ห่างหายไปนานเหมือนกันหลังจากเรื่องที่แล้ว วันนี้มีโอกาสได้กลับมาเล่าอะไรให้ฟังกันอีกครั้งรู้สึกตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้คงจะไม่ได้เกริ่นนำอะไรเยอะแยะ คงจะขอพูดไว้สั้นๆเหมือนอย่างในทุกๆครั้งเผื่อใครที่เพิ่งผ่านมาอ่านเจอเป็นครั้งแรกนะครับ
“เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังนั้นเป็น ความเชื่อส่วนบุคคล นั่นหมายถึงไม่มีหลักฐานยืนยันหรือพิสูจน์ให้ชัดแจ้งแก่ใจได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน จะเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิ์ของผู้อ่าน และหากเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังในครั้งนี้ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ หรือรบกวนจิตใจของท่าน ผมต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ขอบคุณครับ”
…………………………………………………………………………….
เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วเหมือนกันด้วยความบังเอิญเหมือนกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมา วันนั้นผมกำลังเดินอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพราะมีธุระนิดหน่อย หลังจากได้พบปะกับคนที่ต้องการพบแล้วเวลายังเหลืออยู่อีกประมาณหนึ่งก่อนจะถึงคาบถัดไป
ตามทางเดินของโรงพยาบาลคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนกับทุกครั้งที่ได้มาเยือน ผมมองหาร้านกาแฟที่จำได้ลางๆว่าเคยมานั่งกินกับเพื่อนเมื่อหลายเดือนก่อน โดยที่ตัวเองก็จำได้ไม่ชัดเจนมากนักว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของโรงพยาบาลเพราะในนั้นมีร้านกาแฟตั้งอยู่มากกว่าสามร้าน ถ้าผมจำไม่ผิด
ผมเดินออกมาไกลจนเห็นทางเดินที่ทอดตัวไปสู่ที่จอดรถด้านข้างก็รู้ตัวว่าผมหลงเข้าให้แล้ว ผมหันซ้ายหันขวาหาทางเดินไปต่อ
“เฮ้ยๆๆ!”
ผมได้ยินเสียงเรียกดังมาจากทางที่จอดรถเลยหันไปมอง ผมต้องหยีตามองนิดหน่อยเพราะเขาอยู่ห่างไปประมาณหนึ่งเลยแต่เท่าที่เห็นได้ลางๆก็จำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของผมเอง ผมเดินไปหาเพื่อนตามเสียงเรียก เราไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วจึงรู้สึกพอใจกับความบังเอิญในครั้งนั้น
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่า ‘ต๋อง’ กำลังนั่งคุยกับคนอื่นอยู่ผมก้มหัวยกมือไหว้คนตรงหน้าเพราะดูแล้วน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบแน่ๆ ตอนที่เดินมาผมมองไม่เห็นเพราะเขานั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะที่มันมีต้นไม้บังพอดี ผมคิดว่าจะแค่เดินเข้าไปทักแล้วไม่รบกวนเวลาของคนทั้งสามจะดีกว่า
ด้วยความตั้งใจนั้นผมจึงยิ้มให้ทักทายเล็กน้อยตบไหล่เพื่อนเบาๆ “ไว้เจอกันเพื่อน” ผมพูดแค่นั้นแล้วรีบปลีกตัวออกมา แต่เพื่อนกลับดึงแขนผมฉุดให้นั่งลง
“เล่าต่อเลยครับ”
ผมทำตาโตมองเพื่อนในชุดของมูลนิธิที่เพื่อนคนนั้นไปร่วมงานด้วยอยู่(ไม่รู้ว่าเรียกถูกไหมนะครับ) ด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ต้องนั่งต่อเพราะเพื่อนจับข้อมือไว้ไม่ปล่อยไปไหน คุณลุงที่นั่งอยู่บนม้าหินตัวเดียวกันก็เริ่มเล่าเรื่องที่น่าจะผ่านมาได้เกินครึ่งทางแล้วให้ต๋องฟังต่อ
“ฮึก…”
ผมสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงสะอึกของคุณป้าที่นั่งอยู่ติดๆกัน เธอทำท่าเหมือนจะอาเจียนแต่แล้วก็เงียบไป เสียงสะอึกกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆ สุดท้ายน้ำตาของเธอก็หยดลงมาบนโต๊ะม้าหินทำเอาพวกเราทุกคนตกใจทำตัวไม่ถูกเว้นก็แต่ ‘ลุงขวัญ’ ที่มีสีหน้าเรียบเฉยเอื้อมมือไปโอบ ‘ป้าสวย’ ภรรยาด้วยความเป็นห่วง
ผมกับต๋องไม่ได้พูดอะไร เพราะคิดว่าลุงขวัญยังมีอะไรที่ยังอยากเล่าค้างไว้อยู่ เขาถอนหายใจช้าๆ เริ่มเล่าต่อโดยที่ผมยังไม่ได้ฟังเรื่องราวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย เท่าที่จับใจความได้คือ “ป้าสวยมีอาการผีเข้ามาได้พักใหญ่แล้ว” ต๋องมองหน้าผมเหมือนกับพยายามจะถ่ายทอดสิ่งที่คิดอยู่ในใจให้ผมได้ยินผ่านสีหน้า “นี่แหละที่กลูเรียกมลึงมา”
เสียงร้องไห้ของป้าสวยดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับสายตาของคนที่สัญจรผ่านไปมาจนทำให้ผมรู้สึกประหม่าเหมือนกับลุงขวัญที่เริ่มกระวนกระวาย แต่ป้าสวยเหมือนไม่เข้าใจในความรู้สึกของพวกเราเลย เธอร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งตัว พอเห็นดังนั้นพวกเรายิ่งลนลานไปกันใหญ่
“ลุงกลับดีกว่า”
ลุงขวัญลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินพยายามพยุงป้าสวยให้ลุกขึ้นตามมาทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ ผมจำสายตาคู่นั้นได้ดี ป้าสวยไม่ได้พูดอะไรเลยแต่เธอจ้องตาผมอยู่ตลอด ตาที่แดงจากการร้อไห้อย่างหนักเหมือนพยายามจะบอกอะไรผม มันดูน่าขนลุกในเวลานั้นแต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยปากทักหรือรั้งคนทั้งสองไว้ ปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไปแค่เท่านั้น
“มลึงคิดว่าไง” เพื่อนที่ไม่ได้พบกันนานถามเหมือนเราไม่เคยได้ห่างกัน ผมเงียบไม่รู้จะตอบว่าอะไร ไม่รู้แม้แต่ว่าเรื่องของเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่ ต๋องคนสังเกตได้จึงเป็นฝ่ายเล่าให้ผมฟังโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากขอ
ใจความเท่าที่รู้คือคุณลุงคุณป้าทั้งสองคนนั้นมีอาชีพขายโลงศพ เลยมีโอกาสได้มารู้จักกับต๋องที่ไปทำงานอาสาสมัครได้อย่างไรไม่รู้ผมก็ยังไม่เคยถามเพื่อนเหมือนกัน เอาเป็นว่าเขารู้จักกัน ผมคิดแค่นั้น
อาจเพราะด้วยความเป็นเด็กลุงป้าทั้งสองจึงเอ็นดูต๋องชวนคุยทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อนผมเองก็อัธยาศัยดีเลยคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง จนวันหนึ่งป้าสวยก็เกิดอาการผิดปกติที่ลุงขวัญเชื่อว่าเกิดมาจากอาการผีเข้าต่อหน้าต่อตาของต๋อง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ลุงขวัญเริ่มมาปรึกษาเพื่อนของผมเพราะคิดว่าคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงนี้น่าจะพอรู้จักคนที่ช่วยได้ หรือไม่ก็เคยพบเจอเรื่องราวประมาณนี้มาบ้าง
แล้วความบังเอิญก็ทำให้พวกเราได้มาพบกัน สรุปแล้วก็คือต๋องไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าผมเลยแค่รู้ก่อนเท่านั้นมันเลยไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แต่มันก็เท่านั้นอีกนั่นแหละ เพราะผมคงไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอะไรด้วยอีก หากว่าคืนนั้นต๋องมันไม่ตามลุงป้าไปที่ร้านของทั้งสองคน แล้วบอกให้มาคุยกับผมอีกครั้ง
น่าจะราวๆสัปดาห์หรือสองสัปดาห์หลังจากนั้น ผมได้รับโทรศัพท์จากต๋องด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆในการหาเรื่องหาราวมาให้ผมซึ่งเป็นนิสัยห่ามๆของเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วข้อดีของมันคือความจริงใจที่มีมากจนเกินไปนี่แหละ
“ว่างวันไหน กลูไปรับ” นั่นคือสิ่งที่ต๋องพูดกับผมทันทีที่ทักทายกันเสร็จ ผมถอนหายใจโวยวายมันไปชุดหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ใส่ใจแต่อย่างใด หลังจากเถียงกับเพื่อนรักอยู่นานก็พบว่าไม่มีหนทางให้ผมปฏิเสธเพราะต๋องได้ไปรับป้ากับทางลุงขวัญไว้แล้วว่า ‘ผมจะไป’
วันนั้นเป็นช่วงเย็นท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มแล้วเพราะบ้านของลุงขวัญอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงแต่ก็เป็นอำเภอรอบนอกจึงไม่ไกลจากตัวเมืองของจังหวัดที่ผมอยู่มากนัก ผมเดินเข้าไปในบ้านที่ดูใหญ่โตกว่าที่คิดไว้มาก
พื้นที่หน้าบ้านแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือส่วนที่มีรั้วเหล็กกั้นเอาไว้นั่นคือส่วนที่เป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัย ถัดมาทางด้านขวาเป็นบ้านปูนที่รายละเอียดน้อยกว่าข้างในมีโลงศพหาหลายขนาดหลายหลายลวดลายวางตั้งอยู่มีทั้งแบบที่หุ้มพลาสติกและไม่หุ้ม
“ขออนุญาตนั่งคุยกันตรงนี้นะลูก” ลุงขวัญยิ้มต้อนรับเมื่อพวกผมเดินมาจากที่จอดรถซึ่งห่างออกไปอีกนิด สาเหตุที่ลุงแกพูดอย่างนั้นเพราะเขาไม่ได้เชิญเราเข้าไปในบ้านตั้งแต่ครั้งแรก แต่ขอให้เรานั่งคุยกันตรงโต๊ะไม้ที่วางอยู่หน้าร้านของลุงขวัญเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยในเวลานี้ทำให้แกจำเป็นต้องเฝ้าหน้าร้านไปพร้อมๆกับการพูดคุยกับพวกเรา
“บ้านหลังใหญ่อยู่กันแค่สองคนเหรอครับ” ผมชวนคุยเพื่อให้ตัวเองรู้สึกไม่ประหม่า ลุงขวัญหัวเราะพร้อมบอกว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด บ้านหลังนี้มีประชากรทั้งหมดห้าคน ได้แก่ ลุงขวัญ ป้าสวย ลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายอีกหนึ่งคน ผมถามต่อไปอีกว่าพวกเขาไปไหนกันหมด ผมคิดแค่ว่ามันคือคำถามตามมารยาทแต่เมื่อลุงขวัญได้ยิน เขากลับมีสีหน้าที่ดูหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไปถึงกับสะอึกไม่กล้าพูดอะไรต่อ ลุงขวัญถอนหายใจเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด แล้วเรื่องทุกอย่างก็ค่อยๆถูกเล่าโดยละเอียดอีกครั้งผ่านเจ้าของร้านขายโลงศพที่ชื่อว่า ลุงขวัญ
ระหว่างที่นั่งฟังเรามีเพียงน้ำคนละแก้ววางอยู่บนโต๊ะ แม้ท้องจะรู้สึกหิวแต่ก็ตั้งใจฟังใจความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ ลุงขวัญเป็นเจ้าของร้านของโลงศพนี้มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เรียกได้ว่าสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากกิจการนี้เลยก็ว่าได้ เขายึดอาชีพนี้มาโดยตลอดจนแต่งงานมีภรรยามีครอบครัว ลูกชายเองจริงๆแล้วก็ได้เรียนจนสูง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกลับมาทำกิจการของที่บ้านต่อโดยมีร้านอาหารเล็กๆของตัวเองอยู่อีกที่หนึ่งประกอบไปด้วย
ลุงขวัญไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่เพราะตลอดเวลาที่ทำอาชีพนี้มามันมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้เข้ามาโดยตลอดจนไม่กล้าที่จะปักธงว่าเรื่องไหนคือสาเหตุกันแน่
ผมไม่แน่ใจว่าในสมัยนี้จะยังพอมีคนเคยได้ยินเรื่องเล่าหรือความเชื่อเกี่ยวกับโลงศพอยู่บ้างไหม เรื่องหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆแล้วมาได้ยินซ้ำอีกครั้งจากปากของลุงขวัญคือ ‘โลงทุกโลงมีเจ้าของ’
คำว่า ‘เจ้าของ’ ไม่ได้หมายถึงคนที่มาซื้อหรือมาจ่ายเงินจองไว้ แต่มันคือความเชื่อว่าโลงโลงหนึ่งเมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้วถ้าไม่ใช่เจ้าของ หรือ คนที่จะมานอนในโลงนี้จริงๆ โลงนั้นจะขายไม่ออก หลายต่อหลายครั้งที่ลุงขวัญบอกว่าได้ยินเสียง ‘โลงลั่น’ เสียงของมันคล้ายกับเสียงไม้แตก(ถ้าใครเคยได้ยินหรือเคยฟันไม้อาจจะพอนึกออก) บางครั้งก็เป็นเสียงเหมือนกับโลงที่ว่านั้นร่วงลงจากชั้นวางเหมือนของตกอะไรประมาณนั้น ลุงขวัญบอกว่าถ้าได้ยินเสียงพวกนี้จะพอรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะขายโลงออก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะกับเจ้าของร้านคนนี้แต่น่าจะเกิดขึ้นกับใครหลายๆคนที่ประกอบอาชีพนี้(ไม่ใช่ทุกคน) เพราะลุงขวัญเองก็ได้ยินมาจากอาจารย์ที่สอนการประกอบโลงให้กับลุงขวัญมาอีกทีหนึ่งก่อนที่จะได้ประสบด้วยตัวเอง
“เป็นไปได้ไหมว่าพวกที่มารอโลงเขาเข้ามารบกวนคนในบ้าน” นั่นคือข้อสันนิษฐานแรกของลุงขวัญเพราะมีครั้งหนึ่งแกไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงที่ดังมาจากสินค้าในร้าน แต่ลุงขวัญได้เห็นวิญญาณดวงหนึ่งมาเดินวนไปวนมาอยู่ที่โลงไม้ในร้านอยู่หลายครั้งคือในชุดเดิมๆใบหน้าเดิมๆ จนผ่านไปสัปดาห์หนึ่งโลงนั้นก็ถูกซื้อไปจริงๆ ลุงไม่ได้ตามไปดูในงานว่าใบหน้าเหมือนกับที่แกเห็นหรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งที่แกคิดคือ วิญญาณพวกนั้นเข้ามาในบ้านของแกได้งั้นเหรอ?
ลุงขวัญเล่าต่อถึงสาเหตุอื่นๆที่แกพอจะนึกออกในตอนนั้น เรื่องของความเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากมากและหลากหลาย แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่บางครั้งก็เชื่อไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ ผมไม่แน่ใจว่าผมเคยได้ยินมาหรือเปล่าแต่มันคุ้นๆหูจนมาได้ยินลุงขวัญเล่าให้ฟังอีกครั้ง
คนขายโลง
“เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังนั้นเป็น ความเชื่อส่วนบุคคล นั่นหมายถึงไม่มีหลักฐานยืนยันหรือพิสูจน์ให้ชัดแจ้งแก่ใจได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน จะเชื่อหรือไม่ เป็นสิทธิ์ของผู้อ่าน และหากเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังในครั้งนี้ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ หรือรบกวนจิตใจของท่าน ผมต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ขอบคุณครับ”
ตามทางเดินของโรงพยาบาลคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนกับทุกครั้งที่ได้มาเยือน ผมมองหาร้านกาแฟที่จำได้ลางๆว่าเคยมานั่งกินกับเพื่อนเมื่อหลายเดือนก่อน โดยที่ตัวเองก็จำได้ไม่ชัดเจนมากนักว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของโรงพยาบาลเพราะในนั้นมีร้านกาแฟตั้งอยู่มากกว่าสามร้าน ถ้าผมจำไม่ผิด
ผมเดินออกมาไกลจนเห็นทางเดินที่ทอดตัวไปสู่ที่จอดรถด้านข้างก็รู้ตัวว่าผมหลงเข้าให้แล้ว ผมหันซ้ายหันขวาหาทางเดินไปต่อ
“เฮ้ยๆๆ!”
ผมได้ยินเสียงเรียกดังมาจากทางที่จอดรถเลยหันไปมอง ผมต้องหยีตามองนิดหน่อยเพราะเขาอยู่ห่างไปประมาณหนึ่งเลยแต่เท่าที่เห็นได้ลางๆก็จำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของผมเอง ผมเดินไปหาเพื่อนตามเสียงเรียก เราไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วจึงรู้สึกพอใจกับความบังเอิญในครั้งนั้น
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่า ‘ต๋อง’ กำลังนั่งคุยกับคนอื่นอยู่ผมก้มหัวยกมือไหว้คนตรงหน้าเพราะดูแล้วน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบแน่ๆ ตอนที่เดินมาผมมองไม่เห็นเพราะเขานั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะที่มันมีต้นไม้บังพอดี ผมคิดว่าจะแค่เดินเข้าไปทักแล้วไม่รบกวนเวลาของคนทั้งสามจะดีกว่า
ด้วยความตั้งใจนั้นผมจึงยิ้มให้ทักทายเล็กน้อยตบไหล่เพื่อนเบาๆ “ไว้เจอกันเพื่อน” ผมพูดแค่นั้นแล้วรีบปลีกตัวออกมา แต่เพื่อนกลับดึงแขนผมฉุดให้นั่งลง
“เล่าต่อเลยครับ”
ผมทำตาโตมองเพื่อนในชุดของมูลนิธิที่เพื่อนคนนั้นไปร่วมงานด้วยอยู่(ไม่รู้ว่าเรียกถูกไหมนะครับ) ด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ต้องนั่งต่อเพราะเพื่อนจับข้อมือไว้ไม่ปล่อยไปไหน คุณลุงที่นั่งอยู่บนม้าหินตัวเดียวกันก็เริ่มเล่าเรื่องที่น่าจะผ่านมาได้เกินครึ่งทางแล้วให้ต๋องฟังต่อ
“ฮึก…”
ผมสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงสะอึกของคุณป้าที่นั่งอยู่ติดๆกัน เธอทำท่าเหมือนจะอาเจียนแต่แล้วก็เงียบไป เสียงสะอึกกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆ สุดท้ายน้ำตาของเธอก็หยดลงมาบนโต๊ะม้าหินทำเอาพวกเราทุกคนตกใจทำตัวไม่ถูกเว้นก็แต่ ‘ลุงขวัญ’ ที่มีสีหน้าเรียบเฉยเอื้อมมือไปโอบ ‘ป้าสวย’ ภรรยาด้วยความเป็นห่วง
ผมกับต๋องไม่ได้พูดอะไร เพราะคิดว่าลุงขวัญยังมีอะไรที่ยังอยากเล่าค้างไว้อยู่ เขาถอนหายใจช้าๆ เริ่มเล่าต่อโดยที่ผมยังไม่ได้ฟังเรื่องราวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย เท่าที่จับใจความได้คือ “ป้าสวยมีอาการผีเข้ามาได้พักใหญ่แล้ว” ต๋องมองหน้าผมเหมือนกับพยายามจะถ่ายทอดสิ่งที่คิดอยู่ในใจให้ผมได้ยินผ่านสีหน้า “นี่แหละที่กลูเรียกมลึงมา”
เสียงร้องไห้ของป้าสวยดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับสายตาของคนที่สัญจรผ่านไปมาจนทำให้ผมรู้สึกประหม่าเหมือนกับลุงขวัญที่เริ่มกระวนกระวาย แต่ป้าสวยเหมือนไม่เข้าใจในความรู้สึกของพวกเราเลย เธอร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิมจนสั่นไปทั้งตัว พอเห็นดังนั้นพวกเรายิ่งลนลานไปกันใหญ่
“ลุงกลับดีกว่า”
ลุงขวัญลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินพยายามพยุงป้าสวยให้ลุกขึ้นตามมาทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ ผมจำสายตาคู่นั้นได้ดี ป้าสวยไม่ได้พูดอะไรเลยแต่เธอจ้องตาผมอยู่ตลอด ตาที่แดงจากการร้อไห้อย่างหนักเหมือนพยายามจะบอกอะไรผม มันดูน่าขนลุกในเวลานั้นแต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยปากทักหรือรั้งคนทั้งสองไว้ ปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไปแค่เท่านั้น
“มลึงคิดว่าไง” เพื่อนที่ไม่ได้พบกันนานถามเหมือนเราไม่เคยได้ห่างกัน ผมเงียบไม่รู้จะตอบว่าอะไร ไม่รู้แม้แต่ว่าเรื่องของเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่ ต๋องคนสังเกตได้จึงเป็นฝ่ายเล่าให้ผมฟังโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากขอ
ใจความเท่าที่รู้คือคุณลุงคุณป้าทั้งสองคนนั้นมีอาชีพขายโลงศพ เลยมีโอกาสได้มารู้จักกับต๋องที่ไปทำงานอาสาสมัครได้อย่างไรไม่รู้ผมก็ยังไม่เคยถามเพื่อนเหมือนกัน เอาเป็นว่าเขารู้จักกัน ผมคิดแค่นั้น
อาจเพราะด้วยความเป็นเด็กลุงป้าทั้งสองจึงเอ็นดูต๋องชวนคุยทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อนผมเองก็อัธยาศัยดีเลยคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง จนวันหนึ่งป้าสวยก็เกิดอาการผิดปกติที่ลุงขวัญเชื่อว่าเกิดมาจากอาการผีเข้าต่อหน้าต่อตาของต๋อง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ลุงขวัญเริ่มมาปรึกษาเพื่อนของผมเพราะคิดว่าคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงนี้น่าจะพอรู้จักคนที่ช่วยได้ หรือไม่ก็เคยพบเจอเรื่องราวประมาณนี้มาบ้าง
แล้วความบังเอิญก็ทำให้พวกเราได้มาพบกัน สรุปแล้วก็คือต๋องไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าผมเลยแค่รู้ก่อนเท่านั้นมันเลยไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แต่มันก็เท่านั้นอีกนั่นแหละ เพราะผมคงไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอะไรด้วยอีก หากว่าคืนนั้นต๋องมันไม่ตามลุงป้าไปที่ร้านของทั้งสองคน แล้วบอกให้มาคุยกับผมอีกครั้ง
น่าจะราวๆสัปดาห์หรือสองสัปดาห์หลังจากนั้น ผมได้รับโทรศัพท์จากต๋องด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆในการหาเรื่องหาราวมาให้ผมซึ่งเป็นนิสัยห่ามๆของเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วข้อดีของมันคือความจริงใจที่มีมากจนเกินไปนี่แหละ
“ว่างวันไหน กลูไปรับ” นั่นคือสิ่งที่ต๋องพูดกับผมทันทีที่ทักทายกันเสร็จ ผมถอนหายใจโวยวายมันไปชุดหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ใส่ใจแต่อย่างใด หลังจากเถียงกับเพื่อนรักอยู่นานก็พบว่าไม่มีหนทางให้ผมปฏิเสธเพราะต๋องได้ไปรับป้ากับทางลุงขวัญไว้แล้วว่า ‘ผมจะไป’
วันนั้นเป็นช่วงเย็นท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มแล้วเพราะบ้านของลุงขวัญอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงแต่ก็เป็นอำเภอรอบนอกจึงไม่ไกลจากตัวเมืองของจังหวัดที่ผมอยู่มากนัก ผมเดินเข้าไปในบ้านที่ดูใหญ่โตกว่าที่คิดไว้มาก
พื้นที่หน้าบ้านแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือส่วนที่มีรั้วเหล็กกั้นเอาไว้นั่นคือส่วนที่เป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัย ถัดมาทางด้านขวาเป็นบ้านปูนที่รายละเอียดน้อยกว่าข้างในมีโลงศพหาหลายขนาดหลายหลายลวดลายวางตั้งอยู่มีทั้งแบบที่หุ้มพลาสติกและไม่หุ้ม
“ขออนุญาตนั่งคุยกันตรงนี้นะลูก” ลุงขวัญยิ้มต้อนรับเมื่อพวกผมเดินมาจากที่จอดรถซึ่งห่างออกไปอีกนิด สาเหตุที่ลุงแกพูดอย่างนั้นเพราะเขาไม่ได้เชิญเราเข้าไปในบ้านตั้งแต่ครั้งแรก แต่ขอให้เรานั่งคุยกันตรงโต๊ะไม้ที่วางอยู่หน้าร้านของลุงขวัญเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยในเวลานี้ทำให้แกจำเป็นต้องเฝ้าหน้าร้านไปพร้อมๆกับการพูดคุยกับพวกเรา
“บ้านหลังใหญ่อยู่กันแค่สองคนเหรอครับ” ผมชวนคุยเพื่อให้ตัวเองรู้สึกไม่ประหม่า ลุงขวัญหัวเราะพร้อมบอกว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด บ้านหลังนี้มีประชากรทั้งหมดห้าคน ได้แก่ ลุงขวัญ ป้าสวย ลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายอีกหนึ่งคน ผมถามต่อไปอีกว่าพวกเขาไปไหนกันหมด ผมคิดแค่ว่ามันคือคำถามตามมารยาทแต่เมื่อลุงขวัญได้ยิน เขากลับมีสีหน้าที่ดูหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไปถึงกับสะอึกไม่กล้าพูดอะไรต่อ ลุงขวัญถอนหายใจเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด แล้วเรื่องทุกอย่างก็ค่อยๆถูกเล่าโดยละเอียดอีกครั้งผ่านเจ้าของร้านขายโลงศพที่ชื่อว่า ลุงขวัญ
ระหว่างที่นั่งฟังเรามีเพียงน้ำคนละแก้ววางอยู่บนโต๊ะ แม้ท้องจะรู้สึกหิวแต่ก็ตั้งใจฟังใจความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ ลุงขวัญเป็นเจ้าของร้านของโลงศพนี้มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เรียกได้ว่าสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากกิจการนี้เลยก็ว่าได้ เขายึดอาชีพนี้มาโดยตลอดจนแต่งงานมีภรรยามีครอบครัว ลูกชายเองจริงๆแล้วก็ได้เรียนจนสูง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกลับมาทำกิจการของที่บ้านต่อโดยมีร้านอาหารเล็กๆของตัวเองอยู่อีกที่หนึ่งประกอบไปด้วย
ลุงขวัญไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่เพราะตลอดเวลาที่ทำอาชีพนี้มามันมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้เข้ามาโดยตลอดจนไม่กล้าที่จะปักธงว่าเรื่องไหนคือสาเหตุกันแน่
ผมไม่แน่ใจว่าในสมัยนี้จะยังพอมีคนเคยได้ยินเรื่องเล่าหรือความเชื่อเกี่ยวกับโลงศพอยู่บ้างไหม เรื่องหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆแล้วมาได้ยินซ้ำอีกครั้งจากปากของลุงขวัญคือ ‘โลงทุกโลงมีเจ้าของ’
คำว่า ‘เจ้าของ’ ไม่ได้หมายถึงคนที่มาซื้อหรือมาจ่ายเงินจองไว้ แต่มันคือความเชื่อว่าโลงโลงหนึ่งเมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้วถ้าไม่ใช่เจ้าของ หรือ คนที่จะมานอนในโลงนี้จริงๆ โลงนั้นจะขายไม่ออก หลายต่อหลายครั้งที่ลุงขวัญบอกว่าได้ยินเสียง ‘โลงลั่น’ เสียงของมันคล้ายกับเสียงไม้แตก(ถ้าใครเคยได้ยินหรือเคยฟันไม้อาจจะพอนึกออก) บางครั้งก็เป็นเสียงเหมือนกับโลงที่ว่านั้นร่วงลงจากชั้นวางเหมือนของตกอะไรประมาณนั้น ลุงขวัญบอกว่าถ้าได้ยินเสียงพวกนี้จะพอรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะขายโลงออก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะกับเจ้าของร้านคนนี้แต่น่าจะเกิดขึ้นกับใครหลายๆคนที่ประกอบอาชีพนี้(ไม่ใช่ทุกคน) เพราะลุงขวัญเองก็ได้ยินมาจากอาจารย์ที่สอนการประกอบโลงให้กับลุงขวัญมาอีกทีหนึ่งก่อนที่จะได้ประสบด้วยตัวเอง
“เป็นไปได้ไหมว่าพวกที่มารอโลงเขาเข้ามารบกวนคนในบ้าน” นั่นคือข้อสันนิษฐานแรกของลุงขวัญเพราะมีครั้งหนึ่งแกไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงที่ดังมาจากสินค้าในร้าน แต่ลุงขวัญได้เห็นวิญญาณดวงหนึ่งมาเดินวนไปวนมาอยู่ที่โลงไม้ในร้านอยู่หลายครั้งคือในชุดเดิมๆใบหน้าเดิมๆ จนผ่านไปสัปดาห์หนึ่งโลงนั้นก็ถูกซื้อไปจริงๆ ลุงไม่ได้ตามไปดูในงานว่าใบหน้าเหมือนกับที่แกเห็นหรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งที่แกคิดคือ วิญญาณพวกนั้นเข้ามาในบ้านของแกได้งั้นเหรอ?
ลุงขวัญเล่าต่อถึงสาเหตุอื่นๆที่แกพอจะนึกออกในตอนนั้น เรื่องของความเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากมากและหลากหลาย แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่บางครั้งก็เชื่อไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ ผมไม่แน่ใจว่าผมเคยได้ยินมาหรือเปล่าแต่มันคุ้นๆหูจนมาได้ยินลุงขวัญเล่าให้ฟังอีกครั้ง