้ผู้ใดกันนะ”
เป็นคำถามที่ผู้ถามรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มก็อมยิ้มตอบไป
“หลานจะนำไปให้ พระราชธิดาของพระเจ้าตามพรลิงค์”
ตามพรลิงค์... นั่นคือนามเมืองนครศรีธรรมราชที่ชาวจีนมักเรียกขานกัน
พระเจ้าตามพรลิงค์คือพระผู้เป็นใหญ่ตลอดคาบสมุทรสุวรรณภูมิ
“ถ้าเช่นนั้นเราไปดูห้องเก็บรักษาเครื่องบรรณาการกันเถอะ ผ้าแพรไหมของเจ้าก็เก็บอยู่ที่นั่น” กล่าวแล้วจูงมือพาผู้เป็นหลานเดินจากลานโล่งกลางเรือไปยังห้องใหญ่ตอนท้ายลำทันที
เรือธงทั้งกว้างทั้งใหญ่ พื้นที่หนึ่งในสามบริเวณตอนท้ายเป็นหอบัญชาการ ดูไปคล้ายอาคารไม้ ๒ ชั้นถูกนำมาตั้งไว้ กรอบด้านข้างโค้งเว้าตามรูปทรงท้ายเรือ มีเสากระโดงใบเรือ ๓ เสาอยู่ด้านบน เมื่อเดินเข้าไปภายในจึงเห็นพื้นที่ชั้นล่างด้านซ้ายเป็นห้องพักและห้องทำงานของเซียงจือกง ฝั่งด้านขวาเป็นห้องรับอาหารและห้องประชุม ตรงกลางเป็นห้องเรียงรายทุกห้องมีสลักกุญแจคล้องไว้แน่นหนา ส่วนชั้นบนคือห้องควบคุมสั่งการขบวนเรือ
เซียงจือกงไขสลักกุญแจเปิดห้องหนึ่งแล้วพาเจ้าทิพเข้าไป ด้านในบรรจุสิ่งของมีค่าสำหรับถวายแด่พระเจ้ากรุงอโยธยาและเจ้าเมืองท่าน้อยใหญ่ มีพวกผ้าแพรพรรณ ภาชนะเครื่องถ้วยชาม เครื่องทรงและเครื่องตกแต่งประดับต่างๆ นายใหญ่แห่งกองเรือเพียงหยิบบางส่วนออกมาแสดงซึ่งล้วนแต่ล้ำค่างามวิจิตร พร้อมบรรยายสรรพคุณวิเศษหรือวิธีประดิษฐ์ที่พิเศษพิสดารด้วยความภูมิใจ
สุดท้ายจึงหยิบกล่องใบหนึ่งมอบให้เจ้าทิพ ลักษณะทรงสี่เหลี่ยมยาวบุหุ้มด้วยผ้าแพรไหมลงลายดิ้นเงินดิ้นทอง
“ของขวัญสำหรับหลานเรา หวังว่า “คนสำคัญ” ที่เจ้าจะนำไปมอบให้คงพึงพอใจ”
เจ้าทิพมองกล่องที่อยู่ในมือ สีหน้าตื่นเต้นดีใจ พลางใช้มือลูบสัมผัสผ้าบุหุ้มกล่องลายบุปผาอย่างแผ่วเบา
“องค์หญิงจะต้องทรงดีพระทัย... เป็นที่สุด” เจ้าทิพรำพึงขึ้นด้วยความรักลุ่มหลง
เมื่อเปิดกล่องดู ภายในบรรจุผ้าไหมดิ้นเงินดิ้นทองแบบเดียวกับที่บุหุ้มกล่องแต่ทอลวดลายเต็มขนาด เป็นรูปหมู่หงส์เยื้องย่างกลางมวลบุปผา ไหมเงินไหมทองแวววาวเลื่อมพรายจนคล้ายมีชีวิตทั้งประณีตทั้งวิจิตร
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๑
------------------------------------
บทที่ ๑ กองเรือจากแดนมังกร
------------------------------------
พุทธศักราช ๑๙๑๖ ปีฉลู เบญจศก เดือนอ้าย ณ อ่าวปตานี
อาทิตย์ยามบ่ายของปลายฤดูมรสุมตะวันออกสาดแสงอบอุ่น ผืนน้ำบริเวณอ่าวปตานีซึ่งเคยสงบเพราะมีแหลมโพธิ์โอบล้อมกั้นคลื่นลมพลันเริ่มตีเกลียวสะบัดซัดไล่เป็นระลอกกระทบฝั่งเมื่อกองเรือสำเภาขนาดใหญ่จำนวนหลายสิบลำทยอยตีใบสีขาวขุ่นล่องเข้ามาในอ่าว ท่ามกลางเสียงผู้คนริมฝั่งตะโกนร้องป้องปากแสดงอาการดีใจ
ทิวธงลายมังกรโบกสะบัดเหนือเสากระโดงเรือแสดงสัญลักษณ์แห่งราชสำนักกรุงจีน
กระแสลมในเวิ้งอ่าวมิรุนแรง ใบเรือขนาดใหญ่ที่กินลมจนพองตึงค่อยๆ ทิ้งใบคล้อยหย่อนยามล่องผ่านปากอ่าวเข้ามาทีละลำ จากผังกระบวนเรือรูปนกนางแอ่นยามล่องท่องสมุทรถูกแปรขบวนเป็นจอดเรียง ๔ แถว แถวละ ๙ ลำ ทั้งหมด ๓๖ ลำต่างทิ้งทุ่นทอดสมอและเก็บใบเรือพรักพร้อม
เมืองปตานีตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกของคาบสมุทร แต่ปากอ่าวกลับอยู่ทางทิศตะวันตก ด้วยตัวอ่าวอยู่บริเวณทิศเหนือของเมืองมีแหลมโพธิ์ทอดยาวขึ้นไปโอบวงรอบผืนน้ำทางด้านตะวันออกแล้ววกโค้งไปตลอดด้านทิศเหนือ เกิดเป็นเวิ้งอ่าวขนาดใหญ่อยู่ภายใน สงัดจากคลื่นลมมรสุมเหมาะแก่การเข้าเทียบท่าพักเรือมากที่สุดในคาบสมุทร ด้วยเหตุนี้ทำให้ปตานีรุ่งเรืองขึ้นเป็นเมืองท่าหลักในการขนถ่ายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างเมือง เชื่อมต่อดินแดนอารยธรรมตะวันออกจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึงขอม จาม และหมู่เกาะทะเลจีนใต้ สู่ดินแดนอารยธรรมตะวันตกคือชมพูทวีป ลังกา อาหรับ เปอร์เชีย โดยอาศัยเมืองไทรบุรีเป็นเมืองท่าคู่ขนานทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทร
ธรรมเนียมการค้าชายฝั่งกำหนดให้นายเรือต้องส่งผู้แทนเข้าเจรจากับนายท่าเพื่อขออนุญาตขนถ่ายสินค้าพร้อมตกลงค่าชำระชักอากร ด้วยปตานีเป็นเมืองท่าใหญ่กว่าทั้งปวงพระจักรพรรดิกรุงจีนจึงโปรดให้มีผู้แทนการค้าจากราชสำนักมาประจำการอยู่เพื่อรวบรวมสินค้าและเป็นผู้แทนเจรจากับนายท่า ส่วนผู้บัญชาการกองเรือสินค้ามีศักดิ์เทียบได้กับราชทูตผู้แทนแห่งองค์จักรพรรดิ
“ออกเรือ”
สิ้นเสียงคำสั่งเป็นภาษาจีน เรือพายขนาดใหญ่ ๒ ลำก็ออกจากท่าริมฝั่ง
ผู้ออกคำสั่งเป็นชายชาวจีนอายุราว ๓๕-๔๐ ปี รูปร่างผอมผิวเหลืองแต่คล้ำกร้านแดด คิ้วเหยียดแทบเป็นเส้นตรง ตารียาวไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปาก ลักษณะเป็นคนคล่องแคล่วแต่งกายชุดขุนนางราชวงศ์หมิง เป็นชุดยาวสีน้ำเงินลวดลายดอกโบตั๋น แขนเสื้อยาวจนต้องถือรั้งปลายแขนไว้ในอุ้งมือ ชายเสื้อแม้ยาวกรอมข้อเท้าแต่ตัดแหวกด้านข้างทั้งซ้ายขวา ยามต้องลมสะบัดเปิดเห็นกางเกงขายาวสีดำอยู่ด้านใน... คนผู้นี้คือไต้ซีหง ข้าราชสำนักจากกรุงจีนผู้แทนการค้าประจำเมืองปตานี พาบริวารซึ่งปะปนทั้งชาวจีนและชาวพื้นเมืองราวยี่สิบคนพายเรือเล็กเข้าหากองเรือมหึมาจากกรุงจีน
ผู้คนริมฝั่งยิ่งนานยิ่งเพิ่มมากขึ้น บ้างชักชวนกันมาดูกองเรือขนาดใหญ่ซึ่งล่องมาเทียบท่าปีละครั้ง บ้างเป็นพ่อค้าที่รอติดต่อซื้อขาย ทุกคนย่อมตื่นเต้นดีใจเพราะการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างเมืองขนาดใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
เรือพายสองลำมุ่งตรงสู่กลางกองเรือ ทุกคนบนเรือต่างวาดฝีพายขะมักเขม้นเว้นไว้แต่เพียงไต้ซีหงผู้เป็นนายกับหนุ่มน้อยวัยราว ๑๖ ปีชาวปตานีซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ด้านหลัง ร่างนั้นสูงเปรียวตามวัย ผิวกายไม่คล้ำดำเหมือนชาวพื้นเมืองทั่วไป หน้าตาหมดจดคมคายชวนมอง แววตานิ่งลึกบ่งบอกลักษณะนิสัยชอบเก็บตัว ผมยาวถูกเกล้ารวบเป็นมวยเหนือศีรษะแล้วรัดด้วยผ้าฝ้ายมิได้เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่มักตัดสั้น แต่งกายลักษณะของชาวเมืองผู้มีศักดิ์ฐานะแต่กลับใช้เนื้อผ้าค่อนข้างหยาบสีเข้มไร้ลาย ผ้านุ่งคาดหยักรั้งคร่อมเข่าลงมา ตัวเสื้อกลัดกระดุมใหญ่แขนยาว ปักขอบปลายเสื้อและปลายแขนด้วยแถบสีน้ำเงินอ่อน รอบเอวคาดผ้าผืนใหญ่รวบปล่อยชายด้านหน้า
ยิ่งพายเรือเข้าใกล้ยิ่งเห็นขนาดเรือจากกรุงจีนใหญ่ขึ้นทุกที
เสียงรหัสสัญญาณตอบโต้ระหว่างเรือพายกับเรือกองตระเวนที่อยู่แถวหน้าดังขึ้น ไม่นานก็ส่งอาณัติสัญญาณให้เรือเล็กทั้งสองลำพายตรงสู่เรือธงด้านในซึ่งเป็นเรือบังคับบัญชาขบวนเรือทั้งหมด
บันไดเชือกถูกโยนลงมาเมื่อเรือพายเข้าเทียบข้างเรือธง ไต้ซีหงนำคณะปีนป่ายขึ้นไปทิ้งไว้แค่คนเฝ้าเรือ
“ผู้น้อยไต้ซีหง ผู้แทนการค้าประจำนครปตานี ขอกราบคารวะท่าน “เซียงจือกง” ผู้บัญชาการกองเรือสินค้าแห่งราชสำนักต้าหมิง” ผู้นำคนขึ้นเรือกล่าวเป็นภาษาจีนพร้อมประสานมือคุกเข่าคำนับ
เบื้องหน้าคือชายอายุราว ๔๐ ปี รูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายอยู่ในชุดจอมพลเรือแห่งราชวงศ์หมิง เสื้อสีเหลืองทองปักลายมังกรสามเล็บเด่นอยู่ด้านหน้า บ่งบอกอาญาสิทธิ์แทนองค์จักรพรรดินอกอาณาเขตกรุงจีนชัดเจน
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ซีหง.. ลุกขึ้นเถิด” ขุนนางใหญ่แห่งน่านน้ำกล่าวเคร่งขรึม น้ำเสียงแฝงอำนาจประกาศิตแม้ช่วงท้ายจะเจือเสียงหัวเราะในลำคอก็ตาม ครั้นผู้คุกเข่าคารวะลุกขึ้นยืนแล้วจึงถามต่อไปว่า
“ตัวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ความเป็นอยู่ที่ปตานีสุขสบายดีไหม”
“ด้วยพระบารมีขององค์จักรพรรดิและการสนับสนุนของท่านเซียงจือกง ตัวข้าน้อยมีความสุขดีทุกประการขอรับ”
“ดีมาก” พลางผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ
สายตาคมวาวของเซียงจือกงทอดผ่านไปยังด้านหลังจับจ้องที่ใบหน้าชายหนุ่มรุ่นเยาว์ชาวปตานี รอยยิ้มของท่านพลันฉีกกว้างอย่างจริงใจ ใบหน้าใหญ่จมูกโตดุจราชสีห์ คิ้วหนาตาพองหน้าผากกว้างซึ่งปกติดูน่าเกรงขามพรั่นพรึงพลันเปลี่ยนเป็นอิ่มเอิบแจ่มใสดึงดูดผู้คนให้รู้สึกสบายใจอยากอยู่ใกล้ ร่างของท่านรีบสาวเท้าผ่านไต้ซีหงไปหาหนุ่มน้อยทันที
“ขอต้อนรับเจ้าทิพากรแห่งนครปตานี”
ผู้เป็นใหญ่ในกองเรือชิงกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์ยินดีพร้อมสวมกอดชายหนุ่มสนิทแน่น ร่างทั้งสองกอดกระชับดุจดั่งญาติสนิทที่ห่างหายได้คืนมาพบกัน สักครู่หนึ่งจึงคลายออก เซียงจือกงวางแผ่นมือใหญ่ลงบนไหล่เด็กหนุ่ม ส่ายตาสำรวจตรวจดูความสูงต่ำล่ำสัน
“ปีนี้หลานเราดูรูปร่างช่างสูงใหญ่ขึ้นกว่าปีกลายมากนัก กลายเป็นหนุ่มงามสง่าแล้ว” พลางหัวเราะรื่นด้วยความรักเอ็นดู
“ท่านอาจือกงก็ดูแข็งแรง องอาจยิ่งใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง... ข้าพเจ้าเฝ้าคิดถึงท่าน ทุกวันนี้สวดมนต์ภาวนาขอให้พระพุทธและพระโพธิสัตว์คุ้มครอง ให้ท่านอาแข็งแรงเดินเรือปลอดภัยตลอดเส้นทาง”
เด็กหนุ่มแห่งนครปตานีกลับกล่าววาจาเป็นภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ในบริเวณคาบสมุทรนี้ นอกจากภาษาท้องถิ่นแล้ว ผู้คนต่างใช้ภาษาจีนและภาษาอินเดียในการติดต่อค้าขาย
“หลานเรากลับมาถึงปตานีได้กี่วันแล้ว”
คำถามของผู้ที่ถูกเรียกว่า “อา” ทำให้เด็กหนุ่มสีหน้าเจื่อนลง
“ข้าพเจ้ามาถึงได้ ๓ วัน ไปไหว้สถูปพระมารดาแล้วแต่รอให้ถึงขึ้น ๑๐ ค่ำจึงจะไปทำพิธีบวงสรวง”
“อืม... ขอให้เป็นบุตรกตัญญู จะกราบไหว้เซ่นสรวงวันไหนหรือสถานที่ใด ดวงพระวิญญาณของพระนางบนสรวงสวรรค์ทรงรับรู้ได้ทั้งสิ้น”
“หากไม่ใช่เพราะความกรุณาของท่านอาที่ช่วยเหลือไว้ ป่านนี้หลานคงเหมือนคนถูกเนรเทศห้ามเข้าเมืองปตานีอย่างเด็ดขาด”
“เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย คนที่ไม่ธรรมดา ฟ้ามักจะเคี่ยวกรำเป็นพิเศษ”
“แต่ข้าพเจ้าเป็นปีศาจจากท้องน้ำ ไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับท้องฟ้า...”
น้ำเสียงสะท้อนความหดหู่น้อยใจในตนเองทำให้ผู้ถูกเรียกเป็นอาต้องหยุดชะงักแล้วมองตาพิเคราะห์... สิ่งที่เห็นคือความระทมหม่นหมองในเบื้องลึกของแววตากับประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวทระนง
“ไปเถอะ.. เราไปจัดการเรื่องคนและสินค้าให้ซีหงกัน เขาจะได้รีบกลับไปทำเรื่องเทียบท่าให้เสร็จก่อนค่ำ”
ปากแม้กล่าววาจาชักชวนผู้ที่ตนรักเสมอหลานชายไปจัดการธุระสำคัญเฉพาะหน้า แต่ภายในกลับรู้สึกสะท้อนใจในชะตาชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้...
เจ้าทิพากรเป็นบุตรชายพระเจ้านครปตานีกำเนิดแต่พระสนมจันทรา หญิงสามัญชนบุตรีคนเดียวของนายช่างฝีมือเอกชาวเชียงแสนซึ่งอพยพมาอยู่ยังเมืองนครศรีธรรมราชจนได้รับแต่งตั้งเป็นนายกองช่างหลวง ครั้นพระเจ้าปตานีเสด็จเยือนเมืองนครฯ ได้ทรงพบและสมัครรักใคร่ด้วยพระนาง โปรดให้รับตัวมาแล้วสถาปนาขึ้นเป็นพระสนมเอก พระอิสริยยศเป็นรองเพียงพระมเหสีเนรัญวีผู้สืบสายไศยเลนทร์วงศ์แห่งศรีวิชัย
ด้วยพระสิริโฉมที่งดงามพร้อมพระอุปนิสัยอ่อนโยนทำให้พระสนมจันทราทรงเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระเจ้าปตานียิ่งนัก กระทั่งทรงพระครรถ์ขึ้นขณะพระราชชนนี (มารดา) ของพระเจ้าปตานีประชวรหนักและสิ้นพระชนม์ในกาลใกล้เคียงกับพระประสูติกาลของเจ้าทิพากร สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป เจ้าทิพากรถูกพราหมณ์ชั้นเอกทำนายว่าเป็นกาลกิณี มีการจัดพิธีล้างชะตาต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ จนครั้งสุดท้ายเกิดเหตุโศกนาฏกรรมพระสนมจันทราสิ้นพระชนม์ขณะดำเนินพิธีกรรม เจ้าทิพากรจึงถูกขับไล่ให้ไปอยู่กับตาที่เมืองนครศรีธรรมราชแทบเป็นการถาวร จะได้กลับเมืองมาไหว้อัฐิพระมารดาเพียงปีละหนึ่งครั้งโดยติดตามพระคลังนายท่าเมืองนครศรีธรรมราชผู้แวะเวียนมาติดต่อกองเรือสินค้าของพระเจ้ากรุงจีนทุกปี
ที่สำคัญ.. ไม่โปรดให้ถือศักดิ์เป็นองค์ชายแต่อย่างใด ผู้คนทั่วไปมักเรียกนามสั้นๆ ว่า “เจ้าทิพ” ฐานะบุตรชายเจ้าเมืองปตานี
เซียงจือกงได้มอบหมายให้นายกองสินค้าเป็นผู้รายงานจำนวนสินค้าและผู้คนโดยสารที่จะขึ้นท่าปตานีต่อไต้ซีหง โดยตนเองและเจ้าทิพเพียงร่วมรับฟัง จากนั้นทั้งนายกองและไต้ซีหงจึงขอตัวพาผู้คนแยกย้ายไปตรวจดูสินค้าที่บรรทุกอยู่ตามเรือต่างๆ ในกองเรือกลาง
“ท่านอาได้มีโอกาสนำแพรไหมจากวังหลวงมาให้ข้าพเจ้าหรือไม่” เจ้าทิพกล่าวถามขึ้นหลังจากได้สนทนากันตามลำพังอยู่สักพัก
“ฮาฮา ตกลงคิดถึงอา หรือของที่อานำมาฝาก” พลางหัวเราะจนร่างที่ท้วมใหญ่กระเพื่อม ก่อนจะตอบอย่างเบิกบานใจ “แพรไหมที่หลานเราต้องการ มีหรือจะไม่หามาให้... เจ้ารู้ไหม ทั้งหมดมีเพียง ๗ พับเท่านั้น เราขอมาให้เจ้าได้พับหนึ่ง”
เมื่อเห็นสีหน้าลิงโลดเป็นสุขของชายหนุ่มพลอยอดกระเซ้าต่อไปมิได้
“ว่าแต่เราลืมไปแล้ว เจ้าจะเอาแพรพรรณไปให้ผู้ใดกันนะ”
เป็นคำถามที่ผู้ถามรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มก็อมยิ้มตอบไป
“หลานจะนำไปให้ พระราชธิดาของพระเจ้าตามพรลิงค์”
ตามพรลิงค์... นั่นคือนามเมืองนครศรีธรรมราชที่ชาวจีนมักเรียกขานกัน
พระเจ้าตามพรลิงค์คือพระผู้เป็นใหญ่ตลอดคาบสมุทรสุวรรณภูมิ
“ถ้าเช่นนั้นเราไปดูห้องเก็บรักษาเครื่องบรรณาการกันเถอะ ผ้าแพรไหมของเจ้าก็เก็บอยู่ที่นั่น” กล่าวแล้วจูงมือพาผู้เป็นหลานเดินจากลานโล่งกลางเรือไปยังห้องใหญ่ตอนท้ายลำทันที
เรือธงทั้งกว้างทั้งใหญ่ พื้นที่หนึ่งในสามบริเวณตอนท้ายเป็นหอบัญชาการ ดูไปคล้ายอาคารไม้ ๒ ชั้นถูกนำมาตั้งไว้ กรอบด้านข้างโค้งเว้าตามรูปทรงท้ายเรือ มีเสากระโดงใบเรือ ๓ เสาอยู่ด้านบน เมื่อเดินเข้าไปภายในจึงเห็นพื้นที่ชั้นล่างด้านซ้ายเป็นห้องพักและห้องทำงานของเซียงจือกง ฝั่งด้านขวาเป็นห้องรับอาหารและห้องประชุม ตรงกลางเป็นห้องเรียงรายทุกห้องมีสลักกุญแจคล้องไว้แน่นหนา ส่วนชั้นบนคือห้องควบคุมสั่งการขบวนเรือ
เซียงจือกงไขสลักกุญแจเปิดห้องหนึ่งแล้วพาเจ้าทิพเข้าไป ด้านในบรรจุสิ่งของมีค่าสำหรับถวายแด่พระเจ้ากรุงอโยธยาและเจ้าเมืองท่าน้อยใหญ่ มีพวกผ้าแพรพรรณ ภาชนะเครื่องถ้วยชาม เครื่องทรงและเครื่องตกแต่งประดับต่างๆ นายใหญ่แห่งกองเรือเพียงหยิบบางส่วนออกมาแสดงซึ่งล้วนแต่ล้ำค่างามวิจิตร พร้อมบรรยายสรรพคุณวิเศษหรือวิธีประดิษฐ์ที่พิเศษพิสดารด้วยความภูมิใจ
สุดท้ายจึงหยิบกล่องใบหนึ่งมอบให้เจ้าทิพ ลักษณะทรงสี่เหลี่ยมยาวบุหุ้มด้วยผ้าแพรไหมลงลายดิ้นเงินดิ้นทอง
“ของขวัญสำหรับหลานเรา หวังว่า “คนสำคัญ” ที่เจ้าจะนำไปมอบให้คงพึงพอใจ”
เจ้าทิพมองกล่องที่อยู่ในมือ สีหน้าตื่นเต้นดีใจ พลางใช้มือลูบสัมผัสผ้าบุหุ้มกล่องลายบุปผาอย่างแผ่วเบา
“องค์หญิงจะต้องทรงดีพระทัย... เป็นที่สุด” เจ้าทิพรำพึงขึ้นด้วยความรักลุ่มหลง
เมื่อเปิดกล่องดู ภายในบรรจุผ้าไหมดิ้นเงินดิ้นทองแบบเดียวกับที่บุหุ้มกล่องแต่ทอลวดลายเต็มขนาด เป็นรูปหมู่หงส์เยื้องย่างกลางมวลบุปผา ไหมเงินไหมทองแวววาวเลื่อมพรายจนคล้ายมีชีวิตทั้งประณีตทั้งวิจิตร
(มีต่อ)