เรื่อง...ผีๆสางๆ

เรื่องผี คงเป็นเรื่องที่ยากจะพิสูจน์หรือหาอะไรมายืนยันแต่ก็คงต้องยอมรับจริงๆ ว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนมากให้ความสนใจไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม อาจเป็นเพราะมันน่าตื่นเต้น บางสิ่งที่เราไม่รู้มักจะเชิญชวนให้เราเดินเข้าไปหากันเสมอ พร้อมกับคำถามว่า ‘มันจริงหรือ?’
           หลายคนมีประสบการณ์ แต่ก็นับว่าเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับบุคคลที่ไม่เคยได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวเหล่านี้ หากจะบอกว่ายากก็คงไม่ใช่ จะบอกว่าง่ายก็คงไม่เชิง เอาเป็นว่า ‘คนจะเจออย่างไรมันก็เจอ คนที่มันไม่เจอให้ตายมันก็ไม่เจอ’ แต่ถ้าถามเอาความจริงๆ ว่า ทุกคนสามารถพบเจอได้ไหมก็คงต้องตอบตามตรงว่า ‘ได้’
          เรื่องนี้ผ่านมานานพอสมควร แต่ก็ยังไม่คิดที่จะเล่าเพราะมีเรื่องอื่นที่อยากเขียนมากกว่า จนในที่สุดชีวิตของผมก็วนเวียนมาให้ได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับเรื่องราวในครั้งนั้น ภาพความทรงจำกลับมาวนเวียนอยู่ในหัวไม่หายไปไหน และสาเหตุที่ทำให้ผมยังไม่คิดที่จะเขียนเรื่องนี้ เป็นเพราะอะไรนั้น? จริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายเหตุผล แต่ที่มองข้ามมาตลอด เพราะนอกจากมันดูเกินจะเชื่อไปสักหน่อย ก็คงเป็นประโยคที่ ‘ลุงหวัง’ พูดกับผมในวันนั้น จนมันฝังอยู่ในหัว
‘อย่าพูดถึงมัน ไม่อย่างนั้นมันจะมา’
...........................................................................................

          เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผมไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงอะไร เป็นเพียงการเล่าสู่กันฟังถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอมาในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต หากเรื่องราวต่อไปนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ท่าน โปรดอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
...........................................................................................

           เรื่องมันเริ่มจากกิจวัตรประจำวันง่ายๆ อย่างในทุกวัน ผมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงหลังจากตรากตรำกับการเรียนอย่างหนักหน่วงมาทั้งวัน เนื้อหาสาระทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกป้อนเหมือนอัดเข้าหัวภายในเวลา 2 ชั่วโมงซ้ำกัน 3 วิชาทำเอาผมหัวหมุนติ้วจนขมับเต้นตุบๆ
          การได้นั่งๆ นอนๆ ผ่อนคลายอยู่บนเตียงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของวัยเรียนเช่นกัน ระหว่างที่ผมกำลังนั่งไล่ดูวีดีโอใน Youtube อยู่นั้นก็มีข้อความแจ้งเตือนจาก Line เด้งขึ้นมา
          ผมอ่านชื่อเจ้าของข้อความก็ต้องยิ้มกว้างออกมาในทันที เพราะคนที่ส่งข้อความมานั้น เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ห่างกันไปสักพักใหญ่ ด้วยเรื่องของที่อยู่ที่ไกลกันพอสมควร
          อาจเพราะความสนิทสนมหรือความไม่ค่อยมีมารยาทที่เป็นทุนเดิมของมันเองผมก็ไม่แน่ใจ เจ้าเพื่อนตัวดีไม่ได้ทักทายด้วยคำว่า สวัสดี อย่างที่คนทั่วๆไปเขาทำกัน
‘แถวบ้านกลุปอบลงว่ะ’
          เพราะรู้จักกันมานาน จึงทำให้รู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกันเป็นอย่างดี ถ้ามีเรื่องพวกนี้วนเวียนเข้ามาในชีวิต มีนก็เลือกที่จะปรึกษาผมในทันที ส่วนผมเองก็รู้ว่า ถ้าเหตุการณ์ไม่หนักหนามากมายอะไรจริงๆ มันก็คงไม่เลือกที่จะมาปรึกษาผม
          เราคุยกันต่ออีกสักพักก็ได้ความว่า ช่วงนี้ในหมู่บ้านของมีน ซึ่งจริงๆ แล้ว คือบ้านเดิมของแม่ที่อยู่แถบนอกเมืองออกไป มีคนสูงอายุตายติดต่อกันหลายราย เฉลี่ยแล้วก็ประมาณอาทิตย์ละหนึ่งคนเห็นจะได้
          ในหมู่บ้านแถบชนบทแบบนี้ มักจะเป็นชุมชนที่ตั้งรกรากมาเป็นเวลานาน ชีวิตความเป็นอยู่ก็ค่อนข้างจะไม่ทันสมัย แม้ไฟฟ้าสิ่งอำนวยความสะดวกจะเข้าถึง รวมทั้งร้านสะดวกซื้อและอินเตอร์เน็ต แต่พวกเขายังเคยชินกับวิถีชีวิตแบบเดิมๆ เสียมากกว่า ด้วยสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้เอง จึงยังมีเรื่องราวของหมอดูและคนทรงที่ประกาศตัวอย่างชัดเจน และได้รับความนับหน้าถือตาจากคนในชุมชนพอสมควร
          หลังจากที่มีกรณีนี้เกิดขึ้น เขาก็ได้ออกมาทำนายว่า สาเหตุของการเกิดอาเพศเช่นนี้นั้นมาจาก ปอบ ที่มาไล่กินชาวบ้านในหมู่บ้าน และจำเป็นจะต้องขับไล่มันออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด และเขาก็ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว
‘ก็ชัดเจนแล้วนี่หว่า มาถามอีกทำไมวะ’ ผมถามกลับไป
‘เออ ตอนแรกก็ว่ามันน่าจะจบ แต่หมอแกดันตายไปแล้วนี่ดิ’
          จากที่นอนเล่นอยู่บนเตียง ก็ถึงกับต้องลุกขึ้นมานั่ง มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าเป็นผลมาจากเรื่องที่เล่ามาจริงๆ ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ คนที่พอจะทำได้ก็ไม่อยู่เสียแล้ว เรื่องนี้ทำให้คนในหมู่บ้านยิ่งหวาดกลัวกันเข้าไปอีก บอกตามตรงว่า ผมก็เริ่มคิดที่จะเข้าไปยุ่งกับมันด้วยตัวเองแทบจะในทันที
‘แล้วไง คือจะให้กลุไปบ้านแม่มลึง?’ ผมถามเพื่อความแน่ใจ
‘ได้ป่ะวะ กลุไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ว่ะ’ มันก็คงจะจนปัญญาเหมือนกัน
‘เดี๋ยวก่อนนะ คือ พ่อแม่มลึงรู้เรื่องกลุหรอวะ’ ผมนึกขึ้นได้
‘ไม่ดิ ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ กลุก็ไม่รู้จะพูดจะบอกยังไงว่ะ’
‘แล้วมลึงจะให้กลุไปทำไม ใครเขาจะฟังกลุ’
‘ก็นั่นน่ะสิวะ กลุไม่รู้โว้ย กลุแค่กังวล เอาเป็นว่ามาหากลุแล้วกัน ถือว่าไม่เจอกันนาน คิดถึง แล้วมลึงก็ลองสอดส่องดู อะไรที่พอแนะนำได้มลึงก็แอบๆ บอกกลุแล้วกัน อย่างน้อยก็บ้านกลุวะ’
          สรุปแล้วผมก็คงต้องไปเจอมีนอย่างที่ได้เล่าไป แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตนเองไปในฐานะอะไร ไปเพื่ออะไร ไปแล้วจะทำอะไรได้ อีกอย่างผมกับพ่อแม่ของมีนก็เคยเจอกันมาหลายครั้ง เรียกได้ว่าค่อนข้างสนิท การที่อยู่ดีๆ เราจะไปบอกเขาว่า เราเป็นอย่างนี้ มันก็คงฟังดูแปลกๆ เพื่อนลูกชายที่รู้จักกันมานานกลับไม่ปกติเสียนี่
          ผมกับมีนนัดเจอกันที่จังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของแม่ เพราะเราเรียนกันคนละที่ การนัดเจอกันปลายทางจึงเป็นเรื่องง่ายที่สุดในเวลานี้ ผมลงจากรถประจำทางตามที่มีนบอกผมไว้ก็มาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ในตัวเมือง โดยที่มันนั่งรอผมอยู่แล้วที่ร้านอาหารข้างใน
          เราเจอกันก็ทักทายกันตามปกติ แม้จะคิดถึงกันมากแต่จะให้ผู้ชายมาแสดงออกอะไรอย่างนี้มันก็คงจะเขินๆ ไม่ใช่น้อย ผมกับมีนขับรถออกจากห้างมาตามทาง อย่างที่ได้บอกไปว่า ผมค่อนข้างจะชอบความรู้สึกที่ได้ออกเดินทางไปตามที่ต่างๆแม้ว่าจะไม่ได้บ่อยนัก และไม่ค่อยได้ไปที่ไกลๆ สักเท่าไหร่
          นานมากแล้วที่ผมเคยมาเยือนจังหวัดนี้ (ขอไม่บอกนะครับ) หลายปีผ่านไป อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปเช่นกัน บ้านเมืองที่ผมเคยคิดว่ามันบ้านนอกไม่มีอะไร บวกกับคำบอกเล่าของเพื่อนตัวดี พอมาได้เห็นด้วยตาก็รู้สึกประหลาดใจ ที่ตอนนี้บ้านเมืองมันเจริญขึ้นมาก ถนนหนทางเป็นระเบียบมีห้างร้านทันสมัยมากมาย แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกต่างจังหวด เหมือนอย่างเคย
          เกือบชั่วโมงที่อยู่บนรถคันเก่งของเพื่อน เราก็มาถึงอีกอำเภอหนึ่งซึ่งเป็นที่หมาย และก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมต้องประหลาดใจ เพราะมันไม่ได้บ้านนอกอย่างที่เพื่อนผมได้บอกเอาไว้เลย แม้จะมีบ้านบางหลังเป็นไม้เก่าๆ ยกใต้ถุนสูง มีสวนผลไม้ตามข้างทางสลับกับป่ากล้วย แต่ถนนใหญ่ของชุมชนก็ถูกราดยางเป็นอย่างดี มีเส้นถนน มีเสาไฟ มีร้านสะดวกซื้อให้เห็น มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ บ้านหลายๆ หลังเริ่มทยอยปรับปรุงกลายเป็นบ้านปูนอย่างทันสมัย
          ในตอนนั้น ผมลืมไปชั่วครู่ว่าผมมาที่นี่ทำไม ผมมัวเพลินกับการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตามสองข้างทาง ความแตกต่างที่ลงตัวบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ บ้านกลางเก่ากลางใหม่ทำให้มันดูสวยแปลกตา แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ ที่ประตูรั้วของแต่ละบ้านจะมีของบางอย่างแขวนห้อยเอาไว้ บ้างก็ทำฐานที่ตั้งใหม่อย่างดี
          รั้วบ้านแถวนั้นยังเป็นแบบซี่เหล็กห่างๆ ส่วนบนจะเป็นส่วนแหลม ช่องว่างพอให้เราลอดแขนผ่านได้สบาย ที่รั้วจะมีไม้ลวก (ไม้หนาม หรือใช้ไม้ไผ่เหลาให้แหลม) บ้างก็เป็นผ้าถุงเก่าๆ เปื้อนๆ บ้างก็เป็นพระพุทธรูป แต่ที่แปลกตาที่สุดก็คงจะเป็นหุ่นฟางที่ทำเป็นตัวแทนมนุษย์แขวนไว้ที่รั้วหน้าบ้าน เหมือนกับการตั้งหุ่นไล่กา
‘กลุบอกแล้ว ชาวบ้านกลัวกันยิ้ม’ มีนพูดโดยไม่ได้หันมามองทางผม
          ไม่นานเราก็มาถึงบ้านของมีนที่อยู่ใจกลางชุมชน หน้าบ้านมีร้านขายของที่ใช้เลี้ยงดูส่งแม่เรียนของคุณยาย ผมกล่าวทักทายทุกคนในบ้านด้วยความเคยชิน แม่กับพ่อของมีนยังจำผมได้ แต่ก็แอบไปกระซิบกับมีน โดยที่เจ้าตัวมาเล่าให้ผมฟังทีหลังว่า แม่ถามว่า ‘พาเพื่อนมาช่วงนี้จะดีเหรอ’ มีนก็หัวเราะกลบเกลื่อนตอบกลับไปขำๆ ว่า ‘ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ มันมีพระดี’
          คืนนั้นเรายังไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ออกไปเตร็ดเตร่รอบๆ หมู่บ้านที่พอจะมีที่สวยๆ ให้ไปถ่ายรูปเล่นอยู่บ้าง ช่วงหัวค่ำเรากลับมาทานอาหารเย็นและสังสรรค์กันเล็กน้อยตามประสาผู้ชายโดยมี ผม มีน และพ่อของมีนนั่งกินกัน 3 คน
          บทสนทนานั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษจนเวลาตกดึกพ่อก็เริ่มถามผมว่า ‘เชื่อเรื่องผีไหม’ ผมก็ตอบไปตามตรงว่า ‘เชื่อครับ’ พ่อหัวเราะร่วนก็จะแซวผมเล่นๆ ว่า ‘เฮ้ย แกเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรอ’ สักพักจากการแซวกันขำๆ พ่อก็เริ่มวนเช้าเรื่อง ทั้งที่พ่อไม่ได้รู้เรื่องของผมเลยแม้แต่น้อย แต่ก็คงอยากจะบอกเอาไว้เพื่อความสบายใจของคนเป็นผู้ใหญ่ที่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบชีวิตของคนที่มีอายุน้อยกว่าอย่างผม
          ช่วงนี้มันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนิดหน่อยในละแวกนี้ เคยได้ยินเรื่องผีปอบไหมล่ะ มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหละ แต่บางคนที่เขาหัวสมัยใหม่หน่อย ก็ว่าเป็นการตายตามอายุไขบ้าง สภาพอากาศบ้าง โรคนั่นนี่บ้างที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่ก็อย่างว่า เรื่องพวกนี้ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ช่างมัน ส่วนตัวพ่อเองก็ค่อนข้างเชื่อนะ เพราะเคยเจออะไรๆ ประมาณนี้มาก่อน
          พ่อยกแก้วเบียร์ในมือกระดกรวดเดียวหมด ก่อนจะหันมารินเติมใหม่แล้วชี้นิ้วออกไปนอกบ้าน เห็นไหมล่ะ แค่หัวค่ำเองเขาก็ปิดบ้านกันหมดแล้ว เหลือแต่ไฟในบ้านไม่มีใครออกมานั่งกินนั่งดื่มอะไรอย่างพวกเรา ก่อนหน้านี้คนที่เขาดูแลเรื่องนี้ก็เพิ่งป่วยตายไปเสียเฉยๆ แต่พรุ่งนี้ก็คงจะพอมีทางออกเอง ยังไงก็อย่าเพิ่งออกไปเที่ยวไหนกันดึกๆ นะ
          เบียร์ในแก้วหมดไปอีกรอบ จากนั้นพ่อจึงขอตัวกลับเข้าไปนอน ปล่อยให้เราสองคนนั่งคุยกันเองตามประสาเพื่อนจะดีกว่า ผมสองคนนั่งกันต่ออีกสักพัก พูดคุยเรื่องราวในชีวิตที่ห่างหายกันไปอีกสองชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อเห็นว่าคนในบ้านหลับหมดแล้วเราจึงเริ่มแผนที่แอบคุยกันไว้ตั้งแต่ต้น
          มีนค่อนๆ เข็นรถมอเตอร์ไซด์ออกมาจากบ้านอย่างเงียบๆ ผมค่อยๆ ปิดรั้วให้เสียงเบาที่สุด เราเข็นรถออกมาให้ห่างจากตัวบ้านพอสมควร จึงค่อยสตาร์ทรถ
          เราวิ่งฝ่าความมืดที่พอมีแสงสว่างจากไฟถนนที่เพิ่งจะมีได้ไม่นาน โดยมีผมเป็นคนซ้อน เราไม่มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษเพียงแค่ขี่รถวนไปวนมาเท่านั้น ‘เผื่อว่าจะเจออะไรบ้าง’
          ระหว่างทางเราไม่ได้คุยกันมากนัก ผมไม่เท่าไหร่แต่มีนคงจะกลัวไม่ใช่น้อย แม้เราจะสนิทกันก็จริง แต่มีนก็ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกับผม ทำให้ไม่ค่อยได้ร่วมหัวจมท้ายกับผมมากนัก ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สองหรือไม่ก็สามเท่านั้น
          ชุมชนแถวนั้นค่อนข้างกว้างกินพื้นที่พอสมควร เราวิ่งเข้าออกซอยเล็กซอยน้อยสลับกับถนนใหญ่ ผมไม่ได้เห็นอะไรเป็นพิเศษ นอกจากความรู้สึกเสียวสันหลัง เหมือนกับมีใครคอยมองอยู่ตลอดเวลา
          ความรู้สึกนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่มันก็มากพอที่จะทำให้แน่ใจว่า ‘ไม่ปกติ’ ผมไม่แน่ใจว่าวันนั้นเป็นคืนเดือนมืดหรือเมฆฝนรึเปล่า แต่ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ไม่มีแสงดาว ไม่มีพระจันทร์เหมือนอย่างเคย อากาศเย็นผิดกับเมื่อตอนค่ำอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างคือมีลมที่โชยพัดอ่อนๆ น่าขนลุกมากกว่าสบายตัว ทำให้ผมต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
          เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ ความรู้สึกไม่ดีชัดเจนขึ้นทีละน้อย ผมสะกิดให้มีนรู้ตัวว่า เราควรกลับกันได้แล้ว เราหันรถกลับไปทางที่ผ่านมาเพื่อกลับบ้าน รถมอเตอร์ไซด์รุ่นใหม่ที่เครื่องยังดีอยู่กลับเกิดอาการกระตุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันดับอยู่หลายครั้ง แต่ก็สตาร์ทติดได้โดยง่าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่