ผู้ใหญ่บอกว่าห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน ทำไม่ไม่เชื่อ!!

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงนะครับ

ผมอาจจะใช้ศัพท์พ่อขุนรามบ้าง เพื่อให้เข้ากับประสบการณ์จริงนะครับ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ผมเป็นเด็ก มัธยมปลายของโรงเรียนแห่งหนึ่ง วันๆก็ไม่มีอะไรมากส่วนใหญ่จะติดเพื่อนมากครับ เอาเป็นว่า การเรียนก็ไม่ค่อยใส่ใจ แต่ก็ไม่เคยเรียนตกเหมือนกัน เหมือนยังมีบุญเก่าช่วยค้ำอยู่ 5555555555 มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

เรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับสโมสรที่หมู่บ้านของผมเอง

ผมอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมา 10 กว่าปี วันๆกลับจากโรงเรียนก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากชวนเพื่อนไปนั่งคุยนั่งเล่น กันที่สถานที่แห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ที่เรียกว่า"สโมสร"  สโมสรนี้จะเป็นสระว่ายน้ำอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน ข้างๆสโมสรทั้งหมดจะถูกล้อมด้วยที่ดินว่างรกร้างเป็นป่าเลยก็ว่าได้ เพราะ มันอยู่ลึกสุดในหมู่บ้านจึงไม่มีถนนตัดผ่านจากด้านนอก สโมสรมี 3 ชั้น ชั้นแรกจะเป็นสระว่ายน้ำใหญ่ จะมีคนมาใช้บริการบ้าง แต่ก็ไม่เยอะมาก เพราะค่อนข้างโทรม ส่วนชั้น 2 จะเป็นพวก ห้องสมุด,ห้องของเล่นเด็ก,ห้องอ่านหนังสือ,ห้องฟิตเนส,ห้องสนุ๊ก,ดาดฟ้าชั้น 2 ส่วนชั้น 3 ก็ไม่มีอะมากเป็นดาดฟ้าเปล่าๆ

แต่สโมสรที่กล่าวมานี้คือ มันค่อนข้างเก่า และ จะมีคนมาใช้บริการว่ายน้ำที่ชั้น 1 เท่านั้น ส่วนชั้น 2 และ 3 บางห้องจะปิดตาย และ ไม่ค่อยมีคนขึ้นไปเพราะมันค่อนข้างเก่า ฝ้าเพดานไม่มีแล้ว มองขึ้นไปจะโล่งๆเป็นพวกท่อน้ำอะไรทำนองนี้ ขนาดขึ้นไปตอนกลางวันยังรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
ผมอยู่ที่นี่มา 10 กว่าปีก็จริง แต่เพิ่งจะมาสโมสรช่วงหลังๆ ม.ปลายนี่เอง เพราะแต่ก่อนยังไม่มีเพื่อน

เย็นวันหนึ่งหลังจากกลับจากโรงเรียน ซึ่งเป็นวันศุกร์พอดี ในเวลานั้นท้องฟ้าเป็นสีส้ม แสงแดดกำลังเริ่มจะหมดลงไปอย่างช้าๆ ผมลงจากวินมอไซพร้อมยืนมองบ้านตัวเองและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไลน์หาเพื่อน

"เห้ยเย็นนี้ที่เดิมนะเว้ย" ผมพิมพ์ลงไปในกลุ่มชวนเพื่อนๆมารวมตัวกันที่สโมสรเหมือนทุกวัน
" พวกกุนั่งรออยู่แล้วเนี่ย ขาดยิ้มคนเดียว"  เพื่อนผมตอบกลับมา
พร้อมถ่ายรูปโต๊ะหินอ่อนที่คุ้นเคยส่งเข้าแชทไลน์ เมื่อผมเห็นดังนั้นยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าบ้าน ผมเอากระเป้าโยนเข้าไปในรั้วบ้าน กระเป๋าผมก็ปริวไปกับสายลมพร้อมกับลงกระแทกพื้นเบาๆ เพราะผมไม่เคยพกอะไรไปโรงเรียนเลย อย่างน้อยก็สมุด 1 เล่มเท่านั้น
จึงทำให้กระเป๋าผมเปรียบเสมือนกระดาษที่หล่นลงพื้น  "ยายไปสโมสรก่อนนะ" ซึ่งบ้านผมอาศัยอยู่กับ ตา ยาย ยังไม่สิ้นหางเสียงตัวเอง ผมก็คว้าจักรยานหน้าบ้านปั่นมุ่งหน้าไปยังสโมสร  อย่างใจจดใจจ่อ เพราะว่า เหมือนเหลือเราคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ไปรวมกลุ่มกับเพื่อน!!

ผมปั่นจักรยานผ่านบ้านเป็นสิบๆหลัง เพื่อเดินทางไปยังสโมสร  สโมสรจะค่อนข้างอยู่ไกลจากบ้านมาก เพราะหมู่บ้านเราค่อนข้างใหญ่ แถมบ้านผมอยู่ช่วงต้นๆของหมู่บ้าน แต่สโมสรจะอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน จากนั้นประมาณ 10นาที ผมก็มองเห็นบ้านหลังใหญ่ๆ  เก่าๆสีครีมที่สีลอกแล้วเกือบทั้งหลังที่อยู่อีกฝากหนึ่งของสะพาน บวกกับท้องฟ้าสีแดงอมส้มและพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ตอนนี้ผมถึงสะพานข้ามคลองท้ายหมู่บ้านแล้ว เป็นสะพานปูนใหญ่ที่จะข้ามจากหมู่บ้านไปยังสโมสรที่อยู่อีกฝากนึง ผมกำลังปั่นจักรยานข้ามสะพานแล้วก็หันหลังมองบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้านที่อยู่ห่างไปเกือบ 200 เมตร พร้อมก้มลงมองไปในคลอง ที่มีต้นไม้และหญ้าขึ้นเต็มไปหมดจนถึงราวสะพาน พร้อมมีกลุ่มคน 2-3 คนใส่ชุดว่ายเดินสวนและยิ้มให้เล็กน้อย ในที่สุดผมก็ข้ามสะพานแล้วมาแล้วซะที
ผมยืนมองบ้านหลังใหญ่นั้นอยู่ซักพัก
"โทรมมากเลยนะเนี้ย ไม่เหมือนตอน 10 ปีก่อนที่มาอยู่ใหม่ๆ ตอนนั้น ตา ยาย พามาว่ายน้ำยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย"ผมพูดในใจกับบ้านเก่าๆหลังนั้น
บ้านเก่าๆโทรมๆที่ผมหมายถึงก็คือ "สโมสรเองนี่แหละครับ"

ผมเดินเข้าไปหาเพื่อนๆที่โต๊ะหินอ่อนข้างสระน้ำ ถ้ามองจากด้านหน้าของสโมสรจะไม่เห็นโต๊ะที่พวกมันนั่งกัน เพราะว่าอยู่ลึกพอสมควร เกือบติดกับกำแพงที่กั้นของสโมสรเลยก็ว่าได้ ผมเดินผ่านสระน้ำและมองไปทั่วบริเวณก็รู้เลยว่ากลุ่มที่เดินสวนกันตรงสะพานเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาว่ายน้ำ
"เห้ยกุมาละ หิวหวะมีไรกินมั่ง" เพื่อนผมที่นั่งกันอยู่ 6 คนก็มองหน้ากัน "เอ้าหิวก็ไปหาอะไรกินดิ มาบอกพวกกูทำไมวะ?"
"แบ๊ะ!!"  เสียงผมตบกระโหลกเพื่อนคนที่พูดไปทีนึง มันชื่อว่า"ไอเต้ย" เห้ยสั่งข้าวร้านป้ามากินดิ๊ ด้วยความสนิทกับเพื่อนเรื่องการเล่นแกล้งกันนิดหน่อยจึงไม่เป็นเรื่องติดใจอะไร เพื่อนผมก็โทรสั่งข้าวร้านป้าให้ อีกไม่นาน ป้าก็ปั่นจักรยานมาส่ง ผมก็เดินออกมาเอาข้าวหน้าสโมสร ตรงตีนสะพาน  ผมก็รับข้าวจากป้า "เมนูเดิมอีกแล้วนะพ่อหนุ่ม" ป้าพูดแซวผม เพราะผมจะสั่งแต่กระเพราหมูกรอบอย่างเดียว "ของโปรดอ่ะป้า กินกี่ทีก็ไม่เบื่อ"

ผมพูดพร้อมจ่ายเงิน "วันนี้มืดไวจังป้า มะกี้ยังสว่างอยู่เลย" ผมพูดกับป้า "หน้าหนาวนะพ่อหนุ่ม พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไวเป็นธรรมดา"
ตอนนั้นผมรู้สึกหนาวเย็น ทั้งที่ตอนแรกไม่รู้สึกอะไรมาก่อน "อะไรวะ พอป้าพูดว่าหน้าหนาวก็หนาวเลย คิดไปเองจริงๆ" ผมคิดใจในพร้อมกับเดินหิ้วถุงข้าว และ มุ่งหน้ากลับไปยังโต๊ะหินอ่อน

ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ 6 โมงครึ่งแล้ว โหมืดจริงๆ มืดสนิทจนคิดว่าแสงจากพระอาทิตย์ได้หมดไปจริงๆ มีแต่แสงไฟอ่อนๆจากสระน้ำและแถวๆโต๊ะหินอ่อนเข้ามาช่วยให้เห็นทาง ผมวางกล่องข้าวลง บนโต๊ะหินอ่อน ที่เพื่อนๆนั่งกันอยู่ 6 คน พร้อมเปิดกล่องข้าวที่มีควันของข้าวร้อนๆโผยพุ่งขึ้นตามฝากล่องโฟมมาติดๆ
"หึ้มมม โครตหอมเลยแมร่งเอ้ยย ทำกุหิวเลยเนี้ยย" ไอเต้ยพูดขึ้นมา "เออกลิ่นมันหอมจริงๆหวะ หรือว่ากุหิววะเนี้ย ตั้งแต่บ่ายยังไม่ได้กินไรเลย" ผมพูดขึ้น

"เห้ยเอาอีกละป้า" ผมพูดขึ้น
"บอกกี่ครั้งแล้วว่าไข่ดาวไม่สุก" ผมพูดขึ้นกลางวงพลางหงุดหงิดเล็กน้อย
"ป้าแกก็ยังงี้แหละชอบลืม ที่หลังเมิง เดินไปคุมที่กระทะเลย" เพื่อนผมอีกคนในกลุ่มพูด ผมก็คิดว่ามันเรื่องเล็กน้อยชั่งมันเหอะ หิวแล้วกินดีกว่า

คุณผู้อ่านครับ เชื่อหรือไม่ว่ามีเรื่อง มหัศจรรย์เกิดขึ้น ผมกินข้าวได้ไม่ถึง 3 คำ ข้าวหมดครับผม!!! ไม่ต้องงงหรอกครับคุณผู้อ่าน เพราะว่าเพื่อนๆผมในวงเนี้ยแหละ "ขอชิมคำนึงดิ" แล้วมันก็ไม่ใช่คำเดียว มันล่อจนข้าวของผมหมดเกลี้ยง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะว่าถ้าคุณมีเพื่อนๆก็น่าจะรู้กันดีนะครับ ว่าไม่ควรซื้อข้าวมากินคนเดียว ต่อหน้าเพื่อนๆ!!

"อ่าวแล้วกุจะอิ่มไหมเนี้ยยย" ผมพูดพลางมองมันเอาช้อนพลาสติกเจาะไข่แดงสุกๆของผม -*-  หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าที่มืดสนิทอยู่แล้วกลับมืดลงไปอีก พร้อมกับ อากาศลดต่ำลงจนรู้สึกหนาวได้
ผมก็ยังใส่ชุดนักเรียนขาวๆบางๆ ที่กันความหนาวไม่ได้เลยซักนิด
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็นั่งคุยกับเพื่อนเล่นโทรศัพท์ มีเดาะบอลเล่นบ้าง เอากีต้ามานั่งดีดบ้าง จนเวลาล่วงเลยไปก็ 2 ทุ่มแล้ว อากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ เสียงรอบๆตัวเงียบลงจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องที่ดังมาจากป่าหลังกำแพงของสโมสรได้ชัด
"เห้ยกุกลับก่อนนะ" เพื่อนในกลุ่มผมพูดขึ้นมา "อ้าวไมอะ" ผมถาม "พรุ่งนี้ไปสยามกับแฟนอะดิ มันโทรมาตามละเนี่ย มันไม่ให้นอนดึกไม่เชื่อฟัง"
เพื่อนผมพูดพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้ และก็มีเสียงอู้อี้ๆออกมาซึ่งน่าจะเป็นเสียงบ่นของแฟนมัน "อ๊า อ๊า ซื้ด อูย ซื้ดอูย" เพื่อนผมตะโกนออกมาจากด้านหลังของผม "พี่อาร์ม ขาาา เบาๆหน่อย!! หนูเจ็บบบ!! อิไต อิไต"

ไออาร์มรีบคว้าโทรศัพท์แล้วจ้ำอ้าวออกห่างจากกลุ่มอย่างรวดเร็ว "เห้ยยิ้มอย่ากวนตีนดิ"  55555555 ทุกคนหัวเราะดัง "เห้ยกุไปแล้วนะเว้ย เจอกันๆ" มันพูดพร้อมโบกมืออยู่ไกลๆ อีกมือนึงก็ถือโทรศัพท์คุยกับแฟน "ไออาร์มติดเมียยยยย!!" ไอเต้ยตะโกนขึ้น แล้วอาร์มก็เดินออกจากสโมสรหายลับไปในความมืด ที่แสงจากโต๊ะหินอ่อนส่องไม่ถึง "เห้อเหลืออยู่กัน 6 คนเอง หาไรทำดี" ผมถามเพื่อนๆ เพราะปกติ เราจะนั่งกันถึง 3-4 ทุ่มแล้วค่อยแยกย้าย
แต่ปกติจะไม่มีใครมานั่งเล่นคนเดียว อย่างน้อยพวกผมจะรวมกลุ่ม 3 คนขึ้นไป

"เล่นซ่อนแอบปะ" เพื่อนผมชื่อเบ็นเอ่ยขึ้น!! เบ็นเป็นเพื่อนในกลุ่มที่ไม่ค่อยกลัวอะไร แถมหน้าตาดีสุดๆ สูงขาวตี๋ ถ้าเดินห้างนี่ผู้หญิงจะมองเหลียวหลังเลยก็ว่าได้ ถ้าถามมันเกี่ยวกับเรื่องผีมันจะถามว่า ผีผู้หญิงหรือผู้ชาย? ถ้าบอกว่าผีผู้ชาย มันจะบอกว่าถ้าเจอจะเตะให้กระเด็น ถ้าเป็นผีผู้หญิงกุจะปล้ำทำเมีย นี่เป็นคำที่มันพูดอยู่บ่อยๆเมื่อ มีใครถามมันเกี่ยวกับเรื่องผีๆสางๆ

"เมิงจะบ้าปะ เล่นตอนดึกๆดื่นๆ มีใครเขาเล่นกัน" ผมพูดเสียงแข็งพร้อมกับคิดแล้วก็ขนลุกไปตามๆกัน "เอาดิ เมิงกล้ากุก็กล้าอะ" ไอเต้ เพื่อนผมอีกคนนึงก็ไม่ค่อยกลัวเรื่องอะไรพวกนี้ พูดขึ้นมาเสียงดัง จนในที่สุดทุกคนก็ตกลงกันว่าจะเล่น เหลือแต่ผมคนเดียวที่เป็นไอป๊อดไม่กล้าเล่น "เห้ยเอาจริงดิวะ พวกยิ้มบ้ากันปะเนี้ย"ผมพูดขึ้น
"เมิงก็ดูละกัน เหลือแต่เมิงตัวเดียวแล้วอะ" ไอเต้ยพูดขึ้นแบบมองบน ผมก็ตบมันไปอีกที!! "แหม่ได้ทีเอาใหญ่นะยิ้มง" ผมกับเต้ยจะสนิทกันมาก ปกติผมก็เล่นแบบนี้ประจำ "เออเล่นก็เล่นวะ" ผมพูดพลางมองที่สระน้ำอันมืดมิด "แล้วจะเล่นที่ไหนอะ รอบสระน้ำหรอ?" ผมถามเพื่อน

"กุว่ากุอยากลองเล่นชั้น 2 ชั้น 3 อะ" ไอเบ็นพูดขึ้นแบบไม่มีท่าทีกลัวอะไรแม้แต่น้อย!! ไม่กี่อึดใจทุกคนเห็นด้วยกับมัน " เออเอาดิวะ น่าสนุกออก ไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้เลย" เต้พูดขึ้นมา    
ตอนนั้นผมกำลังจะมองหาพวก แล้วก็ไปสบตา "ไอตอง" เพื่อนซี้ขี้กลัวเหมือนผม ผมมองจากสายตาก็รู้สึกได้ว่ามันไม่อยากเล่นซะเท่าไหร่
"เห้ยไอตอง เมิงกลัวปะ"  พูดถามมัน "ไม่อะเฉยๆ" มันพูดขึ้นมา ผมก็รู้ว่ามันปากแข็งอย่างงี้อยู่ปะจำ แต่ทำไงได้ เอาก็เอาดิวะ
"เอางี้ เราจะเล่นกันชั้น 2,3 ห้ามลงมาชั้นแรกนะ แล้วก็จะปิดไฟเล่น" เบ็นเป็นคนสร้างกฎขึ้นมา "เห้ยปิดไฟเล่น คนหาก็เป็นไก่ตาแตกดิวะ" ผมพูดขึ้นเสียงดัง
"เห้ยเมิงยังฟังไม่จบเลยรอก่อน" ไอเบ็นพูดขึ้นพร้อมกับหยิบไฟแช็คขึ้นมา "ฉึบบ ฉึบบ" เสียงจุดไฟแช็ค
"กุไม่ได้เอามาดูดบุหรี่นะ แต่นี้คือ สิ่งที่คนตามหาจะต้องมี ใช้ไฟแช็คตามหา!!"

"โหววว โครตล้ำน่าสนุกหวะ" ไอเต้ยพูดขึ้นมา!! "กุว่าก็น่าสนุกนะถ้ากุไม่ได้เป็น" ผมพูดขึ้นพร้อมกับภวานาในใจ "สาธุขอเป็นคนแอบเถอะ สาธุ สาธุ"
ในใจตอนนั้นก็อยากเล่น อีกใจนึงก็กลัวถ้าเราเป็นคนแอบก็ยังโอเครอยู่ เพราะได้ไปกันเพื่อนๆ แอบเป็นกลุ่มคงไม่น่ากลัวซักเท่าไหร่
ผ่านไปซัก 10 นาทีเราก็ตกลงกฎกันได้ ตอนนี้มี ผม เต้ย เบ็น เต้ ตอง คิว รวมเป็น 6 คนพอดี
กฏการเล่นก็คือเล่นเฉพาะชั้น 2 และ ชั้น 3 ปิดไฟทุกดวงเล่น คนหาใช้ไฟแช๊ค ใครแปะก่อนเป็น(คนที่มาแปะคนหา โดยที่คนหายังไม่โป้งใครก่อน) ถ้าคนหาเป็นซ้ำกันเกิน 5 ตา จะหาคนเป็นโอละนอยออกใหม่ นี้แหละคือกฏของเรา!!

"โอละนอยยยย ออก" เสียงทุกคนพูดพร้อมกัน "ออก" "ออก" "ออก"  3ครั้งทุกคนออกขาวเหมือนกันหมด "ใครไม่เปลี่ยนเป็น!!"
ผ่างงงงง ผมยังคงออกขาวอยู่ ทั้งที่ทุกคนเปลี่ยนเป็นดำ ตอนนั้นรู้สึกเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ใจสั่นสะเทือน ตอนนั้นมันลนไปหมดกลัวการจะเป็นคนหา สมองเลยสั่งการมือไม่ได้เท่าไหร่

"แมร่งเอ้ยยยยย โชว์โง่อีกละกุ" ผมพูดขึ้นมาเสียงดัง พร้อมกับเสียงหัวเราะดังสนั่นของเพื่อนๆ "5555555555555 ไอไปร์ทเป็นเว้ยสนุกแน่งานนี้" ไปร์ทนั่นคือผมเอง ผมกลัวไปหมดอยากกลับบ้าน!! ไม่อยากเล่นแล้วโว้ยยยยย TT คนหาแมร่งโครตเสียปรียบอะบอกเลย ทั้งมองไม่เห็น แถมไฟแช็คมันจะช่วยอะไรได้ไหมเนี้ย จุดนานก็ร้อนมือ บรรยากาศก็ไม่ค่อยน่าเล่น วังเวง มีแต่ความเงียบ แถมยังจะปิดไฟอีก ถ้าไม่มีไฟแช็คนี่เหมือนคนตาบอดเลยก็ว่าได้

มันมืดมาก เพราะ สโมสรจะตั้งอยู่เดี่ยวๆไกลจากบ้าน ต้องข้ามสะพานข้ามคลองในหมู่บ้าน แถมรอบๆสโมสรจะเป็นป่าทั้งหมด เพราะในตอนนั้นมีหมู่บ้านขึ้นกันน้อยมาก แถมหมูบ้านผมจะอยู่แถวชาญเมือง ถ้ายืนอยู่ที่ระเบียงชั้น 2 และ 3 ชองสโมสรจะมองเห็นได้แต่ป่าและหญ้าสูง ล้อมรอบ ถ้าอยู่ชั้น 1 จะไม่เห็นอะไรเลยเพราะมีกำแพงสูงล้อมสโมสรไว้ ถ้ายิ่งเป็นตอนกลางคืนรับรองว่าขึ้นไปยืนอยู่บนระเบียงชั้น 3 ยังควานหาแสงไฟจากข้างนอกไม่ได้เลย


เดี๋ยวมาต่อนะครั
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
รอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่