เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้ยังคงเป็นเรื่องของ “ความเชื่อส่วนบุคคล” นั่นหมายความว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากเรื่องราวต่อไปนี้สร้างความไม่พอใจหรือทำให้ผู้อ่านไม่สบายใจผมต้องขออภัยไว้ตั้งแต่บรรทัดนี้ และโปรดอ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ขอบคุณครับ
....................................................................................
ย้อนกลับไปในช่วงที่ผมเพิ่งเรียนจบได้ไม่นานนัก ช่วงนั้นผมเริ่มทำงานประจำงานหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่ในภายหลัง ช่วงนั้นยังพอมีเวลามากกว่าตอนนี้ แน่นอนว่าเงินเดือนของเด็กจบใหม่นั้นไม่ได้มากมายอะไร การหาอาชีพเสริมจึงเป็นเหมือนเรื่องปกติของคนในสมัยนี้
เพื่อนผมหลายคนเลือกเส้นทางของการค้าขาย แต่ตัวผมเองนั้นไม่ได้มีความสามารถในการขายของและไม่รู้ว่าจะขายอะไรดีจึงตัดสินใจกลับไปทำอาชีพเก่าที่ทำมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนนั่นคือ “การสอนพิเศษ”
โชคดีหน่อยที่ผมค่อยข้างมีเพื่อนเยอะ เพื่อนคนหนึ่งที่เรียนในกรุงเทพมาตั้งแต่ป.ตรีเองก็ทำอาชีพนี้มาได้สักพักใหญ่ๆ ผมติดต่อไปและขอให้เพื่อนช่วยหาลูกค้าให้บ้างเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหนไม่ได้รู้จักกับใครไปรายใหญ่เป็นการส่วนตัว
เวลาผ่านไปไม่นานเพื่อนผมก็โทรกลับมาและบอกว่ามีคนสนใจจะเรียนพิเศษกับผม ซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่าทางนั้นเขาเคยเรียนกับเพื่อนผมมาก่อน พอเพื่อผมเป็นคนแนะนำผมให้เขาจึงรู้สึกว่าน่าจะไม่เป็นไร ตรงนี้ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนคนนี้จริงๆที่ทำให้ผมมีรายได้ขึ้นมา
วันนั้นผมนัดเจอกับ ‘พี่รัตน์’ พร้อมกับ ‘น้องพี’ เด็ก ป6. ที่จะมาเรียนกับผม เราเจอกันในร้านกาแฟเล็กๆใกล้กับรถไฟฟ้า ร้านนี้ผมไม่รู้จักแต่มาตามเส้นทางที่เพื่อนบอกว่าเคยใช้ที่นี่เป็นที่สอนพิเศษมาสักพักใหญ่ๆ
เราทักทายแนะนำตัวกันสั้นๆก่อนจะให้ผมลองเริ่มสอนน้องพีเพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายก่อนตกลงจ้าง ผมสอนในวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเมื่อได้ลองให้น้องพีทำข้อสอบดูแล้วก็พบว่าน้องเก่งมากเมื่อเทียบกับความรู้ที่ผมกะว่าเด็กประถมควรจะมี
พี่รัตน์ตกลงจ้างผมให้เป็นคนสอนพิเศษในช่วงเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 ผมยิ้มอย่างยินดีแต่ก็อดแอบคิดไม่ได้ว่าเด็กสมัยนี้ต้องเรียนกันหนักขนาดนี้เลยเหรอ เมื่อเทียบกับตัวเองตอนเด็กๆ
และแล้วก็ถึงวันที่ผมจะต้องเริ่มสอนเป็นครั้งแรก ผมนัดเจอน้องพีที่ร้านกาแฟร้านที่ผมพอจะไปอยู่บ่อยครั้งและติดกับรถไฟฟ้าพอดี ผมมานั่งรอน้องพีอยู่ก่อน ไม่นานนักผมก็เห็นน้องพีเดินมากับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมตกใจกับภาพที่เห็นนิดหนึ่งเหมือนกัน เพราะผมไม่รู้มาก่อนว่าเด็กๆในกรุงเทพนั้นขึ้นรถไฟฟ้ากันเองเป็นเรื่องปกติ หรือไม่ก็เดินมาเองได้ เพราะตอนที่ผมเป็นเด็กก็จะเป็นการไปรับไปส่งโดยผู้ปกครองซะส่วนมาก
น้องพีที่ผมเห็นผ่านหน้าต่างกระจกของร้านกาแฟดูสดใสมีชีวิตชีวาต่างจากวันที่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ และชัดเจนเลยเวลาพอน้องพีเดินเข้ามาเห็นหน้าผมในร้านกาแฟ เขาก็ดูเกร็งๆ และหดหู่ลงนิดหนึ่ง
ผมพยายามละลายพฤติกรรมของน้องด้วยการสอนไปด้วยสลับกับการพูดคุยถามไถ่เรื่องที่สนใจเพื่อไม่ให้น้องรู้สึกเครียดมากนัก แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบที่พี่รัตน์จะไม่ต้องเสียเงินเปล่า
เราเรียนกันได้ประมาณสองสามครั้งก่อนที่พี่รัตน์จะขอให้เปลี่ยนไปสอนที่บ้านแทน เนื่องด้วยความสะดวกหลายๆอย่างและเรื่องทุกอย่างมันก็เริ่มจากตรงนั้น
วันแรกที่ผมไปสอนที่บ้านของพี่รัตน์ เธอปล่อยให้พวกผมอยู่ในห้องนอนของน้องพีแล้วเรียนกันในนั้นไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร และผมก็เพิ่งได้รู้วันนั้นว่าพี่รัตน์มีลูกชายอีกคนหนึ่งชื่อว่า “น้องเพื่อน”
นอกจากการเรียนแล้วผมก็พยายามตีสนิทน้องพีให้มากขึ้นโดยเริ่มจากสิ่งของในห้องนอนของน้องนั่นแหละ ส่วนมากจะเป็นหนังสือการ์ตูนกับเครื่องเกมส์ แน่นอนว่าเข้าทางผมอยู่พอสมควร
“พี่ก็อ่านการ์ตูนด้วยเหรอครับ” น้องพีดูสดใสขึ้นมานิดหนึ่ง
“แน่นอนสิครับ อ่านมาตั้งแต่อายุเท่าๆพีเลย แต่เรื่องที่พี่อ่านน้องพีไม่น่าจะรู้จักเท่าไหร่หรอก เก่ามาก”
บรรยากาศในการเรียนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง น้องเปิดใจให้ผมมากขึ้น เริ่มเป็นฝ่ายชวนคน มีบ่นเพื่อนบ่นโรงเรียนบ้าง แต่ไม่เคยพูดถึงคนในบ้านให้ผมฟังเลยสักครั้ง
วันแรกผ่านไปอย่างสนุกสนานพี่รัตน์เองก็ดูจะพอใจเพราะเห็นน้องพียิ้มแย้มวิ่งลงมากินขนมหลังจากเลิกเรียน ส่วนน้องเพื่อนนั้นนั่งมองอยู่ห่างๆไม่ได้เข้ามาทักทายอะไร
วันรุ่งขึ้นผมต้องไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง วันนี้ผมติดหนังสือการ์ตูนที่สัญญากับน้องพีไว้มาด้วย ผมยื่นหนังสือการ์ตูนเล่มนั้นให้น้องพียืมไว้อ่าน แล้วเราก็เริ่มเรียนกัน
“พี่อ่านหนังสือผีๆเยอะจัง ไม่กลัวเหรอ” น้องพีถามระหว่างที่เราพักครึ่งกันอยู่
“มันก็สนุกนะ การ์ตูนผีมันก็ไม่ได้ผีขนาดนั้นหรอก น้องพีต้องลองไปอ่านพวกหนังสือเล่มๆที่ไม่มีภาพ แต่ไว้โตกว่านี้อีกหน่อยก็ได้ เดี๋ยวจะเบื่อเอา” ผมพูดติดตลกไป เพราะไม่คิดว่าคำถามพวกนั้นจะมีใจความอะไรมากไปกว่านั้น
“พี่เคยเห็นผีไหม” น้องพีทำหน้าเครียดๆเปลี่ยนอารมณ์ไปอย่างชัดเจน
ตอนนั้นตกใจมากกับสิ่งที่น้องพีถามและผมก็เลี่ยงที่จะตอบปล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามกลับแทน
“น้องพีเคยเห็นเหรอถึงมาถามพี่เนี่ย”
“เพื่อนชอบบอกว่าพี่ไม่เคยเห็น แต่จริงๆพีเคย”
บรรยากาศในห้องนิ่งสนิท น้องพีไม่เล่าอะไรต่อ ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกลับไปเช่นกัน สีหน้าของน้องพีดูไม่ดีนัก ผมเลยเปลี่ยนเรื่องกลับมาที่การ์ตูนใหม่ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีมากขึ้นเท่าใดนัก
ระหว่างสอนผมเริ่มมองนาฬิกาเพราะบรรยากาศเริ่มไม่ดีนัก โชคดีหน่อยที่เหลือเวลาอีกไม่มากและเป็นช่วงที่ผมจะให้น้องพีได้ลองทำข้อสอบอยู่พอดี ที่ดีไปกว่านั้นคือพี่รัตน์กลับมาพอดีผมจึงสามารถสอนให้เสร็จและกลับบ้านได้ในทันที
คำพูดของน้องพีวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดคืนจนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกสัปดาห์หนึ่งก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปสอนอีกครั้ง วันนั้นน้องพีกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้วผมจึงโล่งใจ แต่มันก็กลายเป็นว่าเรื่องมันวุ่นวายขึ้นมามากกว่าเดิม
“ฮัลโหลครับ พี่รัตน์” ผมรับสายระหว่างที่กำลังสอนอยู่
“พี่ฝากอยู่กับน้องก่อนได้ไหมคะ พอดีว่าพี่ออกมารับน้องเพื่อนแล้วรถมันติดมากเลยน่าจะอีกนานกว่าจะถึงบ้าน ฝากหน่อยนะคะ”
ผมถูกฝากฝังให้นั่งเล่นเป็นเพื่อนน้องพีต่ออีกพักใหญ่หลังจากเรียนเสร็จเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน บอกตามตรงว่าลึกๆก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยให้น้องพีอยู่บ้านคนเดียวกับคนแปลกหน้าอย่างนี้ ถึงแม้ว่าผมจะมาในฐานะครูสอนพิเศษก็เถอะ แต่มันก็ดูจะไว้ใจกันมากไปหน่อยหรือเปล่า
“น้องพี คุณแม่คุณพ่อแล้วก็พี่เพื่อนจะกลับมาช้าหน่อยนะ รถมันติดเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนจนแม่กลับมาเนอะ”
“จริงเหรอครับ! เย้!”
กลับกลายเป็นว่าน้องพีดูดีใจมาก และผมก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนหลังๆว่าน้องพีต้องอยู่บ้านคนเดียวบ่อยเหมือนกัน แต่กว่าจะได้รู้เรื่องนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปไกลพอสมควรแล้วเหมือนกัน
กิจกรรมที่ผมกับน้องพีทำร่วมกันคือการนั่งเล่นเกมส์ มันสนุกมากครับถึงน้องจะอายุห่างจากผมมาก แต่ความสนใจในสิ่งเดียวกันก็ทำให้ช่องว่างระหว่างวัยค่อยๆแคบลง เราเริ่มสนิทกันจนน้องพีมานั่งซบนั่งพิงผมอย่างไว้ใจ ผมเองก็ได้แต่นึกในใจว่า การมีน้องชายคงจะเป็นอย่างนี้กระมัง
แอ๊ด...
ผมได้ยินเสียงประตูบานหนึ่งถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เสียงของมันมาจากทางไหนผมไม่แน่ใจเพราะเสียงเกมส์ก็ดังอยู่พอสมควร แต่น้องพีดูจะไม่ได้ยินเสียงอย่างที่ว่า หรือไม่ก็อาจจะกำลังสนใจเกมส์ก็ไม่รู้เหมือนกัน
“น้องพี เดี๋ยวพี่มานะ”
ผมลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปยังห้องครัวเพราะดูๆแล้วประตูบานอื่นจะเป็นประตูกระจกแบบบานเลื่อนทั้งหมดยกเว้นรอยต่อระหว่างห้องครัวออกไปทางลานซักล้างหลังบ้านที่จะเป็นประตูไม้บานพับ
ของเด็กเล่น...
เพื่อนผมหลายคนเลือกเส้นทางของการค้าขาย แต่ตัวผมเองนั้นไม่ได้มีความสามารถในการขายของและไม่รู้ว่าจะขายอะไรดีจึงตัดสินใจกลับไปทำอาชีพเก่าที่ทำมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนนั่นคือ “การสอนพิเศษ”
โชคดีหน่อยที่ผมค่อยข้างมีเพื่อนเยอะ เพื่อนคนหนึ่งที่เรียนในกรุงเทพมาตั้งแต่ป.ตรีเองก็ทำอาชีพนี้มาได้สักพักใหญ่ๆ ผมติดต่อไปและขอให้เพื่อนช่วยหาลูกค้าให้บ้างเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหนไม่ได้รู้จักกับใครไปรายใหญ่เป็นการส่วนตัว
เวลาผ่านไปไม่นานเพื่อนผมก็โทรกลับมาและบอกว่ามีคนสนใจจะเรียนพิเศษกับผม ซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่าทางนั้นเขาเคยเรียนกับเพื่อนผมมาก่อน พอเพื่อผมเป็นคนแนะนำผมให้เขาจึงรู้สึกว่าน่าจะไม่เป็นไร ตรงนี้ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนคนนี้จริงๆที่ทำให้ผมมีรายได้ขึ้นมา
วันนั้นผมนัดเจอกับ ‘พี่รัตน์’ พร้อมกับ ‘น้องพี’ เด็ก ป6. ที่จะมาเรียนกับผม เราเจอกันในร้านกาแฟเล็กๆใกล้กับรถไฟฟ้า ร้านนี้ผมไม่รู้จักแต่มาตามเส้นทางที่เพื่อนบอกว่าเคยใช้ที่นี่เป็นที่สอนพิเศษมาสักพักใหญ่ๆ
เราทักทายแนะนำตัวกันสั้นๆก่อนจะให้ผมลองเริ่มสอนน้องพีเพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายก่อนตกลงจ้าง ผมสอนในวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเมื่อได้ลองให้น้องพีทำข้อสอบดูแล้วก็พบว่าน้องเก่งมากเมื่อเทียบกับความรู้ที่ผมกะว่าเด็กประถมควรจะมี
พี่รัตน์ตกลงจ้างผมให้เป็นคนสอนพิเศษในช่วงเตรียมตัวสอบเข้า ม.1 ผมยิ้มอย่างยินดีแต่ก็อดแอบคิดไม่ได้ว่าเด็กสมัยนี้ต้องเรียนกันหนักขนาดนี้เลยเหรอ เมื่อเทียบกับตัวเองตอนเด็กๆ
และแล้วก็ถึงวันที่ผมจะต้องเริ่มสอนเป็นครั้งแรก ผมนัดเจอน้องพีที่ร้านกาแฟร้านที่ผมพอจะไปอยู่บ่อยครั้งและติดกับรถไฟฟ้าพอดี ผมมานั่งรอน้องพีอยู่ก่อน ไม่นานนักผมก็เห็นน้องพีเดินมากับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมตกใจกับภาพที่เห็นนิดหนึ่งเหมือนกัน เพราะผมไม่รู้มาก่อนว่าเด็กๆในกรุงเทพนั้นขึ้นรถไฟฟ้ากันเองเป็นเรื่องปกติ หรือไม่ก็เดินมาเองได้ เพราะตอนที่ผมเป็นเด็กก็จะเป็นการไปรับไปส่งโดยผู้ปกครองซะส่วนมาก
น้องพีที่ผมเห็นผ่านหน้าต่างกระจกของร้านกาแฟดูสดใสมีชีวิตชีวาต่างจากวันที่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ และชัดเจนเลยเวลาพอน้องพีเดินเข้ามาเห็นหน้าผมในร้านกาแฟ เขาก็ดูเกร็งๆ และหดหู่ลงนิดหนึ่ง
ผมพยายามละลายพฤติกรรมของน้องด้วยการสอนไปด้วยสลับกับการพูดคุยถามไถ่เรื่องที่สนใจเพื่อไม่ให้น้องรู้สึกเครียดมากนัก แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบที่พี่รัตน์จะไม่ต้องเสียเงินเปล่า
เราเรียนกันได้ประมาณสองสามครั้งก่อนที่พี่รัตน์จะขอให้เปลี่ยนไปสอนที่บ้านแทน เนื่องด้วยความสะดวกหลายๆอย่างและเรื่องทุกอย่างมันก็เริ่มจากตรงนั้น
วันแรกที่ผมไปสอนที่บ้านของพี่รัตน์ เธอปล่อยให้พวกผมอยู่ในห้องนอนของน้องพีแล้วเรียนกันในนั้นไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร และผมก็เพิ่งได้รู้วันนั้นว่าพี่รัตน์มีลูกชายอีกคนหนึ่งชื่อว่า “น้องเพื่อน”
นอกจากการเรียนแล้วผมก็พยายามตีสนิทน้องพีให้มากขึ้นโดยเริ่มจากสิ่งของในห้องนอนของน้องนั่นแหละ ส่วนมากจะเป็นหนังสือการ์ตูนกับเครื่องเกมส์ แน่นอนว่าเข้าทางผมอยู่พอสมควร
“พี่ก็อ่านการ์ตูนด้วยเหรอครับ” น้องพีดูสดใสขึ้นมานิดหนึ่ง
“แน่นอนสิครับ อ่านมาตั้งแต่อายุเท่าๆพีเลย แต่เรื่องที่พี่อ่านน้องพีไม่น่าจะรู้จักเท่าไหร่หรอก เก่ามาก”
บรรยากาศในการเรียนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง น้องเปิดใจให้ผมมากขึ้น เริ่มเป็นฝ่ายชวนคน มีบ่นเพื่อนบ่นโรงเรียนบ้าง แต่ไม่เคยพูดถึงคนในบ้านให้ผมฟังเลยสักครั้ง
วันแรกผ่านไปอย่างสนุกสนานพี่รัตน์เองก็ดูจะพอใจเพราะเห็นน้องพียิ้มแย้มวิ่งลงมากินขนมหลังจากเลิกเรียน ส่วนน้องเพื่อนนั้นนั่งมองอยู่ห่างๆไม่ได้เข้ามาทักทายอะไร
วันรุ่งขึ้นผมต้องไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง วันนี้ผมติดหนังสือการ์ตูนที่สัญญากับน้องพีไว้มาด้วย ผมยื่นหนังสือการ์ตูนเล่มนั้นให้น้องพียืมไว้อ่าน แล้วเราก็เริ่มเรียนกัน
“พี่อ่านหนังสือผีๆเยอะจัง ไม่กลัวเหรอ” น้องพีถามระหว่างที่เราพักครึ่งกันอยู่
“มันก็สนุกนะ การ์ตูนผีมันก็ไม่ได้ผีขนาดนั้นหรอก น้องพีต้องลองไปอ่านพวกหนังสือเล่มๆที่ไม่มีภาพ แต่ไว้โตกว่านี้อีกหน่อยก็ได้ เดี๋ยวจะเบื่อเอา” ผมพูดติดตลกไป เพราะไม่คิดว่าคำถามพวกนั้นจะมีใจความอะไรมากไปกว่านั้น
“พี่เคยเห็นผีไหม” น้องพีทำหน้าเครียดๆเปลี่ยนอารมณ์ไปอย่างชัดเจน
ตอนนั้นตกใจมากกับสิ่งที่น้องพีถามและผมก็เลี่ยงที่จะตอบปล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามกลับแทน
“น้องพีเคยเห็นเหรอถึงมาถามพี่เนี่ย”
“เพื่อนชอบบอกว่าพี่ไม่เคยเห็น แต่จริงๆพีเคย”
บรรยากาศในห้องนิ่งสนิท น้องพีไม่เล่าอะไรต่อ ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกลับไปเช่นกัน สีหน้าของน้องพีดูไม่ดีนัก ผมเลยเปลี่ยนเรื่องกลับมาที่การ์ตูนใหม่ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีมากขึ้นเท่าใดนัก
ระหว่างสอนผมเริ่มมองนาฬิกาเพราะบรรยากาศเริ่มไม่ดีนัก โชคดีหน่อยที่เหลือเวลาอีกไม่มากและเป็นช่วงที่ผมจะให้น้องพีได้ลองทำข้อสอบอยู่พอดี ที่ดีไปกว่านั้นคือพี่รัตน์กลับมาพอดีผมจึงสามารถสอนให้เสร็จและกลับบ้านได้ในทันที
คำพูดของน้องพีวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดคืนจนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกสัปดาห์หนึ่งก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปสอนอีกครั้ง วันนั้นน้องพีกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้วผมจึงโล่งใจ แต่มันก็กลายเป็นว่าเรื่องมันวุ่นวายขึ้นมามากกว่าเดิม
“ฮัลโหลครับ พี่รัตน์” ผมรับสายระหว่างที่กำลังสอนอยู่
“พี่ฝากอยู่กับน้องก่อนได้ไหมคะ พอดีว่าพี่ออกมารับน้องเพื่อนแล้วรถมันติดมากเลยน่าจะอีกนานกว่าจะถึงบ้าน ฝากหน่อยนะคะ”
ผมถูกฝากฝังให้นั่งเล่นเป็นเพื่อนน้องพีต่ออีกพักใหญ่หลังจากเรียนเสร็จเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน บอกตามตรงว่าลึกๆก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยให้น้องพีอยู่บ้านคนเดียวกับคนแปลกหน้าอย่างนี้ ถึงแม้ว่าผมจะมาในฐานะครูสอนพิเศษก็เถอะ แต่มันก็ดูจะไว้ใจกันมากไปหน่อยหรือเปล่า
“น้องพี คุณแม่คุณพ่อแล้วก็พี่เพื่อนจะกลับมาช้าหน่อยนะ รถมันติดเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนจนแม่กลับมาเนอะ”
“จริงเหรอครับ! เย้!”
กลับกลายเป็นว่าน้องพีดูดีใจมาก และผมก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนหลังๆว่าน้องพีต้องอยู่บ้านคนเดียวบ่อยเหมือนกัน แต่กว่าจะได้รู้เรื่องนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปไกลพอสมควรแล้วเหมือนกัน
กิจกรรมที่ผมกับน้องพีทำร่วมกันคือการนั่งเล่นเกมส์ มันสนุกมากครับถึงน้องจะอายุห่างจากผมมาก แต่ความสนใจในสิ่งเดียวกันก็ทำให้ช่องว่างระหว่างวัยค่อยๆแคบลง เราเริ่มสนิทกันจนน้องพีมานั่งซบนั่งพิงผมอย่างไว้ใจ ผมเองก็ได้แต่นึกในใจว่า การมีน้องชายคงจะเป็นอย่างนี้กระมัง
แอ๊ด...
ผมได้ยินเสียงประตูบานหนึ่งถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เสียงของมันมาจากทางไหนผมไม่แน่ใจเพราะเสียงเกมส์ก็ดังอยู่พอสมควร แต่น้องพีดูจะไม่ได้ยินเสียงอย่างที่ว่า หรือไม่ก็อาจจะกำลังสนใจเกมส์ก็ไม่รู้เหมือนกัน
“น้องพี เดี๋ยวพี่มานะ”
ผมลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปยังห้องครัวเพราะดูๆแล้วประตูบานอื่นจะเป็นประตูกระจกแบบบานเลื่อนทั้งหมดยกเว้นรอยต่อระหว่างห้องครัวออกไปทางลานซักล้างหลังบ้านที่จะเป็นประตูไม้บานพับ