กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกนะคะ หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ปี 54 เราเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เราพักอยู่หอในตั้งแต่ ปี 1 จนจบปี 4 สาเหตุหลักๆ มีอยู่ 2 อย่างที่ทำให้เราต้องพักหอใน คือ หนึ่งฐานะทางบ้านเราไม่ได้ดีพอที่จะสามารถออกไปใช้ชีวิตที่หอนอกได้ และสอง เนื่องจากเราไม่เคยห่างบ้านเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ต้องลองออกไปใช้ชีวิตคนเดียว ครอบครัวเลยเป็นห่วง เป็นพิเศษ ( ย้ำว่า เป็นพิเศษ ) เพราะกลัวว่า การที่เราอยู่หอนอกมันจะทำให้ชีวิตเรามีอิสระมากจนเกินไป ซึ่งประเด็นหลักคือ ครอบครัวกลัวเราเรียนไม่จบและใจแตก ซะก่อน จึงเป็นเหตุให้ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในหอในแต่โดยดี
พอเข้าพักในหอในวันแรกนี่แทบร้องไห้เลย จริงๆคือเราก็ไม่ได้ลูกคุณหนูอะไรขนาดนั้นหรอก พ่อแม่ก็เป็นชาวสวน ชาวไร่ทั่วๆไป แต่ด้วยฟิวส์และบรรยากาศโดยรอบนั้น มันไม่ค่อยโอเค เพราะหอก็ค่อนข้างเก่า ดูแล้วก็วังเวง วิเวก ชอบกล ถึงแม้จะมีสมาชิกในห้องมากถึง 4 คนก็เถอะ แต่ก็มิได้ทำให้เราอุ่นใจเลยแม้แต่น้อย
ห้องที่เราพักอยู่มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 4 คน ส่วนเฟอร์นิเจอร์ในห้อง (เรียกซะหรู) ก็มีเตียง 2 ชั้น ตู้เสื้อผ้าไม้แบบที่มีบานเปิด 1 บาน โต๊ะอ่านหนังสือที่เป็นโต๊ะไม้เรียงต่อกัน 4 ช่อง และก็มีชั้นวางของเป็นไม้ มี 4 ช่อง สำหรับใส่ของสมาชิกในห้อง ซึ่งชั้นเนี่ยจะวางอยู่ทางประตูก่อนออกจากห้อง ห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำรวม ตอนเข้าอยู่แรกๆ 6 โมง ทุ่มนึงก็ต้องรีบอาบน้ำแล้ว เพราะดึกกว่านั้นไม่ไหวค่ะ กลัวมีห้องข้างๆมาอาบเป็นเพื่อน เรียกได้ว่าตลอด 4 ปี เนี่ย อึดและทนสุดๆ แต่ถือเป็นประสบการณ์ที่ตลอดชีวิตนี้คงหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว
บรรยายมาซะยืดยาว คุณผู้อ่านทั้งหลายคงจะงงว่า เรานี่เริ่มสาธยายจนไม่รู้จะไปทางไหน ใช่ไหมคะ พอนึกถึงตอนอยู่หอในฟิวส์คิดถึงมันก็พาไปค่ะ เลยโม้เยอะไปหน่อย
เข้าเรื่องเลยล่ะกันค่ะ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เรื่องนี้เราจำได้ขึ้นใจเลยค่ะ ปิดเทอมช่วงซัมเมอร์ตอนปี 2 จะขึ้น ปี 3 เราถูกเนรเทศออกจากหอใน สาเหตุเนี่ยจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่า เพราะอะไรเราจึงต้องย้ายออกจากหอ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า จะมีนักกีฬาเข้ามาพักที่หอใน หรือจะมีการปรับปรุงหอ รู้แต่ว่าต้องขนของออกจากห้องพักไปเก็บรวมไว้ที่ห้องกลาง คล้ายๆห้องที่เอาไว้ประชุมหอ และต้องย้ายชีวิตตัวเองไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว พอเปิดเทอมก็ขนของกลับเข้ามาอยู่ตามเดิม ปิดเทอมนั้นเราไม่ได้กลับบ้านเพราะสอนพิเศษหาเงินใช้เปิดเทอม คือตอนนั้นคิดหนักมาก ตรูจะไปอยู่ที่ไหนดีว่ะ เพื่อนสนิทก็กลับบ้านกันหมด เพื่อนที่อยู่ก็ไม่ค่อยสนิท ซึ่งเอาจริงๆ เราเหลือเวลาสอนอีกแค่ 3 วันก็จะปิดคอร์สแต่ก็ต้องออกจากที่พัก ตามนโยบายของเบื้องบน สุดท้ายไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร แต่ด้วยความที่แต้มบุญยังสูงอยู่บ้าง จึงมีเพื่อนที่ให้ที่พักพิงอิงอาศัย 555 ใจชื้นขึ้นมาทันที แต่ใครเล่าจะรู้ว่า แต้มบุญครั้งนี้จะนำไปสู่ ประสบการณ์ลึกลับซึ่งทำให้มันกลายเป็นภาพจำ มาจนถึงทุกวันนี้
พอพูดถึงผี หลายๆคนคงเป็นเหมือนกัน กับอีคนประเภทที่ว่า แม่เนี่ยต้องไปยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม คือกลัวจนขึ้นสมอง บ้านชั้น 2 ที่เป็นไม้เนี่ย ถ้าไม่จำเป็น ตรูไม่ขึ้นจ้า ไม่เด็ดขาด 555 และพอเวลาอยู่บ้านคนเดียวก็จะชอบมโนไปต่างๆนานา ว่า เฮ้ย ! เสียงใครเดินบนบ้านว่ะ เสียงไม้ดังอีกแล้วว่ะ อะไรแบบนี้อยู่เป็นประจำ ไฟดับเมื่อไหร่เป็นต้องกรี๊ด วิ่งวนไปจ้า จะชนอะไรก็ช่างมัน เพราะไม่ชอบความมืด กลัวว่าพอนั่งนิ่งๆจะมีคนมาจับแขน จับขา สรุปคือ กลัวแบบโคตรๆ 5555 แต่มันมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนที่กลัวผีขึ้นสมองกลายพันธุ์ ซึ่งจุดเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยายเราเสีย เราเริ่มไม่กลัว และกล้าแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงการได้ยิน ได้สัมผัสกับอะไรที่มากขึ้นเรื่อย ๆ คือจริงๆจุดนี้มันก็พอจะมีรายละเอียดอยู่บ้างแต่เอาเป็นว่า เราจะยังไม่ลงรายละเอียดหากมีโอกาสไว้จะมาเล่าให้ฟังวันหลังจ้า
เอาเป็นว่ากลับมาพูดถึงแต้มบุญของเราต่อดีกว่า ที่นอนใหม่ของเรานั่นก็คือห้องของเพื่อนสาขาเนี่ยแหละ คือหอนี้เราก็เคยไปอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยไปนอนนะมีแต่ไปนับเลขกันเป็นแก๊งใหญ่ๆ เพื่อนเจ้าของห้องก็ค่อนข้างสนิทกันแต่อยู่คนละกลุ่ม คือหอก็หรูพอสมควร มีระบบคีย์การ์ด เข้า-ออก ปลอดภัย มียามตลอด 24 ชั่วโมง หอนี้อยู่ฝั่งกำแพงมหาลัยทางหลังมอ แต่เลี้ยวเข้าซอยไปนิดนึง บรรยากาศโดยรวมถือว่า โอเค ห้องของเพื่อนที่อยู่นั้น อยู่ชั้น 4 ไม่มีลิฟท์ หลังห้องเป็นป่า แต่ก็ถือว่าไม่ได้น่ากลัวอะไร คือพูดง่ายๆ มันดีต่อใจสำหรับผู้ลี้ภัยอย่างเรา ซึ่งมันดีขึ้นไปอีกเพราะเพื่อนเราและแฟน ไม่อยู่ห้องจ้า (เพื่อนเป็น ผญ + แฟนเพื่อน เป็นทอม) เพื่อนบอกเราตามสบายได้เลยเพราะเพื่อนจะกลับบ้านที่ ตจว. ส่วนแฟนเพื่อนก็ไปออกค่ายอาสา อะไรมันจะดีปานนั้น ชีวิตลงตัวสุด ๆ เราเนี่ยได้แต่ขอบคุณ ขอบคุณและขอบคุณ
เราขนของเข้าหอตอนประมาณ 9 โมงเช้า หลังจากนั้นก็ออกไปสอนพิเศษ ภาพในห้องเป็นดังนี้นะคะท่านผู้อ่าน เปิดประตูเข้าไป ฝั่งตรงข้ามกับประตูคือ ห้องน้ำ ขวามือหลังจากเปิดประตูเข้าไปเป็นเตียงนอน 6 ฟุต ทีวี ตู้เสื้อผ้าอยู่ฝั่งซ้ายของประตู ตู้เย็นอยู่เยื้องๆกับประตูหลังห้อง พอเปิดประตูออกก็จะเป็นระเบียงยื่นออกไป หลังห้องเป็นป่า แต่ไม่สูงมาก ประตูหลังห้องเป็นบานเลื่อนกระจกและมีผ้าม่านผืนใหญ่สีน้ำตาลคลุมอยู่ ตรงกลางห้องโล่ง มีของเพื่อนวางไว้ที่พื้นบ้างนิดๆหน่อยๆ เรากลับหออีกทีก็ 5 โมงเย็น เราซื้อกับข้าวมาเตรียมไว้เลย เพราะขี้เกียจออกไปอีก กินข้าวเสร็จ เล่นเฟสไป ดูทีวีไป พอสี่ทุ่มเราก็เตรียมสอนเนื้อหาวันพรุ่งนี้ คือชีวิตดำเนินไปอย่างสวยๆ ดูเหมือนว่าไม่มีอะไร เที่ยงคืนกว่าๆเราก็ไม่ไหว ขอนอนก่อนล่ะกัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ปกติก็เป็นคนที่ปิดไฟนอนอยู่แล้ว มาห้องเพื่อนก็ปิดจ้า ไหว้พระสามครั้ง ไม่มีสวดมนต์ ไม่มีการขออนุญาตใครใดๆทั้งสิ้น เพราะเจ้าของห้องเขาอนุญาตเราแล้ว เราก็ถือว่าไม่ต้องมีอะไรจะขออีก แน่นอนว่าเราไม่ได้หลับในทันทีเพราะไม่ชินกับการนอนแปลกที่ ก็เลยพยายามข่มตานอน นับแกะไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หลับไป
แต่พอเราหลับไปได้ไม่นาน ก็งัวเงียตื่นขึ้นมา เรารู้สึกเหมือนกับว่า มีอะไรมาวิ่งอยู่ในห้อง ภาพที่เราเห็นแบบลางๆคือลางมากๆ หลังจากที่สายตาปรับโฟกัสในความมืดได้แล้ว เราเห็นเป็นเด็กผู้ชายน่าจะมีอายุไม่เกิน 8-9 ปี วิ่งไปวิ่งมาและไม่ได้วิ่งธรรมดาจ้า วิ่งทะลุประตูกระจกหลังห้องแล้ว เข้ามาภายในห้อง ไม่พอวิ่งทะลุประตูหน้าห้องออกไป แล้วก็วิ่งแบบนี้ไปมา ๆ เอาแล้วววว !!! โดนเข้าแล้วไง ตอนนั้นคือใจเริ่มเต้นแรงแล้ว สุดท้ายก็พนมมือขึ้นแล้วพยายามพูดออกไป แต่ไม่รู้ว่าน้องเขาจะได้ยินไหม แต่ต้องพูดแล้วงานนี้ ก็บอกเขาไปว่า เรามาขออาศัยอยู่แค่ 3 วันนะ ไม่ได้ตั้งใจมารบกวน ขออนุญาตเพื่อนแล้ว ขอโทษหากการมาของเราไม่ได้บอกกล่าวเขาให้รู้ เราไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ หลังจากที่เด็กคนนั้นวิ่งอยู่ประมาณ สี่ห้ารอบได้ เขาก็หายไปเลย ตอนวิ่งออกจากประตูหลังห้องไป สักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เราก็โล่ง คิดในแง่ดี เขาคงอยากได้คำบอกกล่าวจากเรา
หลังจากนั้นเราก็พยายามข่มตานอนอีกครั้ง ตอนแรกเรานอนหันหน้าไปทางประตูหลังห้อง คราวนี้ไม่เอาแล้ว ลองหันหน้าเข้ากำแพงดีกว่า เราเขยิบเข้าไปใกล้กำแพงมาก ขึ้นจนเกือบชิด แต่เราไม่ได้นอนติดกำแพงเลยนะ เพราะมีหมอนข้างกั้นเรากับกำแพงไว้อีกที เราดึงผ้าขึ้นมาห่มหลังจากตอนแรกไม่ได้ห่ม นอนตะแคงหันหลังให้ประตูกระจก เอาว่ะ คงไม่มีอะไรอีกแล้วแหละคืนนี้ คงได้นอนจริงๆแล้ว แต่ความคิดเราคงดังไป ดังจนทำให้ใครบางคนไม่ยอมให้เรานอน และดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะไม่ยอมง่ายๆ เหมือนตอนที่เราบอกน้องผู้ชาย จริงๆค่ะ
เจอดีที่หลัง มอ (ปิดเทอมนั้นที่ฉันไม่เคยลืม)
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ปี 54 เราเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เราพักอยู่หอในตั้งแต่ ปี 1 จนจบปี 4 สาเหตุหลักๆ มีอยู่ 2 อย่างที่ทำให้เราต้องพักหอใน คือ หนึ่งฐานะทางบ้านเราไม่ได้ดีพอที่จะสามารถออกไปใช้ชีวิตที่หอนอกได้ และสอง เนื่องจากเราไม่เคยห่างบ้านเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ต้องลองออกไปใช้ชีวิตคนเดียว ครอบครัวเลยเป็นห่วง เป็นพิเศษ ( ย้ำว่า เป็นพิเศษ ) เพราะกลัวว่า การที่เราอยู่หอนอกมันจะทำให้ชีวิตเรามีอิสระมากจนเกินไป ซึ่งประเด็นหลักคือ ครอบครัวกลัวเราเรียนไม่จบและใจแตก ซะก่อน จึงเป็นเหตุให้ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในหอในแต่โดยดี
พอเข้าพักในหอในวันแรกนี่แทบร้องไห้เลย จริงๆคือเราก็ไม่ได้ลูกคุณหนูอะไรขนาดนั้นหรอก พ่อแม่ก็เป็นชาวสวน ชาวไร่ทั่วๆไป แต่ด้วยฟิวส์และบรรยากาศโดยรอบนั้น มันไม่ค่อยโอเค เพราะหอก็ค่อนข้างเก่า ดูแล้วก็วังเวง วิเวก ชอบกล ถึงแม้จะมีสมาชิกในห้องมากถึง 4 คนก็เถอะ แต่ก็มิได้ทำให้เราอุ่นใจเลยแม้แต่น้อย
ห้องที่เราพักอยู่มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 4 คน ส่วนเฟอร์นิเจอร์ในห้อง (เรียกซะหรู) ก็มีเตียง 2 ชั้น ตู้เสื้อผ้าไม้แบบที่มีบานเปิด 1 บาน โต๊ะอ่านหนังสือที่เป็นโต๊ะไม้เรียงต่อกัน 4 ช่อง และก็มีชั้นวางของเป็นไม้ มี 4 ช่อง สำหรับใส่ของสมาชิกในห้อง ซึ่งชั้นเนี่ยจะวางอยู่ทางประตูก่อนออกจากห้อง ห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำรวม ตอนเข้าอยู่แรกๆ 6 โมง ทุ่มนึงก็ต้องรีบอาบน้ำแล้ว เพราะดึกกว่านั้นไม่ไหวค่ะ กลัวมีห้องข้างๆมาอาบเป็นเพื่อน เรียกได้ว่าตลอด 4 ปี เนี่ย อึดและทนสุดๆ แต่ถือเป็นประสบการณ์ที่ตลอดชีวิตนี้คงหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว
บรรยายมาซะยืดยาว คุณผู้อ่านทั้งหลายคงจะงงว่า เรานี่เริ่มสาธยายจนไม่รู้จะไปทางไหน ใช่ไหมคะ พอนึกถึงตอนอยู่หอในฟิวส์คิดถึงมันก็พาไปค่ะ เลยโม้เยอะไปหน่อย
เข้าเรื่องเลยล่ะกันค่ะ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เรื่องนี้เราจำได้ขึ้นใจเลยค่ะ ปิดเทอมช่วงซัมเมอร์ตอนปี 2 จะขึ้น ปี 3 เราถูกเนรเทศออกจากหอใน สาเหตุเนี่ยจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ว่า เพราะอะไรเราจึงต้องย้ายออกจากหอ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า จะมีนักกีฬาเข้ามาพักที่หอใน หรือจะมีการปรับปรุงหอ รู้แต่ว่าต้องขนของออกจากห้องพักไปเก็บรวมไว้ที่ห้องกลาง คล้ายๆห้องที่เอาไว้ประชุมหอ และต้องย้ายชีวิตตัวเองไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว พอเปิดเทอมก็ขนของกลับเข้ามาอยู่ตามเดิม ปิดเทอมนั้นเราไม่ได้กลับบ้านเพราะสอนพิเศษหาเงินใช้เปิดเทอม คือตอนนั้นคิดหนักมาก ตรูจะไปอยู่ที่ไหนดีว่ะ เพื่อนสนิทก็กลับบ้านกันหมด เพื่อนที่อยู่ก็ไม่ค่อยสนิท ซึ่งเอาจริงๆ เราเหลือเวลาสอนอีกแค่ 3 วันก็จะปิดคอร์สแต่ก็ต้องออกจากที่พัก ตามนโยบายของเบื้องบน สุดท้ายไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร แต่ด้วยความที่แต้มบุญยังสูงอยู่บ้าง จึงมีเพื่อนที่ให้ที่พักพิงอิงอาศัย 555 ใจชื้นขึ้นมาทันที แต่ใครเล่าจะรู้ว่า แต้มบุญครั้งนี้จะนำไปสู่ ประสบการณ์ลึกลับซึ่งทำให้มันกลายเป็นภาพจำ มาจนถึงทุกวันนี้
พอพูดถึงผี หลายๆคนคงเป็นเหมือนกัน กับอีคนประเภทที่ว่า แม่เนี่ยต้องไปยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม คือกลัวจนขึ้นสมอง บ้านชั้น 2 ที่เป็นไม้เนี่ย ถ้าไม่จำเป็น ตรูไม่ขึ้นจ้า ไม่เด็ดขาด 555 และพอเวลาอยู่บ้านคนเดียวก็จะชอบมโนไปต่างๆนานา ว่า เฮ้ย ! เสียงใครเดินบนบ้านว่ะ เสียงไม้ดังอีกแล้วว่ะ อะไรแบบนี้อยู่เป็นประจำ ไฟดับเมื่อไหร่เป็นต้องกรี๊ด วิ่งวนไปจ้า จะชนอะไรก็ช่างมัน เพราะไม่ชอบความมืด กลัวว่าพอนั่งนิ่งๆจะมีคนมาจับแขน จับขา สรุปคือ กลัวแบบโคตรๆ 5555 แต่มันมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนที่กลัวผีขึ้นสมองกลายพันธุ์ ซึ่งจุดเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยายเราเสีย เราเริ่มไม่กลัว และกล้าแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงการได้ยิน ได้สัมผัสกับอะไรที่มากขึ้นเรื่อย ๆ คือจริงๆจุดนี้มันก็พอจะมีรายละเอียดอยู่บ้างแต่เอาเป็นว่า เราจะยังไม่ลงรายละเอียดหากมีโอกาสไว้จะมาเล่าให้ฟังวันหลังจ้า
เอาเป็นว่ากลับมาพูดถึงแต้มบุญของเราต่อดีกว่า ที่นอนใหม่ของเรานั่นก็คือห้องของเพื่อนสาขาเนี่ยแหละ คือหอนี้เราก็เคยไปอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยไปนอนนะมีแต่ไปนับเลขกันเป็นแก๊งใหญ่ๆ เพื่อนเจ้าของห้องก็ค่อนข้างสนิทกันแต่อยู่คนละกลุ่ม คือหอก็หรูพอสมควร มีระบบคีย์การ์ด เข้า-ออก ปลอดภัย มียามตลอด 24 ชั่วโมง หอนี้อยู่ฝั่งกำแพงมหาลัยทางหลังมอ แต่เลี้ยวเข้าซอยไปนิดนึง บรรยากาศโดยรวมถือว่า โอเค ห้องของเพื่อนที่อยู่นั้น อยู่ชั้น 4 ไม่มีลิฟท์ หลังห้องเป็นป่า แต่ก็ถือว่าไม่ได้น่ากลัวอะไร คือพูดง่ายๆ มันดีต่อใจสำหรับผู้ลี้ภัยอย่างเรา ซึ่งมันดีขึ้นไปอีกเพราะเพื่อนเราและแฟน ไม่อยู่ห้องจ้า (เพื่อนเป็น ผญ + แฟนเพื่อน เป็นทอม) เพื่อนบอกเราตามสบายได้เลยเพราะเพื่อนจะกลับบ้านที่ ตจว. ส่วนแฟนเพื่อนก็ไปออกค่ายอาสา อะไรมันจะดีปานนั้น ชีวิตลงตัวสุด ๆ เราเนี่ยได้แต่ขอบคุณ ขอบคุณและขอบคุณ
เราขนของเข้าหอตอนประมาณ 9 โมงเช้า หลังจากนั้นก็ออกไปสอนพิเศษ ภาพในห้องเป็นดังนี้นะคะท่านผู้อ่าน เปิดประตูเข้าไป ฝั่งตรงข้ามกับประตูคือ ห้องน้ำ ขวามือหลังจากเปิดประตูเข้าไปเป็นเตียงนอน 6 ฟุต ทีวี ตู้เสื้อผ้าอยู่ฝั่งซ้ายของประตู ตู้เย็นอยู่เยื้องๆกับประตูหลังห้อง พอเปิดประตูออกก็จะเป็นระเบียงยื่นออกไป หลังห้องเป็นป่า แต่ไม่สูงมาก ประตูหลังห้องเป็นบานเลื่อนกระจกและมีผ้าม่านผืนใหญ่สีน้ำตาลคลุมอยู่ ตรงกลางห้องโล่ง มีของเพื่อนวางไว้ที่พื้นบ้างนิดๆหน่อยๆ เรากลับหออีกทีก็ 5 โมงเย็น เราซื้อกับข้าวมาเตรียมไว้เลย เพราะขี้เกียจออกไปอีก กินข้าวเสร็จ เล่นเฟสไป ดูทีวีไป พอสี่ทุ่มเราก็เตรียมสอนเนื้อหาวันพรุ่งนี้ คือชีวิตดำเนินไปอย่างสวยๆ ดูเหมือนว่าไม่มีอะไร เที่ยงคืนกว่าๆเราก็ไม่ไหว ขอนอนก่อนล่ะกัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ปกติก็เป็นคนที่ปิดไฟนอนอยู่แล้ว มาห้องเพื่อนก็ปิดจ้า ไหว้พระสามครั้ง ไม่มีสวดมนต์ ไม่มีการขออนุญาตใครใดๆทั้งสิ้น เพราะเจ้าของห้องเขาอนุญาตเราแล้ว เราก็ถือว่าไม่ต้องมีอะไรจะขออีก แน่นอนว่าเราไม่ได้หลับในทันทีเพราะไม่ชินกับการนอนแปลกที่ ก็เลยพยายามข่มตานอน นับแกะไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หลับไป
แต่พอเราหลับไปได้ไม่นาน ก็งัวเงียตื่นขึ้นมา เรารู้สึกเหมือนกับว่า มีอะไรมาวิ่งอยู่ในห้อง ภาพที่เราเห็นแบบลางๆคือลางมากๆ หลังจากที่สายตาปรับโฟกัสในความมืดได้แล้ว เราเห็นเป็นเด็กผู้ชายน่าจะมีอายุไม่เกิน 8-9 ปี วิ่งไปวิ่งมาและไม่ได้วิ่งธรรมดาจ้า วิ่งทะลุประตูกระจกหลังห้องแล้ว เข้ามาภายในห้อง ไม่พอวิ่งทะลุประตูหน้าห้องออกไป แล้วก็วิ่งแบบนี้ไปมา ๆ เอาแล้วววว !!! โดนเข้าแล้วไง ตอนนั้นคือใจเริ่มเต้นแรงแล้ว สุดท้ายก็พนมมือขึ้นแล้วพยายามพูดออกไป แต่ไม่รู้ว่าน้องเขาจะได้ยินไหม แต่ต้องพูดแล้วงานนี้ ก็บอกเขาไปว่า เรามาขออาศัยอยู่แค่ 3 วันนะ ไม่ได้ตั้งใจมารบกวน ขออนุญาตเพื่อนแล้ว ขอโทษหากการมาของเราไม่ได้บอกกล่าวเขาให้รู้ เราไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ หลังจากที่เด็กคนนั้นวิ่งอยู่ประมาณ สี่ห้ารอบได้ เขาก็หายไปเลย ตอนวิ่งออกจากประตูหลังห้องไป สักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เราก็โล่ง คิดในแง่ดี เขาคงอยากได้คำบอกกล่าวจากเรา
หลังจากนั้นเราก็พยายามข่มตานอนอีกครั้ง ตอนแรกเรานอนหันหน้าไปทางประตูหลังห้อง คราวนี้ไม่เอาแล้ว ลองหันหน้าเข้ากำแพงดีกว่า เราเขยิบเข้าไปใกล้กำแพงมาก ขึ้นจนเกือบชิด แต่เราไม่ได้นอนติดกำแพงเลยนะ เพราะมีหมอนข้างกั้นเรากับกำแพงไว้อีกที เราดึงผ้าขึ้นมาห่มหลังจากตอนแรกไม่ได้ห่ม นอนตะแคงหันหลังให้ประตูกระจก เอาว่ะ คงไม่มีอะไรอีกแล้วแหละคืนนี้ คงได้นอนจริงๆแล้ว แต่ความคิดเราคงดังไป ดังจนทำให้ใครบางคนไม่ยอมให้เรานอน และดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะไม่ยอมง่ายๆ เหมือนตอนที่เราบอกน้องผู้ชาย จริงๆค่ะ