รักนั้น...ไม่เคยจาง

‘….ความบังเอิญ...อาจเกิดขึ้นในทุกๆวัน
แต่บางครั้ง...
หลากหลายความบังเอิญรวมกัน...อาจเป็นเรืองที่ใครกำหนดไว้…’

            หลายต่อหลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด อาจจะเป็นกับเพื่อนบ้าง กับที่บ้านบ้าง หรือแม้แต่ไปกับทางสถานศึกษา ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสไปต่างจังหวัด ครั้งนั้นเป้นครั้งแรกที่ผมได้ไปเที่ยวที่นั่น ซึ่งก็เป็นที่ที่ผมฝันเอาไว้ว่าอยากไปสักครั้งหนึ่งมาตลอด แล้วฝันของผมก็เป็นจริง นอกจากความประทับใจแล้ว ผมยังได้ ฟัง เรื่องราวดีๆอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งผมไม่มีวันลืม...
             ผมออกเดินทางออกจากสถานศึกษาในช่วงเวลาดึกๆ เพื่อที่เมื่อเราไปถึงที่หมายจะได้พอดีกับเวลาที่ได้นัดหมายกันไว้ รถบัสคันใหญ่ ขบวนเล็กๆวิ่งไปบนถนนคอนกรีตที่ตัดผ่านภูเขาและตัวเมืองไปด้วยความเร็ว ตลอดทางนั้นผมได้แต่ตื่นเต้นกับการเดินทางในครั้งนี้ เพราะนอกจากจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆแล้ว จุดหมายที่เรากำลังจะเดินทางไปนั้น ผมไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้
             และในช่วงสายๆของวันต่อมา เรายังเดินทางไปไม่ถึงปลายทางเพราะตามแผนที่วางไว้เราจะมาแวะเที่ยวกันก่อน เผื่อว่าขากลับนั้นเราจะไม่มีเวลาได้แวะที่ไหนกันเลย และที่นี่ก็เป้นอีกที่หนึ่งที่ผมอยากมามากๆ ผมใช้เวลาช่วงแรกๆไปกับการเดินในมุมตลาดเล็กๆกับเพื่อน หาซื้อของฝาก หาอะไรกินก่อนที่จะถึงเวลาของมื้อเที่ยง เดินไปทำบุญที่จุดนั้นจุดนี้ตามที่เขาได้จัดเอาไว้
             แต่ด้วยสภาพอากาศหน้าร้อนที่ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ แดดที่แรงมากๆทำให้เพื่อนๆของผมเริ่มเหนื่อย และมีเหงื่อชุ่มไปทั่วทั้งตัว จึงขอไปนั่งพักที่ร้านค้าแถวๆนั้น ไปหาอะไรเย็นๆดื่มฆ่าเวลา ผมก้มมองดูนาฬิกาบนข้อมือ ก็พบว่าเวลายังเหลืออีกเกือบๆ 2 ชั่วโมงจะถึงเวลานัด ผมยิ้มให้กับตัวเองพร้อมกับความตื่นเต้น
             แม้ว่าอากาศจะร้อนเอามากๆ แต่ผมก็ยังมีความสุขที่จะเดินชมจุดต่างๆของสถานที่แห่งนี้ ผมเคยเห็นฉากพวกนี้เพียงแค่ในละครตอนเด็กๆ เราก็ได้แต่จินตนาการเอาเองว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อได้มาเดินชมด้วยตัวเองแล้วเราก็ยิ่งมั่นใจเลยว่า ละครนั้นเก็บความรู้สึกและเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำ
             ผมเดินไปตามแนวปรักหักพังของเมืองเก่า เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ผมมองไปรอบๆตัวก็พบเห็นอะไรหลายๆอย่าง ทั้งนักท่องเที่ยวรวมไปถึงผู้อยู๋อาศัยก่อนหน้า ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนานแสนนาน พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู๋อย่างเดิม ซ้ำๆ บ้างก็มีท่าทางหวาดกลัว บ้างดูเศร้าเสียจนหดหู่ ทั้งนี้คงเป็นผลมาจากไฟสงครามในเวลานั้น
             ผมเดินดูไปทั่วๆก็พบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งยินโวยวายกันยกใหญ่ ผมไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเราก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับพวกเขา ผมเดินผ่านไปโดยไม่ได้แม้แต่จะหันไปมองสักนิดเดียว
‘น้องๆ ’ เสียงเรียกดังมาจากกลุ่มคนตรงนั้น
     ผมหันไปมองพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเองเพื่อเป็นการยืนยันว่าเรียกผมจริงๆหรือเปล่า จากการพูดคุยได้ความว่าพี่เขาก็เป็นคนมาเที่ยวเหมือนกันไม่ใช่คนในพื้นที่ แล้วชาวต่างชาติกลุ่มนี้ก็เข้ามาคุย เหมือนจะมาขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่างเพราะดูท่าทางรีบร้อน แต่พี่เขาก็ฟังไม่ค่อยจะเข้าใจ ก็เลยเรียกผมให้มาช่วยๆกันฟัง
      ภาษาอังกฤษที่พอไปได้ของผมก็ทำให้ผมพอที่จะสื่อสารกับพวกเขาได้ เขาบอกว่าเขามาเที่ยว มากันเป็นกลุ่ม แล้วลูกชายเขาบอกว่าจะไปห้องน้ำ เห็นมันอยู๋ไม่ไกลเขาก็เลยปล่อยให้เดินไปเอง(ตามสไตล์ฝรั่งที่เขามักจะเลี้ยงลูกให้ทำอะไรด้วยตัวเอง) แต่พักนึงแล้วลูกเขาก็ยังไม่กลับมาเลย พอเดินไปตามไปหาในห้องน้ำก็ไม่เจอ ไม่เห็นใคร เขาเดินหามาพักนึงแล้ว ไปติดต่อเจ้าหน้าที่แล้ว ก็แยกกันไปหา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ความอะไร ก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยวด้วยกันเอง
      ผมฟังแล้วก็เห็นใจอยากช่วยเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เราก็ไม่ใช่คนในพื้นที่เสียด้วย แต่ท่าทางเขาร้อนใจมากผมก็ปฏิเสธิไม่ลง ผมก็เลยรับปากไปว่าจะช่วยหา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเจอไหมผมก็ออกตัวก่อนเลยว่า เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน ผมเดินไปเรื่อยๆ สายคากวาดมองไปรอบๆ ทั้งชื่นชมในงานศิลป์ของคนสมัยก่อน พร้อมๆกับมองหาเด็กชายชาวต่างชาติจากรูปที่ได้ดูเมื่อสักครู่
          ผมเดินไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอสักทีในตอนนั้นผมเกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาจึงเดินวนกลับมาใหม่ ในตอนแรกผมไม่คิดที่จะเดินวนมาตรงนี้เลย เพราะพ่อเขาบอกว่ามาหาแล้วไม่มี ผมเขาห้องน้ำทุระส่วนตัวเสร็จกำลังจะหันหลังเดินออกมา ผมได้ยินเสียงสะอื้นของเด็ก ผมจึงรีบเดินไปตามเสียงนั้น
          ถัดจากตรงนั้นมาไม่ไกลนักผมก็พบกับดงไผ่ดงหนึ่ง ซึ่งมีจอมปลวกใหญ่ๆขึ้นอยู๋รอบๆนั้น เสียงเด็กสะอื้นดังมาจากตรงนี้แน่ๆ ผมเดินเขาไปใกล้ๆอีกนิด ผมนั่งยองๆลงที่พื้นก็ได้พบกับคนที่ผมตามหา เด็กชายอายุน่าจะไม่เกิน10ขวบ แต่ก็โตพอที่จะพูดรู้เรื่อง และที่เดียวกันนั้นเองมีร่างของยายแก่ๆคนหนึ่งผิวหนังแห้งจนติดกระดูก ถ้าให้พูดกันตรงๆนั้น สภาพเขาก็ไม่ได้น่ามองสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกได้ว่า เขาไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร
      เด็กชายคนนั้นก้มหน้าก้มตาร้องไห้ คงเพราะกลัวสิ่งที่อยู๋ตรงหน้า แต่ร่างของยายแก่นั้นดูลุกลี้ลุกลนไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ด้วยความสงสัยผมจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิด
‘ยาย ยายทำอะไร’
‘เด็กมันมีแผล เด็กมันร้อง’ เสียงเบาๆแหบๆตอบกลับมา
ผมอมยิ้มเล็กน้อย ยายนั้นไม่ได้ต้องการจะแกล้งหรือหลอกอะไร เพียงแค่ตกใจและพยายามจะช่วยเหลือเด็กคนนี้ก็เท่านั้นเอง ผมยิ้มให้ยาย แล้วเอื้อมมือไปจับที่แขนของเด็กชาย เด็กน้อยตกใจรีบคว้าแขนผม แล้วเอามือชี้ไปที่ยายพร้อมๆกับตะโกนโวยวายว่า Ghost ghost!
             ผมขอบคุณคุณยายที่ช่วยดูแลเด็กคนนี้ให้ ผมเปิดกระเป๋าสะพายของผมออกมา แล้วหยิบน้ำขวดที่ยังไม่ได้เปิดเทลงบนดินอุทิศให้กับยายคนนั้น และไม่ลืมที่จะจับมือเด็กน้อยมาร่วมเทด้วย เขา งงๆ กับสิ่งที่ผมทำ แต่ผียายแก่ที่เขากลันักหน้านั้นก็ค่อยๆหายไปต่อหน้าต่อตาเขา ตรงนั้น
             ผมจูงมือเด็กน้อยมาตามทางเพื่อไปเดินหาพ่อของเขา ตลอดทางผมก็ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าเขามาเข้าห้องน้ำ แต่คิวมันยาวมากๆเลย แซงคนโตไม่ไหว มีแต่คนโตแซง หลังจากเสร็จแล้วเขาเห็นว่าพ่อเดินมาตามพอดีก็เลยนึกสนุก จะไปแอบพ่อให้พ่อเล่นซ่อนหาด้วย แต่ก็ล้มจนได้แผลมา ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่ายายเขาคงสงสาร แต่ก็ดันพลาดพรางตาคนทั่วๆไปไปด้วย
           ผมนำเด็กน้อยมาส่งคืนพ่อเขา พ่อเขาพยายามจะให้เงินกับผมแต่ผมก็ปฏิเสธิไป เพราะคนเขามาเที่ยวต่างที่ต่างทาง มีเงินไว้คงอุ่นใจกว่าเรา ผมโบกมือลาเด็กชายคนนั้น เด็กน้อยก็โบกมือมาให้ผมด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับหันไปพูดกับคนเป็นพ่อว่า
‘Daddy, He’s a wizard. He can kill the ghost’ ผมหัวเราะออกมาเพราะความไร้เดียงสาของเด็ก แต่พ่อเขาทำตาโตแบบ งงๆ คงสงสัยว่าผมทำอะไรลูกเขาล่ะมั้ง
             ผมเสียเวลาไปกับเรื่องนี้พักหนึ่ง แต่ก็ยังแหลือเวลาอยู่ ผมจึงเดินไปเรื่อยๆ เพราะต้องการเก็บภาพสถานที่นี้ให้ครบทุกๆมุม ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้มาอีก
             หลังจากเดินจนหมดแรงแล้วก็ก้มมองดูนาฬิกา ยังเหลือเวลาอีกราวๆชั่วโมง ผมเดินอ้อมไปตรงที่มีร่มไม้ใหญ่ ทิ้งตัวนั่งลงตรงนั้น ที่ตรงนั้นเงียบดีครับ ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวชม เพราะมันสุดทางแล้ว ผมนั่งลงบนหญ้าริมน้ำ ใต้ต้นไทรใหญ่
             ร่มไม้นั้นทำให้ผมรู้สึกสบายมากกว่าการเข้าไปหาห้องแอร์ในตอนนี้เสียอีก ผมนั่งเหม่อมองอะไรไปรอบๆ แล้วผมก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาตามลม
             ผมรู้ว่ามันคือกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือดอกอะไร กลิ่นหอมนั้นกระจายอยู่ทั่วบริเวณ สงสัยผมจะมานั่งในบริเวณที่มีครเป็นเจ้าของอยู่ก่อนอีกแล้ว ผมนึกขออนุญาตในใจ ว่าของพักพิงใต้ร่มไม้สักครู่หนึ่งไม่ได้จะมารบกวนอะไร
‘เจ้าค่ะ’
             เสียงใสกังวานตามกลับมา ผมตกใจพร้อมกับหันไปมองทันที ภาพตรงหน้าคือภาพของหญิงสาวรูปงามคนหนึ่งนั่งพับเพียบเรียบร้อย อยู่ในชุดไทยโบราณ เธอสวยมากจริงๆ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
             ผมนั่งมองเธออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง เธอไม่ได้มองมาที่ผมเลย เพียงแต่มองไปที่ถนนที่ทอดยาวออกไปยังถนนใหญ่ข้างนอกนั่นเหมือนกับกำลังรอคอยการมาเยือนของใครสักคนหนึ่ง
‘เจ้าค่ะ เรารู้คนผู้หนึ่ง เรารอมานาน แสนนาน’
      เสียงอันอ่อนโยนนั้นตอบกลับมาราวกับอ่านใจได้ ผมเริ่มรู้สึกอาย่าเราละลาบล้ะวงอะไรเกินไปหรือเปล่า เธอยิ้มให้ผมเหมือนเป็นคำตอบว่า เธอไม่ได้รังเกียจ หรือโกรธอะไร
‘อีกสักครู๋ ก็คงได้พบกัน’
           เธอพูดกับผมอีกหนึ่งประโยค ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุม เวลาผ่านไปไม่นาน ก็มีรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาจอด แต่ว่าห่างออกไปจากตรงนั้นพอสมควร พร้อมๆกับร่างของชายวัยกลางคนเดินลงมาจากรถ ในชุดสุภาพ สีขาว เขาเดินอ้อมไปที่หลังรถแล้วหอบเอาข้าวของมาเต็มไม้เต็มมือ
           หญิงสาวรูปงามที่นั่งถัดจากผม หันไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม และความหมายมากมายที่ถ่ายทอดผ่านดวงตาคู่นั้น ชายคนนั้นเดินตรงมาที่ที่ผมนั่งอยู่ เมื่อเขาเห็นผมเขาก็ทำหน้าอึกอัก เหมือนทำตัวไม่ถูก แต่ที่ทำให้ผมเอะใจคือ เขาเดินอ้อมผู้หญิงคนนี้ เหมือนกับว่าเขาเห็น
‘นั่งเถอะค่ะ คุณคนนี้เขาเห็นฉัน’
           หลังจากหญิงสาวกล่าวเชิญชายคนนั้นให้นั่งลง เขาทำท่าตกใจเล็กน้อยแต่ก็ทำตามอย่างว่าง่าย ผมยิ้มให้เป็นการทักทาย แล้วทำท่าจะลุกขึ้นทันทีเพราะผมก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน
‘น้องๆ นั่งนี่แหละ มีเพื่อนคุยก็ดีเหมือนกัน’
           ชายคนนั้นเป็นคนใจดีมาก ทั้งสุภาพและอ่อนโยน พี่เขาอัธยาศัยดี พูดจาดี พยายามชวนผมคุยเพื่อให้หายเกร็ง จนสุดท้ายผมก็หลุดปากถามเขาออกไปจนได้ว่า เขามาทำอะไรที่นี่ แล้วเขา กับ เธอ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตรงนี้เองที่ทำให้ผมได้ฟังเรื่องราวที่ไม่คาดคิดอีกหนึ่งเรื่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่