คุณเชื่อเรื่อง 'แม่ซื้อ' หรือเปล่า?

กระทู้นี้คงเป็นอีกเรื่องเล่าหนึ่งจาก ผม ซึ่งคิดเอาไว้ว่าคงต้องใช้เวลาในการเล่าพอสมควร อาจไม่จบลงอย่างรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมาเพราะเรื่องราวนั้นค่อนข้างยาว อย่างไรเสียผมก็จะขอเล่ามันออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘ คุณเชื่อเรื่อง แม่ซื้อ หรือเปล่า? ’
          คนไทยมีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับเด็กแรกเกิดหรือการตั้งครรภ์และหนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘แม่ซื้อ’
         ตามความเชื่อของคนไทยแม่ซื้อคือรูปแบบหนึ่งของ วิญญาณ หรือ เทวดา ที่คอยมาดูแลตามติดเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก อาจด้วยความรักหรือความหึงหวงก็ไม่อาจทราบได้ ไม่ใช่แค่คนไทยที่มีความเชื่อนี้ ในหลายๆประเทศก็มีเรื่องทำนองนี้ให้ได้ยินอยู่เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราคงไม่สามารถปฏิเสธการมีอยู่ของ เรื่องเล่านี้ ได้อย่างเต็มปากนัก
         และประโยคที่เรามักจะได้ยินมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้คือ ‘ถ้าเลี้ยงไม่ดี แม่ซื้อจะเอาเด็กคืน’
         อีกครั้งที่การเดินทางนำพาผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายที่ไม่ได้สรรหามาด้วยตัวเอง ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งออกเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยเหตุผลง่ายๆ ‘อยากเที่ยว’
         เพื่อนผมเสนอว่าเราจะไปแวะพักที่บ้านญาติของเพื่อนก่อนเพราะสถานที่ที่พวกเราแพลนเอาไว้มันค่อนข้างไกล ไม่อยากเดินทางติดกันยาวๆ แต่ญาติที่เพื่อนบอกนั้นก็เป็นญาติห่างๆที่ไม่ได้ติดต่อกันบ่อยมากนัก
         เมื่อเรามาถึงที่หมายเราได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองตามประสาของชาวไร่ชาวนา บ้านนี้น่าจะมีอาชะหลักคือการเกษตรดูได้จากสภาพบ้านที่ยังเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ล้อมรอบด้วยพืชผลหลายชนิด ด้านหลังนั้นมีร่องสวนสวยงามอย่างเป็นระเบียบและที่นาที่ใหญ่พอสมควร
         ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงผมรู้สึกถึงความผิดปกติของอะไรบางอย่างแต่มันไม่ได้ชัดเจนมากนัก และมันก็คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรสักเท่าไหร่ คิดแต่ว่าเราพักที่นี่แค่คืนเดียว
         เราเดินทางมาถึงที่นี่ในช่วงสายๆและด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางผมเลยขอพักงีบสักเล็กน้อยก่อนจะออกไปเดินสำรวจบริเวณใกล้ๆนี้ตามนิสัยของตัวเอง
         แต่ในตอนที่ผมกำลังหลับอยู่ผมก็ไม่สามารถหลับได้อย่างสนิทใจ ความรู้สึกมันเหมือนกับตกอยู่ในห้วงสายตาของใครสักคนหนึ่ง...หรืออาจจะหลายคน
         ผมหลับๆตื่นๆอยู่นาน จนสุดท้ายผมก็ยอมแพ้เลือกที่จะลุกเดินออกมาจากห้องนอน
         เมื่อเดินมาถึงลานหน้าบ้านที่เป็นชานไม้แบบสมัยก่อน ญาติๆนั่งรวมกันดูละครตอนบ่ายกันอย่างสนุกสนานไม่ได้สนใจผม แต่แล้วอยู่ดีๆก็มีหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มนั้นกรีดร้องออกมาจนผมสะดุ้งไปทั้งตัว
         ผู้หญิงคนนั้นตัวสั่นเหมือนคนชัก ผมตกใจมากเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวในมือหยิบเอาโทรศัพท์มือถือไว้เตรียมจะกดโทรหารถพยาบาล แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอย่างนั้นผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
         กลุ่มคนที่เคยนั่งมุงทีวีอย่างสนุกสนานตอนนี้ถอยกรูดออกมาห่างจากผู้หญิงคนนั้นระยะหนึ่ง น่าจะประมาณสองช่วงก้าวเห็นจะได้ ผู้คนทั้งหมดนั้นนั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อยกราบลงบนพื้นไม้เหมือนทำความเคารพด้วยศรัทธา
‘เจ้าแม่ลงแล้ว’ ผมได้ยินเสียงคนพูดกันลอดออกมาจากกลุ่มคน
         พร้อมๆกับที่ผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นสามีของหญิงคนนี้ เขาวางท่าด้วยความคุ้นเคยจัดแจงใช้คนใกล้มือเตรียมสำรับอาหารคาวหวานเท่าที่พอจะหาได้อย่างเร่งด่วน โดยที่ตัวเองนั่งอยู่ข้างๆผู้ที่อ้างว่าเป็น ร่างของเจ้าแม่ อย่างใกล้ชิด
         อาหารสำรับเล็กๆถูกเตรียมใส่ถาดอย่างสวยงามโดยมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งน่าจะไม่เกิน ม.ปลาย คงเป็นเด็กสุดในระแวกนั้นวิ่งเอาถาดในมือลงบันไดบ้านไปอย่างเร่งรีบ
         จากการสอบถามภายหลังทราบว่าถาดอาหารที่เด็กสาวคนนั้นถือไปถือของถวายสำหรับเจ้าแม่ที่มาลงร่างของผู้หญิงคนนี้โดยที่มีการตกลงกันไว้ตั้งแต่ช่วงแรกที่คนคนนี้ถูก จับร่าง ว่าถ้าหาก ท่าน มาลงต้องเอาอาหารไปถวายที่ศาลตรงปลายนา
         ตัดกลับมาที่บ้านหลังเดิม เพื่อนผมที่นอนเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านรีบวิ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียง เราทั้งสองถูกดึงให้นั่งลงที่พื้นจากแรงของผู้ใหญ่แถวนั้น ‘นั่งลงสิไอ้หนู เจ้าแม่ท่านประทับแล้ว’
         ร่างของเจ้าแม่นั้นยังสั่นไม่หยุดเช่นเดียวกับดวงตาที่ไม่อาจลืมขึ้นมาได้ตามแบบอย่างของ ร่าง ที่ไม่มีบารมี สิ่งที่น่าสนใจคือ เจ้าแม่มาทำไม
         ชายผู้เป็นสามีนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ ถามด้วยวาจาสุภาพปนตลกด้วยการพยายามใช้ราชาศัพท์มาผสมเพื่อให้ดูพิเศษกว่าการคุยกับคนธรรมดา แล้วมันก็ได้ผลเมื่อร่างเจ้าแม่ตอบรับคำถามเหล่านั้น
‘ให้มันออกไป ให้ใครมาอยู่ในบ้าน เอามันออกไป’
         สิ้นเสียงนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกสายตาจ้องมาที่ใคร ผู้มาเยือนอย่างผมสองคนดูเหมือนจะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว แต่นั่นก็ยังดีที่เพื่อนผมเป็นญาติโดยตรงของบ้านหลังนี้ จึงพอไกล่เกลี่ยกันได้ แต่ก็มิวายว่าพวกผมต้องรีบเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น
         เจ้าแม่มาสร้างเรื่องไว้เพียงเท่านั้น แค่ประโยคสั้นๆแล้วก็จากไปโดยไม่มีการรับผิดชอบใดๆ
         โชคดีที่เกินครึ่งของกลุ่มคนในตอนนั้นเป็น เพื่อนบ้าน ไม่ใช่คนในบ้านจริงๆ หลังจากที่เพื่อนบ้านขาละครจากไป ญาติของเพื่อนผมที่เป็นเจ้าบ้านยังคงคุยกับพวกผมเหมือนกับปกติ และแน่นอนว่าด้วยความ สงสัย ผมไม่พลาดโอกาสที่จะซักเอาความจากคนในบ้าน
         ระหว่างที่เราคุยอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงใสๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังมาแต่ไกลพร้อมกับเสียงรถยนต์คันเก่าที่เข้ามาจอดตรงที่ว่างหน้าบ้าน
         เด็กหญิงอายุ 5 ขวบวิ่งขึ้นบันไดบ้านมาอย่างสดใสพร้อมกล่าวทักทาย คุณยาย ที่นั่งคุยกับพวกเราอยู่ ตักนิ่มๆของคุณยายดูจะเป็นเบาะรองนั่งชั้นดีของ แก้ว ผมยิ้มกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าและหันไปสวัสดี น้าหอม แม่ของน้องแก้วที่เดินขึ้นบันไดตามมาติดๆ
         แก้ว เป็นเด็กที่น่ารักมากพูดจาฉะฉานไม่แก่แดดแก่ลมเหมือนเด็กน้อยในเมืองที่พบเจอได้ตามห้างทั่วไป แก้วชวนพวกผมคุยอย่างกระตือรือร้นแม้ว่าฟันของเธอจะไม่ครบจนทำให้เธอพูดไม่ชัด คุณยายบอกว่านานๆทีแก้วจะได้เจอกับคนอายุน้อยๆ ปกติอยู่กับคนแก่ๆทั้งนั้น
         ในช่วงค่ำของวันนั้นอยู่ดีๆแก้วก็มีอาการแปลกๆ แก้วซึมลงแล้วเริ่มที่จะร้องไห้ แต่ไม่ใช่การร้องไห้โฮแค่สะอื้นเท่านั้น คุณยายเดินเอามือไปแตะที่หน้าผากของแก้วก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า
‘อีกแล้วหรือ’ นั่นคือสิ่งที่คุณยายพูด
         คุณยายอายุมากกว่า 80 แต่ยังแข็งแรงจัดแจงให้แก้วนอนลงบนพื้นกลางบ้านที่เป็นที่โล่งแจ้งตรงชานบ้าน แปลกตรงที่แก้วไม่ได้นอนบนเบาะบนที่นอน แต่คุณยายใช้ผ้าดิบสีขาวปูรองให้แก้วนอน มีหมอนตุ๊กตาเล็กๆเป็นกำลังใจให้เด็กน้อยรองอยู่ใต้ศีรษะ
          เมื่อที่ทางถูกจัดเตรียมไว้จนเรียบร้อยแล้ว คุณยายก็ให้น้าหอมเอาผ้าชุบน้ำหมาดๆมาเช็ดตามตัวน้องเพื่อบรรเทาอาการไข้ ด้วยนิสัยของเด็กน้อยวัยเท่านี้แม้ว่าตัวเองจะป่วยอยู่ก็ยังพยายามจะยิ้มชวนคุยเหมือนตามปกติ ผมที่เป็นเพียงผู้ชมก็รู้สึกดีกับภาพที่เห็นเพราะปกติเวลาไปโรงพยาบาลจะเจอแต่เด็กร้องไห้โวยวายซะส่วนมาก
         คุณยายถามว่าผมทำกับข้าเป็นไหม ผมตอบว่าพอได้ครับ ผมเลยได้รับหน้าทีให้ไปหุงข้าว ซึ่งหุงเพียงหม้อเล็กๆเท่านั้นส่วนเพื่อนผมที่เป็นญาติก็ถูกใช้ให้ไปตัด ยอดอ่อนของใบตองมารอไว้ใกล้ๆกับที่นอนของแก้ว
         คุณยายที่เดินออกไปนอนบ้านกลับมาพร้อมกับไข่เป็ดในถุงพลาสติก ผมคิดว่าคงจะไปซื้อมาจากแถวๆนี้เพราะแกหายไปแค่ไม่นาน ผมถูกสั่งให้ต้มไข่ต่อ
         ระหว่างที่กำลังตั้งน้ำรอจะต้มไข่ข้าวก็สุกพอดี คุณยายเอาใบตองที่เตรียมไว้ก่อนแล้วพับเป็นทรงกรวยขนาดเล็กๆ เทียบกับขนาดของถ้วยสังกะสีสีขาวขอบน้ำเงินให้พอดี คุณยายหันมาบอกกับผมและเพื่อนที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ว่า ‘นี่แหละเขาเรียกบายศรีปากชามแบบโบราณ ใช้แค่นี้อันเล็กๆ ไม่ได้ใส่ในถ้วยน้ำแข็งใสที่ขายกันตามตลาด’ (คุณยายคงจะหมายถึงถ้วยโฟม)
         เมื่อข้าวสุก ไข่สุกแล้วคุณยายก็บรรจงตักเอาข้าวปากหม้อใส่เข้าไปในกรวยใบตองจนแน่นเต็มขนาด ผมเพิ่งเคยเห็นจากคุณยายว่าการทำปากชามสมัยก่อนใช้ข้าวใส่เข้าไปด้วยไม่ใช่ใบตองกลวงๆอย่างในปัจจุบัน กรวยข้าวเรียวเล็กสวยงามจัดวางไว้อย่างดีพร้อมกับไข่ต้มที่ถูกปักไว้บนยอดของบายศรี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่