สวัสดีค่ะ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ Eat Chill Wander จะมารีวิวร้านอาหารฝรั่งเศสติดดาวกลางกรุงโตเกียวค่ะ
ได้ติดตามรีวิวร้านเด็ดๆที่ญี่ปุ่นจากชาวห้องก้นครัวมาเยอะ จึงอยากจะมาร่วมแชร์ประสบการณ์บ้างค่ะ
L’effervessence เป็นหนึ่งในร้านอันดับต้นๆในหลายๆลิสท์ของร้านอาหารในโตเกียว ทั้ง Tabelog, Tripadvisor ไปจนถึงการได้รางวัลการันตีอย่าง ดาวมิชลิน 2 ดาว และ อันดับที่ 12 ในลิสท์ Asia’s 50 Best Restaurants
อย่างที่หลายๆท่าน ที่เป็นสายกินในญี่ปุ่น ทราบกันดีค่ะ ว่าร้านติดอันดับต่างๆหรือร้านมิชลินในโตเกียวนี่มันจองยากกกกกกกซะเหลือเกิน โดยเฉพาะร้านซูชิ ซึ่งเราเข้าใจว่ามีที่นั่งน้อย ส่วนร้านอาหารฝรั่งเศสในญี่ปุ่นเอง ก็ไม่ได้จองง่ายทุกร้านนะคะ เราพยายามจองร้าน Quintessence ซึ่งได้ที่หนึ่งในหมวดอาหารฝรั่งเศสในแอพที่ไว้ใจได้กว่าลิสท์ต่างชาติ Tabelog ของญี่ปุ่นเอง ก็จองไม่ได้ค่ะ
ไปญี่ปุ่นครั้งก่อนลองจองผ่านเวป opentable แล้วก็จองได้ค่าาา ดีใจมาก จองล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนค่ะ เลยขอพาเพื่อนๆไปลองดูกัน ว่า เมื่อให้เชฟชาวญี่ปุ่นทำอาหารฝรั่งเศส ในเมืองที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบดีๆและเซอร์วิสมายด์ชั้นเลิศ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนตัวคิดว่าเป็นมื้อที่น่าสนใจมากๆเลยนะคะ เพราะต่อให้ไปทานอาหารฝรั่งเศสที่อื่น ก็จะไม่ได้มีซิกเนเจอร์ความเป็นญี่ปุ่น หรือวิธีคิดและรสชาติแบบโตเกียวขนาดนี้ค่ะ โดยเชฟเคยทำงานกับ Heston Blumenthal ที่ร้าน Fat Duck ในอังกฤษมาก่อนค่ะ (เป็นร้านที่เรายกย่องและชอบในคอนเซปท์และความคิดสร้างสรรค์มากกกกกๆ)
ทางเข้าร้าน fine dining หลายๆร้านในญี่ปุ่น มักจะเน้นความเรียบง่าย ยิ่งร้านซูชิโอมากาเสะราคาแรงๆนี่ แทบจะไม่มีป้ายร้าน เป็นแค่ประตูเรียบๆ ดังนั้น อย่าลืมปักหมุดในแผนที่มาดีๆนะคะ ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน Nishiazabu แถวนี้มีร้านซูชิดังๆค่อนข้างเยอะ แล้วก็มีแกลเลอรี่ร้านถ้วยชา งานเซรามิค เพียบเลยค่ะ ไม่ไกลจากย่าน Aoyama และ มิวเซียมดีๆอย่าง Nezu Museum ค่ะ
หลังจากเข้ามาแล้วก็จะมี welcome drink ในคอร์สแรกเป็นสาเกค่ะ
คนที่อธิบายเมนูให้เราชื่อ Zac ค่ะ เป็นชาวตะวันตกไม่แน่ใจว่ามาจากที่ไหน แต่อยู่ญี่ปุ่นมานานแล้วค่ะ ซึ่งที่นี่อยากให้ตั้งใจฟังสิ่งที่เชฟจะอธิบายนะคะ เพราะเต็มไปด้วยคอนเซปท์ และ ปรัชญาบางอย่าง ที่เรารู้สึกได้ว่า นี่มันญี่ปุ๊นนนนนญี่ปุ่น เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ญี่ปุ่นของแท้เลยล่ะค่ะ แม้ว่าจะอยู่ในร้านฝรั่งเศสเองก็ตาม
และนี่คือเมนูคอร์สของวันนี้ค่ะ 8 คอร์ส พร้อม Juice Pairing หรือ น้ำที่ตั้งใจจับคู่กับอาหาร จะเรียกว่าน้ำผลไม้ก็ไม่เชิง เพราะที่นี่ทำ Juice Pairing ได้ลึกซึ้งมากค่ะ หลายๆร้านที่เคยไป เป็นการนำผลไม้หรือผักมาปั่น ผสม หมัก รวมกัน แต่ที่นี่ มีทั้งการต้มปลา หมักหัวเทอร์นิป ซึ่งแต่ละอย่างถ้ากินเฉยๆ จะรู้สึกอี๋มากเลยนะคะ แต่พอมันจับคู่กับแต่ละเมนูในคอร์ส มันช่วยชูรสอาหารได้จริงๆ เรียกว่า เป็นการดึงรสออกมาให้เราได้สัมผัสกับรสวัตถุดิบยิ่งขึ้นค่ะ
เริ่มกันที่คอร์สแรกเลยค่ะ Kegani Crab, Red Pepper, Fennel / Kabosu&Sake ตอนแรกเห็นชื่อ ผักชีฝรั่งกับพริกมาคิดว่าส่วนตัวไม่น่ารอดแล้วค่ะ แต่กลายเป็นว่า กลมกล่อมใช้ได้ ถือเป็นการ clean palate ได้ดีเลยล่ะค่ะ
ต้องแอบเรียนนิดนึงว่า ร้านนี้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส แต่สำหรับเราแล้ว นี่เป็นการทำอาหารฝรั่งเศสได้แบบญี่ปุ่นมากๆเลยนะคะ รสชาติจะไลท์ๆคลีนๆ ไม่จัด (จริงๆเรียกว่าสไตล์โตเกียวน่าจะตรงกว่า) เน้นการดึงรสชาติของตัววัตถุดิบออกมาให้ได้มากที่สุด (วิธีคิดโคตรญี่ปุ่นเลยค่ะ) บางจานมันเหมือนจะไม่อร่อย แต่จริงๆคือเราไม่ชิน พอทานไปซักพักจะรู้สึกว่า รสที่มันไลท์ๆคลีนๆ จริงๆมันมีความซับซ้อนของรสชาติวัตถุดิบที่เค้าพยายามดึงออกมามากๆ จานหลังๆอร่อยมากค่ะ
แถมนี่เป็นการจัดจานที่คลีนแบบสุดๆ ถึงแม้จะไม่ใช่สไตล์เราเลย แต่การได้ลองประสบการณ์แบบนี้ซักครั้ง เราถือว่าคุ้มมากๆเลยค่ะ
ถัดจาก Amuse Bouche คอร์สแรก ก็มาเข้าสู่คอร์สที่สองค่ะ Just Like Apple Pie #29 ไอ่นัมเบอร์ 29 นี่มีความหมายนะคะ นี่เป็นสูตรที่ 29 ที่ทำออกมา โดยเค้าแอบกัดพวกอาหารอุตสาหกรรมนิดๆ เลยทำให้หน้าตาเหมือน พายแอปเปิ้ล ที่ดูซิมเปิล แต่เลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดของฤดูกาลนั้น อย่างเราไปฤดูร้อน ก็จัดเต็มมาเลยค่ะ ทั้งอูหนิและปลาไหล กัดเข้าไปคือ อูหนิ ฟูมากกกก อร่อยมากๆค่ะ
ถัดมาเป็นปลา Ayu ค่ะ จริงๆเวลาเค้าเสิร์ฟ เค้าจะเสิร์ฟให้เส้นซอสตรงตั้งฉากกับเราค่ะ เพราะจานนี้มาด้วยคอนเซปท์ว่า ปลา Ayu เป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำ เพราะฉะนั้น เวลาทาน ให้ทานทวนจากล่างขึ้นบนเป็นเส้นตรงค่ะ คิดมาดีมากๆ
ถัดมาเป็น 4 hour slow cooked Turnip ค่ะ จานนี้น่าจะเป็นจานที่ดังที่สุดของที่นี่ เรียกว่าเป็นซิกเนเจอร์ดิชของที่นี่ก็ได้ค่ะ ประเด็นคือเราไม่ชอบ turnip เท่าไหร่ พอนำมาปรุงเพื่อเน้นรส Turnip ออกมาเลยจึงไม่ค่อยถูกปากค่ะ แต่คอนเซปท์ดีเช่นเดิมค่ะ
ถ้วยนี้เป็นซุปค่ะ เราชอบมากๆ ทั้งหน้าตา และ รสชาติ จานนี้เชฟนำแรงบันดาลใจมาจากตอนที่เชฟไปเม๊กซิโกค่ะ โดยทำซอส Mole Negro ซึ่งอยู่ในอาหารเม๊กซิกัน ทานกับซุปข้าวโพดเย็นและ นมหมัก (ที่เป็นกึ่งชีสกึ่งนมเปรี้ยว) ผสมกันแล้วพอดีมากๆ เนียนมากๆ
มาถึง Main Course สุดท้ายก่อนของหวานค่ะ จานนี้ชื่อว่า Through the forest / Memory of hunting เสิร์ฟเป็นเนื้อกวาง อารมณ์กวางถูกปกคลุมอยู่ในป่า (หรือ ใบชิโสะในจาน) ในเมนูเขียนว่า หอยแมลงภู่ แต่จริงๆ นางมาเป็นเจลอยู่ด้านล่างนะคะ ใสๆ มองไม่เห็น แอบมีรสพลัมบางๆ แต่ทำเนื้อกวางได้อร่อยมากค่ะ
ต่อไปเป็นของหวานค่ะ
มาฤดูร้อน เตรียมกินเมล่อนไม่ก็บ๊วยอยู่แล้วค่ะ ที่นี่เลือกเสิร์ฟเมล่อน คลุมของหวานด้านล่าง เป็นไอศครีมที่มี ดอกอเคเชีย อยู่ค่ะ จานนี้ ถ้าใครไม่ชอบทานหวาน น่าจะชอบค่ะ
ปิดท้ายด้วย การชงมัชชะ ซึ่งเค้าจะเข็นโทรลลี่ชงมัชชะมาโชว์พิธีชงชาย่อมๆกันที่โต๊ะ โชว์โดยคุณ Zac ของเราเช่นเคย
จากนั้นจึงปิดท้ายกันด้วย Petite Four กันแบบน่ารักๆแบบนี้ค่ะ
นับว่าเป็นอีกหนึ่งมื้อที่ประทับใจมากๆ ลงจานพร้อมกันทุกครั้ง บริการดีมากๆ สมกับที่ได้ 2 ดาวมิชลินมา แต่หลายๆครั้ง ระยะเวลาในการรอระหว่างคอร์สอาจจะนานไปนึงนิด เรารู้สึกว่าเค้าพยายามปรับจังหวะให้ทุกๆโต๊ะออกอาหารใกล้ๆกัน อย่างโต๊ะข้างซ้ายมาเร็วกว่าเรา ส่วนข้างขวามาทีหลัง ทานไปทานมา เริ่มเสิร์ฟพร้อมๆกันเฉยเลยค่ะ
ค่าเสียหาย 10,000 Yen ++ (8% tax 10% service charge) ยังไม่รวมเครื่องดื่มนะคะ เราจำไม่ได้ว่า Juice Pairing เท่าไหร่ เราไปทานมื้อเที่ยงมาค่ะ มื้อเย็นน่าจะแพงกว่านี้นิดนึง ราคานี้เราว่าคุ้มค่ามากๆกับสิ่งที่ได้รับนะค่ะ ไม่ได้แพงไปกว่าทานร้านอาหารติดดาวในกรุงเทพฯเลยค่ะ
เป็นอันเรียบร้อยสำหรับมื้อที่สุดแสนประทับใจค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ แต่มันเป็นการเปิดประสบการณ์ในการกินใหม่ๆให้กันเราเลยทีเดียว ทำให้รู้ว่าวัตถุดิบแบบนี้ทำอย่างนี้ได้ด้วยนะ หรืออาหารอย่างซุปข้าวโพดก็สามารถจัดออกมาได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ได้ขนาดนี้ ถ้ามีโอกาสอย่าลืมแวะไปลองทานกันนะคะ
สำหรับร้านอาหารอื่นๆที่น่าสนใจ รวมทั้งทริปการท่องเที่ยวต่างๆของเรา สามารถรับชมได้ที่
www.eatchillwander.com
www.facebook.com/eatchillwander
ลาไปก่อน และพบกันใหม่ค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการกินนะคะ
Bon Appétit!
[CR] L’effervessence, Tokyo : ร้านอาหารฝรั่งเศสกลางกรุงโตเกียวที่ได้มิชลิน 2 ดาวและอันดับที่ 12 [Eat Chill Wander]
ได้ติดตามรีวิวร้านเด็ดๆที่ญี่ปุ่นจากชาวห้องก้นครัวมาเยอะ จึงอยากจะมาร่วมแชร์ประสบการณ์บ้างค่ะ
L’effervessence เป็นหนึ่งในร้านอันดับต้นๆในหลายๆลิสท์ของร้านอาหารในโตเกียว ทั้ง Tabelog, Tripadvisor ไปจนถึงการได้รางวัลการันตีอย่าง ดาวมิชลิน 2 ดาว และ อันดับที่ 12 ในลิสท์ Asia’s 50 Best Restaurants
อย่างที่หลายๆท่าน ที่เป็นสายกินในญี่ปุ่น ทราบกันดีค่ะ ว่าร้านติดอันดับต่างๆหรือร้านมิชลินในโตเกียวนี่มันจองยากกกกกกกซะเหลือเกิน โดยเฉพาะร้านซูชิ ซึ่งเราเข้าใจว่ามีที่นั่งน้อย ส่วนร้านอาหารฝรั่งเศสในญี่ปุ่นเอง ก็ไม่ได้จองง่ายทุกร้านนะคะ เราพยายามจองร้าน Quintessence ซึ่งได้ที่หนึ่งในหมวดอาหารฝรั่งเศสในแอพที่ไว้ใจได้กว่าลิสท์ต่างชาติ Tabelog ของญี่ปุ่นเอง ก็จองไม่ได้ค่ะ
ไปญี่ปุ่นครั้งก่อนลองจองผ่านเวป opentable แล้วก็จองได้ค่าาา ดีใจมาก จองล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนค่ะ เลยขอพาเพื่อนๆไปลองดูกัน ว่า เมื่อให้เชฟชาวญี่ปุ่นทำอาหารฝรั่งเศส ในเมืองที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบดีๆและเซอร์วิสมายด์ชั้นเลิศ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนตัวคิดว่าเป็นมื้อที่น่าสนใจมากๆเลยนะคะ เพราะต่อให้ไปทานอาหารฝรั่งเศสที่อื่น ก็จะไม่ได้มีซิกเนเจอร์ความเป็นญี่ปุ่น หรือวิธีคิดและรสชาติแบบโตเกียวขนาดนี้ค่ะ โดยเชฟเคยทำงานกับ Heston Blumenthal ที่ร้าน Fat Duck ในอังกฤษมาก่อนค่ะ (เป็นร้านที่เรายกย่องและชอบในคอนเซปท์และความคิดสร้างสรรค์มากกกกกๆ)
ทางเข้าร้าน fine dining หลายๆร้านในญี่ปุ่น มักจะเน้นความเรียบง่าย ยิ่งร้านซูชิโอมากาเสะราคาแรงๆนี่ แทบจะไม่มีป้ายร้าน เป็นแค่ประตูเรียบๆ ดังนั้น อย่าลืมปักหมุดในแผนที่มาดีๆนะคะ ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน Nishiazabu แถวนี้มีร้านซูชิดังๆค่อนข้างเยอะ แล้วก็มีแกลเลอรี่ร้านถ้วยชา งานเซรามิค เพียบเลยค่ะ ไม่ไกลจากย่าน Aoyama และ มิวเซียมดีๆอย่าง Nezu Museum ค่ะ
หลังจากเข้ามาแล้วก็จะมี welcome drink ในคอร์สแรกเป็นสาเกค่ะ
คนที่อธิบายเมนูให้เราชื่อ Zac ค่ะ เป็นชาวตะวันตกไม่แน่ใจว่ามาจากที่ไหน แต่อยู่ญี่ปุ่นมานานแล้วค่ะ ซึ่งที่นี่อยากให้ตั้งใจฟังสิ่งที่เชฟจะอธิบายนะคะ เพราะเต็มไปด้วยคอนเซปท์ และ ปรัชญาบางอย่าง ที่เรารู้สึกได้ว่า นี่มันญี่ปุ๊นนนนนญี่ปุ่น เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ญี่ปุ่นของแท้เลยล่ะค่ะ แม้ว่าจะอยู่ในร้านฝรั่งเศสเองก็ตาม
และนี่คือเมนูคอร์สของวันนี้ค่ะ 8 คอร์ส พร้อม Juice Pairing หรือ น้ำที่ตั้งใจจับคู่กับอาหาร จะเรียกว่าน้ำผลไม้ก็ไม่เชิง เพราะที่นี่ทำ Juice Pairing ได้ลึกซึ้งมากค่ะ หลายๆร้านที่เคยไป เป็นการนำผลไม้หรือผักมาปั่น ผสม หมัก รวมกัน แต่ที่นี่ มีทั้งการต้มปลา หมักหัวเทอร์นิป ซึ่งแต่ละอย่างถ้ากินเฉยๆ จะรู้สึกอี๋มากเลยนะคะ แต่พอมันจับคู่กับแต่ละเมนูในคอร์ส มันช่วยชูรสอาหารได้จริงๆ เรียกว่า เป็นการดึงรสออกมาให้เราได้สัมผัสกับรสวัตถุดิบยิ่งขึ้นค่ะ
เริ่มกันที่คอร์สแรกเลยค่ะ Kegani Crab, Red Pepper, Fennel / Kabosu&Sake ตอนแรกเห็นชื่อ ผักชีฝรั่งกับพริกมาคิดว่าส่วนตัวไม่น่ารอดแล้วค่ะ แต่กลายเป็นว่า กลมกล่อมใช้ได้ ถือเป็นการ clean palate ได้ดีเลยล่ะค่ะ
ต้องแอบเรียนนิดนึงว่า ร้านนี้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส แต่สำหรับเราแล้ว นี่เป็นการทำอาหารฝรั่งเศสได้แบบญี่ปุ่นมากๆเลยนะคะ รสชาติจะไลท์ๆคลีนๆ ไม่จัด (จริงๆเรียกว่าสไตล์โตเกียวน่าจะตรงกว่า) เน้นการดึงรสชาติของตัววัตถุดิบออกมาให้ได้มากที่สุด (วิธีคิดโคตรญี่ปุ่นเลยค่ะ) บางจานมันเหมือนจะไม่อร่อย แต่จริงๆคือเราไม่ชิน พอทานไปซักพักจะรู้สึกว่า รสที่มันไลท์ๆคลีนๆ จริงๆมันมีความซับซ้อนของรสชาติวัตถุดิบที่เค้าพยายามดึงออกมามากๆ จานหลังๆอร่อยมากค่ะ
แถมนี่เป็นการจัดจานที่คลีนแบบสุดๆ ถึงแม้จะไม่ใช่สไตล์เราเลย แต่การได้ลองประสบการณ์แบบนี้ซักครั้ง เราถือว่าคุ้มมากๆเลยค่ะ
ถัดจาก Amuse Bouche คอร์สแรก ก็มาเข้าสู่คอร์สที่สองค่ะ Just Like Apple Pie #29 ไอ่นัมเบอร์ 29 นี่มีความหมายนะคะ นี่เป็นสูตรที่ 29 ที่ทำออกมา โดยเค้าแอบกัดพวกอาหารอุตสาหกรรมนิดๆ เลยทำให้หน้าตาเหมือน พายแอปเปิ้ล ที่ดูซิมเปิล แต่เลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดของฤดูกาลนั้น อย่างเราไปฤดูร้อน ก็จัดเต็มมาเลยค่ะ ทั้งอูหนิและปลาไหล กัดเข้าไปคือ อูหนิ ฟูมากกกก อร่อยมากๆค่ะ
ถัดมาเป็นปลา Ayu ค่ะ จริงๆเวลาเค้าเสิร์ฟ เค้าจะเสิร์ฟให้เส้นซอสตรงตั้งฉากกับเราค่ะ เพราะจานนี้มาด้วยคอนเซปท์ว่า ปลา Ayu เป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำ เพราะฉะนั้น เวลาทาน ให้ทานทวนจากล่างขึ้นบนเป็นเส้นตรงค่ะ คิดมาดีมากๆ
ถัดมาเป็น 4 hour slow cooked Turnip ค่ะ จานนี้น่าจะเป็นจานที่ดังที่สุดของที่นี่ เรียกว่าเป็นซิกเนเจอร์ดิชของที่นี่ก็ได้ค่ะ ประเด็นคือเราไม่ชอบ turnip เท่าไหร่ พอนำมาปรุงเพื่อเน้นรส Turnip ออกมาเลยจึงไม่ค่อยถูกปากค่ะ แต่คอนเซปท์ดีเช่นเดิมค่ะ
ถ้วยนี้เป็นซุปค่ะ เราชอบมากๆ ทั้งหน้าตา และ รสชาติ จานนี้เชฟนำแรงบันดาลใจมาจากตอนที่เชฟไปเม๊กซิโกค่ะ โดยทำซอส Mole Negro ซึ่งอยู่ในอาหารเม๊กซิกัน ทานกับซุปข้าวโพดเย็นและ นมหมัก (ที่เป็นกึ่งชีสกึ่งนมเปรี้ยว) ผสมกันแล้วพอดีมากๆ เนียนมากๆ
มาถึง Main Course สุดท้ายก่อนของหวานค่ะ จานนี้ชื่อว่า Through the forest / Memory of hunting เสิร์ฟเป็นเนื้อกวาง อารมณ์กวางถูกปกคลุมอยู่ในป่า (หรือ ใบชิโสะในจาน) ในเมนูเขียนว่า หอยแมลงภู่ แต่จริงๆ นางมาเป็นเจลอยู่ด้านล่างนะคะ ใสๆ มองไม่เห็น แอบมีรสพลัมบางๆ แต่ทำเนื้อกวางได้อร่อยมากค่ะ
ต่อไปเป็นของหวานค่ะ
มาฤดูร้อน เตรียมกินเมล่อนไม่ก็บ๊วยอยู่แล้วค่ะ ที่นี่เลือกเสิร์ฟเมล่อน คลุมของหวานด้านล่าง เป็นไอศครีมที่มี ดอกอเคเชีย อยู่ค่ะ จานนี้ ถ้าใครไม่ชอบทานหวาน น่าจะชอบค่ะ
ปิดท้ายด้วย การชงมัชชะ ซึ่งเค้าจะเข็นโทรลลี่ชงมัชชะมาโชว์พิธีชงชาย่อมๆกันที่โต๊ะ โชว์โดยคุณ Zac ของเราเช่นเคย
จากนั้นจึงปิดท้ายกันด้วย Petite Four กันแบบน่ารักๆแบบนี้ค่ะ
นับว่าเป็นอีกหนึ่งมื้อที่ประทับใจมากๆ ลงจานพร้อมกันทุกครั้ง บริการดีมากๆ สมกับที่ได้ 2 ดาวมิชลินมา แต่หลายๆครั้ง ระยะเวลาในการรอระหว่างคอร์สอาจจะนานไปนึงนิด เรารู้สึกว่าเค้าพยายามปรับจังหวะให้ทุกๆโต๊ะออกอาหารใกล้ๆกัน อย่างโต๊ะข้างซ้ายมาเร็วกว่าเรา ส่วนข้างขวามาทีหลัง ทานไปทานมา เริ่มเสิร์ฟพร้อมๆกันเฉยเลยค่ะ
ค่าเสียหาย 10,000 Yen ++ (8% tax 10% service charge) ยังไม่รวมเครื่องดื่มนะคะ เราจำไม่ได้ว่า Juice Pairing เท่าไหร่ เราไปทานมื้อเที่ยงมาค่ะ มื้อเย็นน่าจะแพงกว่านี้นิดนึง ราคานี้เราว่าคุ้มค่ามากๆกับสิ่งที่ได้รับนะค่ะ ไม่ได้แพงไปกว่าทานร้านอาหารติดดาวในกรุงเทพฯเลยค่ะ
เป็นอันเรียบร้อยสำหรับมื้อที่สุดแสนประทับใจค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องรสชาติ แต่มันเป็นการเปิดประสบการณ์ในการกินใหม่ๆให้กันเราเลยทีเดียว ทำให้รู้ว่าวัตถุดิบแบบนี้ทำอย่างนี้ได้ด้วยนะ หรืออาหารอย่างซุปข้าวโพดก็สามารถจัดออกมาได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ได้ขนาดนี้ ถ้ามีโอกาสอย่าลืมแวะไปลองทานกันนะคะ
สำหรับร้านอาหารอื่นๆที่น่าสนใจ รวมทั้งทริปการท่องเที่ยวต่างๆของเรา สามารถรับชมได้ที่
www.eatchillwander.com
www.facebook.com/eatchillwander
ลาไปก่อน และพบกันใหม่ค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการกินนะคะ
Bon Appétit!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น