ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๓๑ ชีวิตแลกชีวิต

.
                                                  

บทที่ ๓๑ ชีวิตแลกชีวิต

“เจ้าลืมตาขึ้นได้แล้ว”

เป็นเสียงแทรกเข้ามาในภวังค์ เจ้าทิพจึงกำหนดลืมตาขึ้น ทุกอย่างรอบกายแม้ดูสลัวเพราะเป็นห้องที่ปิดมิดชิดทั้งสี่ด้าน แต่จากแสงรำไรที่ลอดซี่ช่องลมเข้ามาก็พอรู้ว่าเป็นเวลากลางวันแล้ว
เห็นงูทั้งสามตัวไปขดพันกันอยู่ที่ซอกมุมของแนวลังกับผนังห้อง ส่วนวรากับพานอินนั่งอยู่บนลังตรงหน้า

“เจ้ามองเพ่งไปที่งู แล้วบอกข้ามาว่ารู้สึกอย่างไร” วราเอ่ยสั่งขึ้น

เจ้าทิพมองไปยังงูสามตัวที่ขดไขว้เกี่ยวพันกันอยู่ตรงซอกมุมอีกครั้ง
“ข้าพเจ้ามิรู้สึกอย่างไร พวกมันก็อยู่ส่วนของมัน ข้าก็นั่งอยู่ตรงนี้ของข้า”

“ดี นับว่าเจ้าเรียนรู้เร็วมาก.. นึกไม่ถึงเพียงค่ำคืนเดียวเจ้าก็สลัดความกลัวออกจากจิตจนหมดได้ เดิมข้าคิดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๓ คืนจึงจะชำระจิตแห่งความกลัวของเจ้าออกไปได้... ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ” วราหัวเราะชอบใจ
“หมายความว่า.. เจ้าทิพปรับจิตที่จะควบคุมสัตว์ได้สำเร็จแล้ว” รอยยิ้มเกลื่อนเต็มใบหน้าของพานอินขณะโพล่งวาจาออกมา

“ยัง นี่เป็นแค่การตัดอุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ภายในจิตใจระหว่างคนและสัตว์ออก” วราตอบคำพานอิน แล้วหันกลับมากล่าวกับผู้ถูกฝึกฝน

“การกำหนดจิตของเจ้าเมื่อคืนนี้ เป็นการปล่อยวางละออกจากทุกสรรพสิ่ง แม้สลัดความกลัวออกไปแต่เป็นลักษณะของการตัดออก.. ไม่ใช่การรับรู้ มีอยู่และไม่เกรงกลัว.. หลังจากนี้ต่อไป ข้าจะสอนวิชาการกำหนดจิตในแนวทางของข้าให้กับเจ้า เป็นจิตที่เข้าไปสัมพันธ์ผูกพันกับสัตว์ จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนของวิธีการควบคุมบังคับสัตว์ การจะควบคุมสัตว์ต้องเกาะกุมจิตภายในก่อน แล้วจึงสื่อสารบังคับทางกายภายนอก”

“ขอรับ” เจ้าทิพกล่าวรับคำ แต่ในใจอดคิดไม่ได้ ทำไมวราแยกแยะออกว่าเรากำหนดจิตในลักษณะการปล่อยวาง... หรือว่าวราไม่เพียงกำหนดรู้จิตของสัตว์แต่ยังสามารถกำหนดรู้จิตของเราได้... หรือจิตของมนุษย์ก็ไม่ต่างจากจิตของสัตว์

วราเก็บงูเห่าทั้งสามตัวเข้าลัง ให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนแล้วค่อยมาฝึกอีกครั้งยามค่ำคืน

“ท่านไม่จำเป็นต้องมานั่งเฝ้าข้าพเจ้าที่โรงเก็บงูหรอก... อย่างไรเสียวราคงไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าเป็นอันตราย” เจ้าทิพกล่าวขึ้นกับพานอินเมื่อแยกตัวจากวราแล้ว
“สัตว์มีเขี้ยว ไม่ควรไว้ใจ... แม้แต่ตัววราเอง ก็มีคนเตือนว่าคุ้มดีคุ้มร้าย เราจึงไม่วางใจทิ้งท่านไว้ตามลำพังกับเขาและอสรพิษร้ายของเขา”
“ขอบใจท่านมาก...” เจ้าทิพกล่าวด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ “แล้วท่านได้หลับนอนบ้างหรือเปล่า”
“พอเห็นงูเห่าทั้งสามตัวสงบลงเราค่อยวางใจ จึงเอนกายหลับลงบนลังนั่นแหละ... ว่าแต่ท่าน นั่งสมาธิทั้งคืนเป็นอย่างไรบ้าง”
“จิตของข้าพเจ้าตื่นอยู่ทั้งคืน แม้มิได้หลับแต่ก็ไม่มีอาการเพลียอย่างใดเลย”

พานอินยกแขนมาโอบบ่าเจ้าทิพ
“อืม ท่านเข้าสู่ภวังค์ของจิตจนเป็นสมาธิ ร่างกายคงผ่อนคลายกว่าการนอนหลับสินะ”

ทั้งสองเดินมาถึงที่พัก เห็นนายเรืองยืนรออยู่ด้วยความเป็นห่วง
“นายท่านปลอดภัยดีนะขอรับ พวกข้าอดเป็นห่วงมิได้”
“ข้าไม่เป็นไร... ดีแล้วที่เจ้าเชื่อฟังข้า ไม่ออกไปตามให้วุ่นวายจนเป็นการรบกวนการฝึกของเจ้าทิพ”
“ข้าย่อมปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน แต่ถ้าเช้านี้ท่านไม่กลับมา ข้าก็จะขอละเมิดคำสั่งออกไปตามท่านเป็นแน่”

พานอินหัวเราะชอบใจในความภักดีของบริวาร แล้วชวนเจ้าทิพกินอาหารเช้าที่เหล่าบริวารจัดเตรียมรอไว้

-----------------------------------

ยามเย็น... ลมที่ตีพัดจากฝั่งทะเลเข้ามาเริ่มสลายอ่อนแรง เตรียมแปรเปลี่ยนกลับทิศ สลับพัดออกสู่ท้องทะเลในยามค่ำคืน
...นับประสากระไรกับใจคนจะไม่เปลี่ยนผัน

พสุคนสนิทของวราพาชายคนหนึ่งขึ้นมาบนเรือนพักของผู้เป็นนาย
“ท่านวรา ข้าพบชายคนนี้มาลับๆล่อๆ อยู่ในหมู่บ้านของเรา... เจ้าตัวบอกว่าจะมาพบท่านด้วยเรื่องลับของราชสำนักปตานี”

วรายันตัวขึ้นจากท่านอนมาเป็นลุกนั่ง จ้องมองชายแปลกหน้าที่มาจากปตานี การแต่งกายมิได้บ่งบอกฐานะว่าเป็นคนของราชสำนัก ดูไปคล้ายสามัญชนทั่วไป

“ข้าเป็นทหารราชองครักษ์ของพระเจ้าปตานี พระองค์มีหนังสือลับให้ข้าลอบนำมาให้ท่าน”
กล่าวพลางแก้ล่วมผ้าออก ภายในมีม้วนผ้าขลิบทองพันทบอยู่กับแกนไม้ ปลายแกนไม้ที่โผล่พ้นออกมาทั้งสองด้านแกะลายรูปหัววัว

“พระราชโองการ” วราอุทานขึ้น
“เป็นพระราชโองการลับ หาได้ทรงลงพระนามทั้งนี้เพื่อปกปิดฐานะ เรื่องนี้ห้ามท่านแพร่งพรายเป็นอันขาด” ผู้น้อมเชิญพระราชโองการ “ลับ” กล่าวพลางมอบหนังสือดังกล่าวให้

เมื่อวรารับมาคลี่ออกอ่าน มีใจความเขียนว่า

“ถึงวราพญาสัตว์ เราขอขอบใจท่านมากที่อุตส่าห์ช่วยเราในการฝึกฝนขุนพลฉลูนักษัตร พิธีชุมนุมสิบสองนักษัตรครั้งนี้มีความสำคัญกับเรามากที่สุด แต่เรายังไม่สามารถเปิดเผยอะไรมากได้ในขณะนี้ เจ้าทิพหรือเจ้าทิพากรเป็นพระโอรสของเราเกิดแต่พระสนมจันทรา...”

“หา...เจ้าทิพากร” วราถึงกับสะดุ้งในใจ ความรู้สึกจุกหน่วงเกิดขึ้นกลางลิ้นปี่ทันที สายตาก็เลื่อนมองตัวอักษรถัดไป

“เราหวังในพระโอรสองค์นี้มาก เมื่อแรกเกิดมีผู้ทำนายเป็นลางร้าย แต่หากเมื่อใดได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรจะนำความยิ่งใหญ่มาสู่เชื้อวงศ์ของเรา ดังนั้นเราจึงให้พราหมณ์กุณฑกัญจพาไปเลี้ยงไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราชและแอบสั่งสอนวิชาการต่อสู้ของพระมหาเถรศรีศรัทธาจากบันทึกที่ลอบนำออกมาจากหอคัมภีร์
บัดนี้เจ้าทิพากรฝึกฝนจนสำเร็จแม้แต่บุตรชายของขุนพลสิงหลก็ยังมิอาจจะต่อสู้ได้ กระทั่งมีชัยชนะได้เป็นขุนพลฉลูนักษัตรตัวแทนของเมืองปตานี แต่จุดอ่อนของเจ้าทิพากรคือการบังคับม้าและช้างด้วยมีข้อจำกัดต้องปกปิดเรื่องการฝึกวิชาการต่อสู้
ครั้งนี้ได้ท่านมาช่วยพระโอรสของเราไว้ หากแม้นประสบความสำเร็จจนได้เป็นราชาสิบสองนักษัตรเราขอยืนยันมาในหนังสือโองการนี้ว่าเราจะอภัยโทษทั้งหมดของท่านพร้อมปูนบำเหน็จ
แต่หากท่านทำให้การครั้งนี้ล้มเหลวลง ก็จงรับรู้ไว้ว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาเมืองปตานีอีกต่อไป”

เป็นหนังสือที่ไม่ทรงจารึกลงพระนามหรือประทับตราประจำพระองค์ตามพระประสงค์ให้เป็นความลับ

วราขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตาเบิกพองถลน คั่งแค้นรำพึงอยู่ในอก “หึ เจ้าทิพ เจ้าทิพากร..และคัมภีร์พระมหาเถระที่กล่าวหาว่าเราขโมยไปอีก ที่แท้ก็อยู่กับพราหมณ์กุณฑกัญจ มิน่าผ่านไปกว่าสิบปีจึงไม่มีวี่แววร่องรอย... เป็นฝีมือของพระองค์หรือนี่ แม้แต่ขุนพลสิงหลก็ยังถูกหลอกลวง... สมน้ำหน้าเจ้าขุนพลหน้าโง่ เจ้าคงจะตั้งความหวังไว้กับบุตรชายของเจ้ามากให้เป็นราชาสิบสองนักษัตร คงคิดไม่ถึงว่าพระองค์จะทรงทรยศต่อทุกคน ทั้งเรา ทั้งเจ้า...” ความคิดประดังพร้อมคำตวาดลั่นออกไป

“ไป เจ้ากลับไปได้แล้ว...ไปกราบทูลพระองค์ว่าเราจะสนองพระคุณของพระองค์ท่านให้ถึงที่สุด” ชี้มือไล่ชายผู้นำพระราชโองการลับมามอบให้

เมื่อชายผู้นั้นรีบผุดลุกหนีออกไปพร้อมพสุด้วยความกลัว วราก็นั่งนิ่ง ในมือกำม้วนหนังสือพระราชโองการเกร็งแน่น จนเส้นเลือดโปนขึ้นบนหลังมือ
“โครม” เสียงม้วนหนังสือถูกซัดขว้างลงบนพื้นอย่างแรง

“หึ จะอภัยโทษให้เรารึ.. อภัยโทษในความผิดที่พระองค์เป็นผู้ทรงกระทำกระนั้นหรือ.. ไอ้เจ้าเด็กทารกเมื่อ ๑๖ ปีก่อน..ไอ้เจ้าบันทึกที่สูญหาย... หึ เอาไปแอบฝึกจนสมใจ.. ข้าจะให้เจ้าชดใช้ในทัณฑ์ทรมานอันแสนเจ็บปวดที่ข้าได้รับ.. ทรัพย์สมบัติที่ถูกริบไป.. ตราบาปทั้งปวงของข้า...”

เสียงวรากู่ร้องคลุ้มคลั่ง ทั้งอาละวาดพังข้าวของบนเรือน...

-----------------------------------

ค่ำแล้ว เจ้าทิพเดินตามหลังพสุที่วราสั่งให้นำตนมายังกระท่อมเก็บงูเห่าหลังเมื่อคืน พสุแจ้งว่ามีคำสั่งห้ามพานอินติดตามมาเพราะคืนนี้เจ้าทิพต้องใช้สมาธิอย่างสูงในการฝึกฝน

กระท่อมเก็บงูเห่าหลังเดิมยามนี้ปรากฏร่างสูงทะมึนของวรายืนหันหลังอยู่หน้าปากประตู ชูคบไฟนิ่งอยู่... เปลวไฟจากคบถูกลมโชยสะบัดวูบไหว จนเงาร่างสลับจากสว่างสู่ความมืดมิดไปมา แลดูลี้ลับน่าสะพรึงกลัว

“ข้าพาเจ้าทิพมาเพียงคนเดียวตามที่ท่านสั่งแล้ว... ข้าขอตัวละ” พสุรายงาน แล้วรีบเดินจากไป ทิ้งเจ้าทิพไว้กับร่างสูงใหญ่ที่ยืนหันหลังนิ่งอยู่

ร่างนั้นเปิดประตูแล้วโยนคบไฟทิ้งกับพื้นเบื้องนอก ก่อนก้าวเข้าไปข้างในกระท่อม... เจ้าทิพถือคบไฟติดตามเข้าไป แต่สิ่งที่เห็นภายในกลับเป็นพื้นห้องที่ว่างเปล่า ลังต่างๆ ที่เคยอยู่บนพื้นกลับถูกผูกด้วยเชือกเส้นใหญ่แขวนห้อยไว้รอบผนังห้องซึ่งบัดนี้มีคบไฟปักไว้มากมายจนสว่างไสว

เจ้าทิพเดินไปอยู่อีกฝั่งของห้องตรงที่เคยนั่งสมาธิเมื่อคืนวาน ตามที่วราชี้นิ้วออกคำสั่ง
ประตูถูกดึงมาปิดไว้มิดชิด ร่างสูงใหญ่ที่ยืนค้ำประตูยังคงไม่หันกายกลับมา ยืนกึ่งหันหลังกึ่งหันข้างให้เจ้าทิพ

“เจ้าทิพ ข้าขอถามเจ้า ๓ ข้อ เจ้ารับปากได้ไหมว่าจะตอบทุกอย่างตามความสัตย์”
เจ้าทิพผงะกับน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกที่กล่าวขึ้น
“ได้ เชิญท่านถามมาเถิด”

“ข้อแรก ตัวเจ้าชื่อทิพากร เป็นโอรสของพระเจ้าปตานีใช่หรือไม่”

เพียงคำถามข้อแรก เจ้าทิพก็หวั่นไหวแล้ว... นี่เกิดเรื่องราวใดขึ้นมา แต่ก็ยืนยันไปตามสัตย์
“ใช่ ข้าพเจ้าคือเจ้าทิพากร บุตรของพระเจ้าปตานีที่เกิดแต่พระสนมจันทรา”

“ดี” ผู้ถามเองก็ไม่นึกว่าเจ้าทิพจะตอบรวบรัด ไม่มีวี่แววจะบิดพลิ้วปานนี้
“ถ้าอย่างนั้นคำถามถัดไป... เจ้าฝึกวิชาการต่อสู้กับพราหมณ์กุณฑกัญจที่เมืองนครศรีธรรมราชใช่หรือไม่ และวิชาที่เจ้าเรียนก็คือวิชาในบันทึกพระมหาเถรศรีศรัทธาที่สูญหายไปจากหอคัมภีร์ ในคืนสุดท้ายที่ทำพิธีสวดพระเวทเปลี่ยนชะตาให้เจ้าเมื่อ ๑๖ ปีก่อน”

ครั้งนี้เจ้าทิพถึงกับตกตะลึง...ยืนนิ่งเงียบไม่ตอบคำ... นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ความเงียบวังเวงแผ่ไปทั่วบริเวณ สิ่งเดียวที่ดูจะเคลื่อนไหวคือแสงคบไฟที่วูบวาบสะบัด

ในที่สุด ได้แต่ตอบไปว่า
“ใช่ ข้าพเจ้าถูกพาไปอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช พราหมณ์กุณฑกัญจเป็นผู้สอนวิชาการต่อสู้ให้ หนึ่งในวิชาที่เขาสอน..ข้าพเจ้ามารับรู้ภายหลังว่าเป็นวิชาในบันทึกของพระมหาเถรศรีศรัทธาที่สูญหายไป”

คราวนี้วราค่อยๆ หันกายมาเผชิญหน้ากับเจ้าทิพ หน้านั้นขทึง แววตาแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“คำถามสุดท้าย... ทำไมเจ้าปกปิดข้าว่าเจ้าคือทิพากร โอรสของพระเจ้าปตานี”
เจ้าทิพแสยะปาก ตอบไป
“อย่าใช้คำว่าโอรสเลย ใช้คำว่าบุตรก็พอ ข้าพเจ้าหาได้มีศักดิ์ฐานะใดๆ จากชาติตระกูลไม่”

“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า...” เสียงกร้าวสำทับทันที

เจ้าทิพเมื่อได้ยินวราเท้าความถึงคืนสุดท้ายที่พิธีสวดพระเวทต้องยุติก็เริ่มพาลไม่สบอารมณ์แล้ว เพียงแต่พยายามสะกดข่ม ยามนี้มาถูกคาดคั้นจึงระเบิดอารมณ์คุกรุ่น ส่งเสียงกร้าวกลับไปบ้าง
“เพราะขุนพลสิงหลสั่งไว้ ห้ามบอกท่านเด็ดขาด”
“เพราะเหตุใด ทำไมต้องห้ามบอกข้า”
“ท่านพูดเองว่าคำถามก่อนหน้านี้เป็นคำถามสุดท้าย หรือข้ายังต้องตอบอีก” ชายหนุ่มกล่าวสวนคำไม่เกรงกลัว

“ดี ถ้าอย่างนั้นคำถามนี้ข้าจะตอบเอง... เพราะสิ่งที่พวกเจ้าทำกับข้ามันช่างโหดร้ายสาหัส ไร้ซึ่งความยุติธรรม พวกเจ้าย่อมรู้ดีว่าถ้าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร ข้าจะไม่มีทางสอนวิชาให้เจ้าเด็ดขาด บางทีอาจจะฆ่าเจ้าทิ้งก็ได้”

เจ้าทิพจ้องมองวราที่บัดนี้กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตนไปแล้ว
“ท่านมีความสามารถหรือ”

วราหัวเราะขึ้นดังๆ แล้วคว้าเส้นเชือกที่ห้อยอยู่ข้างประตูกระตุกดึง
พลันลังไม้ที่ถูกแขวนเอียงไว้รอบห้องราว ๒๐ ลังก็ขยับฝาเปิดออกพร้อมกัน เหล่าอสรพิษที่อยู่ภายในลัง ลังละกว่าสิบตัวต่างร่วงหล่นลงมากองยั้วเยี้ยกับพื้น รวมแล้วราว ๓๐๐ ตัวรอบห้อง...

เสียงหัวเราะของวรายิ่งดังขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง
“เจ้าอย่าได้ทะนงตนว่าเก่งกล้าจากวิชาที่พวกเจ้าขโมยไปแล้วปรักปรำความผิดให้ข้า... ตอนนี้เพียงข้าให้สัญญาณเหล่าอสรพิษทั้งหมดก็จะรุมเข้าโจมตีเจ้าทันที”

เจ้าทิพเหงื่อกาฬหลั่งไหล ฝูงงูมากมายเลื้อยรายล้อมเข้าใกล้ตนมาทุกที... ในใจนั้นนึกว่าควรจะใช้ความเร็วลงมือสยบวราไว้ก่อนดีหรือไม่ เพียงแวบแห่งความคิดก่อเกิด วราก็กล่าวขึ้น

“เจ้าคงคิดจะชิงลงมือกับข้าก่อนละสิ ขอบอกให้รู้ไว้ข้ามีวิธีส่งสัญญาณให้เหล่าอสรพิษจู่โจมเจ้าได้หลากหลายวิธีอย่างที่เจ้าคาดคิดไม่ถึง อีกอย่างตอนนี้จิตของเหล่าอสรพิษผูกพันกับข้าแล้ว หากข้าสิ้นใจพวกมันก็จะรุมทำร้ายเจ้าอย่างดุร้ายแน่นอน”

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่