เปลวพิศวาส (บทที่ 18) โดย มานัส

บทที่ 18


“หน้าหมองๆ  หักโหมกับเมียใหม่หนักไปหน่อยเหรอวะ กว่าจะลากมานี่ได้ต้องเอาสก๊อช์ยี่สิบเอ็ดปีมาล่อ”

“มัวแต่หาไอ้สามสิบล้านนั่น แถมมีงานนอกอีก นอนวันละสี่ชั่วโมงก็บุญแล้ว” ตุลย์ยิ้มเล็กน้อย จิบวิสกี้ชั้นดีจากแก้วทรงกลมหนา

“ไอ้นี่! นอนน้อยเพราะติดเมีย แต่ไปโทษงาน” เพื่อนอีกคนรู้ทัน “ว่าแต่คนนี้จริงจังเหรอวะ ไหนว่าเป็นความผิดพลาด”

“ก็ต้องดูกันไป คบกันยังไม่ถึงสองเดือน”

“ไม่ถึงสองเดือน…มีแต่เรื่อง แล้วแปลงร่างเป็นพ่อพระตั้งแต่เมื่อไหร่ เมียจูงกิ๊กเก่าเข้าห้องตอนตีสอง จับได้คาตา ก็ยังให้โอกาส”

“ตอนนั้นก็ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด” แววตาวาววับบ่งบอกเช่นคำพูด “แต่พอเห็นว่าเอื้องตัดไอ้ตัวเสร่อนั่นไปได้ ก็คิดว่าควรให้โอกาสเอื้อง และให้โอกาสตัวเอง”

“หลงหนักแล้วล่ะ สวยมากเหรอวะ หรือว่าลีลาเด็ด”

“เด็กกู ก็ต้องสวยดิ มีคนไหนบ้างที่ไม่สวย” ตุลย์เลือกที่จะตอบคำถาม เขาไม่ใช่คนที่จะโพทะนาเรื่องบนเตียง และไม่เคยทำ

ก็แค่ภูมิใจในคนที่เขามีสัมพันธ์ด้วย

ผู้หญิงของเขาทุกคน…สวย ดูดี

หลายคนฐานะดี การศึกษาดี หน้าที่การงานดี…ดี จนคนอื่นอิจฉา

คงมีเพียงเอื้องคำที่ผิดแผก ทว่าเอื้องคำก็สวยมากทีเดียว

“อย่างว่าคงเด็ดแหละ กิ๊กเด็กถึงไม่ยอมปล่อยไง”

“ตอนนี้คงปล่อยแล้ว มันจะอะไรนักหนาขนาดนั้น โดนไล่ซะจนต้องคร่ำครวญหนัก ถ้ายังตื้ออีก มันก็คงไม่มีศักดิ์ศรีหรอก” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญนัก

“แล้วกับน้องขวัญ น้องอะไรอีกเป็นกระบุงล่ะ”

“ก็ไม่คุย ถ้าต้องคุยก็เหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง”

“ไม่เสียดายหรือไงวะ ยิ่งน้องขวัญ นั่นระดับหมื่นล้านเชียวนะ ร้านทุกร้านก็ขยายไปต่างประเทศหมด  รวยจนไปซื้อไร่ไวน์ที่ฝรั่งเศสเอาไว้ดูเล่นๆ”

“เอากับน้องขวัญ เงินสามสิบล้าน พ่อตาแกยื่นให้จิ๊บๆ ระดับนั้น” อีกคนเสริม

“ไม่ใช่ว่าเขาจะให้ง่ายๆ” ตุลย์หัวเราะในความจริง และเมื่อเหล้าในแก้วหมด เขาจึงขอตัว

“กลับไปหาเมีย” เพื่อนๆ สรุป เพราะรถยนต์สีขาวแล่นออกจากคอนโดใหญ่ใจกลางเมือง มุ่งหน้ากลับไปหาเอื้องคำ

ความคิดถึงอย่างท่วมท้นทำให้ชายหนุ่มเร่งความเร็ว ลัดเลาะไปตามซอยเล็ก เลี่ยงการจราจรที่ติดขัดในย่านสถานบันเทิงในเวลาห้าทุ่ม จนออกมาบนถนนใหญ่อีกด้าน

ภายในความมืดสลัวไม่มีอะไรน่าสนใจ จะสะดุดตาก็คงเป็นรถเบนซ์โบราณสีดำรับกับความมืด ที่จอดข้างทาง

ฝากระโปรงหน้าเปิดทิ้งไว้ มีร่างของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำยืนพิงอยู่ข้างตัวรถ

“ควรปิดประทุนแล้วไปรอในรถ” ตุลย์พร่ำกับตัวเอง รู้ว่าถนนเส้นนี้ไม่ค่อยปลอดภัยนัก ทั้งจากรถที่วิ่งอย่างเร็วและกลุ่มเด็กแว๊นที่มักออกมาก่อความรำคาญในยามค่ำคืน “หรือว่าเครื่องดับแล้วปิดประทุนไม่ได้หว่า”

ความคิดผิดถูก และความอยากช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนทำให้เขาตัดสินใจกลับรถ วนรถญี่ปุ่นคันเล็กสีขาวเข้าจอดข้างหน้ารถเบนซ์โบราณ

ตุลย์หยิบโทรศัพท์มือถือที่เขาเปิดบันทึกเสียง และกุญแจรถที่ใช้ล็อครถ แล้วเดินไปยังรถโบราณที่จอดอยู่

“มีอะไรที่ผมพอช่วยได้ไหมครับ” การอัดเสียงจะช่วยหากอีกฝ่ายเป็นมิจฉาชีพ หรือกล่าวหาอะไรลอยๆ

คนเราสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ แต่ถ้าจะปล่อยเรื่องไว้เฉยๆ ไม่ทำอะไรก็ไม่ถูกนัก เพราะอีกฝ่ายอาจจะต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ก็ได้

“เป็นที่เครื่องหรือไม่ก็น้ำมันน่าจะหมด” เสียงจากความมืดด้านข้างของรถ พร้อมกับร่างที่เป็นเงาลางๆ “รถเก่าก็อย่างนี้ เกจ์น้ำมันเชื่อถือไม่ค่อยได้”

“ให้ผมไปเอาน้ำมันมาเติมไหมครับ” ตุลย์พยายามมองร่างที่อยู่ในความมืด

“ผมบอกคนของผมแล้ว เดี๋ยวก็คงมา” ร่างนั้นขยับนิด พอให้เห็นสูทสีเข้มที่ทับเสื้อเชิ้ตดำ กลมกลืนไปกับความมืดรอบตัว

“แถวนี้ค่อนข้างอันตราย ผมรอเป็นเพื่อนคุณก็ได้ครับ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”

“คุณไม่ต้องรีบกลับไปหา…ใคร หรือ” คำว่า…ใคร เน้นหนักเล็กน้อย

“ไปช้านิดช้าหน่อยไม่เป็นไรหรอก ช่วยคนสำคัญกว่า”

“คุณดี…เสมอ” คนพูดผ่อนคำสุดท้ายใต้ลมหายใจ แล้วค่อยๆ ขยับตัวจากเงามืด “แต่ใช่ว่าทุกคนจะดีเช่นคุณ”

“ถ้าคุณไม่ดี ผมก็พร้อมขึ้นรถแล้วขับออกไป” เสียงหัวเราะเบา ไม่ได้มีความหวาดกลัว

โทรศัพท์มือถือของเขายังคงบันทึกการสนทนา กุญแจรถในกระเป๋ากางเกงก็พร้อมใช้ ตุลย์มองอีกฝ่าย…ผู้ชายคนนี้ ใจเย็น…เย็นเยือก

แลดูไม่วิตกกับเหตุการณ์ที่หลายๆ คนคงกระสับกระส่าย โวยวาย

คนๆ นี้น่าจะทำให้คนที่จะมาช่วย หรือมาหาเรื่อง…กลัว เสียมากกว่า

“ขับออกไปยังทัน” เสียงหัวเราะของชายผู้นั้นกังวานแปลกๆ เมื่อกล่าวในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด “แต่ขอบคุณที่สละเวลามาช่วย”

“เห็นคนเดือดร้อนก็ต้องช่วย” ตุลย์มองร่างในเงามืดที่ขยับตัวก้าวเข้ามาหยุดหน้ารถเบนซ์โบราณสีดำ  ห่างจากเขาไม่กี่ก้าว

ไฟจากริมถนนที่สาดส่องจับมุมเผยให้เห็นชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆ รูปร่างสูงสันทัดและผิวสองสีที่ออกนวลเกินกว่าชายหนุ่มทั่วไป

คงเป็นผู้ดีมีเงิน รถโบราณคันนี้ ราคาแพงกว่ารถสปอร์ตทันสมัยหลายคันนัก

“เบนซ์ 190 เอสแอล ปี 1960” ผู้เป็นเจ้าของรถแจ้งราวอ่านความคิดอีกฝ่ายได้

“โจรแถวนี้คงปล้นเอาเงิน เอานาฬิกา กับมือถือของคุณ รถนี้ก็คงถูกแยกชิ้นส่วนขาย น้อยคนจะรู้ว่ารถรุ่นนี้ราคาเกือบสิบล้านบาท”

“คุณรู้” คนเป็นเจ้าของรถหัวเราะ

“พี่ชายผม…” เสียงสะดุดจับเศร้านิดเดียว ด้วยความคิดถึงผู้เป็นพี่ “ชอบรถโบราณ โดยเฉพาะเบนซ์รุ่นนี้ หายาก มีเงินก็ใช่ว่าจะได้ แต่ตอนนั้นพี่ผมไม่มีเงิน เพราะเอาไปลงทุนเสียหมด แต่ก็แพลนว่าอีกปีสองปี จะหาซื้อ ถ้าซื้อได้”

“ปีสองปี ก็คงสิบล้านเต็มที่”

“นอกเสียจากคุณจะลดราคาให้”

การบอกของตุลย์ทำให้เสียงหัวเราะของสองหนุ่มประสานกัน พร้อมกับรถโรลส์รอยส์สีดำแล่นเข้ามาจอดหลังรถเบนซ์โบราณ

“คนของผมมาพอดี” ผู้เป็นเจ้าของรถโบราณเปรย โค้งศีรษะเพียงนิด “ขอบคุณในความปรารถนาดีของคุณ ความเมตตาที่คุณให้…ถูกที่ ถูกเวลา”

“ช่วยได้เท่าที่ช่วยครับ ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์อย่างคุณ หรือถ้าคนที่ผมรักต้องอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ ผมก็หวังว่าจะมีใครสักคนเข้ามาช่วยให้เขาปลอดภัย”

“ความคิดของคุณดี เสียดายคนส่วนใหญ่บนโลกไม่ได้เป็นคนดี หรือมีความคิดดีเช่นคุณ” ร่างในเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงสีดำ ขยับไปทางรถโรยส์ รอยส์ที่มีคนของเขาเปิดประตูยืนรออยู่ จะหันกลับมาอีกครั้งเพื่อบอก “นามบัตรของผม ติดต่อผมได้ตลอดเวลา ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยเหลือคุณได้”

ร่างนั้นก้าวเข้านั่งประจำที่ในตอนหลังของรถยนต์คันงาม โดยผู้ที่ทำหน้าที่ปิดประตู เดินมายังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรถเบนซ์โบราณ แล้วโค้งตัวยื่นนามบัตรสีดำให้

ตุลย์นึกขันในกิริยานอบน้อมของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ในชุดดำ หากก็รับนามบัตรที่ทำจากกระดาษเนื้อดีนั่นมา

ความมืดทำให้มองไม่เห็นชื่อบนนามบัตร เขาจึงได้แต่ถือมันกลับมาที่รถ วางนามบัตรลงในช่องเก็บของคอนโซกลาง รีบสตาร์ทรถ แล้วขับมุ่งหน้ากลับเทวนิรมิต

ในใจคิดถึงแต่เอื้องคำเพียงคนเดียวเท่านั้น




องค์ชายน้อยแห่งเทวนิรมิตใจดี…ในเวลาที่อารมณ์ปรกติ อารมณ์ดี

ช่างคุย ช่างแหย่ ช่างแซว ไม่ว่ากับเอื้องคำหรือกับคนอื่นๆ

แต่เขาจะอ่อนหวาน อ่อนโยนกับเธอเสมอ จะมีดุ…เสียงแข็งบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่น่ากลัวหรอก

บางวันอารมณ์ดีมากๆ เมาๆ กรึ๊บๆ ที่นิมมาน เขาก็จะไปนั่งหลังเปียโนไฟฟ้าของนักดนตรีรับเชิญ บรรเลงเพลงไพเราะที่เธอชอบ หรือบางทีในข้อความตอนที่เธอตื่นก็จะมีเสียงเปียโนบรรเลงเพลงรักให้เธอฟัง

คืนไหนที่เขารอรับเธอกลับ ก็มักจะพากันไปหาอะไรกินรอบดึก

ของอร่อย ของที่เธอชอบ

“เดี๋ยวไปกินหมูมะนาวแกล้มเบียร์” ตุลย์เสนอในสิ่งที่รู้ว่าเป็นของโปรดอีกฝ่าย เห็นแล้วรอยยิ้มของหวานพรายด้วยเสน่ห์ เมื่อนั้นเสียงออดอ้อนก็จะทอดออเซาะ “คืนนี้ขึ้นไปส่งนะ”

และคืนไหนที่แวะขึ้นไป แต่ไม่ค้าง ตอนสายๆ เขาก็จะกลับมาพร้อมของกินอร่อยๆ  โอเลี้ยง หรือชาเย็นสำหรับคนที่ตื่นตอนบ่าย

บางทีก็มีอาหารเหนือที่เอื้องคำชอบ โดยที่เขาขับเข้ากรุงเทพฯ แต่เช้า เพื่อซื้อมาจากร้านที่ขึ้นชื่อให้เธอเลือก

ตุลย์มีกุญแจประตูบานไม้ เพราะเอื้องคำไม่อยากลุกมาเปิดประตูให้เขาตลอด เวลา

หลายคราที่เขากลับไปตอนดึกหรือใกล้รุ่งสาง หญิงสาวก็จะล็อคแค่ประตูไม้ โดยที่ประตูเหล็กด้านนอกไม่ได้ลงกลอน

ห่วงก็แสนห่วง จนหลายคราวตุลย์ต้องรีบกลับมา…หอบงานมานั่งทำระหว่างรอให้เอื้องคำตื่น

กลับมา…ล้มตัวนอนข้างๆ หลายคลายไม่แตะตัวอีกฝ่าย เพราะไม่อยากปลุกคนขี้เซาจากนิทรารมณ์

กลับมา…ถ้าความต้องการตรงกัน ก็จะคลุกอยู่ในเพลิงพิศวาสจนถึงเวลาที่เอื้องคำลุกขึ้นอาบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน

ตุลย์ไม่ได้ค้างทุกคืน หรือมาทุกวัน ถ้ามาอยู่ด้วยกัน เขาก็มักจะเอาใจ หยอกล้อ

หาเรื่องแกล้งอย่างสนุก ชอบขโมยบุหรี่ของเธอเอาไปซ่อน

“หลอยอีกแล้ว” ชอบที่หญิงสาวร้องอุทาน เข้ามากอด ควานมือไปรอบตัวเขา “เอาไปไว้ไหน”

“ไม่มี ไม่รู้” การปฏิเสธมักทำด้วยหน้าตาเฉย พยายามสะกดรอยยิ้ม บางทีก็ต้องขมวดคิ้วแกล้งดุบ้าง “เอื้องเอาไปไว้ไหนล่ะ”

“โอย…จอบหลอย” เอื้องคำไม่ได้หงุดหงิดหรอก แต่หมั่นไส้คนที่ทำหน้าเหรอหราไม่รู้เรื่องเสียมากกว่า

บางทีเขานอนอยู่บนฟูก เธอก็ขึ้นไปค่อมตัว ควานหาตามตัวเขานี่แหละ ทว่าไม่เคยกล้าสักครั้งที่จะไปค้นในกระเป๋าหรือกองเอกสารงานของเขา เพราะประเดี๋ยวบุหรี่ซองนั้นก็ปรากฏเอง

บางทีก็เมื่อเขานอนหนุนตักระหว่างที่เธอนั่งทาครีม แต่งหน้า

บางทีปรากฏหลังจากที่ความเร่าร้อนโถมขึ้นเบาๆ

ตุลย์ชอบแกล้ง ชอบแหย่ อยู่ด้วยก็สุขใจ สบายกายดี เขาตามใจเธอแทบทุกอย่าง แม้แต่เรื่องความต้องการทางกาย

บางคืนมองออกหรอกว่าเขาง่วง เหนื่อย จากการทำงาน จากการไปรับส่งเธอ จากความเครียดเรื่องเทวนิรมิต แต่คนที่นอนน้อยก็สนองความต้องการของเธอไม่เคยขาด  แม้ไม่หนักหน่วงเต็มที่ได้ทุกครั้งเฉดเช่นชัยพรหรือสมหวังก็ตาม แต่มันก็เป็นความสุขทั้งทางใจและกายที่เขาบรรจงมอบให้เธอ

เพียงแต่เวลาอยู่ที่ทำงาน ความรู้สึกก็จะอีกอย่าง

สายตาแปลกๆ ของหลายคน

ความห่างเหินของธัญญา จนเอื้องคำอึดอัด จำต้องคิด…

คุ้มแล้วหรือที่คบกับองค์ชายน้อย แล้วเสียเพื่อน เสียอะไรหลายๆ อย่างไป

คบกัน…จะไปได้นานแค่ไหน

จะต้องปกปิด หลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดหรืออย่างไร

เอื้องคำยิ่งต้องคิดในคืนที่เขาเข้ามานั่งที่ร้าน รอรับเธอกลับไปด้วยกัน หลังจากที่คนอื่นๆ กลับไปหมด

คิด…ดีใจที่เห็นหน้าเขา มีเขาอยู่ใกล้ๆ หากก็ต้องคิด…

เรา…ต่างกันนัก

แม้จะเป็นหนึ่งในหัวหน้าทีมบริการ แต่เธอก็แค่พนักงานเสิร์ฟ ไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาสักนิด ไวน์ที่เขาดื่ม เหล้าที่ขาจิบ หรือแม้แต่เหล้าผสมที่เธอทำให้เขา…ทุกอย่างเป็นของชั้นเลิศ มีราคาทั้งนั้น

‘คนเราถ้าแตกต่างกันมากๆ ในแทบทุกด้าน มันก็จะไปกันไม่รอด’ แม้แต่มารดาของเธอก็เคยเตือน

ดังนั้น เขากับมัทนา…เหมะสม!

เขากับอรดี…คู่ควร!

อรดี!

แค่คิดเอื้องคำก็ต้องถอนหายใจยาว

รู้หรอกว่าอรดีไม่ชอบเธอ เพียงแต่ความไม่สบายใจ ความอึดอัดใจที่ปะทะเข้ามาเวลาที่ผู้หญิงคนนั้นมองเธอ มันทำให้เธอดูไร้ค่า ต่ำต้อยไปในบัดดล

ผู้หญิงคนนั้น…ผู้บริหารใหญ่ของเทวนิรมิต อายุก็น่าจะน้อยกว่าธัญญา น้อยกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ…สามสิบต้นๆ หรือจะถึงสามสิบหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ แต่การศึกษาและหน้าที่การงานดี เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งเธอและธัญญาเทียบไม่ติด

ความคิดของอรดีก็เหมือนว่าจะไปกับตุลย์ได้ดี  เรื่องการบริหารงานในเทวนิรมิต ตุลย์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอรดี ไม่เคยก้าวก่าย ไม่ช่วยแม้เมื่อธัญญาโดนอรดีเรียกไปตำหนิหลายคราว หรือเมื่อตอนกลุ่มพนักงานก๊วนของเธอโดนเรียกไปอบรม โดยเอื้องคำโดนเรียกไปด้วย ทั้งๆ ที่อรดีก็น่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตุลย์

ทว่าการตำหนิต่อว่า การคาดโทษก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ

โดนคาดโทษกันยกทีมเพราะเพื่อนๆ น้องๆ ของเธอไปกลั่นแกล้ง ข่มขู่เพื่อนร่วมงานอีกคน  แบบนี้แล้ว ตุลย์ไม่มีทางเข้าข้างแม้แต่เธอ เอื้องคำรู้จักเขาดี…ผู้ชายคนนี้เป็นคนตรง ผิด ถูกชัดเจน  

หญิงสาวไม่สามารถบังคับ สั่ง หรือควบคุมเขาได้ เช่นที่ทำกับสมหวังหรือใครคนอื่น เสน่ห์ของตุลย์อยู่ตรงนี้ ทว่าความลำบากในการคบกับเขาก็อยู่ตรงนี้เช่นกัน




(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่