ของเด็กเล่น...(ต่อ)

เรื่องราวในกระทู้นี้เป็นเรื่องต่อจากกระทู้ก่อนหน้า “ของเด็กเล่น” หากใครที่เพิ่งผ่านมาพบเจอกระทู้นี้เป็นครั้งแรกและยังไม่เคยได้อ่านเรื่องราวก่อนหน้า ขออนุญาตรบกวนกลับไปอ่านก่อนสักครั้งหนึ่งเพราะเนื้อหามีความเชื่อมโยงกันอยู่
“เรื่องราวต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหากเรื่องราวนี้ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ ผมต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ และขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น”
……………………………………………………………………………..
           พวกเรานั่งมองผ้าพันแผลและคราบเลือดที่กรังอยู่ด้วยความรู้สึกที่อธิบายได้ยากเหลือเกิน น้องเพื่อนรู้ดีว่าตัวเองได้ตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่เหมาะไม่ควรลงไป และตอนนี้เขาต้องการที่จะแก้ไขมัน
          ผมเริ่มที่จะพูดคุยกับน้องเพื่อนถึงรายละเอียดของเรื่องราวที่ถูกปิดไว้ เราคุยกันด้วยภาษาง่ายๆ สอบถามกลับไปกลับมาในรายละเอียด บางอย่างก็ต้องช่วยกันตีความเนื่องจากน้องเพื่อนยังเป็นเด็กมัธยมต้น การถ่ายทอดเรื่องราวบางอย่างอาจยังไม่ครบถ้วนและสามารถทำให้เข้าใจได้ในครั้งเดียว
          เพราะฉะนั้นหลังจากตรงนี้ไปผมจะขอเล่าเรื่องราวที่ได้ฟังมาจากเด็กชายคนนี้ด้วยภาษาและความเข้าใจของผม 
          เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความซับซ้อนเหมือนกับทุกๆ เรื่อง “เรื่องเล่าในโรงเรียน” บางคนอาจรู้สึกว่า อีกแล้ว กับคำคำนี้ ผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
          ผมเชื่อว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของทุกคนคงจะเคยผ่านเรื่องราวที่คล้ายๆ กันนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย บ้างอาจเป็นเพียงตำนานที่เคยผ่านหู บ้างอาจเคยย่างเท้าเข้าไปข้องเกี่ยวหรือท้าทายตำนานเหล่านั้นด้วยความคึกคะนอง
          ผลลัพธ์ในการท้าทายนั้นอาจแตกต่างการไปตามแต่วาระของแต่ละคน บ้างอาจไม่ได้พบเจอไม่ประสบ บ้างอาจได้เรื่องราวไว้เล่าให้คิดถึงกันไปจนแก่เฒ่า หรือบ้างก็อาจไม่ได้อยู่เล่าเรื่องราวเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว
          ที่โรงเรียนของน้องเพื่อนเองก็มีตำนานหนึ่งที่กล่าวถึงวิญญาณดวงหนึ่งผู้ยังคงหลงวนเวียนอยู่ภายในสถานศึกษาแห่งนี้ เรื่องเล่านั้นแตกต่างกันออกไปบ้างว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทางที่คอยปกปักโรงเรียน บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่เข้ามาอาศัยอยู่โดยพลการ และยังมีผู้คนบางส่วนเชื่อว่าเป็นวิญญาณของช่างก่อสร้างที่เสียชีวิตในช่วงก่อตั้งโรงเรียน และที่หนักสุดนั้นคงจะเป็น วิญญาณของเจ้าของที่ดินผู้หวงแหนในทรัพย์สิน วิญญาณดวงนั้นไม่ได้เต็มใจมอบที่ดินนี้ให้แก่ผู้ก่อตั้ง จึงยังวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้
          ณ เวลานั้นเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเรื่องราวใดกันแน่ที่เป็นข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือบางทีอาจไม่มีเรื่องไหนเลยที่เป็นความจริง แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อกันไปแล้วกว่าครึ่งว่าเป็นเรื่องจริงคือ สถานที่แห่งนี้ต้องมีผู้ติดค้างอยู่เป็นแน่
          เช้าวันหนึ่งที่โรงเรียนของน้องเพื่อน “น้ำ” เพื่อนสนิทในกลุ่มได้เอ่ยปากชวนทุกคนให้มารวมตัวกันตรงสนามบาสที่ประจำของทุกคน
          “เล่นนี่กัน” น้ำหยิบเอาแผ่นกระดาษแข็งออกมาจากกระเป๋า จากคำอธิบายของน้องเพื่อน มันคือกระดานผีถ้วยแก้วที่ทำเองด้วยการใช้ปากกาเคมีตีเส้นตารางและกรอกตัวอักษรต่างๆ ลงไป
          ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นักเพราะ “ผีถ้วยแก้ว” น่าจะเป็นการละเล่นกึ่งพิธีกรรมอันเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดและอุปกรณ์ในพิธีเองก็สามารถจัดเตรียมได้โดยง่าย เอาเข้าจริงแล้วในสมัยนี้เพียงแค่เราค้นหาข้อมูลเรื่องนี้ในอินเตอร์เน็ต ก็จะปรากฏรายละเอียดต่างๆ มากมายให้เราได้อ่านตั้งแต่การเตรียมพร้อมไปจนถึงบทบริกรรมเลยเสียด้วยซ้ำ
          น้ำ เป็นเหมือนกับหัวหน้ากลุ่มของน้องเพื่อน อาจเป็นเพราะอุปนิสัยที่กล้าแสดงออกมากกว่าคนอื่นๆ และยังมีพี่ชายที่เคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มาก่อน เรื่องเล่าต่างๆ น้ำก็มักพูดจนติดปากอยู่เสมอๆ ว่าได้ยินมาจากพี่ชาย
          แน่นอนว่าความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ต้องแตกออกเป็นสองฝั่ง หนึ่งคือไม่เห็นด้วยเพราะมองว่ามันอันตรายและน่ากลัว อีกส่วนคือเหล่าผู้กล้าที่จะท้าทายต่อทุกสิ่งที่ดูน่าสนุก
          “ใครป๊อดก็ไม่ต้องเล่น” ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่จะมีประโยคนี้โผล่ขึ้นมาในบทสนทนา และในช่วงวัยเท่านี้คำๆ นี้ก็ช่างมีน้ำหนักเสียเหลือเกิน ความกลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ ดูน่ากลัวกว่าการทดลองเล่นอะไรที่มันไม่สมควรเสียอีก
          กี่วันถัดมาไม่แน่ใจเด็กๆ ทั้งห้าคนในกลุ่มมารวมตัวกันอยู่ใต้ตึกเรียนเพื่อปรึกษากันว่าจะไปทดลองเล่นผีถ้วยแก้วกันที่ไหนดี
          “โตโต้” เพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มเสนอให้ทุกคนไปใช้แปลงผักที่ด้านหลังโรงเรียน เพราะตรงนั้นจะไม่ค่อยมีใครผ่านไปสักเท่าใดนัก นอกจากในช่วงที่มีคาบเกษตรกรรม
          ที่แปลงผักของโรงเรียน เด็กๆเลือกมุมเล็กๆใกล้กับโรงเพาะชำเป็นปะรำพิธี พวกเขานั่งลงกับพื้น กางกระดานผีถ้วยแก้วทำมือออกอย่างช้า ๆ 
          น้ำดูมีท่าทีนึกสนุกมากกว่ากลัว น้องเพื่อนที่ปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องตามน้ำไปอย่างนั้น ทั้งที่ลึกๆ แล้วตัวเองรู้สึกกลัวและไม่อยากเข้าร่วม แต่ในวัยเท่านี้การปฏิเสธเพื่อนก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่พอสมควร
          น้องเพื่อนเล่าให้ผมฟังว่าตอนที่เริ่มมานั่งกันได้สักครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มีหมาตัวหนึ่งเดินมานอนหมอบอยู่ใกล้ๆ ตัวของมันมีสีน้ำตาลเนียนดูสะอาด แต่ผอมโซจนเห็นชายโครงขยับทุกครั้งที่มันหายใจ
“น้องเพื่อนเคยเห็นมันมาก่อนไหม” ผมถาม
“ไม่เคย แต่มันดูไม่ดุ ก็เลยไม่ได้สนใจ”เด็กชายตอบผมอย่างซื่อ ๆ 
          ธูปเล่มเล็กถูกจุดขึ้นตามปกติของพิธีกรรม เด็กๆ วนธูปไปถือแล้วบริกรรมคาถาตามที่จดมาคนละหนึ่งครั้ง ก่อนจะส่งต่อให้คนที่อยู่ถัดไป ทำอย่างนั้นจนครบสามรอบ (อาจจะแตกต่างจากที่เคยรู้มาบ้างแต่ก็ไม่ได้ผิดไปเสียทีเดียว)
           จุดร่วมหนึ่งของการละเล่นนี้คือการดักควันธูปเอาไว้ในแก้วใบเล็กนั้น เช่นเดียวกับที่เด็กๆ ร่วมกันทำในวันนี้ น้ำคือคนสุดท้ายที่ถือธูปไว้ในมือและเอาแก้วครอบ 
          พิธีกรรมเด็กเล่นถูกประกอบขึ้นจนครบถ้วนมาสู่ขั้นตอนถัดไป นั่นคือการตั้งคำถาม พวกเด็กๆ ใช้วิธีง่ายๆตามตำรา ด้วยคำถามที่ไม่ได้มีนัยยะอะไร ไม่แม้แต่จะเตรียมคิดมาล่วงหน้า พวกเขาแค่ขอให้มีการขยับของแก้วใบเล็กนั้นก็เพียงพอแล้ว
“มาหรือยัง?”
ไม่มีการขยับของแก้วใบนั้น...
“มีใครอยู่ไหม?”
แก้วยังคงนิ่งสนิทอยู่เช่นเดิม
          เด็กๆ วนถามคำถามกันอีกสองสามคำถามก็ไม่ปรากฏสิ่งใดอันผิดแผกเหนือธรรมชาติให้ได้สัมผัส หากไม่นับเสียขู่เบาๆของหมาสีน้ำตาลที่น้องเพื่อนได้พูดถึงเอาไว้ก่อนหน้านี้
          “ไม่เห็นได้ผลเลยน้ำ หลอกพวกเราแน่ๆ เลย” โตโต้พูดขึ้นเสียดัง
          เด็กชายน้ำที่คงรู้สึกเหมือนถูกหักหน้าทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านแล้วตะโกนออกมาอย่างไม่ยั้งคิด
          “ผีบ้าผีบออะไรวะ กระจอก แน่จริงก็มาสิ กลัวใช่ไหม”
          ผิดคาด ทุกอย่างยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีการไหวติงของวัตถุที่อยู่เบื้องหน้า แต่น้องเพื่อนบอกว่าตอนนั้นเขารู้สึกหนาว เหมือนอากาศมันชื้น เด็กชายใช้คำว่า “เหมือนฝนตกทั้งที่ไม่มีฝน”
          น้ำที่อารมณ์เพราะทุกอย่างไม่เป็นไปดั่งที่ตัวเองคิดก็ผละมือออกจากแก้ว หยิบมันขึ้นมาไว้ในมือ แล้วปามันลงพื้นข้างๆตัวจนเกิดเสียงดัง
          เด็กคนอื่นๆ ตกใจเผลอลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว พร้อมๆ กับที่หมาสีน้ำตาลตัวนั้นเพิ่มระดับความดังและความหยาบกร้านของเสียงขู่ในลำคอ
          ดวงตาของมันจ้องมายังกลุ่มเด็กๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเจาะจงไปที่ใครหรือไม่ หรือแค่ที่ตรงนี้เป็นที่นอนของมันตามปกติ แต่พวกเด็กๆ แค่มารบกวนมันเฉยๆ
          “เพื่อนไม่กลัวหมากัดหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย
          “กลัวสิ แต่คนอื่นๆ ไม่ไปไหน เพื่อนก็ไม่กล้าไปไหน” เด็กผู้ชายทุกคนคงจะเคยรู้สึกแบบนี้อยู่บ้าง การที่เราไม่กล้าทำอะไรที่แตกต่างไปจากกลุ่มเพื่อน หรือแสดงท่าทีความอ่อนแอให้คนในกลุ่มเห็น ยิ่งเป็นเด็กๆ ด้วยแล้วจะดูเป็นเรื่องใหญ่เอามากๆ
          หมาตัวนั้นไม่หยุดส่งเสียงขู่ ตัวมันดูผอมแห้งทำให้ความน่าเกรงขามของมันลดลง แต่อย่างไรเสียเขี้ยวของมันก็ยาวพอที่จะกัดเข้าไปในท่อนขาเล็กๆ ของเด็กวัยมัธยมต้นได้อย่างง่ายดาย
          “เรา กลับกันเถอะ” โตโต้เป็นฝ่ายเสนอความคิดเห็นนี้ต่อเพื่อนๆ และทุกคนก็เห็นด้วย น้ำเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปจากกลุ่มก่อนใคร เหลือน้องเพื่อน โตโต้ และเพื่อนอีกสองคนที่ช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อทำลายหลักฐาน
          เด็กๆ เลือกที่จะเก็บแก้วใบเล็กนั้นกับกระดานผีถ้วยแก้ว ก้านธูป เทียน และกล่องไม้ขีดไปซุกไว้ในกองใบไม้แห้งของโรงเพาะชำ ด้วยความคิดว่ามันคือกองขยะ และคงไม่มีใครไปขุดคุ้ยมันขึ้นมาเป็นแน่
          หลังจากที่ทำลายหลักฐานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย น้องเพื่อนบอกกับผมว่าหมาตัวนั้นมองมายังกลุ่มของพวกเขา ไม่รู้เหมือนกันว่ามองใคร แต่มันจ้องค้างตาเขม็งอยู่อย่างนั้นจนทุกคนลับสายตาไป
          ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้วที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน น้องเพื่อนกลับมาถึงบ้านในช่วงค่ำๆ สิ่งแรกที่กวนใจเขาก็คือกลิ่นแปลกๆ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
          “กลิ่นมันเปรี้ยวๆ เหม็นๆ ทำให้อยากอ้วก” เด็กชายอธิบายผมแบบนั้น และมันยังไม่ชัดเจนมากในตอนนี้
            พอเล่าเรื่องมาถึงตรงนี้น้องพีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็เสริมขึ้นมาว่าวันนั้นน่าจะเป็นวันเดียวกันกับที่เขาพบเรื่องราวประหลาดภายในบ้าน เด็กชายสองคนทวนคำถามกันไปมาถึงชุดที่ใส่ ถึงเกมส์ที่เล่นด้วยกันก็ได้คำตอบว่า มันคือวันเดียวกัน
          คืนนั้นในห้องนอนของน้องพีปรากฏเงาร่างหนึ่งผลุบโผล่อยู่ใกล้กับหน้าต่างของห้องนอน น้องพีกลัว แต่ก็ไม่มากจนเสียสติ เขาแอบมองมันผ่านรูเล็กๆ ของผ้าห่มที่คลุมมาจนถึงใบหน้า 
          เมื่อเพ่งมองดูให้ดีแล้วเงาร่างนั้นไม่ได้อยู่ในห้องนอนของเขา แต่เป็นข้างนอกหน้าต่างนั่น น้องพีพยายามหลับตา พยายามบอกให้ตัวเองหลับ แต่ก็หลับไม่ลงเพราะที่นอกประตูห้องนั้นมีเงาร่างอีกเงาหนึ่งปรากฏอยู่ สายตานั้นจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง
          พี่ริน นั่นคือสิ่งที่ผมคิด เธอคงไม่ได้มาก่อกวน แต่คงมาเฝ้าระวังให้เสียมากกว่า อย่างน้อยผมก็เชื่ออย่างนั้น
          ตัดกลับมาที่เรื่องเล่าของน้องเพื่อน
          เช้าวันถัดมา ณ ห้องเรียนของทุกคน เด็กๆ สี่คนนั่งสุมหัวกินอาหารเช้ากันอยู่ที่โต๊ะของพวกเขา โดยที่ขาดสมาชิกไปหนึ่งคน
          น้ำ ไม่ได้มาโรงเรียนในวันนั้นและไม่มีใครได้รับข่าวสารจากเพื่อนรักคนนี้แม้แต่น้อย เด็กๆ พยายามโทรหาและไลน์ไปหาเพื่อน แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ (เด็กๆ สมัยนี้ติดต่อกันง่ายจริงๆ)
          วันนั้นทั้งวันผ่านไปอย่างเงียบเชียบ มันคงไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือน่าประหลาดใจมากนักหากเมื่อวันที่ผ่านมาเด็กๆ ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดวิสัยกันเอาไว้
            หลังเลิกเรียนเด็กๆ ไม่ได้ไปรวมตัวกันที่ไหน ข้อความมากมายถูกพิมพ์ทิ้งไว้ในไลน์กลุ่มที่ไร้การตอบรับ 
           เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงค่ำ น้ำก็ตอบข้อความกลับมาในไลน์กลุ่มนั้นด้วยคำถามที่ยากจะเข้าใจ
“โดนผีหลอกกันไหม”
           เป็นใครเจอข้อความนี้เข้าไปก็คงต้องขวัญผวา เช่นเดียวกับพวกเด็กๆ ทุกคนถล่มพิมพ์ข้อความกลับไปเพื่อถามหาคำอธิบายจากเจ้าของคำถามนั้น
           สุดท้ายคำถามนั้นกลายเป็นกลายสื่อสารฝ่ายเดียว น้ำเงียบหายไปอีกครั้ง ไม่ตอบกลับข้อความใดๆ และเมื่อคนอื่นๆพยายามโทรไป ที่ปลายสายก็ไร้ซึ่งการตอบรับ
           วันถัดมาเด็กๆ นั่งมองหน้ากันในห้องเรียนด้วยความกังวลที่เริ่มมากขึ้นทุกที ตอนนี้ยังไม่มีใครพบเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ แต่คำถามของน้ำไม่น่าจะใช่การเรียกร้องความสนใจทั่วๆ ไป อีกทั้งวันนี้น้ำก็ยังไม่มาโรงเรียน จะให้คิดว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวข้องกันก็คงจะไม่ใช่
“น้ำป่วยนะทุกคน น่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ของน้ำเพิ่งโทรมาบอกครู ระวังสุขภาพกันด้วยนะเด็กๆ”
           ครูประจำชั้นแจ้งข่าวในชั่วโมงเรียนคาบแรก ผมหันหน้าไปมองพี่รัตน์ เธอพยักหน้าคุ้นๆ เหมือนจะได้รับแจ้งจากทางโรงเรียนเหมือนกันเรื่องที่มีเด็กติดไข้หวัดใหญ่แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่