ตอนแรกกำลังคิดว่าช่วงปีใหม่อยากจะเขียนเรื่องเล่าสักเรื่องหนึ่ง แต่แล้วชีวิตก็วุ่นวายจนเลยวันข้ามปีมาพอสมควร แต่สุดท้ายก็จัดสรรเวลาให้ลงตัวจนได้ในที่สุด รู้สึกผิดกับตัวเองเหมือนกันที่ครึ่งปีหลังมานี้ชีวิตของผมไม่ค่อยจะเป็นไปตามแพลนนัก มักจะมีเหตุด่วนให้เข้ามาจนตารางต้องเลื่อนไปหมดอยู่ตลอด หวังว่าปีนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้นและสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้ราบรื่นกว่านี้
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ช่วงประมาณกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นั่นก็คือช่วงที่ตัดสินใจว่าจะเขียนเรื่องเล่าสักเรื่องหนึ่งเพื่อส่งท้ายปี ตอนนั้นผมเองยังคิดไม่ออกว่าจะหยิบเรื่องไหนจากหลายๆ เรื่องขึ้นมาเล่าดี
คืนหนึ่งที่ผมกำลังนอนหลับอยู่ในหอพักตามปกติ โดยทั่วไปแล้วผมมักจะหลับสนิทตลอดคืน น้อยครั้งมากที่จะตื่นมาเข้าห้องน้ำหรือรู้สึกหิวน้ำระหว่างคืน เวลาสักประมาณตี 4 หรือ ตี5 ไม่แน่ใจผมค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา
ทั่วทั้งห้องยังมืดสนิทเพราะไฟเพดานยังปิดอยู่ และแสงแรกของวันก็คงยังไม่มาเยือนเช่นกัน และนั่นหมายถึงมันยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนเพื่อไปทำงานตามปกติที่ผมมักจะตื่นประมาณ 7 โมงเช้า
ผมขยับตัวไปมาพยายามจะนอนต่อเพราะไม่ได้รู้สึกว่าหิวน้ำหรือยากเข้าห้องน้ำแต่อย่างใด บรรยากาศในวันนั้นเย็นกว่าปกติ ผมพยายามพลิกตัวไป หยิบรีโมตแอร์คิดว่าจะปิดเพื่อลดความหนาว
ติ๊ด
เสียงสัญญาณจากเครื่องปรับอากาศดังหลังจากที่ผมหลับตาลงแล้ว ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้งผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะแทนที่เครื่องปรับอากาศจะเงียบลงหลังจากหยุดการทำงาน แต่กลายเป็นว่ามันเริ่มกลับมาดังอีกครั้งหลังจากเสียงสัญญาณ
ด้วยความสะลึมสะลือที่มีทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตว่าเครื่องปรับอากาศมันปิดอยู่แล้วจากการตั้งเวลาที่ผมทำเองกับมือก่อนนอนในทุกๆ คืน
เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเสียงดังในช่วงแรกก่อนที่จะเงียบลงและทำงานเข้าที่ ผมไม่ได้ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น ผมกดปุ่มที่รีโมตอีกครั้งเพื่อปิดมัน เพราะรู้สึกว่าหนาวแล้ว
ไม่ถึงนาทีถัดมาผมก็ได้ยินเสียงที่ไม่คาดคิดเพิ่มขึ้นมาอีกเสียงหนึ่ง มันเป็นเสียงของฝนที่ตกลงกระทบกับปูนและกระเบื้องของหอพัก เสียงของมันดังน่าฟังเหมือนกับทุกที
‘หนาวฝนนี่เอง’
ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นแล้วตัดสินใจจะนอนต่ออีกสองชั่วโมง ก่อนจะต้องกลับไปต่อสู้กับงานประจำที่รออยู่ในวันนี้
แปลก ผมยังง่วง ผมรู้ดี หนังตายังหนักและล้า แต่ก็ดูจะยังไม่สามารถหลับลงได้ในเวลานี้ เหมือนถูกปลุกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
ผมขยับตัวอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนท่าให้นอนสบาย ผมหันกลับมาที่อีกมุมห้องหนึ่งซึ่งเป็นประตูระเบียง
ประตูระเบียงห้องของผมนั้นเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสีดำแต่ไม่ได้ทึบมาก ถ้าข้างนอกมีแสงสว่างก็จะมองออกไปได้ชัดเจน
เสียงฝนที่ตกกระทบพื้นระเบียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังจนรู้สึกเหมือนไม่มีแผ่นกระจกกั้นอยู่อีก ด้วยความสงสัยปนรำคาญผมจึงค่อยๆ ลืมตามามองวิวข้างนอกอีกครั้ง
ฟ้าในยามนั้นยังมืดอยู่เหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แต่เสาไฟที่จอดรถก็สว่างพอที่จะทำให้มองเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ลางๆ
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมต้องเบิกตากว้างพร้อมขนที่ลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว
แสงสลัวจากลานจอดรถสะท้อนเข้ามายังระเบียงห้องส่องให้เห็นเงาดำขมุกขมัวที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างที่เคยคุ้น ศาลปูนเสาเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ว่างข้างราวตากผ้าอันเล็กๆ แม้ไม่เห็นรายละเอียดแต่แต่เพียงโครงร่างของมันผมก็แน่ใจได้อย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร
ศาลเสาเดี่ยวนั้นไม่ได้วูบวาบหรือสะท้อนแสงไฟ มันเป็นเพียงเงาดำไร้รายละเอียดคล้ายภาพของเงาที่สะท้อนลงบนกำแพงบ้านท่ะบเห็นได้ทั่วไป ที่ข้างๆ กันนั้นเริ่มมีกลุ่มเงาดำก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นรูปร่าง
ที่ตรงนั้นปรากฏเงาร่างของหญิงสาวที่ผมเกือบจะลืมเธอไปแล้ว เธอนั่งคุดคู้อยู่ในท่าทางเหมือนในวันที่เราได้พบกัน เธอนั่งกอดเข่าชิดหน้าอกดูน่าอึดอัด คอที่กดต่ำลง ใบหน้าซุกอยู่ในช่องว่างระหว่างเข่าแต่ดวงตานั้นเหลือก เหลือบจ้องมองมาที่ผมอย่างต้องการจะบอกอะไร
ทันทีที่ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจ สติของเราจะถูกเรียกให้กลับมาเพื่อเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาปะทะ สติที่กลับมาเกิดขึ้นพร้อมๆ กับภาพที่หายไป ระเบียงห้องนั้นกลับมาว่างเปล่าเหลือไว้เพียงราวตากผ้าของผมเท่านั้น
ผมตื่นทันทีหลังจากเห็นภาพนั้น เพราะผมจำได้ดีว่ามันมาจากไหน และนั่นหมายถึงเรื่องอะไร
ผมตัดสินใจได้ทันทีว่าปีใหม่นี้ผมจะเขียนถึงเรื่องอะไร
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปหลายปีเหมือนกัน มันเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตมหาวิทยาลัยของผม ช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นเหมือนเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด ช่วงที่เรื่องราวเกี่ยวกับผีสางวิ่งเข้ามาชนทุกวี่ทุกวัน ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าทุกวันจริงๆ ไม่เพื่อนก็รุ่นพี่ ลามไปยันอาจารย์และญาติๆ เพื่อนๆ ของพวกเขาเหล่านั้น
ครั้งนั้นก็เช่นกัน คนคนนี้เป็นเพื่อนกับคนที่ผมรู้จัก เคยพบหน้ากันบ้างตามโอกาส แต่ไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไรกันมากมายนัก รู้แต่เพียงว่าใบหน้าของเขาช่างเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน บางครั้งเวลาได้เห็นหน้าคนที่อมทุกข์เราจะรับรู้ได้ทันที
เวลาผ่านไปจนวันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักกับประโยคสั้นๆ เหมือนอย่างในหลายๆ ครั้งว่า ‘มีคนอยากคุยด้วย’
ผมรับนัดเหมือนอย่างเคย แม้จะรู้มาก่อนว่าคนที่จะต้องไปคุยด้วยเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องราวไว้ก่อนเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร
ผมนั่งรอที่เก้าอี้ไม้ของภาควิชาเหมือนอย่างทุกที เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะไปรอที่ไหน ผมนั่งรอได้ไม่นานนักก็มีรถคันใหญ่เข้ามาจอดเทียบที่หน้าตึก
รถคันนั้นลดกระจกลงให้เห็นคนที่นั่งมาข้างใน ใบหน้าที่คุ้นเคยทำให้ผมเดินเข้าไปทักทายพร้อมต้องขึ้นรถตามพวกเขาไปด้วย
เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาเลือกที่จะออกมาคุยข้างนอกคือ เขาอยากจะพาผมไปดูสถานที่ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ ‘พี่ป้อม’
เราพบเจอกันมาหลายครั้งทำให้การพูดคุยเป็นไปได้โดยง่าย เราเลือกมานั่งคุยกันที่ร้านอาหารอย่างง่ายๆ ร้านหนึ่งในตัวเมืองพิษณุโลก
โดยไม่ต้องรอให้ถามอะไร พี่ป้อมก็ตัดสินใจค่อยๆ เล่าเรื่องที่เป็นปัญหากับชีวิตของเขามามากกว่า 10 ปี ถึงผมจะเรียกเขาว่าพี่แต่จริงๆ แล้วอายุของเขาก็มากพอที่จะเป็นน้าผมได้สบายๆ
“บ้านของพี่มีปัญหา อย่างให้ไปช่วยดูให้หน่อย”
ผมฟังเงียบๆ เพราะรู้ว่าคนเล่ายังเล่าไม่จบ
บ้านที่พี่ป้อมพูดถึงนั้นไม่ใช่บ้านหลังที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นบ้านหลังเก่า บ้านที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อและแม่ที่ตอนนี้ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ในวันที่ได้รับบ้านหลังนั้นมา บ้านยังอยู่ในสภาพดี แม้ว่าจะเป็นบ้านเก่าแต่พี่ป้อมก็เลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเก่าๆหลังนั้นเพื่อระลึกถึงความหลังและความทรงจำที่มีค่าของตัวเอง
ชีวิตของพี่ป้อมดำเนินไปตามวันเวลาตามปกติพร้อมกับภรรยาในบ้านหลังนั้น ทั้งสองคนไม่เคยพบเจอเรื่องราวแปลกๆ อันใดเกิดขึ้นกับชีวิต โดยเฉพาะพี่ป้อมทีเกิดและเติบโตมาในที่ดินผืนนั้น ที่นั่นมีแต่ความรักและความอบอุ่น
เท่าที่พี่ป้อมนึกได้เรื่องราวทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นช่วงหลังแต่งงานได้สักพักหนึ่ง พี่ป้อมโชคไม่ดีนักที่พ่อและแม่ของเขาไม่ได้อยู่ร่วมแสดงความยินดีในวันแห่งความสุขนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไหร่
หลังจากแต่งงาน พี่ป้อมและภรรยาตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดิมของพี่ป้อมด้วยความสะดวกของการเดินทางและหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะพี่ป้อมเองที่ไม่อยากจะออกห่างจากบ้านหลังนี้มากนัก
เมื่อชีวิตคู่เริ่มลงตัวทั้งสองคนก็วางแผนที่จะมีลูก ไม่กี่เดือนถัดมาภรรยาของพี่ป้อมก็ตั้งท้อง ทั้งสองตื่นเต้นและมีความสุขเป็นอย่างมากจนมาถึงวันที่เด็กน้อยจะลืมตามาดูโลก
เด็กน้อยเกิดมาอย่างปลอดภัยและถูกนำกลับมาเลี้ยงดูที่บ้านหลังเดิม ด้วยความที่บ้านไม้หลังนั้นเริ่มเก่าและเริ่มที่จะมีบางส่วนผุพังไปตามเวลา เมื่อมองไปยังตัวเล็กที่นอนอยู่ในเปล การที่จะส่งมอบบ้านหลังนี้ให้เขาในวันที่เขาโตพอนั้นคงแทบจะเป็นไปไม่ได้
บางครั้งในเวลาที่เด็กน้อยนอนหลับอยู่ในเปลก็จะร้องไห้อย่างเจ็บปวดเหมือนกับโดนแกล้งให้เจ็บให้ตกใจ บางครั้งก็มีรอยแดงคล้ายรอยหยิกเกิดขึ้นตามเนื้อตัวอย่างไร้สาเหตุ หนักสุดก็คงจะเป็นช่วงกลางดึกที่ลูกมักจะส่งเสียงอ้อแอ้ คล้ายพูดคุยหรือหยอกล้อกับใครบางคนอยู่ในความมืด
นอกจากนั้นเด็กน้อยยังป่วยบ่อยจนผิดสังเกต โดยจะสังเกตได้ง่ายว่าหากคืนไหนที่เป็นวันโกนแล้วคืนนั้นเด็กจะร้องไห้หนัก วันถัดมาก็จะป่วยอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เสมอๆ
ความเชื่อโบราณบางครั้งมักบอกว่า บ้านเก่านั้นเป็นที่สิงสถิตย์ของเหล่าดวงวิญญาณทั้งหลาย และเด็กเกิดใหม่นั้นก็มักจะหอมบุญจนดึงดูดให้สิ่งเหล่านี้เข้ามารบกวนจนเกิดเป็นปัญหา
เหตุผลต่างๆ นานาที่เล่ามานั้นประกอบกันทำให้พี่ป้อมตัดสินใจจะต่อเติมบ้านใหม่ ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ ก็คล้ายกับการสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาทั้งหลังเพราะต้องการจะเปลี่ยนบ้านไม้ให้เป็นบ้านปูนทั้งหมด
คืนหนึ่งหลังจากที่ทั้งสามคนย้ายเข้ามาพักในบ้านเช่าของหมู่บ้านหนึ่งระหว่างรอการต่อเติมบ้าน พี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มายืนร้องไห้ให้เห็น พี่ป้อมคิดเอาเองว่านั่นคงจะเป็นความเสียใจที่เขาทุบบ้านแสนรักของทั้งสองคนทิ้งไป
วันถัดมาพี่ป้อมไปทำบุญที่วัดพร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานถึงทั้งสองท่าน และบอกกล่าวเหตุผลความจำเป็นที่ทำลงไป แม้ในใจลึกๆ เขาจะยังไม่สบายใจแต่นั่นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วเช่นกัน
ระหว่างที่ทั้งสามคนอยู่ในบ้านเช่านั้น เด็กน้อยไม่มีอาการเหมือนตอนที่อยู่ในบ้านเก่า เขาหลับสนิทได้ในทุกๆ คืนและป่วยน้อยลงมาก
ทุกๆ อย่างดูจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนวันที่บ้านใหม่เสร็จพร้อมเข้าอยู่ เป็นเรื่องปกติที่เราจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง วันนั้นก็เช่นกัน
ทั้งสามคนย้ายเข้าด้วยความสุขทุกอย่างดูสนุกสนาน พร้อมๆ กับที่งานของพี่ป้อมเริ่มจะมากขึ้นทำให้มีเวลาน้อยลงบางครั้งต้องประชุมบางครั้งต้องทำงานล่วงเวลา ส่วนพี่น้อยแฟนของพี่ป้อมเองแม้ว่างานของเธอจะสามารถทำงานอยู่บ้านได้บ้าง แต่บางครั้งก็ต้องเข้าไปที่ออฟฟิศเหมือนกัน
ทางออกของทั้งสองคนคือ การจ้างพี่เลี้ยงเด็ก ไม่นานนักเขาก็ได้พี่เลี้ยงเด็กมาคนหนึ่งจากคำแนะนำของคนแถวบ้าน ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ดีมากสำหรับพี่ป้อม เพราะเชื่อว่าคนยุคเก่าจะเลี้ยงเด็กได้ดีกว่าคนวัยรุ่นสมัยนี้
ทุกอย่างราบรื่นดี ป้าแขก ก็เข้ากับเด็กน้อยได้ดี อาหารการกินเป็นไปตามสุขลักษณะทั้งหมด จนในวันหนึ่งที่พี่ป้อมกลับมาที่บ้านและเดินไปมุมหลังบ้านซึ่งเอาไว้ใช้เก็บของหลังจากที่ไม่ได้เดินเข้ามาตรงนี้นานแล้ว
ที่ตรงนั้นมีศาลเก่าๆ ศาลหนึ่งตั้งอยู่ พี่ป้อมจำมันได้ในทันทีแต่ไม่เข้าใจว่าตัวเองหลงลืมมันไปได้อย่างไร
สวัสดี(ผี)ใหม่
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ช่วงประมาณกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นั่นก็คือช่วงที่ตัดสินใจว่าจะเขียนเรื่องเล่าสักเรื่องหนึ่งเพื่อส่งท้ายปี ตอนนั้นผมเองยังคิดไม่ออกว่าจะหยิบเรื่องไหนจากหลายๆ เรื่องขึ้นมาเล่าดี
คืนหนึ่งที่ผมกำลังนอนหลับอยู่ในหอพักตามปกติ โดยทั่วไปแล้วผมมักจะหลับสนิทตลอดคืน น้อยครั้งมากที่จะตื่นมาเข้าห้องน้ำหรือรู้สึกหิวน้ำระหว่างคืน เวลาสักประมาณตี 4 หรือ ตี5 ไม่แน่ใจผมค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา
ทั่วทั้งห้องยังมืดสนิทเพราะไฟเพดานยังปิดอยู่ และแสงแรกของวันก็คงยังไม่มาเยือนเช่นกัน และนั่นหมายถึงมันยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนเพื่อไปทำงานตามปกติที่ผมมักจะตื่นประมาณ 7 โมงเช้า
ผมขยับตัวไปมาพยายามจะนอนต่อเพราะไม่ได้รู้สึกว่าหิวน้ำหรือยากเข้าห้องน้ำแต่อย่างใด บรรยากาศในวันนั้นเย็นกว่าปกติ ผมพยายามพลิกตัวไป หยิบรีโมตแอร์คิดว่าจะปิดเพื่อลดความหนาว
ติ๊ด
เสียงสัญญาณจากเครื่องปรับอากาศดังหลังจากที่ผมหลับตาลงแล้ว ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้งผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะแทนที่เครื่องปรับอากาศจะเงียบลงหลังจากหยุดการทำงาน แต่กลายเป็นว่ามันเริ่มกลับมาดังอีกครั้งหลังจากเสียงสัญญาณ
ด้วยความสะลึมสะลือที่มีทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตว่าเครื่องปรับอากาศมันปิดอยู่แล้วจากการตั้งเวลาที่ผมทำเองกับมือก่อนนอนในทุกๆ คืน
เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเสียงดังในช่วงแรกก่อนที่จะเงียบลงและทำงานเข้าที่ ผมไม่ได้ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น ผมกดปุ่มที่รีโมตอีกครั้งเพื่อปิดมัน เพราะรู้สึกว่าหนาวแล้ว
ไม่ถึงนาทีถัดมาผมก็ได้ยินเสียงที่ไม่คาดคิดเพิ่มขึ้นมาอีกเสียงหนึ่ง มันเป็นเสียงของฝนที่ตกลงกระทบกับปูนและกระเบื้องของหอพัก เสียงของมันดังน่าฟังเหมือนกับทุกที
‘หนาวฝนนี่เอง’
ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นแล้วตัดสินใจจะนอนต่ออีกสองชั่วโมง ก่อนจะต้องกลับไปต่อสู้กับงานประจำที่รออยู่ในวันนี้
แปลก ผมยังง่วง ผมรู้ดี หนังตายังหนักและล้า แต่ก็ดูจะยังไม่สามารถหลับลงได้ในเวลานี้ เหมือนถูกปลุกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
ผมขยับตัวอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนท่าให้นอนสบาย ผมหันกลับมาที่อีกมุมห้องหนึ่งซึ่งเป็นประตูระเบียง
ประตูระเบียงห้องของผมนั้นเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสีดำแต่ไม่ได้ทึบมาก ถ้าข้างนอกมีแสงสว่างก็จะมองออกไปได้ชัดเจน
เสียงฝนที่ตกกระทบพื้นระเบียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังจนรู้สึกเหมือนไม่มีแผ่นกระจกกั้นอยู่อีก ด้วยความสงสัยปนรำคาญผมจึงค่อยๆ ลืมตามามองวิวข้างนอกอีกครั้ง
ฟ้าในยามนั้นยังมืดอยู่เหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แต่เสาไฟที่จอดรถก็สว่างพอที่จะทำให้มองเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ลางๆ
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมต้องเบิกตากว้างพร้อมขนที่ลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว
แสงสลัวจากลานจอดรถสะท้อนเข้ามายังระเบียงห้องส่องให้เห็นเงาดำขมุกขมัวที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างที่เคยคุ้น ศาลปูนเสาเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ว่างข้างราวตากผ้าอันเล็กๆ แม้ไม่เห็นรายละเอียดแต่แต่เพียงโครงร่างของมันผมก็แน่ใจได้อย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร
ศาลเสาเดี่ยวนั้นไม่ได้วูบวาบหรือสะท้อนแสงไฟ มันเป็นเพียงเงาดำไร้รายละเอียดคล้ายภาพของเงาที่สะท้อนลงบนกำแพงบ้านท่ะบเห็นได้ทั่วไป ที่ข้างๆ กันนั้นเริ่มมีกลุ่มเงาดำก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นรูปร่าง
ที่ตรงนั้นปรากฏเงาร่างของหญิงสาวที่ผมเกือบจะลืมเธอไปแล้ว เธอนั่งคุดคู้อยู่ในท่าทางเหมือนในวันที่เราได้พบกัน เธอนั่งกอดเข่าชิดหน้าอกดูน่าอึดอัด คอที่กดต่ำลง ใบหน้าซุกอยู่ในช่องว่างระหว่างเข่าแต่ดวงตานั้นเหลือก เหลือบจ้องมองมาที่ผมอย่างต้องการจะบอกอะไร
ทันทีที่ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจ สติของเราจะถูกเรียกให้กลับมาเพื่อเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะเข้ามาปะทะ สติที่กลับมาเกิดขึ้นพร้อมๆ กับภาพที่หายไป ระเบียงห้องนั้นกลับมาว่างเปล่าเหลือไว้เพียงราวตากผ้าของผมเท่านั้น
ผมตื่นทันทีหลังจากเห็นภาพนั้น เพราะผมจำได้ดีว่ามันมาจากไหน และนั่นหมายถึงเรื่องอะไร
ผมตัดสินใจได้ทันทีว่าปีใหม่นี้ผมจะเขียนถึงเรื่องอะไร
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปหลายปีเหมือนกัน มันเป็นช่วงหนึ่งในชีวิตมหาวิทยาลัยของผม ช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นเหมือนเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด ช่วงที่เรื่องราวเกี่ยวกับผีสางวิ่งเข้ามาชนทุกวี่ทุกวัน ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าทุกวันจริงๆ ไม่เพื่อนก็รุ่นพี่ ลามไปยันอาจารย์และญาติๆ เพื่อนๆ ของพวกเขาเหล่านั้น
ครั้งนั้นก็เช่นกัน คนคนนี้เป็นเพื่อนกับคนที่ผมรู้จัก เคยพบหน้ากันบ้างตามโอกาส แต่ไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไรกันมากมายนัก รู้แต่เพียงว่าใบหน้าของเขาช่างเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน บางครั้งเวลาได้เห็นหน้าคนที่อมทุกข์เราจะรับรู้ได้ทันที
เวลาผ่านไปจนวันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักกับประโยคสั้นๆ เหมือนอย่างในหลายๆ ครั้งว่า ‘มีคนอยากคุยด้วย’
ผมรับนัดเหมือนอย่างเคย แม้จะรู้มาก่อนว่าคนที่จะต้องไปคุยด้วยเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องราวไว้ก่อนเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร
ผมนั่งรอที่เก้าอี้ไม้ของภาควิชาเหมือนอย่างทุกที เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะไปรอที่ไหน ผมนั่งรอได้ไม่นานนักก็มีรถคันใหญ่เข้ามาจอดเทียบที่หน้าตึก
รถคันนั้นลดกระจกลงให้เห็นคนที่นั่งมาข้างใน ใบหน้าที่คุ้นเคยทำให้ผมเดินเข้าไปทักทายพร้อมต้องขึ้นรถตามพวกเขาไปด้วย
เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาเลือกที่จะออกมาคุยข้างนอกคือ เขาอยากจะพาผมไปดูสถานที่ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ ‘พี่ป้อม’
เราพบเจอกันมาหลายครั้งทำให้การพูดคุยเป็นไปได้โดยง่าย เราเลือกมานั่งคุยกันที่ร้านอาหารอย่างง่ายๆ ร้านหนึ่งในตัวเมืองพิษณุโลก
โดยไม่ต้องรอให้ถามอะไร พี่ป้อมก็ตัดสินใจค่อยๆ เล่าเรื่องที่เป็นปัญหากับชีวิตของเขามามากกว่า 10 ปี ถึงผมจะเรียกเขาว่าพี่แต่จริงๆ แล้วอายุของเขาก็มากพอที่จะเป็นน้าผมได้สบายๆ
“บ้านของพี่มีปัญหา อย่างให้ไปช่วยดูให้หน่อย”
ผมฟังเงียบๆ เพราะรู้ว่าคนเล่ายังเล่าไม่จบ
บ้านที่พี่ป้อมพูดถึงนั้นไม่ใช่บ้านหลังที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นบ้านหลังเก่า บ้านที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อและแม่ที่ตอนนี้ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ในวันที่ได้รับบ้านหลังนั้นมา บ้านยังอยู่ในสภาพดี แม้ว่าจะเป็นบ้านเก่าแต่พี่ป้อมก็เลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านเก่าๆหลังนั้นเพื่อระลึกถึงความหลังและความทรงจำที่มีค่าของตัวเอง
ชีวิตของพี่ป้อมดำเนินไปตามวันเวลาตามปกติพร้อมกับภรรยาในบ้านหลังนั้น ทั้งสองคนไม่เคยพบเจอเรื่องราวแปลกๆ อันใดเกิดขึ้นกับชีวิต โดยเฉพาะพี่ป้อมทีเกิดและเติบโตมาในที่ดินผืนนั้น ที่นั่นมีแต่ความรักและความอบอุ่น
เท่าที่พี่ป้อมนึกได้เรื่องราวทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นช่วงหลังแต่งงานได้สักพักหนึ่ง พี่ป้อมโชคไม่ดีนักที่พ่อและแม่ของเขาไม่ได้อยู่ร่วมแสดงความยินดีในวันแห่งความสุขนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไหร่
หลังจากแต่งงาน พี่ป้อมและภรรยาตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดิมของพี่ป้อมด้วยความสะดวกของการเดินทางและหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะพี่ป้อมเองที่ไม่อยากจะออกห่างจากบ้านหลังนี้มากนัก
เมื่อชีวิตคู่เริ่มลงตัวทั้งสองคนก็วางแผนที่จะมีลูก ไม่กี่เดือนถัดมาภรรยาของพี่ป้อมก็ตั้งท้อง ทั้งสองตื่นเต้นและมีความสุขเป็นอย่างมากจนมาถึงวันที่เด็กน้อยจะลืมตามาดูโลก
เด็กน้อยเกิดมาอย่างปลอดภัยและถูกนำกลับมาเลี้ยงดูที่บ้านหลังเดิม ด้วยความที่บ้านไม้หลังนั้นเริ่มเก่าและเริ่มที่จะมีบางส่วนผุพังไปตามเวลา เมื่อมองไปยังตัวเล็กที่นอนอยู่ในเปล การที่จะส่งมอบบ้านหลังนี้ให้เขาในวันที่เขาโตพอนั้นคงแทบจะเป็นไปไม่ได้
บางครั้งในเวลาที่เด็กน้อยนอนหลับอยู่ในเปลก็จะร้องไห้อย่างเจ็บปวดเหมือนกับโดนแกล้งให้เจ็บให้ตกใจ บางครั้งก็มีรอยแดงคล้ายรอยหยิกเกิดขึ้นตามเนื้อตัวอย่างไร้สาเหตุ หนักสุดก็คงจะเป็นช่วงกลางดึกที่ลูกมักจะส่งเสียงอ้อแอ้ คล้ายพูดคุยหรือหยอกล้อกับใครบางคนอยู่ในความมืด
นอกจากนั้นเด็กน้อยยังป่วยบ่อยจนผิดสังเกต โดยจะสังเกตได้ง่ายว่าหากคืนไหนที่เป็นวันโกนแล้วคืนนั้นเด็กจะร้องไห้หนัก วันถัดมาก็จะป่วยอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เสมอๆ
ความเชื่อโบราณบางครั้งมักบอกว่า บ้านเก่านั้นเป็นที่สิงสถิตย์ของเหล่าดวงวิญญาณทั้งหลาย และเด็กเกิดใหม่นั้นก็มักจะหอมบุญจนดึงดูดให้สิ่งเหล่านี้เข้ามารบกวนจนเกิดเป็นปัญหา
เหตุผลต่างๆ นานาที่เล่ามานั้นประกอบกันทำให้พี่ป้อมตัดสินใจจะต่อเติมบ้านใหม่ ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ ก็คล้ายกับการสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาทั้งหลังเพราะต้องการจะเปลี่ยนบ้านไม้ให้เป็นบ้านปูนทั้งหมด
คืนหนึ่งหลังจากที่ทั้งสามคนย้ายเข้ามาพักในบ้านเช่าของหมู่บ้านหนึ่งระหว่างรอการต่อเติมบ้าน พี่ป้อมฝันเห็นพ่อกับแม่มายืนร้องไห้ให้เห็น พี่ป้อมคิดเอาเองว่านั่นคงจะเป็นความเสียใจที่เขาทุบบ้านแสนรักของทั้งสองคนทิ้งไป
วันถัดมาพี่ป้อมไปทำบุญที่วัดพร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานถึงทั้งสองท่าน และบอกกล่าวเหตุผลความจำเป็นที่ทำลงไป แม้ในใจลึกๆ เขาจะยังไม่สบายใจแต่นั่นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วเช่นกัน
ระหว่างที่ทั้งสามคนอยู่ในบ้านเช่านั้น เด็กน้อยไม่มีอาการเหมือนตอนที่อยู่ในบ้านเก่า เขาหลับสนิทได้ในทุกๆ คืนและป่วยน้อยลงมาก
ทุกๆ อย่างดูจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนวันที่บ้านใหม่เสร็จพร้อมเข้าอยู่ เป็นเรื่องปกติที่เราจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง วันนั้นก็เช่นกัน
ทั้งสามคนย้ายเข้าด้วยความสุขทุกอย่างดูสนุกสนาน พร้อมๆ กับที่งานของพี่ป้อมเริ่มจะมากขึ้นทำให้มีเวลาน้อยลงบางครั้งต้องประชุมบางครั้งต้องทำงานล่วงเวลา ส่วนพี่น้อยแฟนของพี่ป้อมเองแม้ว่างานของเธอจะสามารถทำงานอยู่บ้านได้บ้าง แต่บางครั้งก็ต้องเข้าไปที่ออฟฟิศเหมือนกัน
ทางออกของทั้งสองคนคือ การจ้างพี่เลี้ยงเด็ก ไม่นานนักเขาก็ได้พี่เลี้ยงเด็กมาคนหนึ่งจากคำแนะนำของคนแถวบ้าน ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ดีมากสำหรับพี่ป้อม เพราะเชื่อว่าคนยุคเก่าจะเลี้ยงเด็กได้ดีกว่าคนวัยรุ่นสมัยนี้
ทุกอย่างราบรื่นดี ป้าแขก ก็เข้ากับเด็กน้อยได้ดี อาหารการกินเป็นไปตามสุขลักษณะทั้งหมด จนในวันหนึ่งที่พี่ป้อมกลับมาที่บ้านและเดินไปมุมหลังบ้านซึ่งเอาไว้ใช้เก็บของหลังจากที่ไม่ได้เดินเข้ามาตรงนี้นานแล้ว
ที่ตรงนั้นมีศาลเก่าๆ ศาลหนึ่งตั้งอยู่ พี่ป้อมจำมันได้ในทันทีแต่ไม่เข้าใจว่าตัวเองหลงลืมมันไปได้อย่างไร