ประสบการณ์แสนแพงของคนชอบ 'ดูดวง'

เรื่องหนึ่งที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไม่เคยหายไปไหนเลยคือเรื่องของการ ดูดวง แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ดู งมงาย แต่กลับเป็นที่ยอมรับมากกว่าเรื่องอื่นๆ
          อาจเป็นเพราะมันยังก้ำกึ่งกันระหว่างเรื่องของ พลังงานเหนือธรรมชาติ กับศาสตร์ความรู้ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน
‘เมื่อให้คุณได้ ก็ให้โทษได้เช่นเดียวกัน’

          เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมได้พบเจอโดยบังเอิญช่วงที่ผมไปฝึกงานที่กรุงเทพ
          ผมไม่ค่อยจะได้เข้ากรุงเทพบ่อยมากนักช่วงที่ได้ไปฝึกงานจึงพยายามเดินทางไปให้ครบตามที่ที่อยากไป วันนั้นเป็นหยุดสุดสัปดาห์ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวตามห้างเพราะเพื่อนสมัยม.ปลายนัดเจอกัน
          ผมไปกินข้าวแล้วให้เพื่อนพาทัวร์หลายๆที่จนมืดค่ำ ในตอนนั้นผมมีแพลนว่าอยากไปสักการะศาลพระพรหมที่ราชประสงค์ เพราะก่อนหน้านั้นมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ตรงนั้น
          กว่าจะไปถึงก็เกือบๆประมาณ4ทุ่มกว่าเห็นจะได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวด้วยเลยมีคนน้อยกว่าปกติ อาจเพราะคนส่วนใหญ่เลือกจะกลับต่างจังหวัดกัน
          ความรู้สึกที่จับได้นั้นคือความอบอุ่นอย่างประหลาด กระแสเย็นที่ไม่ได้พบบ่อยนักเข้ามาสัมผัส แต่ปะปนไปด้วยกระแสอันวุ่นวายของมนุษย์ที่ต่างเอาความต้องการของตัวเองไปโยนไปกองไว้ตรงนั้น
          ครั้งแรกที่ผมได้ไปเยือนที่นั่น ผมใช้เวลาอยู่นานเพื่อนั่งมองและจดจำความรู้สึกในตอนนั้น จนคนที่ผ่านไปผ่านมาก็มองผมแปลกๆ แต่ก็ช่างเขาเถอะ
          ในตอนที่จะกลับผมได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมาพร้อมกับของไหว้จำนวนมาก มากจนต้องใช้เพื่อนอีกสองคนช่วยหอบ จากการแต่งตัวก็คงจะเป็นคนมีเงินมีทองคนหนึ่ง
          ผมเดินหลบออกมาเพื่อนเดินทางกลับ แต่ยังไม่ทันจะพ้นพื้นที่ตรงนั้นไปได้ไกลนัก ผมก็เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนทางเดินข้างถนน
          ความรู้สึกนั้นชัดเจนว่าเด็กน้อยไร้ซึ่งกระแสแห่งชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูน่าสงสารและเหงาหงอย ผมเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปหาเธอ
          ตรงริมทางเดินไม่มีใครนั่งอยู่ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเธอ เธอคนรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของผม ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนน่ารักแต่เปรอะไปด้วยหยอดเลือดและฝุ่น เด็กน้อยหันมายิ้มให้ผมด้วยความดีใจ
          มุมปากยิ้มกว้างตาข้างหนึ่งหยีน่ารัก แต่อีกข้างเป็นแผลเหวอะหวะ บอกตามตรงว่าภาพตรงหน้าทำให้ใจหล่นไปวูบหนึ่งแต่ความรู้สึกอื่นมันมากกว่า
‘ทำอะไรครับ’
‘รอแม่ค่ะ’
          ผมไม่ได้ถามอะไรเธอไปมากกว่านั้น มันจุกในอกอยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นความสงสารจากใจตัวเองหรือความรู้สึกของเด็กน้อยส่งผ่านมาถึง
          สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นมีแค่การอุทิศบุญให้เธอไปสู่ภพที่ดีกว่า มือที่เอื้อมไปอยากจับมือเด็กน้อยให้อบอุ่นก็คว้าได้แค่อากาศเท่านั้น เด็กน้อยค่อยๆหายไปจากตรงหน้า
          ผมลุกขึ้นหันหลังกลับปาดน้ำตาที่คลออยู่ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองผมอยู่ เธอคงเห็นทั้งหมด เห็นผมพูดคนเดียว
          ผมคงชินเสียแล้วจึงลุกเดินออกไปอย่างไม่สนใจว่าเธอจะคิดอย่างไร แต่กลายเป็นว่าเธอก้าวเท้าออกมาขวางพร้อมอ้ำๆอึ้งๆ พูดติดขัด
‘คือน้อง... เห็นหรือคะ หรือว่าน้องพูดคนเดียว’
          ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแค่มองนิ่งๆ เพราะไม่รู้จุดประสงค์ของคนถาม แม้ว่าผมจะปล่อยให้มันเงียบอยู่อย่างนั้นเธอก็ยังไม่ถอยให้ผมเดินผ่านไป
‘ก็ คงอย่างนั้นครับ’
          ผมตอบปัดไปเพราะอยากกลับแล้ว แต่ก็กลายเป็นว่าเธอสนใจมากกว่าเมื่อสักครู่ ผมไม่รู้จักเธอ และมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครก็ไม่รู้ฟัง
‘มีเวลาฟังสักครู่ไหมคะ’ เธอถามตะกุกตะกัก คงเพราะเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของผม
          ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอไปให้เธอตัดสินใจเองว่า เธอจะเล่าหรือไม่เล่า
          เธอเลือกที่จะเล่า แต่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก เธอบอกแค่ว่า ‘เหมือนเธอจะโดนผีตามรังควาน’
          ผมรับฟังโดยที่รู้สึกอยู่ลึกๆว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันคงจะวุ่นวายอีกตามเคย เลยเกิดความช่างใจขึ้นมาวูบหนึ่งว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี
‘ช่วยเธอเถอะค่ะ’
          เสียงของผู้หญิงที่ไร้ที่มาดังขึ้นมาใกล้ๆหูแต่เหมือนลอยผ่านไปไม่ทันจับชัดว่ามาจากทางใด แต่เสียงนั้นดูเป็นมิตร และแปลกที่มัน น่าเชื่อถือ
          ผมตัดสินใจจะรับฟัง แต่ขอตัวกลับก่อนเพราะกลัวจะตก mrt รอบสุดท้ายที่เป็นทางกลับเดียวของคนไม่ชำนาญทางอย่างผม ผมนัดเจอกับเธอในวันต่อมาแทน แต่ไม่ได้ให้เบอร์ไว้ แค่นัดสถานที่ไว้เท่านั้น
          ก่อนกลับผมยังติดใจเรื่องของเด็กน้อยคนนั้น จึงหันกลับไปมองอีกครั้ง เธอกลับมาแล้ว กลับมานั่งกอดเข่ามองพื้นเหมือนอย่างเคย จะมีก็แต่กระแสของเธอที่ดูสดใสขึ้น ไม่หม่นหมองเท่าเดิม
‘ใครเล่าจะก้าวล่วงบ่วงกรรมของใครได้’
          คืนนั้นผมกลับมาถึงหอพักช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ กว่าผมจะหลับก็อีกเกือบ 2 ชั่วโมง
          ระหว่างที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ตามปกติ ผมได้กลิ่นแปลกๆ กลิ่นหอมชวนเวียนหัว เหมือนกลิ่นดอกไม้ แต่ฉุนกว่า แม้จะรู้สึกหอม แต่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นสาบที่ผสมปนมาอยู่จางๆ
          แถวหอพักผมช่วงนั้นปกติจะมีเสียงมอเตอร์ไซด์ดังเกือบทั้งคืน เพราะเป็นถนนใหญ่เส้นตรงทำให้มีพวกชอบแข่งรถมาบิดไปมาอยู่บ่อยๆ แต่คืนนั้นกลับเงียบ เงียบจนน่าประหลาด
          ผมหรี่เสียงเพลงให้เบาลงเพราะได้ยินเสียงแปลกๆแทรกมาเป็นจังหวะ เหมือนจงใจ ทันทีที่เสียงเพลงเบาลง เสียงนั้นก็เบาลงเช่นกัน
ตึก... ตึก...
          เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดดังมาอย่างช้าๆ ไกลๆ แต่กลับชัดเหมือนไม่ไกลมากนัก เสียงลิฟต์ที่อยู่ถัดจากห้องผมไปนิดเดียวดัง เหมือนมีคนกดเรียก
          3 ครั้ง ที่เสียงสัญญาณลิฟต์ดังอยู่อย่างนั้น แล้วครั้งสุดท้ายมันก็ดังยาว เหมือนถูกเปิดค้างไว้นานเกินกว่าเวลาที่ตั้งไว้
          ลิฟต์คงมีปัญหา ผมยังคิดในแง่ดี และขอให้มันเป็นอย่างนั้น ผมทิ้งตัวลงนอนในเวลาค่อนข้างดึก และในตอนที่ยังไม่ทันจะได้หลับไป ผมได้ยินเสียง
          เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังทะลุมาจากอีกฝั่งกำแพงตรงทางเดิน เสียงนั้นแหบพร่าจนไม่น่าฟัง แม้ตั้งใจฟังก็ยังฟังไม่ชัดเจน จับได้เลาๆแค่
‘อย่าเสื...’
          วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมนัดกับเธอคนนั้นเอาไว้ สถานที่นัดก็ไม่ได้แปลกอะไรผมเอาง่ายก็เลยเลือกเจอที่ KFC ในห้างแห่งหนึ่ง
          เธอมารอผมอยู่ก่อนแล้ว คงกลัวว่าผมจะเบี้ยวเธอไม่ก็กลัวจะคลาดกัน เบอร์ติดต่อก็ไม่ได้ให้ไว้ ผมเดินตรงเข้าไปหาเธอเพื่อ รับฟัง เรื่องราวที่เธออยากจะเล่าให้ฟัง
‘ไปไหนมาครับ’
          ทันทีที่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะผมก็ได้กลิ่นกำยานที่ค่อนข้างแรงถึงกับต้องออกปากถามไป
          เธอเพิ่งกลับมาจากศาลกับเทวาลัยหลายๆที่ ช่วงนี้เธอเดินทางไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเพราะความรู้สึกที่เธอคิดว่าเธอมีผีตามรังควานอยู่ เช่นเดียวกับคืนนั้นที่ได้พบกัน โดยบังเอิญ
          เธอเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง ผมขอเรียกเธอว่า พี่มด แล้วกันนะครับ
          พี่มดอายุ30ต้นๆ หน้าตาดี เรียกว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ชีวิตการงานเธอดีทุกอย่างเพราะทำธุรกิจของครอบครัว เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟนสักเท่าไหร่ ผ่านมาผ่านไปตามธรรมชาติของคนสมัยใหม่
          แต่อย่างหนึ่งที่เธอติดจนเป็นนิสัยคือ เธอชอบดูดวง ที่ไหนที่ใครแนะนำก็มักจะไปให้หายคาใจว่า จริงไหมตามคำร่ำลือ นอกจากนั้นถ้าเจ้าไหนแม่นๆ เธอจะวนเวียนไปซ้ำๆหลายครั้ง บางครั้งไปถามแค่คำถามเดียวแล้วก็กลับ
          เธอเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ช่วงสมัยเรียน มีหลายที่ที่เธอชอบไปดูบ่อยๆ ทั้งในตัวกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยเธอจะมีกลุ่มเพื่อนสนิทอยู่สองสามคนที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
          ตอนนั้นเธอไม่เคยคิดหรอกว่าการสรรหาหมอดูของเธอจะนำพาเรื่องร้ายๆมาสู่ตัวเธอเอง
          หลังจากเหตุการณ์หนึ่ง(เธอยังไม่ยอมเล่าในครั้งแรก)ชีวิตของเธอเริ่มพบเจอกับเรื่องแปลกๆ จากคนที่ไม่เคยมีเซ้นส์ ไม่เคยพบเห็นอะไรที่ต่างจากปกติ เธอกลับเริ่มสัมผัสถึงพวกเขาเหล่านั้นได้
          หลายครั้งที่เธอ เห็น ทั้งชัดเจนและหางตา หลายครั้งที่เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หลายครั้งที่เธอถูกพวกเขาเข้ามาทำร้าย เธอว่าอย่างนั้น
          ในหลายๆเรื่องราวนั้นมีเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ และสม่ำเสมอ เธอไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มีที่มาจากอะไร ตัวเธอ ที่ดิน หรือคนในบ้าน
          คืนหนึ่งย้อนกลับไปสักสามสี่เดือนก่อน เธออาบน้ำอยู่ในห้องน้ำของห้องนอนส่วนตัว ไม่ได้ลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำใหญ่ของบ้าน หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอได้ยินเสียงแม่ของเธอตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง
          เธอเดินตามเสียงเรียกลงมาที่ด้านล่างเห็นแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารใกล้กับห้องนั่งเล่น เธอเดินตรงเข้าไปนั่งใกล้ๆเพราะได้เวลาอาหารค่ำพอดี
‘แม่เรียกหนูทำไม เสียงดังเชียว’
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่