สวัสดีครับ อีกครั้งที่ผมคงต้องพูดว่า ผมกลับมาแล้ว เพราะว่าห่างหายไปสักพักใหญ่ๆ ที่ไม่ได้มาเล่าอะไรให้ฟังกัน ผมไม่ได้ลืมหรือเลิกเขียนอะไรอย่างที่หลายๆ คนถามเข้ามานะครับ แค่ช่วงนี้ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงมากพอสมควรเลยต้องจัดสรรเวลาเพื่องานหลายๆ ส่วน อย่างไรก็วันนี้มาแล้วนะครับ
หลายต่อหลายครั้งที่คนเรามักจะถกเถียงกันในเรื่องของความเชื่อหรือสิ่งที่เราเชื่อกันว่ามองไม่เห็น เมื่อไม่เห็นก็มักจะคิดและสรุปเอาเองว่าไม่มีอยู่ และเมื่อไหร่ที่มีคนคิดว่าสิ่งนั้นมีอยู่ปรากฏตัวขึ้นมา เป็นปกติที่ทั้งสองฝ่ายจะถกเถียงโจมตีกันอย่างออกรสออกชาติ บุคคลสองประเภทนี้พบได้ทั่วไปในสังคมปัจจุบันจนเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาไม่ค่อยจะได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องราวเหล่านี้สักเท่าใดนัก
แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับเป็นกลุ่มคนที่…. เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ไสยศาสตร์ ความเชื่อ ภูตผี วิญญาณ สิ่งลี้ลับต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกันตามตรงว่ามันไม่เคยหายไปจากสังคมไทยเลย ถึงไม่เชื่อแต่ก็ต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง และศาสตร์หนึ่งแขนงที่ยากจะพิสูจน์ให้กระจ่างใจได้ แต่กลับเป็นที่นิยมอยู่ในอันดับสูงสุดของเรื่องราวเหล่านี้คงจะหนีไม่พ้น ศาสตร์แห่งดวงชะตา
เมื่อนานมาแล้วผมเคยเล่าเรื่องหนึ่งไว้เกี่ยวกับบุคคลที่เสียรู้ให้กับคนเจ้าเล่ห์ที่ใช้ศาสตร์เหล่านี้เพื่อทำมาหากินและผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งผมก็เคยพูดไว้ในวันนั้นว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ผมพูดไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้คาดคิดเอาไว้ล่วงหน้าเลยว่า วันนี้จะได้กลับมาเล่าเรื่องราวในแง่มุมนั้นอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
เรื่องนี้ย้อนกลับไปในช่วงที่ผมยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทุกอย่างเริ่มต้นคล้ายกับหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา ผมได้รับสายโทรศัพท์จากคนรู้จักคนหนึ่ง เราคุยกันอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่ได้สาระอันใดกลับมา นอกจากถามไถ่ความเป็นอยู่เท่านั้น
“ตกลงว่าที่โทรมานี่มีอะไรรึเปล่า” ผมที่เริ่มเบื่อกับการสนทนาจึงถามออกไปตรงๆ
“อืม จริงๆ ก็มีแหละ”
ผมไม่มีโอกาสได้ฟังรายละเอียดใดๆ ผ่านการโทรครั้งนั้น เพราะทางนั้นเป็นคนยืนกรานกับผมเองว่าจะขอมาพบด้วยตัวเอง ผมก็ไม่ขัดเพราะค่อนข้างจะสนิทพอสมควรมาตั้งแต่เด็กๆ
คืนนั้นผมใช้ชีวิตตามปกติเหมือนอย่างเคย นั่งอ่านหนังสือ หาเพลงฟังตามอัธยาศัย แต่แล้วหูของผมก็ได้ยินเสียงแปลกปลอมที่ไม่ควรจะมีอยู่ในห้อง
‘เมิงได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ป่าววะ’ ผมส่งข้อความผ่านไลน์ไปหาเพื่อนที่อยู่หอพักเดียวกันแต่ถัดลงไปหนึ่งชั้น
‘กวนตรีนละ อย่ามาหลอกให้ตูกลัว’
ผมได้แต่นั่งมองข้อความของเพื่อนที่ไม่มีวี่แววว่าจะโกหกแต่อย่างใด ผมปิดเพลงให้เงียบลง หลับตาตั้งใจฟังเสียงที่ผิดแผกนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อตั้งใจฟังให้ดีสิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงของเครื่องปรับอากาศภายในห้องเท่านั้น เมื่อไม่สามารถหาที่มาของเสียงนั้นได้ ผมจึงแค่เบนความสนใจของตัวเองออกด้วยการกลับไปอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตามเดิม
หนังสือเล่มนั้นสนุกมากเท่าที่ผมจำได้ ผมอ่านเพลินจนลืมดูนาฬิกาปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนเกือบตีสองถ้าผมจำไม่ผิด เสียงเพลงจากร้านเหล้าใกล้ๆ หอก็เงียบไปแล้ว ถนนที่เคยพลุกพล่านตอนนี้เงียบสนิท นานๆ ครั้งจะมีรถวิ่งผ่านสัญจรไปมาให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เราต้องสนใจขนาดนั้น
ผมปิดไฟในห้องเพื่อเตรียมตัวเข้านอน หนังสือเล่มนั้นถูกวางไว้ข้างๆ หมอนเหมือนกับอีกหลายๆ เล่มที่กองระเกะระกะอยู่ตรงนั้น เพียงเวลาไม่นานผมก็หลับไป คืนนั้นผมไม่ได้ฝันเพราะหลับไม่สนิท ผมรู้สึกไม่สบายตัว รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมออกมาจนต้องถีบเอาผ้านวมที่ใช้ห่มออกจากตัว
แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ต้องรีบลุกไปคว้ามันกลับมาห่มตามเดิม เพราะรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหว ผมปิดเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ ผมคิดเอาเองในใจว่าคงจะเป็นไข้เข้าแล้วในเวลานั้น แต่จะไปหาหมอตอนนี้ก็คงจะไม่ไหว เอาเป็นว่าพยายามข่มตาหลับอีกสักครั้ง เผื่อว่าตอนเช้ามันจะดีขึ้น
ผมหลับได้อีกไม่น่าจะนานเท่าไหร่ก็ถูกปลุกอีกครั้งด้วยความเย็นที่ดูจะมากผิดปกติทั้งที่ปิดเครื่องปรับอากาศไปแล้ว นอกจากนั้นยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ ห้อง
เสียงที่ผมได้ยินนั้นถ้าเป็นใครได้ยินก็คงจะรู้ได้ทันทีเหมือนๆ กัน มันคือเสียงหมาหอนครับ เสียงหอนของมันลากยาวเล็กแหลมแสบแก้วหู แต่สิ่งที่แปลกคือเสียงหอนนั้นมันดังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ผมเงี่ยหูฟังอีกครั้งก็แน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากหน้าห้องนอนของผมเอง
เสียงหอนสลับกับเสียงเห่ายังคงดังอยู่ ความมืดในห้องนอนทำให้มองเห็นแสงไฟที่ลอดผ่านช่องใต้ประตูเข้ามาได้ชัดเจน ผมก้มเอาหน้าแนบพื้นมองลอดช่องว่างของบานประตูนั้นช้าๆ แสงไฟจากทางเดินของหอพักกระทบกับร่างของสัตว์สี่เท้าฉายเป็นเงาอยู่ที่อีกฝั่งของประตูจริง
ความลังเลบังเกิดขึ้นในใจทันทีที่คิดจะเดินไปเปิดประตูบานนั้น แต่ถ้าไม่เปิดออกไปดูหรือไล่มันไปคืนนี้ก็คงจะไม่ได้นอนเป็นแน่ ผมมักง่ายคิดเอาเองว่าห้องตรงข้ามของผมเองจะต้องได้ยินและรำคาญเสียงเห่าหอนของมันเหมือนๆ กับผม คิดได้อย่างนั้นผมจึงนั่งนิ่งๆ รอให้ห้องตรงข้ามมาเปิดประตูไล่หมาตัวนั้นไป
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที ก็ไม่มีทีท่าว่าห้องตรงข้ามจะเปิดประตูออกมาดูแม้แต่น้อย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคืนนี้เพื่อนบ้านของผมอยู่ในห้องหรือเปล่า เสียงเห่าของมันกรรโชกและเริ่มรุนแรงขึ้น พอๆ กับเสียงหอนที่ดังจนเริ่มจะทนไม่ไหว
สายตาที่เริ่มชินกับความมืดของห้องช่วยให้มองอะไรชัดมากขึ้น ผมกลั้นใจเดินไปจับลูกบิดประตูห้องของตัวเองแล้วเปิดมันอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!”
ผมหลุดปากร้องออกมาทันทีที่ได้เห็นเจ้าของเสียงโหยหวนนั้น ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าหมาพันธุ์อะไร แต่ตัวของมันนั้นเล็กมากสูงไม่เกินครึ่งหน้าแข้งของของผม แต่ผมจำหมาตัวนี้ได้มันคือหมาตัวเดียวกันกับที่ผมเห็นมันทุกวันในละแวกหอ มันน่าจะเป็นหมาของร้านค้าสักร้านหนึ่งในย่านนี้
ผมจ้องตากับหมาน้อยตรงหน้าที่เวลานี้ไม่มีท่าทีเป็นมิตรแม้แต่น้อย สายตาของมันจ้องมาที่ผม ปากของมันแยกเขี้ยวยิงฟันขู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวที่เล็กของมันทำให้เสียงของมันเล็กลงไปด้วยแม้จะไม่น่ากลัวเท่าหมาตัวใหญ่แต่ก็ไม่น่าไว้ใจในเวลานี้
ผมพยายามไล่มันด้วยเสียงแต่ก็ไร้ประโยชน์ ผมหยิบเอาไม้กวาดที่พิงอยู่ตรงกำแพงหน้าห้องมาถือไว้ในมือทำท่าเหมือนจะฟาดแต่มันก็ดูจะไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อย มันยังคงขู่และเห่าต่อไปอย่างนั้น น้ำลายของมันยืดจนหยดลงกับพื้นเลอะไปหมด
เสียงของมันเริ่มดังเกินที่ผมจะทนไหวแต่จะให้ฟาดมันลงไปจริงๆ ผมก็ทำไม่ได้เพราะบ้านผมเองก็เลี้ยงทั้งหมาและแมวทำให้ไม่กล้าทำร้ายสัตว์พวกนี้ สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ตอนนั้นคือการโยนไม้กวาดออกไปให้กระทบกับพื้นเกิดเป็นเสียงดังๆ
ผมโยนไม้กวาดในมือลงบนพื้นกระเบื้องของหอพักใกล้ๆ กับที่หมาตัวนั้นยืนมองอยู่ เสียงของไม้กวาดดังก้องไปทั่วทั้งชั้นจนผมเองยังอดสะดุ้งไม่ได้ และหมาตัวนั้นก็เช่นกัน
ทันทีที่ไม้กวาดกระทบพื้นมันก็หยุดขู่และกระโจนเข้าใส่ผมอย่างจัง ด้วยความตกใจผมยกขาหลบมันได้อย่างฉิวเฉียด และเพราะมันได้กระโจนออกมาอย่างนั้นจึงทำให้ผมได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วหมาตัวนี้ไม่ได้ตั้งใจจะขู่ผมเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้กลายเป็นผมที่มายืนอยู่ข้างหลังของหมาตัวนั้น มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาขู่และเห่าพื้นที่ว่างสุดทางเดินของหอพักซึ่งตรงนั้นเป็นบันไดฉุกเฉินแบบที่ต้องปีนลงไปไม่ใช่บันไดหนีไฟอย่างตึกใหญ่ๆ ทำให้ตรงนั้นเป็นส่วนระเบียงกว้างยาวประมาณสองเมตรยื่นออกไปนอกตัวตึก
ประตูของระเบียงตรงนั้นไม่เคยถูกปิดเลยตั้งแต่ที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักนี้ ผมมองตามสายตาของหมาตัวนั้นสูงขึ้นไปจากพื้นประมาณหนึ่ง และสิ่งที่ผมได้เห็นก็คือเงาร่างของผู้ชายคนหนึ่งในท่าทางผอมแห้งยืนอยู่บนขอบระเบียงเล็กๆ นั่นอย่างน่าหวาดเสียว
ภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะมันค่อนข้างโปร่งและดูเลื่อนลอยมากกว่าร่างกายมนุษย์ที่เราเห็นอยู่ทุกๆ วัน สมองของผมยังไม่ทันได้คิดอ่านอะไรเงาร่างนั้นก็ค่อยๆ โน้มตัวเอนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะร่วงลงไปจากชั้นสี่ของหอพักต่อหน้าต่อตา
ผมยืนมองภาพนั้นอย่างประหลาดใจและรู้สึกกลัวขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่ผมจะสะดุ้งตื่นจากภวังค์อีกครั้งด้วยเสียงร้องของหมาตัวเดิม แต่คราวนี้มันไม่ใช่เสียงเห่าหรือหอน แต่เป็นเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนกับเวลาที่โดนรถชนหรือหมาตัวอื่นกัด
หมาตัวนั้นหันหลังกลับวิ่งผ่านผมไปอย่างรวดเร็ว มันวิ่งลงบันไดหอพักอย่างไม่คิดชีวิตจนล้มไปกับบันได ผมที่คิดจะตามไปดูมันก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้ตรงนั้น เพราะเมื่อหันหลังกลับมาสิ่งที่ผมได้เห็นคือเงาร่างของชายคนเดิมที่กำลังก้าวเท้าอย่างช้าๆ ตรงมาทางผม
จากปลายทางเดินฟากหนึ่งของหอพักมาอีกฟากนั้นไม่ได้ไกลกันเลยสักนิดเดียว เพราะชั้นหนึ่งนั้นมีห้องพักเพียงห้าห้องเท่านั้น เงาร่างของชายคนนั้นที่ เดินออกมาจากมุมมืดสุดทางเดินจึงใช้เวลาไม่นานเพื่อมาถึงที่ที่ผมยืนอยู่
ผมยืนนิ่งมองเงาร่างนั้นค่อยๆ เดินผ่านไปด้วยขาที่แข็งจนก้าวไม่ออก ชายคนนั้นเดินผ่านไปโดยไม่ได้สนใจผมแม้สักนิด เขาเดินผ่านทางเดินออกไปยังระเบียงหอพักที่เดิม ขาข้างหนึ่งยกขึ้นเหยียบสองมือจับไว้ที่ขอบปูนยันตัวขึ้นไปยืนเต็มสองขาในท่าทางเหมือนกับเมื่อสักครู่
ร่างนั้นโน้มเอียงไปข้างหน้าแล้วร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่เป็นบึงเล็กๆ ของชุมชน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมกลัวและแปลกใจเพราะอยู่มาตั้งนานก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คืนนั้นผมนอนไม่หลับอีกต่อไป ได้แต่นั่งเปิดหนังดูไปเรื่อยๆ พร้อมกับใส่หูฟังเปิดเสียงให้ดังเพียงพอที่ผมจะไม่ต้องได้ยินอะไรข้างนอกนั่นอีก
ผมคิดเอาไว้ว่าผมจะไม่หลับจนกว่าฟ้าจะสางแต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันก็ทำให้ผมฟุบหลับลงกับโต๊ะเขียนหนังสืออย่างไม่รู้ตัว
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ปลุกผมให้สะดุ้งตื่นขึ้นบนเก้าอี้ตัวเดิม แสงแดดที่ส่องผ่านประตูกระจกเข้ามานั้นบอกผมว่าเป็นเวลาสายแล้วตามความเคยชินที่เห็นในทุกๆ วัน ผมกดรับสายที่โทรเข้ามา บนหน้าจอนั้นแสดงเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นตาเลยสักนิด
“ฮัลโหลครับ ใครครับ” ผมถามทันทีที่รับสาย
“น้อง… ใช่ไหมคะ ป้าเป็นแม่ของพี่มดค่ะ” ปลายสายแนะนำตัว
ผมลุกจากเก้าอี้ไปอาบน้ำในทันที เพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ใกล้จะได้เวลาที่นัดกับพี่มดไว้แล้ว
หลังจากจัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินลงมาที่ด้านล่างของหอพัก ที่ตรงนั้นจะเป็นถนนที่มีตึกสองฝั่งตรงข้ามกัน หน้าตึกคือลานจอดรถของแต่ละหอพักที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแนวยาว
ด้วยความรีบร้อนกลัวว่าจะเลยเวลานัดสิ่งแรกที่ผมทำคือการมองซ้ายมองขวาหารถของคนที่คิดว่าน่าจะเป็นแม่ของพี่มดแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ระหว่างนั้นผมเห็นลุงเจ้าของหอกำลังยืนคุยกับเจ้าของตึกข้างๆ เสียงดัง
“ลุงมีอะไรกันเหรอครับ” ผมถามด้วยความสนิท
“หมาบ้านนี้น่ะซิ หายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้หากันให้วุ่นตั้งแต่เช้ามืด ไปเจออีกทีอยู่โน่น ถนนใหญ่”
เมื่อมองเข้าไปในกลุ่มคนตรงหน้าก็เห็นพี่เจ้าของตึกข้างๆ นั่งกอดหมาตัวที่ว่า ตัวที่ผมรู้ดีว่ามันคือตัวไหน ใช่ครับ มันคือตัวเดียวกับที่โผล่มาขู่ผมเมื่อคืน
สะเดาะเคราะห์...ต่อชะตา
หลายต่อหลายครั้งที่คนเรามักจะถกเถียงกันในเรื่องของความเชื่อหรือสิ่งที่เราเชื่อกันว่ามองไม่เห็น เมื่อไม่เห็นก็มักจะคิดและสรุปเอาเองว่าไม่มีอยู่ และเมื่อไหร่ที่มีคนคิดว่าสิ่งนั้นมีอยู่ปรากฏตัวขึ้นมา เป็นปกติที่ทั้งสองฝ่ายจะถกเถียงโจมตีกันอย่างออกรสออกชาติ บุคคลสองประเภทนี้พบได้ทั่วไปในสังคมปัจจุบันจนเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาไม่ค่อยจะได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องราวเหล่านี้สักเท่าใดนัก
แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับเป็นกลุ่มคนที่…. เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ไสยศาสตร์ ความเชื่อ ภูตผี วิญญาณ สิ่งลี้ลับต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกันตามตรงว่ามันไม่เคยหายไปจากสังคมไทยเลย ถึงไม่เชื่อแต่ก็ต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง และศาสตร์หนึ่งแขนงที่ยากจะพิสูจน์ให้กระจ่างใจได้ แต่กลับเป็นที่นิยมอยู่ในอันดับสูงสุดของเรื่องราวเหล่านี้คงจะหนีไม่พ้น ศาสตร์แห่งดวงชะตา
เมื่อนานมาแล้วผมเคยเล่าเรื่องหนึ่งไว้เกี่ยวกับบุคคลที่เสียรู้ให้กับคนเจ้าเล่ห์ที่ใช้ศาสตร์เหล่านี้เพื่อทำมาหากินและผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งผมก็เคยพูดไว้ในวันนั้นว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ผมพูดไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้คาดคิดเอาไว้ล่วงหน้าเลยว่า วันนี้จะได้กลับมาเล่าเรื่องราวในแง่มุมนั้นอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
เรื่องนี้ย้อนกลับไปในช่วงที่ผมยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทุกอย่างเริ่มต้นคล้ายกับหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา ผมได้รับสายโทรศัพท์จากคนรู้จักคนหนึ่ง เราคุยกันอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่ได้สาระอันใดกลับมา นอกจากถามไถ่ความเป็นอยู่เท่านั้น
“ตกลงว่าที่โทรมานี่มีอะไรรึเปล่า” ผมที่เริ่มเบื่อกับการสนทนาจึงถามออกไปตรงๆ
“อืม จริงๆ ก็มีแหละ”
ผมไม่มีโอกาสได้ฟังรายละเอียดใดๆ ผ่านการโทรครั้งนั้น เพราะทางนั้นเป็นคนยืนกรานกับผมเองว่าจะขอมาพบด้วยตัวเอง ผมก็ไม่ขัดเพราะค่อนข้างจะสนิทพอสมควรมาตั้งแต่เด็กๆ
คืนนั้นผมใช้ชีวิตตามปกติเหมือนอย่างเคย นั่งอ่านหนังสือ หาเพลงฟังตามอัธยาศัย แต่แล้วหูของผมก็ได้ยินเสียงแปลกปลอมที่ไม่ควรจะมีอยู่ในห้อง
‘เมิงได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ป่าววะ’ ผมส่งข้อความผ่านไลน์ไปหาเพื่อนที่อยู่หอพักเดียวกันแต่ถัดลงไปหนึ่งชั้น
‘กวนตรีนละ อย่ามาหลอกให้ตูกลัว’
ผมได้แต่นั่งมองข้อความของเพื่อนที่ไม่มีวี่แววว่าจะโกหกแต่อย่างใด ผมปิดเพลงให้เงียบลง หลับตาตั้งใจฟังเสียงที่ผิดแผกนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อตั้งใจฟังให้ดีสิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงของเครื่องปรับอากาศภายในห้องเท่านั้น เมื่อไม่สามารถหาที่มาของเสียงนั้นได้ ผมจึงแค่เบนความสนใจของตัวเองออกด้วยการกลับไปอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตามเดิม
หนังสือเล่มนั้นสนุกมากเท่าที่ผมจำได้ ผมอ่านเพลินจนลืมดูนาฬิกาปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนเกือบตีสองถ้าผมจำไม่ผิด เสียงเพลงจากร้านเหล้าใกล้ๆ หอก็เงียบไปแล้ว ถนนที่เคยพลุกพล่านตอนนี้เงียบสนิท นานๆ ครั้งจะมีรถวิ่งผ่านสัญจรไปมาให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เราต้องสนใจขนาดนั้น
ผมปิดไฟในห้องเพื่อเตรียมตัวเข้านอน หนังสือเล่มนั้นถูกวางไว้ข้างๆ หมอนเหมือนกับอีกหลายๆ เล่มที่กองระเกะระกะอยู่ตรงนั้น เพียงเวลาไม่นานผมก็หลับไป คืนนั้นผมไม่ได้ฝันเพราะหลับไม่สนิท ผมรู้สึกไม่สบายตัว รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมออกมาจนต้องถีบเอาผ้านวมที่ใช้ห่มออกจากตัว
แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ต้องรีบลุกไปคว้ามันกลับมาห่มตามเดิม เพราะรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหว ผมปิดเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ ผมคิดเอาเองในใจว่าคงจะเป็นไข้เข้าแล้วในเวลานั้น แต่จะไปหาหมอตอนนี้ก็คงจะไม่ไหว เอาเป็นว่าพยายามข่มตาหลับอีกสักครั้ง เผื่อว่าตอนเช้ามันจะดีขึ้น
ผมหลับได้อีกไม่น่าจะนานเท่าไหร่ก็ถูกปลุกอีกครั้งด้วยความเย็นที่ดูจะมากผิดปกติทั้งที่ปิดเครื่องปรับอากาศไปแล้ว นอกจากนั้นยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ ห้อง
เสียงที่ผมได้ยินนั้นถ้าเป็นใครได้ยินก็คงจะรู้ได้ทันทีเหมือนๆ กัน มันคือเสียงหมาหอนครับ เสียงหอนของมันลากยาวเล็กแหลมแสบแก้วหู แต่สิ่งที่แปลกคือเสียงหอนนั้นมันดังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ผมเงี่ยหูฟังอีกครั้งก็แน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากหน้าห้องนอนของผมเอง
เสียงหอนสลับกับเสียงเห่ายังคงดังอยู่ ความมืดในห้องนอนทำให้มองเห็นแสงไฟที่ลอดผ่านช่องใต้ประตูเข้ามาได้ชัดเจน ผมก้มเอาหน้าแนบพื้นมองลอดช่องว่างของบานประตูนั้นช้าๆ แสงไฟจากทางเดินของหอพักกระทบกับร่างของสัตว์สี่เท้าฉายเป็นเงาอยู่ที่อีกฝั่งของประตูจริง
ความลังเลบังเกิดขึ้นในใจทันทีที่คิดจะเดินไปเปิดประตูบานนั้น แต่ถ้าไม่เปิดออกไปดูหรือไล่มันไปคืนนี้ก็คงจะไม่ได้นอนเป็นแน่ ผมมักง่ายคิดเอาเองว่าห้องตรงข้ามของผมเองจะต้องได้ยินและรำคาญเสียงเห่าหอนของมันเหมือนๆ กับผม คิดได้อย่างนั้นผมจึงนั่งนิ่งๆ รอให้ห้องตรงข้ามมาเปิดประตูไล่หมาตัวนั้นไป
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที ก็ไม่มีทีท่าว่าห้องตรงข้ามจะเปิดประตูออกมาดูแม้แต่น้อย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคืนนี้เพื่อนบ้านของผมอยู่ในห้องหรือเปล่า เสียงเห่าของมันกรรโชกและเริ่มรุนแรงขึ้น พอๆ กับเสียงหอนที่ดังจนเริ่มจะทนไม่ไหว
สายตาที่เริ่มชินกับความมืดของห้องช่วยให้มองอะไรชัดมากขึ้น ผมกลั้นใจเดินไปจับลูกบิดประตูห้องของตัวเองแล้วเปิดมันอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!”
ผมหลุดปากร้องออกมาทันทีที่ได้เห็นเจ้าของเสียงโหยหวนนั้น ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าหมาพันธุ์อะไร แต่ตัวของมันนั้นเล็กมากสูงไม่เกินครึ่งหน้าแข้งของของผม แต่ผมจำหมาตัวนี้ได้มันคือหมาตัวเดียวกันกับที่ผมเห็นมันทุกวันในละแวกหอ มันน่าจะเป็นหมาของร้านค้าสักร้านหนึ่งในย่านนี้
ผมจ้องตากับหมาน้อยตรงหน้าที่เวลานี้ไม่มีท่าทีเป็นมิตรแม้แต่น้อย สายตาของมันจ้องมาที่ผม ปากของมันแยกเขี้ยวยิงฟันขู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวที่เล็กของมันทำให้เสียงของมันเล็กลงไปด้วยแม้จะไม่น่ากลัวเท่าหมาตัวใหญ่แต่ก็ไม่น่าไว้ใจในเวลานี้
ผมพยายามไล่มันด้วยเสียงแต่ก็ไร้ประโยชน์ ผมหยิบเอาไม้กวาดที่พิงอยู่ตรงกำแพงหน้าห้องมาถือไว้ในมือทำท่าเหมือนจะฟาดแต่มันก็ดูจะไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อย มันยังคงขู่และเห่าต่อไปอย่างนั้น น้ำลายของมันยืดจนหยดลงกับพื้นเลอะไปหมด
เสียงของมันเริ่มดังเกินที่ผมจะทนไหวแต่จะให้ฟาดมันลงไปจริงๆ ผมก็ทำไม่ได้เพราะบ้านผมเองก็เลี้ยงทั้งหมาและแมวทำให้ไม่กล้าทำร้ายสัตว์พวกนี้ สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ตอนนั้นคือการโยนไม้กวาดออกไปให้กระทบกับพื้นเกิดเป็นเสียงดังๆ
ผมโยนไม้กวาดในมือลงบนพื้นกระเบื้องของหอพักใกล้ๆ กับที่หมาตัวนั้นยืนมองอยู่ เสียงของไม้กวาดดังก้องไปทั่วทั้งชั้นจนผมเองยังอดสะดุ้งไม่ได้ และหมาตัวนั้นก็เช่นกัน
ทันทีที่ไม้กวาดกระทบพื้นมันก็หยุดขู่และกระโจนเข้าใส่ผมอย่างจัง ด้วยความตกใจผมยกขาหลบมันได้อย่างฉิวเฉียด และเพราะมันได้กระโจนออกมาอย่างนั้นจึงทำให้ผมได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วหมาตัวนี้ไม่ได้ตั้งใจจะขู่ผมเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้กลายเป็นผมที่มายืนอยู่ข้างหลังของหมาตัวนั้น มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาขู่และเห่าพื้นที่ว่างสุดทางเดินของหอพักซึ่งตรงนั้นเป็นบันไดฉุกเฉินแบบที่ต้องปีนลงไปไม่ใช่บันไดหนีไฟอย่างตึกใหญ่ๆ ทำให้ตรงนั้นเป็นส่วนระเบียงกว้างยาวประมาณสองเมตรยื่นออกไปนอกตัวตึก
ประตูของระเบียงตรงนั้นไม่เคยถูกปิดเลยตั้งแต่ที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักนี้ ผมมองตามสายตาของหมาตัวนั้นสูงขึ้นไปจากพื้นประมาณหนึ่ง และสิ่งที่ผมได้เห็นก็คือเงาร่างของผู้ชายคนหนึ่งในท่าทางผอมแห้งยืนอยู่บนขอบระเบียงเล็กๆ นั่นอย่างน่าหวาดเสียว
ภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะมันค่อนข้างโปร่งและดูเลื่อนลอยมากกว่าร่างกายมนุษย์ที่เราเห็นอยู่ทุกๆ วัน สมองของผมยังไม่ทันได้คิดอ่านอะไรเงาร่างนั้นก็ค่อยๆ โน้มตัวเอนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะร่วงลงไปจากชั้นสี่ของหอพักต่อหน้าต่อตา
ผมยืนมองภาพนั้นอย่างประหลาดใจและรู้สึกกลัวขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่ผมจะสะดุ้งตื่นจากภวังค์อีกครั้งด้วยเสียงร้องของหมาตัวเดิม แต่คราวนี้มันไม่ใช่เสียงเห่าหรือหอน แต่เป็นเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนกับเวลาที่โดนรถชนหรือหมาตัวอื่นกัด
หมาตัวนั้นหันหลังกลับวิ่งผ่านผมไปอย่างรวดเร็ว มันวิ่งลงบันไดหอพักอย่างไม่คิดชีวิตจนล้มไปกับบันได ผมที่คิดจะตามไปดูมันก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้ตรงนั้น เพราะเมื่อหันหลังกลับมาสิ่งที่ผมได้เห็นคือเงาร่างของชายคนเดิมที่กำลังก้าวเท้าอย่างช้าๆ ตรงมาทางผม
จากปลายทางเดินฟากหนึ่งของหอพักมาอีกฟากนั้นไม่ได้ไกลกันเลยสักนิดเดียว เพราะชั้นหนึ่งนั้นมีห้องพักเพียงห้าห้องเท่านั้น เงาร่างของชายคนนั้นที่ เดินออกมาจากมุมมืดสุดทางเดินจึงใช้เวลาไม่นานเพื่อมาถึงที่ที่ผมยืนอยู่
ผมยืนนิ่งมองเงาร่างนั้นค่อยๆ เดินผ่านไปด้วยขาที่แข็งจนก้าวไม่ออก ชายคนนั้นเดินผ่านไปโดยไม่ได้สนใจผมแม้สักนิด เขาเดินผ่านทางเดินออกไปยังระเบียงหอพักที่เดิม ขาข้างหนึ่งยกขึ้นเหยียบสองมือจับไว้ที่ขอบปูนยันตัวขึ้นไปยืนเต็มสองขาในท่าทางเหมือนกับเมื่อสักครู่
ร่างนั้นโน้มเอียงไปข้างหน้าแล้วร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่เป็นบึงเล็กๆ ของชุมชน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมกลัวและแปลกใจเพราะอยู่มาตั้งนานก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คืนนั้นผมนอนไม่หลับอีกต่อไป ได้แต่นั่งเปิดหนังดูไปเรื่อยๆ พร้อมกับใส่หูฟังเปิดเสียงให้ดังเพียงพอที่ผมจะไม่ต้องได้ยินอะไรข้างนอกนั่นอีก
ผมคิดเอาไว้ว่าผมจะไม่หลับจนกว่าฟ้าจะสางแต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันก็ทำให้ผมฟุบหลับลงกับโต๊ะเขียนหนังสืออย่างไม่รู้ตัว
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ปลุกผมให้สะดุ้งตื่นขึ้นบนเก้าอี้ตัวเดิม แสงแดดที่ส่องผ่านประตูกระจกเข้ามานั้นบอกผมว่าเป็นเวลาสายแล้วตามความเคยชินที่เห็นในทุกๆ วัน ผมกดรับสายที่โทรเข้ามา บนหน้าจอนั้นแสดงเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นตาเลยสักนิด
“ฮัลโหลครับ ใครครับ” ผมถามทันทีที่รับสาย
“น้อง… ใช่ไหมคะ ป้าเป็นแม่ของพี่มดค่ะ” ปลายสายแนะนำตัว
ผมลุกจากเก้าอี้ไปอาบน้ำในทันที เพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ใกล้จะได้เวลาที่นัดกับพี่มดไว้แล้ว
หลังจากจัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินลงมาที่ด้านล่างของหอพัก ที่ตรงนั้นจะเป็นถนนที่มีตึกสองฝั่งตรงข้ามกัน หน้าตึกคือลานจอดรถของแต่ละหอพักที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแนวยาว
ด้วยความรีบร้อนกลัวว่าจะเลยเวลานัดสิ่งแรกที่ผมทำคือการมองซ้ายมองขวาหารถของคนที่คิดว่าน่าจะเป็นแม่ของพี่มดแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ระหว่างนั้นผมเห็นลุงเจ้าของหอกำลังยืนคุยกับเจ้าของตึกข้างๆ เสียงดัง
“ลุงมีอะไรกันเหรอครับ” ผมถามด้วยความสนิท
“หมาบ้านนี้น่ะซิ หายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้หากันให้วุ่นตั้งแต่เช้ามืด ไปเจออีกทีอยู่โน่น ถนนใหญ่”
เมื่อมองเข้าไปในกลุ่มคนตรงหน้าก็เห็นพี่เจ้าของตึกข้างๆ นั่งกอดหมาตัวที่ว่า ตัวที่ผมรู้ดีว่ามันคือตัวไหน ใช่ครับ มันคือตัวเดียวกับที่โผล่มาขู่ผมเมื่อคืน