เมื่อปี 2557 ผมได้เขียนกระทู้หนึ่งที่มีชื่อว่า ‘อีกเรื่องเล่า...จากลูกพระนเรศ’ เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมและคนรอบข้างในช่วงเวลานั้น ในครั้งแรกที่เขียนผมยังไม่ได้คิดอะไรมากแค่อยากเล่า เอาสนุก จนเวลาผ่านไปหลายปีผมยังคงเขียนต่อมาเรื่อยๆ จนมันค่อยๆตกผลึกในความคิดของผมเองว่า ผมอยากเขียนใหม่ เพราะเรื่องราวบางส่วนตกหล่นขาดหายไปค่อนข้างเยอะเพราะไม่ได้ใส่ใจ และไม่ได้สอบถามจากพี่ๆที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆมาอย่างละเอียด อีกอย่างตอนนั้นผมสมมติตัวผมขึ้นมาเป็น บุคคลที่ 3 ไม่ได้ใช้ตัวเองในการเล่าเรื่อง ภาษาที่ใช้ก็ยังไม่เอาอ่าวใดๆ วันนี้ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ ด้วยความตั้งใจอย่างแท้จริง เพื่อคงไว้ซึ่งพระนามแห่งท่านในอีกแง่มุมหนึ่ง จึงเลือกวันนี้ที่เป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยนเรศวร และเป็นวันคล้ายวันครบรอบการขึ้นครองราชย์ขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในอดีต
ใครที่เคยได้อ่านกระทู้ก่อนหน้านี้มาแล้ว ไม่ต้องกลัวครับ กระทู้นี้มีหลายๆส่วนที่กระทู้นั้นไม่มี เรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกท่านแน่ๆ ถ้าถามว่า ผมแต่งเพิ่มรึเปล่า... ไม่ใช่ครับผมแค่กลับมาเรียบเรียงความคิดและเหตุการณ์ สัมภาษณ์ทุกคนในเหตุการณ์ถึงสิ่งที่ตกหล่นไปเท่านั้น
ปล.เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากท่านใดมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
......................................................................
นะมามิ สิระสา พิมพัง
พุทธะ ญานะ นเรศวร
สัพพะ ทุกขะ สเมตารัง
สันติทัง สุขขะทัง สะทาติ
......................................................................
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผมเรียนอยู่ชั้นปี 1 โดยตอนนั้นผมใช้รหัสนิสิตขึ้นต้นด้วย 56 ตามปีที่ใช้ในการสอบเข้า ตอนนี้ผมจบจากมหาวิทยาลัยแห่งนั้นมาได้ประมาณหนึ่งปีเศษแล้ว แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นทุกคนทุกเหตุการณ์ยังคงชัดใจในความคิดของผมเรื่อยมา เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปโดยสิ้นเชิง
คำว่า ลูกพระนเรศ ไม่ได้หมายความถึง บุตรและธิดาในองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่เป็นคำที่ใช้เรียกแทนนิสิตในมหาวิทยาลัยนเรศวรซึ่งถวายตัวเป็นลูกหลานเพื่อขอให้ท่านช่วยดูแลคุ้มครองและเป็นนัยถึงการขออาศัยพระนามท่านตลอดการศึกษา โดยทุกๆปีจะมีพิธีถวายตัวสำหรับนิสิตใหม่อยู่เสมอ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยได้เข้าร่วมในพิธีนั้นเช่นกัน
อาจจะต้องเกริ่นก่อนนิดหนึ่งว่าผมเองเกิดมาพร้อม ความผิดปกติ อย่างหนึ่ง หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่าพวกเห็นผี แต่ผมอาจจะมากไปกว่านั้นสักเล็กน้อยเพราะนอกจากมองเห็นแล้วผมยังสามารถพูดคุยและรับฟังเสียงของพวกเขาได้ในบางเวลา ผมผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะพอสมควรสำหรับตัวผมเอง หลายๆคนอาจเคยได้อ่านกันบ้างแล้วในกระทู้อื่นๆ ผมมีความสามารถพิเศษอีกอย่างคือ ดูดวง ทำให้หลายๆคนเข้ามาหาผมเพราะเรื่องนี้เช่นกัน
เรื่องนี้เมื่อมาทบทวนดูดีๆแล้วมันเริ่มต้นจากเรื่องราวเล็กๆที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะสร้างความวุ่นวายให้คนหลายคน คืนนั้นผมถูก พี่มุก เรียกให้เข้ามาพบที่ภาควิชาในช่วงหัวค่ำเพราะเพื่อนๆของพี่มุกอยากดูดวงกันหลังจากที่พี่เขาได้เอาผมไปโฆษณาหลอกล่อเพื่อนๆเอาไว้หลายอย่าง
ผมกับเพื่อนสองคนที่ผมมักจะดึงตัวมันไว้ทุกครั้งที่ต้องออกมาข้างนอกมาถึงที่จอดรถของภาควิชาในช่วงค่ำ เวลานี้ตึกเรียนมีแต่ความเงียบและแสงสีส้มของลานจอดรถ สนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งถนนมีคนพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นดูน่ารักดี แต่หากมองเลยไปอีกนิดจะมีแต่ทิวไม้และความวังเวง คืนนั้นมืดมากไม่มีแสงจันทร์และแสงดาวช่วยให้ความสว่างแม้แต่น้อย
เราเดินผ่านโต๊ะยามที่ตอนนั้นว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ ทันทีที่ผ่านประตูเข้ามาก็ต้องหยุดชะงักเพราะทั่วทั้งตึกนั้นมืดสนิทไม่มีแม้ไฟสักดวงเปิดเอาไว้ พวกผมที่เป็นเด็กใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่จึงไม่รู้ว่าสวิทซ์ไฟนั้นอยู่ตรงไหน เราเลือกที่จะเดินผ่านความมืดไปยังอีกฝั่งของตึกภาควิชาที่มีโถงกว้างและอ่างปลาล้อมรอบกั้นเอาไว้
แฟลชมือถือคือเครื่องนำทางที่ดีที่สุดในเวลานั้น เราเดินมาจนสุดโถงกว้างก่อนจะถึงทางเชื่อมแคบๆออกไปยังโรงอาหารของคณะ ทางเดินตรงนั้นเป็นช่องแคบกว้างประมาณ 4- 5 เมตร สองข้างทางเป็นห้องปฏิบัติการไม่มีหน้าตาที่ตรงนั้นจึงมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวๆจากระตูทางเชื่อมที่อยู่สุดทางเดินเท่านั้น
เรายืนมองหน้ากันอย่างหวาดๆเพราะวันนั้นไม่มีใครอยู่ในตึกเลยสักคนเดียวนอกจากเราสามคน อีกอย่างเราก็ไม่รู้ด้วยว่า ห้องชมรมที่พี่มุกบอกเราไว้มันอยู่ตรงไหนของตึกเรียนแห่งนี้ เพื่อนผมสาดไฟฉายสองไปมาใกล้ๆกับกำแพงห้องน้ำเพื่อมองหาสวิทซ์ไฟทางเดิน
‘อย่าเปิดนะ’
พวกเราสะดุ้งสุดตัวแทบจะหัวใจวายหลายจากได้ยินเสียงของพี่ส้มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำใกล้ๆตรงที่พวกผมยืนอยู่ พี่ส้มเห็นว่าเรากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดไฟทางเดินจึงรีบห้ามเพราะเป็นนโยบายประหยัดไฟของทางภาควิชา หลังเวลาเลิกเรียนให้งดใช้ไฟที่ไม่จำเป็น เปิดได้เฉพาะในห้องปฏิบัติการเท่านั้น
พี่ส้มที่เป็นเพื่อนของพี่มุกซึ่งผมเคยเจอมาก่อนแล้วสองสามครั้งเดินนำพวกเราไปตามทางเดินอย่างคล่องแคล่ว อาจเพราะพี่เขาอยู่ที่นี่มาเกินกว่า 5 ปีแล้วก็เป็นได้ เราเดินตรงมาได้ประมาณครึ่งหนึ่งของทางเดินยาวก็เห็นห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่มีประตูสองชั้นกั้นเอาไว้อีกทั้งตรงส่วนที่เป็นกระจกของประตูยังมีกะดาษและฟิวเจอร์บอดร์ดปิดเอาไว้ทั้งแผ่น ไม่แปลกที่เราจะไม่เห็นแสงสว่างจากห้องนี้เลย
ผมเดินเข้ามาในประตูของห้องที่มีป้ายไม้เล็กๆติดเอาไว้หนือวงกบว่า ‘ชมรมเคมี’ ผ่านประตูไม้ชั้นแรกจะมีประตูกะจกอีกหนึ่งบานก่อนเข้าไปในห้อง ด้านในเป็นห้องเล็กๆมีโต๊ะเก้าอี้และโซฟาประมาหนึ่งตามมุมห้องมีชั้นหนังสือเอาไว้เก็บหนังสือเรียนและวิทยานิพนธ์ของรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว
ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยสีขาวทั้งหมด วันนั้นมีพี่ๆ ป.โท มานั่งรอผมอยู่ประมาณ 6-7 คนรวมพี่มุกและพี่ส้มที่เพิ่งนำทางมา แต่ผมกลับสะดุดตากับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมยังไม่ทราบชื่อในตอนนั้น พี่เขานั่งอยู่ที่มุมในสุดของห้องสายตาที่เขามองมาที่ผมนั้นไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ มันแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความไม่พอใจที่มี
‘กรุกลับแล้วนะ’
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากทักทายพี่ๆในห้องพี่คนนั้นก็ลุกเดินออกจากห้องผ่านตัวผมไปโดยที่ไม่มองหน้ากันเลยสักนิด ตอนที่พี่เขาเดินผ่านผมไปนั้นผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบขนลุกชูชันไปจนถึงต้นคอ ด้วยความตกใจจึงหันตามไปมองพี่เขาที่ตอนนี้แผ่นหลังเพิ่งพ้นประตูหน้าห้องไป แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้ผมต้องขนลุกอีกครั้งเพราะพี่คนที่เพิ่งเดินออกไปนั้นมีเงาดำแปลกๆเดินตามเขาไปด้วย
ผมเดินไปตรงประตูทางออกยื่นหน้ามองตามพี่เขาบนทางเดิน แม้จะเป็นแค่ชั่วแวบเดียวที่ได้เห็นแต่ภาพนั้นก็ติดตา เบื้องหลังของรุ่นพี่ที่เพิ่งเดินออกไปนั้นมีเงาร่างดำทะมึนของชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินตามติดด้วยระยะห่างไม่ถึงครึ่งเมตร ชายคนนั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้าช่วงล่างเป็นผ้าโจงกระเบนเก่าๆมัดเอาไว้อย่างลวกๆ ตามเนื้อตัวมีรอยสักเป็นอักขระยันต์หลายแห่ง แต่ที่น่าขนลุกที่สุดคือแอกไม้ขนาดใหญ่ที่ล่ามมือทั้งสองข้างให้อยู่สูงขึ้นมาในระดับเดียวกับหัว
หลังจากตกใจและได้สติกลับมาภาพตรงหน้านั้นก็หายไปเหลือเพียงเสียงฝีเท้าของรุ่นพี่ที่เดินผ่านความมืดออกไปยังหน้าตึกภาควิชา ตัวผมเองเดินกลับเข้ามาสนทนากับพี่คนอื่นๆที่ยังเหลืออยู่ในห้องเล็กๆนั้น
พี่มุกบอกกับผมว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงนั้น พี่วิท ที่เพิ่งเดินออกไปเป็นคนหนึ่งที่อยากดูดวงกับผมเป็นอย่างมากและค่อนข้างตื่นเต้นตั้งแต่วันที่พี่มุกได้คุยให้ฟังก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ผมจะเหยียบเข้ามาในห้องนี้พี่เขาเองยังคงพูดคุยกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน ยังพูดอยู่เลยว่าจะถามเรื่องนั้นเรื่องนี้
‘เพื่อนพี่มันเป็นอะไรรึเปล่า’ พี่มุกถามเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
‘จะว่ามีมันก็คงมีแหละครับ พี่เขาดูแปลกๆ’ ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไปอย่างชัดเจนในตอนนั้น
เราเปลี่ยนหัวข้อสนทนากันก่อนชั่วคราวเป็นเรื่องของพี่ๆที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแทนจนเวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งคืน ก่อนจะกลับพี่มุกกับเพื่อนๆวนเข้ามาถามถึงพี่วิทอีกครั้ง ผมไม่ได้มีข้อสรุปใดๆให้ เพียงแต่บอกเล่าในสิ่งที่เห็นเท่านั้น ผมสังเกตได้นิดหนึ่งว่าสีหน้าของทุกคนในห้องดูไม่ประหลาดใจนักเหมือนกับคาดการณ์กันไว้อยู่ก่อนแล้วว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้
ด้วยความสงสัยผมจึงถามกลับไปว่า ‘มีอะไรหรือเปล่า’ แต่พี่มุกก็ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังบอกไว้แต่ว่า ‘แล้วจะบอกอีกที’ แต่ตอนนี้พี่มุกต้องการทางออกเพื่อช่วยเหลือและเพื่อพิสูจน์ว่า ตอนนี้มันมีสิ่งผิดปกติเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเพื่อนของพวกเขาจริงๆแล้วหรือไม่
ทางออกที่ผมแนะนำคือการ ไปเอาน้ำมนต์จากวัดใหญ่มาให้พี่วิทดื่ม เพราะโดยปกติแล้วน้ำมนต์ที่ผ่านการสวดทำวัตรมาอย่างยาวนานจะมีพุทธคุณมากพอที่จะขับไล่สิ่งไม่ดีให้ออกไปจากคนนั้นๆได้ แต่ถ้าไม่ได้มีอะไรเกาะกุมอยู่ก็จะเป็นเพียงการดื่มน้ำธรรมดาๆเท่านั้น หากเกิดอาการใดๆขึ้นมาเราอาจจะพอสรุปได้อย่างคร่าวๆว่า มันไม่ปกติ
วันรุ่งขึ้นพี่มุกและเพื่อนๆนัดกันว่าจะไปเอาน้ำมนต์ตามที่ผมบอกในช่วงเช้าเพราะผมกำชับไว้ว่าควรจะเป็นช่วงเวลาก่อนเพลจะดีที่สุด แต่แผนที่วางไว้ก็กลับตาลปัตรทั้งหมดเพราะทุกคนติดต่อกันไม่ได้ ไม่ว่าใครจะโทรหากันก็โทรไม่ติดเหมือนสัญญาณไม่ดีหรือไม่ก็โทรศัพท์พัง แปลกที่มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน เมื่อติดต่อกันไม่ได้ก็ยังไม่มีใครเคลื่อนตัวออกจากหอพัก กลัวว่าจะคลาดกันไปมา
พี่ส้มที่เป็นเจ้าของรถยนต์ร้อนใจกลัวว่าจะมาไม่ทันตรงกับที่พี่มุกก็คิดเช่นนั้น พี่มุกตัดสินใจขี่รถมอเตอร์ไซด์ออกจากหามาที่หอพักของพี่ส้มทั้งที่ไม่สามารถติดต่อกันได้ เมื่อมาถึงก็พบว่าพี่ส้มได้มายืนรออยู่ที่จอดรถด้วยอาการกระวนกระวายอยู่ก่อนแล้ว
หลังจากทั้งสองคนได้เจอกันนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่ามันเกือบๆจะสิบโมงแล้ว ทั้งสองตัดสินใจขับรถยนต์ออกจากหอโดยจะวนไปจอดที่หอพักของเพื่อนๆทุกคนที่นัดไว้ ถ้าเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอก็จะไปกันสองคนทั้งอย่างนี้ ทุกวินาทีที่นั่งอยู่บนรถพี่มุกพยายามกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนทุกคนสลับกันแต่มันก็ยังไม่ได้ผลเช่นเดิม แม้จะเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์ของพี่ส้มก็ให้ผลไม่ต่างกัน
โชคดีเป็นของทุกคน เพราะเมื่อรถยนต์ของพี่ส้มเคลื่อนตัวมาถึงหน้าปากซอยก่อนจะเข้าสู่ถนนใหญ่รอบมหาวิทยาลัย พวกเพื่อนคนอื่นๆก็วนรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่หน้าซอยนั้นพอดิบพอดี ทุกคนรีบเอารถไปเก็บที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆก่อนจะขึ้นรถมาด้วยอาการกระวนกระวายไม่แพ้กัน
บนรถทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมๆกันว่า ‘ทำไมเราโทรหากันไม่ติด’ ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้แต่ทุกคนก็คิดเหมือนกันๆว่าจะเสี่ยงดวงเอาเลยขี่รถออกมาแล้วก็โชคดีที่ทั้งหมดมาเจอกันตรงหน้าปากซอยโดยบังเอิญ เรื่องแปลกๆยังไม่หมดแค่นั้นตลอดทางจากมหาวิทยาลัยไปถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนั้นเป็นตัวเลขประมาณ 10 กิโล ทั้งที่พี่ส้มขับรถยนต์จนชินมือแล้วแต่วันนั้นรถกลับกระตุกเหมือนจะดับอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีรถใหญ่อย่างรถทัวร์รถบรรทุกคอยเบียบดและแซงอย่างหน้าหวาดเสียวอีกหลายครั้งจนคนในรถกรี๊ดตกใจกันไปตามๆกัน
การเดินทางที่แข่งกับเวลาทำให้คนขับรถเริ่มเครียด แต่ก็ต้องพยายามประคองตัวเองให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด เมื่อมาถึงที่วัดก็ยังต้องเสียงเวลาวนรถหาที่จอดอีกพักหนึ่งเวลาที่เหลือเริ่มน้อยลงเรื่อยๆจนพี่มุกบอกว่าจะลงจากรถไปก่อนเพื่อวิ่งไปยังวิหารก่อนแล้วค่อยให้เพื่อนๆตามมาทีหลัง
เมื่อสิ้นสุดคำพูดนั้นพี่ส้มก็ได้ที่จอดรถในทันที ทุกคนเลือกที่จะวิ่งแทนที่จะค่อยๆเดิน ที่ทางเข้าด้านข้างวิหารทุกคนพยายามมองหาถังน้ำมนต์ที่ผมบอกเพราะไม่เคยมากันเอง ตรงนั้นมีพระรูปหนึ่งยืนกวาดลานวัดอยู่ใกล้ๆ พระรูปนั้นเห็นพวกพี่ๆก็ยิ้มเรียกให้เข้ามาหาแล้วถามว่า ‘มาเอาน้ำมนต์กันเหรอโยม ทางนี้ๆ’
อีกเรื่องเล่า...จากลูกพระนเรศ (เขียนใหม่)
ใครที่เคยได้อ่านกระทู้ก่อนหน้านี้มาแล้ว ไม่ต้องกลัวครับ กระทู้นี้มีหลายๆส่วนที่กระทู้นั้นไม่มี เรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกท่านแน่ๆ ถ้าถามว่า ผมแต่งเพิ่มรึเปล่า... ไม่ใช่ครับผมแค่กลับมาเรียบเรียงความคิดและเหตุการณ์ สัมภาษณ์ทุกคนในเหตุการณ์ถึงสิ่งที่ตกหล่นไปเท่านั้น
ปล.เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากท่านใดมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
นะมามิ สิระสา พิมพัง
พุทธะ ญานะ นเรศวร
สัพพะ ทุกขะ สเมตารัง
สันติทัง สุขขะทัง สะทาติ
......................................................................
เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผมเรียนอยู่ชั้นปี 1 โดยตอนนั้นผมใช้รหัสนิสิตขึ้นต้นด้วย 56 ตามปีที่ใช้ในการสอบเข้า ตอนนี้ผมจบจากมหาวิทยาลัยแห่งนั้นมาได้ประมาณหนึ่งปีเศษแล้ว แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นทุกคนทุกเหตุการณ์ยังคงชัดใจในความคิดของผมเรื่อยมา เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปโดยสิ้นเชิง
คำว่า ลูกพระนเรศ ไม่ได้หมายความถึง บุตรและธิดาในองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่เป็นคำที่ใช้เรียกแทนนิสิตในมหาวิทยาลัยนเรศวรซึ่งถวายตัวเป็นลูกหลานเพื่อขอให้ท่านช่วยดูแลคุ้มครองและเป็นนัยถึงการขออาศัยพระนามท่านตลอดการศึกษา โดยทุกๆปีจะมีพิธีถวายตัวสำหรับนิสิตใหม่อยู่เสมอ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยได้เข้าร่วมในพิธีนั้นเช่นกัน
อาจจะต้องเกริ่นก่อนนิดหนึ่งว่าผมเองเกิดมาพร้อม ความผิดปกติ อย่างหนึ่ง หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่าพวกเห็นผี แต่ผมอาจจะมากไปกว่านั้นสักเล็กน้อยเพราะนอกจากมองเห็นแล้วผมยังสามารถพูดคุยและรับฟังเสียงของพวกเขาได้ในบางเวลา ผมผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะพอสมควรสำหรับตัวผมเอง หลายๆคนอาจเคยได้อ่านกันบ้างแล้วในกระทู้อื่นๆ ผมมีความสามารถพิเศษอีกอย่างคือ ดูดวง ทำให้หลายๆคนเข้ามาหาผมเพราะเรื่องนี้เช่นกัน
เรื่องนี้เมื่อมาทบทวนดูดีๆแล้วมันเริ่มต้นจากเรื่องราวเล็กๆที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะสร้างความวุ่นวายให้คนหลายคน คืนนั้นผมถูก พี่มุก เรียกให้เข้ามาพบที่ภาควิชาในช่วงหัวค่ำเพราะเพื่อนๆของพี่มุกอยากดูดวงกันหลังจากที่พี่เขาได้เอาผมไปโฆษณาหลอกล่อเพื่อนๆเอาไว้หลายอย่าง
ผมกับเพื่อนสองคนที่ผมมักจะดึงตัวมันไว้ทุกครั้งที่ต้องออกมาข้างนอกมาถึงที่จอดรถของภาควิชาในช่วงค่ำ เวลานี้ตึกเรียนมีแต่ความเงียบและแสงสีส้มของลานจอดรถ สนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งถนนมีคนพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นดูน่ารักดี แต่หากมองเลยไปอีกนิดจะมีแต่ทิวไม้และความวังเวง คืนนั้นมืดมากไม่มีแสงจันทร์และแสงดาวช่วยให้ความสว่างแม้แต่น้อย
เราเดินผ่านโต๊ะยามที่ตอนนั้นว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ ทันทีที่ผ่านประตูเข้ามาก็ต้องหยุดชะงักเพราะทั่วทั้งตึกนั้นมืดสนิทไม่มีแม้ไฟสักดวงเปิดเอาไว้ พวกผมที่เป็นเด็กใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่จึงไม่รู้ว่าสวิทซ์ไฟนั้นอยู่ตรงไหน เราเลือกที่จะเดินผ่านความมืดไปยังอีกฝั่งของตึกภาควิชาที่มีโถงกว้างและอ่างปลาล้อมรอบกั้นเอาไว้
แฟลชมือถือคือเครื่องนำทางที่ดีที่สุดในเวลานั้น เราเดินมาจนสุดโถงกว้างก่อนจะถึงทางเชื่อมแคบๆออกไปยังโรงอาหารของคณะ ทางเดินตรงนั้นเป็นช่องแคบกว้างประมาณ 4- 5 เมตร สองข้างทางเป็นห้องปฏิบัติการไม่มีหน้าตาที่ตรงนั้นจึงมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวๆจากระตูทางเชื่อมที่อยู่สุดทางเดินเท่านั้น
เรายืนมองหน้ากันอย่างหวาดๆเพราะวันนั้นไม่มีใครอยู่ในตึกเลยสักคนเดียวนอกจากเราสามคน อีกอย่างเราก็ไม่รู้ด้วยว่า ห้องชมรมที่พี่มุกบอกเราไว้มันอยู่ตรงไหนของตึกเรียนแห่งนี้ เพื่อนผมสาดไฟฉายสองไปมาใกล้ๆกับกำแพงห้องน้ำเพื่อมองหาสวิทซ์ไฟทางเดิน
‘อย่าเปิดนะ’
พวกเราสะดุ้งสุดตัวแทบจะหัวใจวายหลายจากได้ยินเสียงของพี่ส้มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำใกล้ๆตรงที่พวกผมยืนอยู่ พี่ส้มเห็นว่าเรากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดไฟทางเดินจึงรีบห้ามเพราะเป็นนโยบายประหยัดไฟของทางภาควิชา หลังเวลาเลิกเรียนให้งดใช้ไฟที่ไม่จำเป็น เปิดได้เฉพาะในห้องปฏิบัติการเท่านั้น
พี่ส้มที่เป็นเพื่อนของพี่มุกซึ่งผมเคยเจอมาก่อนแล้วสองสามครั้งเดินนำพวกเราไปตามทางเดินอย่างคล่องแคล่ว อาจเพราะพี่เขาอยู่ที่นี่มาเกินกว่า 5 ปีแล้วก็เป็นได้ เราเดินตรงมาได้ประมาณครึ่งหนึ่งของทางเดินยาวก็เห็นห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่มีประตูสองชั้นกั้นเอาไว้อีกทั้งตรงส่วนที่เป็นกระจกของประตูยังมีกะดาษและฟิวเจอร์บอดร์ดปิดเอาไว้ทั้งแผ่น ไม่แปลกที่เราจะไม่เห็นแสงสว่างจากห้องนี้เลย
ผมเดินเข้ามาในประตูของห้องที่มีป้ายไม้เล็กๆติดเอาไว้หนือวงกบว่า ‘ชมรมเคมี’ ผ่านประตูไม้ชั้นแรกจะมีประตูกะจกอีกหนึ่งบานก่อนเข้าไปในห้อง ด้านในเป็นห้องเล็กๆมีโต๊ะเก้าอี้และโซฟาประมาหนึ่งตามมุมห้องมีชั้นหนังสือเอาไว้เก็บหนังสือเรียนและวิทยานิพนธ์ของรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว
ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยสีขาวทั้งหมด วันนั้นมีพี่ๆ ป.โท มานั่งรอผมอยู่ประมาณ 6-7 คนรวมพี่มุกและพี่ส้มที่เพิ่งนำทางมา แต่ผมกลับสะดุดตากับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมยังไม่ทราบชื่อในตอนนั้น พี่เขานั่งอยู่ที่มุมในสุดของห้องสายตาที่เขามองมาที่ผมนั้นไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ มันแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความไม่พอใจที่มี
‘กรุกลับแล้วนะ’
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากทักทายพี่ๆในห้องพี่คนนั้นก็ลุกเดินออกจากห้องผ่านตัวผมไปโดยที่ไม่มองหน้ากันเลยสักนิด ตอนที่พี่เขาเดินผ่านผมไปนั้นผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบขนลุกชูชันไปจนถึงต้นคอ ด้วยความตกใจจึงหันตามไปมองพี่เขาที่ตอนนี้แผ่นหลังเพิ่งพ้นประตูหน้าห้องไป แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้ผมต้องขนลุกอีกครั้งเพราะพี่คนที่เพิ่งเดินออกไปนั้นมีเงาดำแปลกๆเดินตามเขาไปด้วย
ผมเดินไปตรงประตูทางออกยื่นหน้ามองตามพี่เขาบนทางเดิน แม้จะเป็นแค่ชั่วแวบเดียวที่ได้เห็นแต่ภาพนั้นก็ติดตา เบื้องหลังของรุ่นพี่ที่เพิ่งเดินออกไปนั้นมีเงาร่างดำทะมึนของชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินตามติดด้วยระยะห่างไม่ถึงครึ่งเมตร ชายคนนั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้าช่วงล่างเป็นผ้าโจงกระเบนเก่าๆมัดเอาไว้อย่างลวกๆ ตามเนื้อตัวมีรอยสักเป็นอักขระยันต์หลายแห่ง แต่ที่น่าขนลุกที่สุดคือแอกไม้ขนาดใหญ่ที่ล่ามมือทั้งสองข้างให้อยู่สูงขึ้นมาในระดับเดียวกับหัว
หลังจากตกใจและได้สติกลับมาภาพตรงหน้านั้นก็หายไปเหลือเพียงเสียงฝีเท้าของรุ่นพี่ที่เดินผ่านความมืดออกไปยังหน้าตึกภาควิชา ตัวผมเองเดินกลับเข้ามาสนทนากับพี่คนอื่นๆที่ยังเหลืออยู่ในห้องเล็กๆนั้น
พี่มุกบอกกับผมว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงนั้น พี่วิท ที่เพิ่งเดินออกไปเป็นคนหนึ่งที่อยากดูดวงกับผมเป็นอย่างมากและค่อนข้างตื่นเต้นตั้งแต่วันที่พี่มุกได้คุยให้ฟังก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ผมจะเหยียบเข้ามาในห้องนี้พี่เขาเองยังคงพูดคุยกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน ยังพูดอยู่เลยว่าจะถามเรื่องนั้นเรื่องนี้
‘เพื่อนพี่มันเป็นอะไรรึเปล่า’ พี่มุกถามเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
‘จะว่ามีมันก็คงมีแหละครับ พี่เขาดูแปลกๆ’ ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไปอย่างชัดเจนในตอนนั้น
เราเปลี่ยนหัวข้อสนทนากันก่อนชั่วคราวเป็นเรื่องของพี่ๆที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแทนจนเวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งคืน ก่อนจะกลับพี่มุกกับเพื่อนๆวนเข้ามาถามถึงพี่วิทอีกครั้ง ผมไม่ได้มีข้อสรุปใดๆให้ เพียงแต่บอกเล่าในสิ่งที่เห็นเท่านั้น ผมสังเกตได้นิดหนึ่งว่าสีหน้าของทุกคนในห้องดูไม่ประหลาดใจนักเหมือนกับคาดการณ์กันไว้อยู่ก่อนแล้วว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้
ด้วยความสงสัยผมจึงถามกลับไปว่า ‘มีอะไรหรือเปล่า’ แต่พี่มุกก็ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังบอกไว้แต่ว่า ‘แล้วจะบอกอีกที’ แต่ตอนนี้พี่มุกต้องการทางออกเพื่อช่วยเหลือและเพื่อพิสูจน์ว่า ตอนนี้มันมีสิ่งผิดปกติเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเพื่อนของพวกเขาจริงๆแล้วหรือไม่
ทางออกที่ผมแนะนำคือการ ไปเอาน้ำมนต์จากวัดใหญ่มาให้พี่วิทดื่ม เพราะโดยปกติแล้วน้ำมนต์ที่ผ่านการสวดทำวัตรมาอย่างยาวนานจะมีพุทธคุณมากพอที่จะขับไล่สิ่งไม่ดีให้ออกไปจากคนนั้นๆได้ แต่ถ้าไม่ได้มีอะไรเกาะกุมอยู่ก็จะเป็นเพียงการดื่มน้ำธรรมดาๆเท่านั้น หากเกิดอาการใดๆขึ้นมาเราอาจจะพอสรุปได้อย่างคร่าวๆว่า มันไม่ปกติ
วันรุ่งขึ้นพี่มุกและเพื่อนๆนัดกันว่าจะไปเอาน้ำมนต์ตามที่ผมบอกในช่วงเช้าเพราะผมกำชับไว้ว่าควรจะเป็นช่วงเวลาก่อนเพลจะดีที่สุด แต่แผนที่วางไว้ก็กลับตาลปัตรทั้งหมดเพราะทุกคนติดต่อกันไม่ได้ ไม่ว่าใครจะโทรหากันก็โทรไม่ติดเหมือนสัญญาณไม่ดีหรือไม่ก็โทรศัพท์พัง แปลกที่มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน เมื่อติดต่อกันไม่ได้ก็ยังไม่มีใครเคลื่อนตัวออกจากหอพัก กลัวว่าจะคลาดกันไปมา
พี่ส้มที่เป็นเจ้าของรถยนต์ร้อนใจกลัวว่าจะมาไม่ทันตรงกับที่พี่มุกก็คิดเช่นนั้น พี่มุกตัดสินใจขี่รถมอเตอร์ไซด์ออกจากหามาที่หอพักของพี่ส้มทั้งที่ไม่สามารถติดต่อกันได้ เมื่อมาถึงก็พบว่าพี่ส้มได้มายืนรออยู่ที่จอดรถด้วยอาการกระวนกระวายอยู่ก่อนแล้ว
หลังจากทั้งสองคนได้เจอกันนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่ามันเกือบๆจะสิบโมงแล้ว ทั้งสองตัดสินใจขับรถยนต์ออกจากหอโดยจะวนไปจอดที่หอพักของเพื่อนๆทุกคนที่นัดไว้ ถ้าเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอก็จะไปกันสองคนทั้งอย่างนี้ ทุกวินาทีที่นั่งอยู่บนรถพี่มุกพยายามกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนทุกคนสลับกันแต่มันก็ยังไม่ได้ผลเช่นเดิม แม้จะเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์ของพี่ส้มก็ให้ผลไม่ต่างกัน
โชคดีเป็นของทุกคน เพราะเมื่อรถยนต์ของพี่ส้มเคลื่อนตัวมาถึงหน้าปากซอยก่อนจะเข้าสู่ถนนใหญ่รอบมหาวิทยาลัย พวกเพื่อนคนอื่นๆก็วนรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่หน้าซอยนั้นพอดิบพอดี ทุกคนรีบเอารถไปเก็บที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆก่อนจะขึ้นรถมาด้วยอาการกระวนกระวายไม่แพ้กัน
บนรถทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมๆกันว่า ‘ทำไมเราโทรหากันไม่ติด’ ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้แต่ทุกคนก็คิดเหมือนกันๆว่าจะเสี่ยงดวงเอาเลยขี่รถออกมาแล้วก็โชคดีที่ทั้งหมดมาเจอกันตรงหน้าปากซอยโดยบังเอิญ เรื่องแปลกๆยังไม่หมดแค่นั้นตลอดทางจากมหาวิทยาลัยไปถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนั้นเป็นตัวเลขประมาณ 10 กิโล ทั้งที่พี่ส้มขับรถยนต์จนชินมือแล้วแต่วันนั้นรถกลับกระตุกเหมือนจะดับอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีรถใหญ่อย่างรถทัวร์รถบรรทุกคอยเบียบดและแซงอย่างหน้าหวาดเสียวอีกหลายครั้งจนคนในรถกรี๊ดตกใจกันไปตามๆกัน
การเดินทางที่แข่งกับเวลาทำให้คนขับรถเริ่มเครียด แต่ก็ต้องพยายามประคองตัวเองให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด เมื่อมาถึงที่วัดก็ยังต้องเสียงเวลาวนรถหาที่จอดอีกพักหนึ่งเวลาที่เหลือเริ่มน้อยลงเรื่อยๆจนพี่มุกบอกว่าจะลงจากรถไปก่อนเพื่อวิ่งไปยังวิหารก่อนแล้วค่อยให้เพื่อนๆตามมาทีหลัง
เมื่อสิ้นสุดคำพูดนั้นพี่ส้มก็ได้ที่จอดรถในทันที ทุกคนเลือกที่จะวิ่งแทนที่จะค่อยๆเดิน ที่ทางเข้าด้านข้างวิหารทุกคนพยายามมองหาถังน้ำมนต์ที่ผมบอกเพราะไม่เคยมากันเอง ตรงนั้นมีพระรูปหนึ่งยืนกวาดลานวัดอยู่ใกล้ๆ พระรูปนั้นเห็นพวกพี่ๆก็ยิ้มเรียกให้เข้ามาหาแล้วถามว่า ‘มาเอาน้ำมนต์กันเหรอโยม ทางนี้ๆ’