ร้านอาหารแบบ "dining in the dark" กับ 2 วันสำคัญในวันที่ 4 มกราคม

วันตอบคำถามแห่งชาติ 4 มกราคม National Trivia Day

เริ่มต้นมาจากเกมตอบคำถามที่แพร่หลายไปทั่วสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ ค.ศ. 1960 Trivia เป็นเกมที่สร้างขึ้นมาเพื่อแข่งขันตอบคำถาม ที่ให้ทั้งความสนุกสนาน และความรู้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ

เกมกระดานชื่อ Trivial Pursuit ได้เปิดตัวในปี ค.ศ. 1982 โดยใช้แนวทางเดียวกัน ในปัจจุบัน การแข่งขันตอบคำถามได้รับการจัดตั้งขึ้นในระดับวิชาการต่างๆ รวมถึงในสถานที่ทั่วไป เช่น บาร์และร้านอาหาร

"triviae" ในชาวโรมันโบราณใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงถนนสายหนึ่งที่แยกหรือแยกออกเป็นสองสาย Triviae มาจากคำว่า tri (สาม) และ viae (ถนน) ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า "ถนนสามสาย" และเมื่อนำไปใช้ในความหมายอื่น ก็หมายถึง "สถานที่สาธารณะ" ดังนั้นจึงมีความหมายว่า "สถานที่ทั่วไป"

ในภาษาละตินยุคกลาง trivia หมายถึงกลุ่มย่อยของ Artes Liberales ซึ่งประกอบด้วยไวยากรณ์ วาทศิลป์ และตรรกะ ซึ่งเป็นหัวข้อของการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเป็นพื้นฐานของการศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้แก่ เลขคณิต เรขาคณิต ดนตรี และดาราศาสตร์ การใช้ภาษาอังกฤษ คำคุณศัพท์ trivial ที่เข้ามาในภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 15 ถึง 16 ได้รับอิทธิพลจากความหมายทั้งสามของคำคุณศัพท์ภาษาละติน

.
ในช่วงทศวรรษ 1960 นักศึกษาเริ่มแลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบกันอย่างไม่เป็นทางการ เริ่มมีการติดป้ายชื่อเกม "Trivia" ในห้องนั่งเล่น ซึ่งต่อมาเริ่มมีการพูดคุยและลงในคอลัมน์ Columbia Daily Spectator ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1965

จากนั้น ผู้เขียน Ed Goodgold ก็เริ่มจัด "การแข่งขันตอบคำถาม" ขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยความช่วยเหลือของ Dan Carlinsky Ed และ Dan เขียนหนังสือ Trivia (Dell, ค.ศ. 1966) ซึ่งติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนขยายของการแข่งขัน Columbia ของทั้งคู่ และตามมาด้วยหนังสือความรู้ทั่วไปของ Goodgold และ Carlinsky

.
ปัจจุบัน บาร์และร้านอาหารหลายแห่งจัดการแข่งขันตอบคำถามทุกสัปดาห์เพื่อดึงดูดลูกค้า




4 มกราคม ยังมีวันสำคัญอีกหลายอย่าง แต่มีหนึ่งวันสำคัญอย่างมากสำหรับผู้พิการทางสายตา คือ วันอักษรเบรลล์โลก World Braille Day

วันนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่การเกิดของผู้ประดิษฐ์เบรล หลุยส์ เบรล (Louis Braille) ผู้ประดิษฐ์อักษรเบรลล์ อักษรเบรลล์เป็นของขวัญที่มอบให้กับโลกและช่วยทำให้ชีวิตของผู้คนมากมายทั่วโลกที่บกพร่องทางสายตา ได้รับประโยชน์จากผลงานนี้

Louis Braille เป็นชาวฝรั่งเศสที่เสียการมองเห็นตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาพลั้งพลาดแทงตัวเองที่ตาด้วยเครื่องมือของพ่อ ตั้งแต่อายุ 10 ปี  เขาได้พัฒนารหัสที่อิงตามเซลล์ที่มีจุดหกจุด ทำให้สามารถรับรู้เซลล์ทั้งหมดด้วยการสัมผัสเพียงครั้งเดียว และย้ายจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์ได้อย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นอักษรเบรลล์ และกลายเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

.
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า มีร้านอาหารโดยเฉพาะ สำหรับผู้พิการทางสายตา หากอยากออกไปทานอาหารนอกบ้าน

ในปี ค.ศ. 1999 ร้านอาหาร “รับประทานอาหารในความมืด” (dining in the dark) แห่งแรกเปิดให้บริการในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดธุรกิจลักษณะเดียวกันอีกหลายสิบแห่งที่เปิดขึ้นในเมืองต่างๆ ทั่วทวีปยุโรปและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย

การจะเข้าไปกินอาหารในร้านเหล่านี้จะมีขั้นตอนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยจะถูกขอให้เก็บโทรศัพท์ และสิ่งของที่เปล่งแสงอื่นๆ ไว้ในตู้ล็อกเกอร์ จากนั้นเดินเข้าไปในห้องที่มืดสนิทแบบคองกาไลน์ โดยมีพนักงานเสิร์ฟซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตา และผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นคอยนำทาง

พนักงานเสิร์ฟที่เป็นผู้พิการทางสายตา จะช่วยลูกค้าหาที่นั่ง จากนั้นจึงเสิร์ฟอาหารปริศนาชุดหนึ่งให้ ซึ่งลูกค้าจะได้ชิมและเดาคำตอบในความมืดสนิท แน่นอนว่าผู้ที่ได้เคยเข้าไปทาน และกลับออกมามีทั้งที่ชอบ และหวาดกลัว (*หมายถึงผู้ที่ดวงตาปกติ)

.
อย่างไรก็ตามหลายคนอาจจะอยากรู้ว่า มีเมนูอาหารแบบไหน และอย่างไรบ้าง แต่ร้านอาหาร (dining in the dark)  ส่วนใหญ่จะไม่บอกว่าในมีอะไรบ้าง ทั้งนี้ในเว็บไซต์ "dininginthedarkexperience" ได้มีการแนะนำเมนูอาหาร 3 คอร์สที่อธิบายธีมไว้

1. เมนูสีเขียว (Green Menu):

- อาหารเรียกน้ำย่อย: การผสมผสานระหว่างความนุ่มและกรอบในคำที่สดชื่นและน่ารับประทาน
- อาหารจานหลัก: รสชาติที่เข้มข้นจะทำให้คุณประหลาดใจ พร้อมด้วยเครื่องเคียงที่มีรสเปรี้ยวสดชื่น
- ของหวาน: การผสมผสานที่หลากหลายของความอร่อย ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นกับความแตกต่างของเนื้อสัมผัส

2. เมนูสีน้ำเงิน (Blue Menu):

- อาหารเรียกน้ำย่อย: เนื้อสัมผัส และรสชาติที่สดชื่นจากทะเล พร้อมด้วยความหวานเล็กน้อยที่เข้ากันอย่างลงตัว
- อาหารจานหลัก: เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล และรสชาติจากท้องทะเลที่เข้มข้น ทำให้เมนูนี้ไม่เหมือนใคร
- ของหวาน: ความอร่อยที่กรอบ และสดชื่นจากผลไม้เขตร้อน

3. เมนูสีแดง (Red Menu):

- อาหารเรียกน้ำย่อย: เมนูที่มีรสชาติเอเชียที่สดชื่นและไม่เหมือนใคร
- อาหารจานหลัก: รสชาติที่เข้มข้นจากเนื้อสัตว์และผักที่สดใหม่
- ของหวาน: รสชาติหวานนุ่มที่คุณคุ้นเคย นำเสนอในเนื้อสัมผัสที่น่าประหลาดใจ


.
Full Course Meals ชวนหิว

1. Japanese Full Course Meals

2. italian Full Course Meals
- Antipasto
- Primo Piatto
- Secondo Piatto
- Dolce

3. Thailand Full Course Meals




...
ร้านอาหาร (dining in the dark) แต่ละที่ก็มีการเสิร์ฟเมนู และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป หากเพื่อนๆ เคยได้เข้าไปกินร้านแห่งความมืดมาแล้ว มาแบ่งปันความรู้สึก และรสชาติกันครับผม

.
ขอขอบคุณข้อมูล
: spiritoftheholidays
: listofnationaldays
: wikipedia
: eater
: partnersforsight
.
LookAt
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่