แม้ความตาย...จะไม่แยกเรา (เรื่องผี 20+)

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เคยตั้งใจไว้ว่า ‘จะไม่เล่า’ เหตุผลที่ตัดสินใจอย่างนั้นคือ มีหลายๆเหตุการณ์ในเรื่องนี้ที่ค่อนข้าง เหลือเชื่อหรือเกินเชื่อไปบ้าง เมื่อเล่าให้ใครฟังก็มักจะได้คำตอบเดิมๆกลับมาว่า หนังรึเปล่า ละครเลยเนี่ย อีกอย่างคือเรื่องราวค่อนข้างรุนแรงพอสมควร
           เวลาผ่านไปนานพอสมควร เรื่องเล่าหลายๆเรื่องที่ผมเขียน ผู้คนรอบๆตัว ทุกอย่างค่อยๆให้คำตอบกับตัวผมเองรวมไปถึง เจ้าของเรื่อง เขาอยากให้ผมเล่า ลองดูไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร คนจะเชื่อหรือไม่ช่างมัน อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มีใครต้องเป็นแบบเขาอีก
          อย่างที่ผมเกริ่นไว้แล้วนะครับว่า เรื่องนี้อาจมีบางส่วนที่ดูเหลือเชื่อหรือเกินเชื่อไปบ้างแต่อย่างไรเสียมันก็คือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผมและผู้คนในเรื่องราว เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลอย่างมาก หากไม่ถูกใจท่านขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
           เรื่องนี้น่าจะยาวพอสมควรและคงต้องใช้เวลาในการเล่า ผู้อ่านทุกท่านสามารถหาขนมหรือหาละครสักเรื่องดูควบคู่กันไปด้วยก็ได้นะครับ เตือนไว้อีกนิดว่าในเรื่องมีส่วนล่อแหลมพอสมควร โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ
          ไสยศาสตร์และวิญญาณไม่ใช่เรื่องเหลวไหลมันยังคงอยู่ตลอดมาในมุมหนึ่งของสังคมไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา เทคโนโลยีที่ก้าวไกลไม่ใช่เหตุผลที่จะบอกว่าเรื่องราวพวกนี้ได้หายไปแล้ว อย่างไรเสียก็ลองฟังหูไว้หูเสียบ้างก็ไม่เสียหาย
          ข้าพเจ้าขออนุญาตดวงวิญญาณและผู้ล่วงลับทุกผู้ทุกนามไว้ ณ ที่นี้ด้วย
.......................................................................................
ขออนุญาตเท้าความยาวนิดหนึ่งนะครับ
          เรื่องที่จะเล่าในวันนี้เกิดขึ้นเมื่อราวๆหนึ่งปีก่อนเป็นช่วงที่ผมได้ฝึกงานอยู่ในกรุงเทพเป็นเวลาเกือบครึ่งปี ช่วงนั้นเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผมเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตหรือคนรอบๆตัว
          ในช่วงว่างๆบางวันผมจะใช้เวลาไปกับการเดินทางไปตามที่ต่างๆที่อยากไปเพราะเคยตั้งใจไว้ว่าคงจะไม่เข้ามาทำงานที่นี่จริงๆในระยะยาว ช่วงที่ไปได้ก็จะรีบไป
          คืนหนึ่งผมได้รับข้อความผ่านทาง เพจ เป็นเหมือนข้อความทักทายทั่วๆไปสั้นๆ ‘สวัสดีครับ’
          ผมตอบกลับไปตามปกติ แต่ก็ไม่มีประโยคใดตอบกลับมาอีกมีเพียงข้อความสั้นๆของระบบที่แจ้งว่าปลายทางได้อ่านข้อความของผมแล้ว
          น่าจะวันหรือสองวันไม่แน่ใจผมเข้าไปตรวจดูข้อความตามปกติก็ได้เห็นว่าเจ้าของประโยคนั้นได้หายไปแล้ว หน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กของคนนั้นได้ถูกปิดไปเป็นที่เรียบร้อยเหมือนกับยกเลิกบัญชีไป ผมไม่สามารถตอบข้อความใดกลับไปได้อีก
          ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะผมเคยได้รับข้อความแนวๆนี้แล้วหายไปเสียเฉยๆอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ผมถึงรู้สึก คาใจ กับเจ้าของข้อความที่ไม่มีที่มานี้อยู่หลายวัน
          แม้ว่าผมจะได้ลบข้อความนั้นออกไปจากกล่องข้อความแล้วเพราะมันเหลือไว้แค่คำว่า ‘ผู้ใช้facebook’ เท่านั้น จะเก็บไว้มันก็ดูรกและทำให้หาข้อความอื่นๆยากขึ้น
          ช่วงบ่ายโมงวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่งหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จผมเดินเล่นอยู่ใน siam paragon ฆ่าเวลาเพื่อรอเพื่อนที่กำลังดื่มด่ำกับร้านเครื่องสำอางเปิดใหม่ในช่วงนั้น
          ระหว่างที่เดินเตร่ไปเรื่อยผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเหมือนตามปกติ พอดีกับที่มีข้อความแจ้งเตือนมาในกล่องข้อความอีกครั้ง
‘สวัสดีครับ’
          มันอาจดูเหมือนเป็นข้อความทักทายของคนทั่วๆไปที่ใครๆก็ใช้กัน แต่ความรู้สึกในวันนั้นทำให้ผมตัดสินใจกดเข้าไปอ่านแทบจะในทันที อาจเพราะความว่างหรืออะไรก็ไม่แน่ใจ
          หน้าโปรไฟล์ที่ติดต่อนั้นเป็นภาพพื้นหลังสีดำไม่ได้แสดงหน้าตาของผู้ติดต่อแต่อย่างใด ประโยคที่เราคุยกันนั้นสั้นๆเหมือนทั้งสองคนไม่ค่อยอยากจะสนทนากันสักเท่าไหร่
‘สวัสดีครับ’
‘ครับ’
‘มีเรื่องปรึกษาครับ’
‘ครับ พิมพ์มาได้เลยครับ’
‘อยากเจอครับ ไม่อยากเล่าผ่านในนี้’
..
          ผมไม่ได้ตอบกลับไปเพราะปกติแล้วผมก็ไม่ค่อยจะรับนัดเจอกับใครที่ไม่รู้จักหรือมีคนใกล้ตัวแนะนำมาจริงๆ ผมปล่อยข้อความทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
‘ผมอยู่พารากอนครับ’
          ประโยคเดียวที่ทำให้ผมเอะใจและรู้สึก ประหลาดใจ ในตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดว่าเขาคือเจ้าของข้อความเมื่อคราวก่อน แต่มันดูบังเอิญเกินไปที่เราจะมาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ทักมาในวันและเวลาที่ถูกต้องอย่างนี้
          ด้วยความนึกสนุกของตัวเองที่ได้พบเจอกับความบังเอิญแบบนี้อีกครั้งจึงเลือกที่จะไปเจอกับใครคนนั้นที่นัดเจอกับผมโดยที่เราทั้งสองคนไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
          สถานที่นัดคือ starbuck ฝั่งตรงข้ามกับพารากอน ผมเดินเข้าไปในร้านโดยไม่รู้ว่าต้องไปพบใคร แต่มันผู้ชายคนหนึ่งดูภูมิฐานยืนออยู่ใกล้ๆกับประตูทางเข้า
          ผมถือโทรศัพท์ไว้ในมือเหมือนเป็นเชิงสัญลักษณ์บอกถึงการนัดผ่านข้อความของเรา เหมือนพี่เขาจะรู้เช่นกันเพราะเขายกมือทักทายเพื่อยืนยันตัวตน
‘น้องรับอะไรครับ พี่เลี้ยง’
          นั่นคือประโยคแรกที่เราได้คุยกัน ผมสั่งคาปูชิโน่ตามความเคยชินที่กินอยู่เป็นประจำ ผมยังไม่ได้ไปหาที่นั่งเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาที่นี่รู้ว่าต้องเดินไปตรงไหน
‘2 รายการนะครับ อีกท่านจะสั่งด้วยกันเลยไหมครับจะได้เป็นบิลเดียว’
          ผมสะดุดหูกับคำถามนั้นของพนักงาน เรามากันสองคนและผมก็ยืนห่างออกมาพอสมควรไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะถามอย่างนั้น นอกเสียจากเขาจะเห็นเราสองคนยืนคุยกันก่อนจะไปสั่งเครื่องดื่ม
          พี่เขาแค่ยิ้มๆแล้วย้ำว่า สองรายการครับ  ผมยืนรอไม่นานพี่เขาก็ถือกาแฟสองแก้วในมือมาให้และพาเดินขึ้นไปนั่งที่ชั้นบนสุดของร้าน
          ในวันนั้นเป็นวันหยุดทำให้มีผู้คนแน่นขนัดแต่ยังพอจะหาที่นั่งได้บ้าง เรานั่งตรงมุมติดผนังด้านในตามความต้องการของเจ้าตัว
          พี่กิต แนะนำตัวแทบจะในทันทีที่เรานั่งลงพร้อมถอดแว่นกันแดดราคาแพงออกมาวาง เมื่อได้มีเวลาให้นั่งพิจารณาผู้ชายคตรงหน้าแล้วจึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่อยากจะพูดคุยผ่านโซเชียลสักเท่าไหร่
‘พี่ชื่อกิตนะครับ ส่วนอาชีพพี่ขอไม่ไม่บอก น้องสะดวกไหมครับ’
‘ได้ครับ เอาที่พี่สบายใจ ทางผมก็เหมือนกันอย่าไปบอกใครต่อแล้วกันครับ’
‘ครับ ถ้าน้องช่วยพี่ได้ จะเท่าไหร่พี่ก็จ่าย ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะครับ’
          ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นอยู่แล้วอย่าว่าแต่หมื่นหรือแสนเลย สักบาทเดียวผมก็ยังรับไม่ได้ และมันก็คงจริงตามที่พี่กิตบอก เครื่องแต่งตัวของเขาแต่ละชิ้นดูมีราคาไม่น้อยทั้งหมดล้วนเป็นแบรนด์ชื่อดัง ที่สำคัญคือผิวพันธ์และหน้าตาของชายวัยใกล้สามสิบตรงหน้าผมนั้นเรียกได้ว่าเป็นคน หน้าตาดีมากคนหนึ่ง
          เราไม่พูดคุยถึงชีวิตส่วนตัวของกันและกันมีเพียงพี่กิตที่ออกตัวไว้ว่าเขาต้องการความลับและความเป็นส่วนตัวตามสไตล์นักธุรกิจสมัยนี้
          การแนะนำตัวทั้งหมดเกินขึ้นเพียงไม่กี่นาที ผมก้มลงไปหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะเพียงวูบเดียวก็ได้เห็นภาพที่ทำเอาตัวแข็งไปชั่วแวบหนึ่ง
          ที่ข้างๆพี่กิตนั้นมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอนั่งใกล้แนบชิดติดกับตัวของชายหนุ่ม ใบหน้าซบลงตรงไหล่ยิ้มปริ่มด้วยความสุข ผิดก็แต่เพียงว่าใบหน้านั้นน่าเกลียดเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็น คน
          ผมคงเผลอแสดงท่าทีตกใจออกไปโดยไม่รู้ตัว พี่กิตจึงถามผมเพื่อยืนยัน
‘น้องเห็นแล้วใช่ไหมครับ’
          ผมไม่ได้ปฏิเสธเพราะคนถามดูมีเรื่องจะเล่าให้ผมฟังพอสมควร พี่กิตสูดหายใจเข้าออกสองสามทีก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตัวเองก็คงไม่อยากพูดมันออกมา
          พี่รู้สึกว่าพี่เหมือนจะโดนทำของใส่ครับ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นของอะไรอย่างไรเพราะพี่ไม่เข้าใจและไม่ได้เชื่ออะไรพวกนี้สักเท่าไหร่เสียด้วยแต่มันก็มีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นหลายครั้งกับคนรอบข้าง และตัวพี่เอง
          พี่คิดว่ามันคงเป็นเหมือนกับเสน่ห์ หรือไม่ก็พวกคำสาปแช่งอะไรพวกนี้หรือเปล่าแต่ที่แน่ๆมันต้องเป็นเรื่องความรักของพี่แน่ๆ ไม่ว่าพี่พยายามจะมีความรักสักกี่ครั้ง มันก็พังเสียทุกที
          ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าพี่ไม่ใช่คนดีนะครับ เรื่องผู้หญิงพี่แย่มากเรียกได้ว่าเป็นเสือคนหนึ่งเลย น้องก็คงพอจะเดาได้จากลักษณะของพี่ บอกกับการงาน ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาหาเยอะมาก แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หวังจะรักจะชอบกันหรอกครับ
          ซื้อมาก็จ่ายไปครับ จนพี่เริ่มชินชากับเรื่องพวกนี้ แต่ในจำนวนนั้นมันก็มีบ้างเหมือนกันที่ฝ่ายนั้นดูจะจริงจังแต่ก็เป็นพี่เองที่หยุด และตัดขาดเขาไปเสียเฉยๆเพราะเราไม่ได้คิดกับเขาแบบนั้นตั้งแต่แรก
‘แล้วปัญหามันคืออะไรครับ’
          ผมอาจจะมีนิสัยเสียที่ไม่ชอบนั่งฟังเรื่องราวที่ดูไร้สาระและไม่เกี่ยวข้องกับใจความของการสนทนาแต่มันก็ทำให้เราประหยัดเวลาไปได้มากพอสมควร
          พี่กิตเงียบแล้วถอนหายใจอีกครั้ง เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ประมาณครึ่งปีก่อนเห็นจะได้มั้งครับ ตอนนั้นพี่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่คุยกันมาประมาณเดือนสองเดือน เธอก็ดีครับเหมือนจะเข้ากันได้ในหลายๆด้านหลายๆมุม
          เป็นพี่ที่รู้สึกไปเองหรือเปล่าพี่ก็ไม่รู้ พี่รู้สึกรักและผูกพันกับเขาพอสมควรเลย ความรู้สึกในตอนนั้นมัน ดี พี่ยังจำได้แต่แปลกนะครับมันไม่ตกค้างในความรู้สึกเลยเหมือนมันเป็นแค่เหตุการณ์ในชีวิตที่เราแค่ จำได้ ไม่ได้รู้สึกอีกแล้ว ไม่แม้สักส่วนเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่