เบญจเพส สะกดด้วย ส ไม่ใช่ ศ เรียกว่าคงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินคำคำนี้แต่อาจจะแตกต่างกันในเรื่องของความหมายและความเข้าใจ ตามคติความเชื่อของพราหมณ์ที่ผสมปนเปมาในความเชื่อแบบไทยๆมีอยู่ว่า ช่วงอายุ 25 ปี นั้นคือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ดีสุด หรือ ร้ายสุด สามารถเกิดขึ้นได้ซึ่งส่วนมากแล้วมักจะ ร้าย บางคนบาดเจ็บเล็กน้อยของหายไปจนถึงเสียชีวิต แต่ก็ไม่น้อยเช่นกันที่ชีวิตกลับพลิกผัน ยากจนเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคือ
จริงๆแล้วมันไม่ได้จำกัดด้วยซ้ำว่าจะต้องเป็นช่วงอายุ 25 ปี เป๊ะๆ บางคนก็หวาดวิตกฉันจะ 25 แล้วกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไรวิ่งเข้าวัดหาร่างทรงหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เขาพ้นภัย บ้างก็หลงระเริงดีใจว่า ฉันพ้น 25 มาแล้วปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท บ้างก็ว่าเหลวไหลไม่เป็นความจริง ฉันไม่เห็นจะเจออะไร ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเป็นเรื่องของ บุญกรรม ประกอบกับสติและความประมาททั้งนั้น
ชีวิตของคนเราจะมีช่วงหนึ่งที่กราฟจะตกลงถึงจุดต่ำสุดของชีวิต ต่ำจนเราอาจคิดว่าชีวิตนี้ช่างยากเย็นทุกอย่างพังไม่เป็นท่าความพยายามไร้ความหมายความดีไม่ช่วยอะไร และวันนึ่งมันจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรืออาจดีกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเวลาและการกระทำเท่านั้น
เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ยกตัวอย่างคำว่า เบญจเพส ได้อย่างชัดเจนในหลายๆความหมายและมันคงไม่ใช่แค่ความซวยโดยทั่วๆไปอย่างแน่นอน ก่อนจะที่ทุกคนจะเริ่มอ่านเรื่องของผมขอเตือนไว้ก่อนว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลท่านอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ได้ สุดแล้วแต่วิจารณญาณเท่านั้น หากเรื่องนี้ไม่ตรงใจท่านก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะคงไม่มีใครจะมายืนยันได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงนอกจาก ผม และ ผู้ร่วมเหตุการณ์ในเรื่องนี้เท่านั้น
........................................................................................
การพบเจอกันโดยบังเอิญเกิดขึ้นได้ง่ายๆโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับครั้งนั้นที่ผมได้พบกับ พี่นนท์ พี่ชายคนหนึ่งที่เราเคยรู้จักและคลุกคลีกันมาในช่วงวัยเด็กจนถึงช่วงก่อนที่ผมจะเข้า ม.ปลาย ด้วยเหตุการณ์หลายๆอย่างทำให้พวกเราไมได้เจอกันมาสักพักใหญ่ๆ ตอนนั้นตัวผมเองยังไม่ได้มี facebook กับ line ยิ่งทำให้เราแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย
วันนั้นผมเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกรุงเทพเพราะกำลังจะไปเจอเพื่อนที่นัดเอาไว้ในช่วงเย็นๆ ผมเลือกที่จะมาถึงสถานที่นัดก่อนเวลาหลายชั่วโมงเพราะอยากจะเดินเล่นหาซื้อของอย่างที่ต้องการเสียก่อน
ตอนที่ผมเพิ่งก้าวลงขากบีทีเอสโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก ผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกแว่วๆแต่ไม่ชัดเพราะใส่หูฟังอยู่ ‘น้องๆ’ เขาไม่ได้เรียกชื่อผมอาจเพราะยังไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเอง ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงเมื่อถูกมือคู่นั้นจับเอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง
ผมจำพี่นนท์ไม่ได้ในทันทีได้แต่ยืนมองอย่าง งงๆด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนจะเคยรู้จักคนตรงหน้า พี่เขายืนหอบคงเพราะวิ่งสวนฝูงคนขึ้นมาในตอนที่เห็นผม พี่เขาเรียกชื่อผมแล้วทักทายอย่างดีใจน้ำเสียงของเขาทำให้ผมนึกออกแล้วว่าคนที่เข้ามาทักผมคนนี้คือคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ผมดีใจไม่แพ้พี่นนท์ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงเวลานี้พี่นนท์บอกว่าหน้าตาของผมไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่มองผ่านแค่แวบเดียวก็จำได้ในทันที อีกเหตุผลที่ทำให้ผมจำเขาไม่ได้ตั้งแต่ในครั้งแรกที่พบหน้าไม่ใช่เพราะเราไม่ได้เจอกันนานหรือหน้าตาที่เปลี่ยนไป แต่เป็นร่างกายที่ซูบผอมลงมากกว่าเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน
แม้ว่าผมจะดีใจที่ได้พบกับพี่ชายคนนี้แต่ก็ไม่สามารถจะเก็บความประหลาดใจที่เผลอแสดงออกมาอย่างลืมตัวไว้ไม่ได้ พี่นนท์ยิ้มเจื่อนๆเหมือนจะรู้ทันความคิดของผม เขาชวนผมไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหารใกล้ๆด้วยความสนิทคุ้นเคยที่ดูจะไม่น้อยลงไปเลยแม้ว่าจะผ่านมาหลายปี
เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องราวสมัยเด็กๆที่มีแต่ความสุขถามถึงเพื่อนๆในวันเวลานั้นๆ แม้ว่าบทสนทนาจะสดใสแค่ไหนแต่ใบหน้าที่ซูบซีดหมองคล้ำของคนตรงหน้ายังทำให้ผมอดรู้สึกหวิวอยู่ลึกๆไม่ได้
จากคนที่เคยมีรูปร่างล่ำสันออกท้วมนิดๆแต่ไม่ถึงกับอ้วน โครงร่างที่ใหญ่อยู่แล้วยิ่งทำให้เขาดูตัวใหญ่มากกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกันอยู่เสมอๆ วันนี้เขาซูบซีผอมเกือบจะแห้งไม่ถึงกับหนังติดกระดูกแต่ถ้าใครผ่านมาเห็นก็คงจะต้องเหลียวมองเป็นแน่ โครงร่างใหญ่ๆของเขาที่เคยทำให้เขาดูแข็งแรงตอนนี้ยิ่งทำให้เขาดูเก้งก้างไม่สมส่วน
พี่นนท์เป็นคนผิวขาวตามแบบฉบับของลูกครึ่งไทยจีนแต่ใบหน้าที่ผมเห็นในวันนั้นดูหมองคล้ำไร้ราศี ถ้าใครเคยเห็นก็คงพอจะนึกออกว่า คนที่หน้าหมอง แม้ว่าเขาจะมีผิวที่ขาวแค่ไหนมันก็จะดูไม่สดใสเอาเสียเลย
‘เออ เรายังเห็นผีอยู่รึเปล่า’
อยู่ดีๆพี่เขาก็ตัดบทขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ ถ้าเป็นเพื่อนรอบๆตัวที่รู้จักกันมานานจะพอรู้อยู่แล้วถึงความไม่ปกติของผม ผมตอบติดตลกไปเหมือนทุกทีเพราะไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเครียดๆ ผมตอบรับกับคำถามนั้นพี่เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่จนผมไม่กล้าจะตลกต่อ
‘เห็นใครตามพี่ไหม’
‘หมายความว่าไงพี่นนท์’
คำถามที่ไม่คิดว่าจะเจอทำให้ผมประหลาดใจ พี่นนท์เล่าให้ฟังว่าช่วงนี้เขาฝันถึงใครคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ ในฝันนั้นเลือนรางไม่เป็นรูปเป็นร่างมากแต่ก็ชัดเจนว่ามีใครบางคนมากวนเขาตลอดเวลาพักผ่อนยามค่ำคืนเสมอๆ
เรื่องบังเอิญอีกเรื่องที่นึกย้อนไปก็รู้สึกขำ แม้ว่าพี่นนท์จะรู้อยู่แล้วว่าผมเห็นอะไรพวกนี้แต่ด้วยระยะห่างที่มากขึ้นก็ทำให้เราไม่ได้คุยกันมากพอที่เขาจะรู้ว่าชีวิตของผมเกิดอะไรและผ่านอะไรมาบ้าง จนเขาหลุดปากถามผมออกมา ‘พี่เคยอ่านพันทิปของคนคนนึง อยู่พิษณุโลกด้วยนะ ชื่อลอยชาย เราเคยอ่านป่าว’
‘อ่านดิพี่ พี่อ่านมานานยัง’ ผมตอบไปขำๆตามนิสัยส่วนตัว
‘ว่างก็เข้าไปอ่าน แต่ยังอ่านไม่ครบเลยชีวิตพี่วุ่นๆช่วงหลังๆมานี้’
พี่นนท์บอกว่าเสียดายที่ไม่ได้กลับไปที่พิษณุโลกมาพักใหญ่แล้วไม่อย่างนั้นก็คงจะลองติดต่อไปปรึกษาปัญหาดูบ้าง รวมถึงอยากชวนผมไปด้วยเพราะเมื่อก่อนการเห็นของผมค่อนข้างจะเป็นปัญหาและทำให้ผมไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตมากเท่าไหร่ เผื่อผมเองจะได้คำแนะนำอะไรกลับมาบ้างสักอย่างสองอย่าง
ผมไม่ได้ปล่อยไว้อย่างนั้นนานผมก็เลยบอกไปตามตรงเลยว่า ‘เออพี่ นั่นผมเองแหละ’ พี่เขาอึ้งไปทันทีเพราะคงไม่คิดจริงๆว่ามันจะใกล้ตัวมากขนาดนี้และคงไม่คิดว่าเด็กน้อยที่เคยวิ่งตามพี่เขาในวันนั้นจะกลายมาเป็นอะไรแบบนี้ บางครั้งผมก็คิดจริงๆว่าความบังเอิญ มันก็บังเอิญเสียจนไม่น่าใช่ความบังเอิญ
หลังจากเราปรับความเข้าใจตรงกันแล้วพี่นนท์ก็ขอที่จะถามและปรึกษาความสงสัยที่มีในใจกับผม อีกอย่างคือผมก็เริ่มที่จะรู้สึกได้บ้างแล้วว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับผู้ชายตรงหน้าผมคนนี้จริงๆ
พี่นนท์ใช้เวลานิดหนึ่งเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจุดเริ่มต้นของมันจริงๆมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากเราสองคนปล่อยให้บทสนทนามีแต่ความเงียบอยู่ราวๆสิบนาทีพี่นนท์ก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง
เรื่องราวทั้งหมดนั้นน่าจะเริ่มมาจากเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งในวันเกิดครบรอบ 24 ปีของเขาเอง วันนั้นเป็นวันที่ดีวันหนึ่งเพื่อนๆในบริษัทที่พี่นนท์เพิ่งเข้าทำงานได้เกือบครึ่งปีจัดงานวันเกิดเล็กๆให้ในช่วงบ่ายของวัน แวดล้อมทุกคนในที่ทำงานนั้นเป็นสังคมที่น่าอิจฉาสำหรับพนักงานบริษัท
ทุกคนเข้ามาอวยพรพร้อมของขวัญเล็กๆน้อยๆ ในสมัยนี้คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้วันเกิดของใครสักคนหนึ่งแม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่กันมากมายสักเท่าไหร่
‘นนท์ๆ ปีนี้เท่าไหร่แล้ว’
’24 ครับ พี่อ้อม’
‘อุ๊ย จะเบญจเพสแล้วสิ ดูแลตัวเองด้วยนะอันตรายๆ’
ประโยคไม่กี่ประโยคสร้างความครึกครื้นในให้วงสนทนามีชีวิตชีวามากกว่าปกติ พี่นนท์มีความเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วตัวเองก็คิดเอาไว้บ้างแล้วว่าช่วงวันเกิดอายุ 24 25 จะต้องหาโอกาสไปทำบุญสะเดาะเคราะห์หรือสร้างบุญใหญ่สักครั้งเพราะกลัวเรื่องของเบญจเพสเหมือนกับคนทั่วๆไป
พี่อ้อม รุ่นพี่ในบริษัทที่ได้ชื่อว่าเป็นกูรูด้านหมอดูก็ได้เวลาแสดงฝีมือร่ายยาวรายชื่อหมอดูชื่อดังและไม่มีชื่อแต่เป็นที่รู้กันว่าแม่นขนาดไหน หัวข้อการสนทนาในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทุกๆคนรวมถึงตัวพี่นนท์เอง การไปตรวจดวงชะตารับรู้เรื่องราวไว้ล่วงหน้ามันก็คงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายสักเท่าไหร่สำหรับช่วงสำคัญของชีวิต
ทุกคนไม่รอให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์วันเกิดของพี่นนท์น่าจะประมาณวันพุธหรือพฤหัสแล้วพวกเขาก็นัดกันไปดูดวงในวันเสาร์ของสัปดาห์เดียวกันทันที
สถานที่ดูดวงนั้นเป็นลานกว้างๆของที่ไหนสักที่พี่นนท์อธิบายให้ผมฟังอย่าง งงๆ อาจเพราะไม่ชินเส้นทางจำได้แค่ว่าเป็นเขตจังหวัดนครปฐม ที่ตรงนั้นมีทั้งร้านค้าและโต๊ะพับหลายตัวตั้งวางอยู่ตามใต้ต้นไม้เพื่อหลบแสงแดดในช่วงกลางวัน เมื่อมองดูดีๆจะเห็นว่าเกือบทั้งหมดนั้นเป็นป้ายฟิวเจอร์บอร์ดเขียนด้วยลายมือง่ายๆว่า รับดูดวง
ถ้าใครที่เพิ่งมาครั้งแรกคงจะต้องยืนคิดอยู่สักพักหนึ่งว่าจะเลือกเดินเข้าไปหาเจ้าไหนดีที่จะไม่ทำให้รู้สึกว่าเสียเงินเปล่า แต่ไม่ใช่สำหรับพี่อ้อมที่ชำนาญทางตั้งแต่ขับรถมาจนถึงตอนเรื่องร้าน พี่คนโตของแผนกพาเดินตรงผ่านร้านค้าไปยังด้านหลังที่มีรถยนต์จอดอยู่หลายคันจนพอจะเข้าใจได้ว่าที่ตรงนี้เป็นลานจอดรถแต่ว่าต้องเสียค่าจอด เลยเลือกที่จะจอดไกลออกไปสักหน่อยแล้วเดินเอา
ที่ด้านในของลานจอดรถมีตึกเล็กๆก่อด้วยปูนมีช่องกระจกสีดำเล็กๆน่าจะเป็นที่พักของคนเฝ้ารถแต่ที่น่าสนใจคือที่จอดรถช่องหนึ่งติดกับป้อมยามนั้นมีเต็นท์ผ้าใบเก่าๆกางอยู่แบบกึ่งถาวรข้างหน้าเต็นท์นั้นมีเก้าอี้พลาสติกหลายตัววางเกะกะและทั้งหมดนั้นมีคนนั่งอยู่เต็มอัตรา อีกทั้งรอบข้างยังมีคนยืนเล่นโทรศัพท์รออีกหลายคน
พี่นนท์เห็นอย่างนั้นก็นึกในใจว่าคงจะมาเสียเที่ยวแล้ว แต่พี่อ้อมกลับเดินตรงเข้าไปตรงป้อมยามเคาะกระจกสีดำเล็กๆเรียกคนข้างในออกมาคุยด้วย
‘มาจอดรถหรือมาดูดวงครับ’ ลุงยามอายุมากแง้มกระจกบานเลื่อนออกมาคุย
‘ดูดวงค่ะลุง วันนี้ทันไหมคะ’ พี่อ้อมถาม
‘น่าจะทันนะดูทั้งหมดเลยใช่ไหม’ ลุงชะโงกหน้ามานับจำนวนคนพร้อมเปิดสมุดที่วางอยู่ดู
‘ค่ะ ทั้งหมดสามคนเลยค่ะ’
โชคดีที่วันนั้นไปตั้งแต่หัววันทำให้ได้คิวดูดวงในช่วงเกือบจะเย็นๆเพราะจำนวนคนที่ค่อนข้างมาก ระหว่างรอทั้งสามคนมีพี่นนท์พี่อ้อมและน้องใหม่อีกคนที่มาด้วยกันไปเดินหาอะไรกินกันที่ตลาดใกล้ๆเพื่อฆ่าเวลาจนกว่าจะถึงเวลาที่นัดกันไว้กับลุงยาม
พอใกล้เวลาทุกคนจะต้องมายืนรอที่ด้านหน้าเต็นท์ที่เดิมโดยตอนนี้คนเบาบางลงมากแล้วไม่แน่ว่าพวกพี่เขาอาจจะเป็นคิวสุดท้ายของวัน ไม่นานนักก็ได้เวลา ทั้งสามคนเลือกที่จะเข้าไปพร้อมๆกันเพราะไม่ได้มีเรื่องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากนัก จริงๆแล้วก็คือความอยากรู้นั่นเอง ส่วนพี่นนท์ก็อยากให้พี่อ้อมที่เป็นกูรูด้านนี้มาช่วยถามช่วยซักด้วยเช่นกัน
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดียกเว้นของพี่นนท์เพียงคนเดียวที่ถูกทักว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงเบญจเพส และมันจะเป็นช่วงที่หนักที่สุดของชีวิต ไม่ใช่เรื่องงานหรือเงิน แต่มันรวมไปถึงความปลอดภัยในชีวิตที่มีแนวโน้มว่ามันจะเลวร้ายจนอาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้
พี่นนท์เองเตรียมใจมาในระดับหนึ่งแล้วว่าคงจะมีเรื่องการทักทายทำนองนี้ด้วยช่วงของอายุแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ คำว่าชะตาขาดหรือถึงขาดเป็นคำที่ฟังดูมีน้ำหนักถ่วงอยู่ในใจอย่างประหลาดอีกทั้งประโยคที่ตัวเขาเองก็ยังไมเข้าใจมันมากนักกระนั้นมันก็ฝังรากลึกลงในจิตใจของพี่นนท์อย่างแน่นหนา
‘เจ้ากรรมเขามารอแล้ว ทำบุญเยอะๆนะในตอนที่ยังมีโอกาส’
รอยต่อ...เบญจเพส
จริงๆแล้วมันไม่ได้จำกัดด้วยซ้ำว่าจะต้องเป็นช่วงอายุ 25 ปี เป๊ะๆ บางคนก็หวาดวิตกฉันจะ 25 แล้วกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไรวิ่งเข้าวัดหาร่างทรงหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เขาพ้นภัย บ้างก็หลงระเริงดีใจว่า ฉันพ้น 25 มาแล้วปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท บ้างก็ว่าเหลวไหลไม่เป็นความจริง ฉันไม่เห็นจะเจออะไร ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเป็นเรื่องของ บุญกรรม ประกอบกับสติและความประมาททั้งนั้น
ชีวิตของคนเราจะมีช่วงหนึ่งที่กราฟจะตกลงถึงจุดต่ำสุดของชีวิต ต่ำจนเราอาจคิดว่าชีวิตนี้ช่างยากเย็นทุกอย่างพังไม่เป็นท่าความพยายามไร้ความหมายความดีไม่ช่วยอะไร และวันนึ่งมันจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรืออาจดีกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเวลาและการกระทำเท่านั้น
เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ยกตัวอย่างคำว่า เบญจเพส ได้อย่างชัดเจนในหลายๆความหมายและมันคงไม่ใช่แค่ความซวยโดยทั่วๆไปอย่างแน่นอน ก่อนจะที่ทุกคนจะเริ่มอ่านเรื่องของผมขอเตือนไว้ก่อนว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลท่านอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ได้ สุดแล้วแต่วิจารณญาณเท่านั้น หากเรื่องนี้ไม่ตรงใจท่านก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะคงไม่มีใครจะมายืนยันได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงนอกจาก ผม และ ผู้ร่วมเหตุการณ์ในเรื่องนี้เท่านั้น
การพบเจอกันโดยบังเอิญเกิดขึ้นได้ง่ายๆโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับครั้งนั้นที่ผมได้พบกับ พี่นนท์ พี่ชายคนหนึ่งที่เราเคยรู้จักและคลุกคลีกันมาในช่วงวัยเด็กจนถึงช่วงก่อนที่ผมจะเข้า ม.ปลาย ด้วยเหตุการณ์หลายๆอย่างทำให้พวกเราไมได้เจอกันมาสักพักใหญ่ๆ ตอนนั้นตัวผมเองยังไม่ได้มี facebook กับ line ยิ่งทำให้เราแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย
วันนั้นผมเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกรุงเทพเพราะกำลังจะไปเจอเพื่อนที่นัดเอาไว้ในช่วงเย็นๆ ผมเลือกที่จะมาถึงสถานที่นัดก่อนเวลาหลายชั่วโมงเพราะอยากจะเดินเล่นหาซื้อของอย่างที่ต้องการเสียก่อน
ตอนที่ผมเพิ่งก้าวลงขากบีทีเอสโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก ผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกแว่วๆแต่ไม่ชัดเพราะใส่หูฟังอยู่ ‘น้องๆ’ เขาไม่ได้เรียกชื่อผมอาจเพราะยังไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเอง ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงเมื่อถูกมือคู่นั้นจับเอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง
ผมจำพี่นนท์ไม่ได้ในทันทีได้แต่ยืนมองอย่าง งงๆด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนจะเคยรู้จักคนตรงหน้า พี่เขายืนหอบคงเพราะวิ่งสวนฝูงคนขึ้นมาในตอนที่เห็นผม พี่เขาเรียกชื่อผมแล้วทักทายอย่างดีใจน้ำเสียงของเขาทำให้ผมนึกออกแล้วว่าคนที่เข้ามาทักผมคนนี้คือคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ผมดีใจไม่แพ้พี่นนท์ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงเวลานี้พี่นนท์บอกว่าหน้าตาของผมไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่มองผ่านแค่แวบเดียวก็จำได้ในทันที อีกเหตุผลที่ทำให้ผมจำเขาไม่ได้ตั้งแต่ในครั้งแรกที่พบหน้าไม่ใช่เพราะเราไม่ได้เจอกันนานหรือหน้าตาที่เปลี่ยนไป แต่เป็นร่างกายที่ซูบผอมลงมากกว่าเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน
แม้ว่าผมจะดีใจที่ได้พบกับพี่ชายคนนี้แต่ก็ไม่สามารถจะเก็บความประหลาดใจที่เผลอแสดงออกมาอย่างลืมตัวไว้ไม่ได้ พี่นนท์ยิ้มเจื่อนๆเหมือนจะรู้ทันความคิดของผม เขาชวนผมไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหารใกล้ๆด้วยความสนิทคุ้นเคยที่ดูจะไม่น้อยลงไปเลยแม้ว่าจะผ่านมาหลายปี
เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องราวสมัยเด็กๆที่มีแต่ความสุขถามถึงเพื่อนๆในวันเวลานั้นๆ แม้ว่าบทสนทนาจะสดใสแค่ไหนแต่ใบหน้าที่ซูบซีดหมองคล้ำของคนตรงหน้ายังทำให้ผมอดรู้สึกหวิวอยู่ลึกๆไม่ได้
จากคนที่เคยมีรูปร่างล่ำสันออกท้วมนิดๆแต่ไม่ถึงกับอ้วน โครงร่างที่ใหญ่อยู่แล้วยิ่งทำให้เขาดูตัวใหญ่มากกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกันอยู่เสมอๆ วันนี้เขาซูบซีผอมเกือบจะแห้งไม่ถึงกับหนังติดกระดูกแต่ถ้าใครผ่านมาเห็นก็คงจะต้องเหลียวมองเป็นแน่ โครงร่างใหญ่ๆของเขาที่เคยทำให้เขาดูแข็งแรงตอนนี้ยิ่งทำให้เขาดูเก้งก้างไม่สมส่วน
พี่นนท์เป็นคนผิวขาวตามแบบฉบับของลูกครึ่งไทยจีนแต่ใบหน้าที่ผมเห็นในวันนั้นดูหมองคล้ำไร้ราศี ถ้าใครเคยเห็นก็คงพอจะนึกออกว่า คนที่หน้าหมอง แม้ว่าเขาจะมีผิวที่ขาวแค่ไหนมันก็จะดูไม่สดใสเอาเสียเลย
‘เออ เรายังเห็นผีอยู่รึเปล่า’
อยู่ดีๆพี่เขาก็ตัดบทขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ ถ้าเป็นเพื่อนรอบๆตัวที่รู้จักกันมานานจะพอรู้อยู่แล้วถึงความไม่ปกติของผม ผมตอบติดตลกไปเหมือนทุกทีเพราะไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเครียดๆ ผมตอบรับกับคำถามนั้นพี่เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่จนผมไม่กล้าจะตลกต่อ
‘เห็นใครตามพี่ไหม’
‘หมายความว่าไงพี่นนท์’
คำถามที่ไม่คิดว่าจะเจอทำให้ผมประหลาดใจ พี่นนท์เล่าให้ฟังว่าช่วงนี้เขาฝันถึงใครคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ ในฝันนั้นเลือนรางไม่เป็นรูปเป็นร่างมากแต่ก็ชัดเจนว่ามีใครบางคนมากวนเขาตลอดเวลาพักผ่อนยามค่ำคืนเสมอๆ
เรื่องบังเอิญอีกเรื่องที่นึกย้อนไปก็รู้สึกขำ แม้ว่าพี่นนท์จะรู้อยู่แล้วว่าผมเห็นอะไรพวกนี้แต่ด้วยระยะห่างที่มากขึ้นก็ทำให้เราไม่ได้คุยกันมากพอที่เขาจะรู้ว่าชีวิตของผมเกิดอะไรและผ่านอะไรมาบ้าง จนเขาหลุดปากถามผมออกมา ‘พี่เคยอ่านพันทิปของคนคนนึง อยู่พิษณุโลกด้วยนะ ชื่อลอยชาย เราเคยอ่านป่าว’
‘อ่านดิพี่ พี่อ่านมานานยัง’ ผมตอบไปขำๆตามนิสัยส่วนตัว
‘ว่างก็เข้าไปอ่าน แต่ยังอ่านไม่ครบเลยชีวิตพี่วุ่นๆช่วงหลังๆมานี้’
พี่นนท์บอกว่าเสียดายที่ไม่ได้กลับไปที่พิษณุโลกมาพักใหญ่แล้วไม่อย่างนั้นก็คงจะลองติดต่อไปปรึกษาปัญหาดูบ้าง รวมถึงอยากชวนผมไปด้วยเพราะเมื่อก่อนการเห็นของผมค่อนข้างจะเป็นปัญหาและทำให้ผมไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตมากเท่าไหร่ เผื่อผมเองจะได้คำแนะนำอะไรกลับมาบ้างสักอย่างสองอย่าง
ผมไม่ได้ปล่อยไว้อย่างนั้นนานผมก็เลยบอกไปตามตรงเลยว่า ‘เออพี่ นั่นผมเองแหละ’ พี่เขาอึ้งไปทันทีเพราะคงไม่คิดจริงๆว่ามันจะใกล้ตัวมากขนาดนี้และคงไม่คิดว่าเด็กน้อยที่เคยวิ่งตามพี่เขาในวันนั้นจะกลายมาเป็นอะไรแบบนี้ บางครั้งผมก็คิดจริงๆว่าความบังเอิญ มันก็บังเอิญเสียจนไม่น่าใช่ความบังเอิญ
หลังจากเราปรับความเข้าใจตรงกันแล้วพี่นนท์ก็ขอที่จะถามและปรึกษาความสงสัยที่มีในใจกับผม อีกอย่างคือผมก็เริ่มที่จะรู้สึกได้บ้างแล้วว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับผู้ชายตรงหน้าผมคนนี้จริงๆ
พี่นนท์ใช้เวลานิดหนึ่งเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจุดเริ่มต้นของมันจริงๆมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากเราสองคนปล่อยให้บทสนทนามีแต่ความเงียบอยู่ราวๆสิบนาทีพี่นนท์ก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง
เรื่องราวทั้งหมดนั้นน่าจะเริ่มมาจากเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งในวันเกิดครบรอบ 24 ปีของเขาเอง วันนั้นเป็นวันที่ดีวันหนึ่งเพื่อนๆในบริษัทที่พี่นนท์เพิ่งเข้าทำงานได้เกือบครึ่งปีจัดงานวันเกิดเล็กๆให้ในช่วงบ่ายของวัน แวดล้อมทุกคนในที่ทำงานนั้นเป็นสังคมที่น่าอิจฉาสำหรับพนักงานบริษัท
ทุกคนเข้ามาอวยพรพร้อมของขวัญเล็กๆน้อยๆ ในสมัยนี้คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้วันเกิดของใครสักคนหนึ่งแม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่กันมากมายสักเท่าไหร่
‘นนท์ๆ ปีนี้เท่าไหร่แล้ว’
’24 ครับ พี่อ้อม’
‘อุ๊ย จะเบญจเพสแล้วสิ ดูแลตัวเองด้วยนะอันตรายๆ’
ประโยคไม่กี่ประโยคสร้างความครึกครื้นในให้วงสนทนามีชีวิตชีวามากกว่าปกติ พี่นนท์มีความเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วตัวเองก็คิดเอาไว้บ้างแล้วว่าช่วงวันเกิดอายุ 24 25 จะต้องหาโอกาสไปทำบุญสะเดาะเคราะห์หรือสร้างบุญใหญ่สักครั้งเพราะกลัวเรื่องของเบญจเพสเหมือนกับคนทั่วๆไป
พี่อ้อม รุ่นพี่ในบริษัทที่ได้ชื่อว่าเป็นกูรูด้านหมอดูก็ได้เวลาแสดงฝีมือร่ายยาวรายชื่อหมอดูชื่อดังและไม่มีชื่อแต่เป็นที่รู้กันว่าแม่นขนาดไหน หัวข้อการสนทนาในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทุกๆคนรวมถึงตัวพี่นนท์เอง การไปตรวจดวงชะตารับรู้เรื่องราวไว้ล่วงหน้ามันก็คงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายสักเท่าไหร่สำหรับช่วงสำคัญของชีวิต
ทุกคนไม่รอให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์วันเกิดของพี่นนท์น่าจะประมาณวันพุธหรือพฤหัสแล้วพวกเขาก็นัดกันไปดูดวงในวันเสาร์ของสัปดาห์เดียวกันทันที
สถานที่ดูดวงนั้นเป็นลานกว้างๆของที่ไหนสักที่พี่นนท์อธิบายให้ผมฟังอย่าง งงๆ อาจเพราะไม่ชินเส้นทางจำได้แค่ว่าเป็นเขตจังหวัดนครปฐม ที่ตรงนั้นมีทั้งร้านค้าและโต๊ะพับหลายตัวตั้งวางอยู่ตามใต้ต้นไม้เพื่อหลบแสงแดดในช่วงกลางวัน เมื่อมองดูดีๆจะเห็นว่าเกือบทั้งหมดนั้นเป็นป้ายฟิวเจอร์บอร์ดเขียนด้วยลายมือง่ายๆว่า รับดูดวง
ถ้าใครที่เพิ่งมาครั้งแรกคงจะต้องยืนคิดอยู่สักพักหนึ่งว่าจะเลือกเดินเข้าไปหาเจ้าไหนดีที่จะไม่ทำให้รู้สึกว่าเสียเงินเปล่า แต่ไม่ใช่สำหรับพี่อ้อมที่ชำนาญทางตั้งแต่ขับรถมาจนถึงตอนเรื่องร้าน พี่คนโตของแผนกพาเดินตรงผ่านร้านค้าไปยังด้านหลังที่มีรถยนต์จอดอยู่หลายคันจนพอจะเข้าใจได้ว่าที่ตรงนี้เป็นลานจอดรถแต่ว่าต้องเสียค่าจอด เลยเลือกที่จะจอดไกลออกไปสักหน่อยแล้วเดินเอา
ที่ด้านในของลานจอดรถมีตึกเล็กๆก่อด้วยปูนมีช่องกระจกสีดำเล็กๆน่าจะเป็นที่พักของคนเฝ้ารถแต่ที่น่าสนใจคือที่จอดรถช่องหนึ่งติดกับป้อมยามนั้นมีเต็นท์ผ้าใบเก่าๆกางอยู่แบบกึ่งถาวรข้างหน้าเต็นท์นั้นมีเก้าอี้พลาสติกหลายตัววางเกะกะและทั้งหมดนั้นมีคนนั่งอยู่เต็มอัตรา อีกทั้งรอบข้างยังมีคนยืนเล่นโทรศัพท์รออีกหลายคน
พี่นนท์เห็นอย่างนั้นก็นึกในใจว่าคงจะมาเสียเที่ยวแล้ว แต่พี่อ้อมกลับเดินตรงเข้าไปตรงป้อมยามเคาะกระจกสีดำเล็กๆเรียกคนข้างในออกมาคุยด้วย
‘มาจอดรถหรือมาดูดวงครับ’ ลุงยามอายุมากแง้มกระจกบานเลื่อนออกมาคุย
‘ดูดวงค่ะลุง วันนี้ทันไหมคะ’ พี่อ้อมถาม
‘น่าจะทันนะดูทั้งหมดเลยใช่ไหม’ ลุงชะโงกหน้ามานับจำนวนคนพร้อมเปิดสมุดที่วางอยู่ดู
‘ค่ะ ทั้งหมดสามคนเลยค่ะ’
โชคดีที่วันนั้นไปตั้งแต่หัววันทำให้ได้คิวดูดวงในช่วงเกือบจะเย็นๆเพราะจำนวนคนที่ค่อนข้างมาก ระหว่างรอทั้งสามคนมีพี่นนท์พี่อ้อมและน้องใหม่อีกคนที่มาด้วยกันไปเดินหาอะไรกินกันที่ตลาดใกล้ๆเพื่อฆ่าเวลาจนกว่าจะถึงเวลาที่นัดกันไว้กับลุงยาม
พอใกล้เวลาทุกคนจะต้องมายืนรอที่ด้านหน้าเต็นท์ที่เดิมโดยตอนนี้คนเบาบางลงมากแล้วไม่แน่ว่าพวกพี่เขาอาจจะเป็นคิวสุดท้ายของวัน ไม่นานนักก็ได้เวลา ทั้งสามคนเลือกที่จะเข้าไปพร้อมๆกันเพราะไม่ได้มีเรื่องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากนัก จริงๆแล้วก็คือความอยากรู้นั่นเอง ส่วนพี่นนท์ก็อยากให้พี่อ้อมที่เป็นกูรูด้านนี้มาช่วยถามช่วยซักด้วยเช่นกัน
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดียกเว้นของพี่นนท์เพียงคนเดียวที่ถูกทักว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงเบญจเพส และมันจะเป็นช่วงที่หนักที่สุดของชีวิต ไม่ใช่เรื่องงานหรือเงิน แต่มันรวมไปถึงความปลอดภัยในชีวิตที่มีแนวโน้มว่ามันจะเลวร้ายจนอาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้
พี่นนท์เองเตรียมใจมาในระดับหนึ่งแล้วว่าคงจะมีเรื่องการทักทายทำนองนี้ด้วยช่วงของอายุแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ คำว่าชะตาขาดหรือถึงขาดเป็นคำที่ฟังดูมีน้ำหนักถ่วงอยู่ในใจอย่างประหลาดอีกทั้งประโยคที่ตัวเขาเองก็ยังไมเข้าใจมันมากนักกระนั้นมันก็ฝังรากลึกลงในจิตใจของพี่นนท์อย่างแน่นหนา
‘เจ้ากรรมเขามารอแล้ว ทำบุญเยอะๆนะในตอนที่ยังมีโอกาส’