กลับ 'ป่าช้า' กันเถอะ

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล

เรื่องนี้อาจจะยาวสักหน่อยนะครับ
           ป่าช้า อาจเป็นชื่อที่ได้ยินแล้วทำให้คนฟังคิดกันไปต่างๆนาๆ และหนึ่งในนั้นก็คงไม่พ้นเรื่องผี หรือเรื่องเล่าความเฮี้ยนของสถานที่อย่างนี้ แต่ในปัจจุบันนั้นก็เหลือน้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก
          ไม่ใช่เพราะมันหายไป แต่เพียงแค่คนสมัยใหม่เลิกฝังแล้วหันมาเผากันแทน อย่างไรก็ตามที่ดินป่าช้าก็ไม่เคยหายไป มันแค่ถูกกลบทับด้วยบ้านเรือน หรือที่อยู่อาศัยก็เท่านั้น
          เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมจะขอเรียกเขาว่า ‘พี่ต้น’ ผมได้ฟังเรื่องราวนี้ในครั้งหนึ่งที่ผมไปเที่ยว โดยไปพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง พี่เขาเป็นพนักงานที่นั่น
          ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือว่าความต้องการของใคร ตอนที่ผมกำลังเช็คอินเข้าพักนั้น พี่ต้น ก็เดินมารอเพื่อช่วยยกกระเป๋าตามหน้าที่ ด้วยความเกรงใจเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเลยไม่ชินกับการต้องให้คนอายุมากกว่ามาช่วย
          ผมรีบเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายส่วนตัวเพื่อลดภาระแต่ตอนก้มลงไปแหวนที่ใส่ติดตัวมันร่วงลงจากนิ้วทั้งที่ปกติแล้วค่อนข้างจะพอดีไม่หลวม
          แหวนที่ผมใส่ติดตัวเป็นประจำเป็นแหวนสัญลักษณ์ โอม จริงๆผมก็เห็นหลายๆคนใส่เป็นแฟชั่นไปเสียแล้ว
          พี่ต้นมีท่าทางสนใจเพราะทันทีที่เห็นแหวนผมร่วงก็เงยหน้ามามองผมด้วยตาโตๆ เหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ก็ชะงักไปก่อนไม่ได้พูดคุยอะไรกันในตอนนั้น
          คืนนั้นไม่มีเรื่องราวอะไรเป็นพิเศษ ผมออกไปเดินเที่ยวที่ใกล้ๆตามปกติ และกลับเข้ามาในช่วงใกล้ๆเที่ยงคืน
          ในตอนเช้าผมตื่นมาช่วงประมาณ 8 โมงกว่าๆ ผมแต่งตัวเดินออกจากห้องมาก็พอจะจำหน้าของพนักงานโรงแรมคนที่ช่วยยกกระเป๋าด้วย
‘เอ่อ คุณครับ’ พนักงานโรงแรมอายุราว 30 ต้นๆเอ่ยปากทักผม
‘เรียกน้องก็ได้ครับ’
          ผมเปิดประตูออกมาเห็นพี่ต้นเดินวนไปมาอยู่ตรงทางเดินห่างจากห้องพักของผมไปนิดหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจอะไรอยู่ แล้วทันทีที่เห็นหน้าผมก็เลยกล่าวทัก
          ระหว่างเดินไปที่ลิฟท์พี่ต้นดูไม่ค่อยกล้าจะพูดคุยกับผมเท่าไหร่ เช่นเดียวกันผมก็ไม่รู้จะคุยอะไร แต่ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรจริงๆ
‘เมื่อวานเห็นแหวนของน้อง’ พี่แกทำท่าอึกอัก
‘ครับ?’
‘คือ น้องใส่สวยๆ หรือพอจะรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้างครับ’
          นั่นเป็นประโยคเริ่มเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมบอกไปตามตรงเพราะปกติก็ไม่ได้ปกปิดอะไรอยู่แล้ว พี่ต้นยังไม่ตัดสินใจเล่าอะไรแต่ถามผมว่าสะดวกพอจะมีเวลาคุยกันตอนไหนสักเล็กน้อย แล้วพยายามยกเอาเรื่องค่าตอบแทนมาอ้างเยอะแยะ เหมือนกลัวว่าผมจะไม่รับคำขอนั้น
          ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ผมก็ตอบตกลงไปแต่ก็ไม่คิดจะรับเงินอะไรอยู่แล้ว เมื่อเวลาที่นัดกันไว้มาถึงคือช่วงประมาณ 5 ทุ่มของคืนนั้น ผมก็ลงมารอที่ล็อบบี้ของรีสอร์ตโดยพาเพื่อนที่ร่วมทางมาด้วยกันไปด้วย
          พี่ต้นเดินออกมาจากทางหลังรีสอร์ต คงจะเพิ่งเลิกงานหรืออย่างไรผมก็ไม่ทราบได้ พี่เขาเดินเข้ามาพูดคุยอย่างสุภาพเหมือนเกรงใจเรามากๆ
          เราสามคนเดินออกมาจากที่พักเลาะไปตามถนนที่มีร้านค้าตั้งเรียงรายจนมาหยุดอยู่ที่ร้านหนึ่ง เป็นร้านข้าวต้มรอบดึกเหมือนกับร้านทั่วๆไป
‘ร้านนี้เป็นพรรคพวกพี่เอง พี่ติดต่อเขาไว้แล้ว’
          ปกติร้านนี่คงจะปิดดึกจนเกือบเช้าเพราะตลอดเวลาที่เรานั่งคุยกันจะมีลูกค้าเดินเข้ามาถามว่า วันนี้ไม่ขายหรือ อยู่หลายครั้ง
          ร้านข้าวต้มราคากลางๆแต่รสชาติดีคงจะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนทำงานในเมืองหลวงอย่างนี้ คืนนั้น พี่อ้วน ปิดร้านไวกว่าปกติเพื่อเพื่อนรักของเขา
          อาหารหลายอย่างถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะไม้ที่ดูจะมีสภาพดีที่สุดในร้าน พี่อ้วนทำกับข้าวอย่างเมามันในขณะที่พี่ต้นยังคงง่วนอยู่กับการเตรียมจานและแก้วน้ำอย่างคล่องแคล่ว
‘พี่ขออนุญาตเลี้ยงอาหารสักมื้อนะครับ แทนคำขอบคุณ’ พี่ต้นยิ้มอย่างจริงใจ
‘ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยพี่ ผมเกรงใจนะแบบนี้’
          พี่ต้นยังไม่ยอมเล่าอะไรให้เราฟังบอกแต่ว่ากินกันให้อิ่มก่อนค่อยพูดกัน จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ถนนสายนั้นเริ่มเงียบ ต่างจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง
          พี่อ้วนเอื้อมมือตบลงบนบ่าของเพื่อนรักเหมือนให้กำลังใจ พี่ต้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตามรังควานตัวเขามาโดยตลอด
          เรื่องมันเกิดขึ้นนานมากแล้วครับ หลายปี ก่อนที่พี่จะตัดสินใจเข้ามาทำงานในกรุงเทพอย่างถาวร ช่วงนั้นพี่ยังทำงานอยู่แถวบ้านเพราะเพิ่งจะเรียนจบใหม่ๆแล้วเราก็ไม่ได้จบสูงด้วยเป็นสายอาชีพก็คิดว่าจะทำงานไปวันๆอยู่ที่บ้านไปวันๆเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ
          ช่วงนั้นก็เกครับ เหมือนนักเลงกุ๊ยทั่วไปเลยมีเรื่องมีราว ขี่มอเตอร์ไซด์แต่ก็แค่ชอบขี่นะครับ ไม่ได้ไปแว้นซิ่งแข่งกับใครเขา แต่เรื่องเลือดร้อนนี่ไม่แพ้ใครแน่นอน ได้มาก็หลายแผล ฝากเขาไว้ก็เยอะ
          แล้วช่วงวัยรุ่นเนี่ยแถวบ้านพี่เขานิยมของขลังกันครับ ทุกอย่างเลยทั้งสัก ทั้งยันต์ มีหมด พี่ก็ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วใครว่าที่ไหนดีถ้ามีตังค์เราก็ไปหมด เป็นพวกถือคติว่า ถ้าจะเอาก็ต้องได้ของดีครับ
          เหมือนชีวิตมันเล่นตลกหรืออย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่ได้ไปเจอกับอาจารย์คนหนึ่ง ไปกับไอ้อ้วนนี่แหละครับ เพื่อนรักกัน ตอนแรกก็แค่จะไปเอาของดี แต่ดันคุยถูกคอกับอาจารย์เขาซะงั้น
          วันนั้นที่ไปมันผิดแผนนิดหน่อย พี่ต้นหันไปหาพี่อ้วนเหมือนจะให้พยายามช่วยกันนึก เราไปถึงกันช่วงเย็นๆเกือบค่ำซะแล้วเพราะหลงทาง
          ตอนแรกก็เลยคิดว่าจะกลับบ้านก่อนแล้วค่อยมาใหม่เพราะไม่ได้ไกลกันมากขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆ วันนี้ก็ถือว่ามาดูที่ทางไว้ก่อนแล้วกัน
          แต่พอไปถึงหน้าบ้านก็เห็นคนสามสี่คนนั่งเล่นอยู่ที่แคร่ไม้หน้าบ้าน เจากวักมือเรียก เราก็เลยต้องลงไป สรุปเป็นอาจารย์กับเพื่อนๆนั่งก๊งกันอยู่หลังปิดตำหนัก
          เราเข้าไปทักทายตามปกติแล้วจะขอตัวกลับ แต่กลายเป็นว่าโดนบังคับให้นั่งกินเป็นเพื่อน คุยกันไปกันมาก็ถูกคอถูกใจกัน เราก็ชอบเลยเพราะจะมาเอาของดีอยู่แล้วยิ่งรู้จักยิ่งน่าจะได้อะไรพิเศษๆ
          มันเริ่มจากวันนั้นแหละครับ แวะเวียนไปหาก็หลายครั้งได้ของดีมาทุกรอบ เสียเงินบ้างฟรีบ้าง ของเขาดีจริงนะครับ พี่เคยโดนไล่ยิงมันมาจ่อๆพี่เลย แต่ดันกระสุนด้านยิงไม่ออกดัง แชะ แชะ เลย
          ผมก็นั่งฟังไปเพลินๆครับ เพราะพี่ๆทั้งสองคนอัธยาศัยดีตามประสาผู้ชายบ้านๆ ส่วนเพื่อนผมนอนกลิ้งอยู่หน้าโทรทัศน์ไปแล้วหลังจากสนุกเกินเหตุจนกระดกเหล้าเข้าไปจนน๊อค
          พี่ต้นเริ่มเล่าต่อหลังจากที่ปูพื้นมาเสียนาน
          ด้วยความสนิทหรือเพราะถูกใจกันก็ไม่รู้อาจารย์แกก็เรียกพวกพี่ว่าเป็นลูกศิษย์ไปเลย แล้วพวกพี่ก็เริ่มถูกชวนให้ เรียนวิชา จากแก เพราะแกไม่มีลูกเต้า ไม่มีใครมาสืบทอด
          ตอนแรกพี่ก็กล้าๆกลัวๆครับแต่วิชาอาจารย์เขาก็ของจริง พี่ก็เลยเริ่มสนใจอย่างน้อยเราก็เอาไว้ป้องกันตัว ไม่ได้คิดจะเอาไปเปิดตำหนักแบบอาจารย์เขาหรอก
          สุดท้ายพี่ก็ตกลงปลงใจครับ แต่อ้วนมันไม่ได้เรียนด้วยเพราะอาจารย์เขาบอกว่าดวงอ้วนมันไม่ไหวกดผีไม่อยู่อะไรเทือกๆนั้น ตอนนั้นอ้วนมันก็โล่งใจเลยเพราะมันกลัวๆอยู่แล้ว พี่อ้วนยิ้มอย่างภูมิใจที่รอดมาได้
          แต่ถึงมันไม่ได้เรียนพี่ก็ลากมันไปด้วยกันล่ะครับ เพื่อนตาย หมายถึงพี่จะไม่ยอมตายคนเดียว ฮ่าๆ
          ครั้งแรกที่เริ่มเรียนพี่เกือบจะถอดใจแล้ว เพราะพี่คิดไว้แค่ว่าคงไปหาแกที่บ้านแล้วนั่งสอนๆกันอะไรทำนองนั้น แต่ครั้งแรกแกกับนัดพี่ให้ไปหาที่ ป่าช้า
          สมัยนี้คงหาได้ยากแล้วแต่ตามนอกๆมันก็ยังมีอยู่ ใช่ว่าทุกที่จะมีเมรุเผาดีๆ อีกอย่างก็แพงด้วย คนไม่มีเงิน คนไม่มีญาติก็เยอะ ยิ่งแถวบ้านพี่นะ ตายโหงเขาไม่เผากันหรอก ต้องฝัง
          พี่ต้นเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอย่างละเอียดแต่ผมขอเล่าไว้คร่าวๆแล้วกันนะครับ เมื่อถึงป่าช้าแล้วก็เดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของสถานที่โดนก่อนหน้านี้ต้องดูวันและเวลาที่เหมาะสมมาก่อน ไม่ใช่ฤกษ์ดี แต่ต้องเป็นฤกษ์อาถรรพ์
          พี่ถูกจับให้นั่งอยู่ในหลุมเก่าหลุมหนึ่ง มันเป็นหลุมขึ้นลึกสักครึ่งตัวได้ อาจารย์ลงมานั่งข้างหลังพี่แต่นั่งอยู่บนขอบหลุม แล้วใช้เหล็กแหลมแทงสักยันต์ไว้ที่กลางหลังบอกว่าเป็น ยันต์ครู หมายถึงแกจะส่งต่อวิชาให้ผ่านทางยันต์นี้เป็นเครื่องหมาย
          ระหว่างสักก็มีเสียงหวีดหวิวหลายครั้ง บางครั้งก็เป็นเสียงครวญครางบ้าง กรีดร้องบ้าง เล่นเอาพี่สะดุ้งไปหลายครั้งแต่อาจารย์บอกให้อดทน ถ้ากลัวแล้วจะรับวิชาพวกนี้ไม่ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมาที่นี่
          หลังจากนั้นพี่ก็กลายเป็นคนมีวิชาติดตัวไปเลย แล้วก็มีอีกหลายๆครั้งที่ไปเรียน ไปรับมาแต่ก็ไม่เคยได้ใช้เลยเสียทีเพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
          พี่อ้วนสะกิดเหมือนจะเตือนอะไรสักอย่าง พี่ต้นหันไปดูนาฬิกาก็รีบขอโทษเพราะมัวนอกเรื่องมานาน
          พี่ต้นกลับมาเข้าประเด็นที่ต้องการจะถามในครั้งแรก เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากวันที่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ของพี่เขา ตาย กะทันหัน พูดง่ายๆก็ ตายโหงนั่นแหละ
          ในเหตุการณ์ก็ไม่ได้มีใครเห็นชัดเจนหรอกนะ มีแต่ชาวบ้านใกล้ๆนั้นเขาเห็นว่าแกออกมาเดินตอนค่อนแจ้งสักตี 4 กว่าๆตี 5 เห็นจะได้ แถวนั้นเขาตื่นกันเช้ามาเตรียมขายของ
          ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรคงออกมาเดินตามปกติ แต่ท่าทางแกเดินแปลกๆ เดินเก้ๆกังๆเหมือนเมาหรือยังไงก็ไม่รู้ จนสุดท้ายแกเดินออกไปกลางถนนหน้าบ้าน แล้วประจบว่ามีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งขับผ่านมาพอดี เฉี่ยวแกล้ม
          แต่ก็ไม่ได้ตายเลยนะ แกยังลงไปนั่งอยู่ข้างทางคนขับรถก็ลงมาดู แต่แกก็ว่าแกไม่เป็นอะไรนะ ป้าคนที่เห็นเหตุการณ์ก็ว่าแกดูมึนๆคงจะเมาจริงๆ
          พอช่วงสายๆมีคนมาหาอาจารย์ตามปกติตามเวลาเปิดตำหนัก แต่วันนั้นบ้านยังปิดสนิทอยู่ซึ่งปกติประตูไม้ข้างหน้าจะต้องเปิดแล้ว จนป้าคนเดิมที่เห็นเมื่อเช้าแกสงสัย กลัวว่าจะเป็นผลจากรถชนอะไรนั่นก็เลยไปตามพวกเพื่อนๆแกให้มาดู
          เรียกอยู่นานก็ไม่มีใครเปิด สุดท้ายตัดสินใจพังประตูเข้าไปเลยด้วยความห่วงเพื่อน พอเข้าไปก็แทบหงายหลัง
          ในบ้านไม้ผสมปูนเก่าๆจัดแต่งไว้ด้วยของง่ายๆแต่รกพอสมควรตรงกลางมีหิ้งพระขนาดใหญ่ซึ่งส่วนมากไม่ใช่พระแต่ก็มีพระประธานตั้งอยู่ ที่สะดุดตาก็คือเศียรครูต่างๆที่วางเรียงรายมีทั้งสวยงามและน่ากลัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่