***มีคนปรึกษาว่า เพื่อนไปเข้าสำนักนาป่าพง อยากชักนำให้เพื่อนถอยออกมา ... *** by ระนาดเอก คลองสามวา

กระทู้สนทนา
มีคนปรึกษาว่า เพื่อนไปเข้าสำนักนาป่าพง อยากชักนำให้เพื่อนถอยออกมา แต่ไม่รู้จะพูดยังไง
ข้าพเจ้าก็เลยเขียนๆ ไปให้ตามสมควร ถูกๆ ผิดๆ ไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มาอะไรเลย

ส่งไปให้คนที่เขาต้องการแล้วก็นำมาให้สมาชิกพิจารณากัน เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อไปบ้าง

กรณีของพระคึกฤทธิ์วัดนาป่าพงนั้น เป็นปัญหามานานหลายปีแล้ว
เรื่องก็คือ ภิกษุต้องการตั้งตนให้โดดเด่น จึงสร้าง "จุดขาย" ขึ้นมา โดยนำพระธรรมวินัยมาบิดเบือน เผยแพร่ให้คนหลงผิดตามไป

สมัยก่อนมีกรณีสันติอโศก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ต่อมาก็มี กรณีธรรมกาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

กรณีสันติอโศก กรณีธรรมกาย อย่างนี้คือการสร้างจุดขาย สร้างการตลาด
โพธิรักษ์นั้นแต่งตั้งให้ลูกศิษย์ที่ตนบวชให้เป็นพระอริยะลำดับต่างๆ แล้วแสดงตนถือเคร่ง ไม่กินเนื้อสัตว์ สร้างเอกลักษณ์ดึงดูดให้คนมาเลื่อมใส

ส่วนธรรมกายก็กระทำสัทธรรมปฏิรูป นิพพานเป็นอัตตา เป็นสถานที่ดินแดน วิชชาธรรมกายสามารถไปถวายข้าวทิพย์แก่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน สร้างนิยายพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ต้นธาตุต้นธรรม อวตารลงมาเป็นหลวงพ่อธัมมชโย มาขายบุญ ล่อหลอกให้คนกู้เงินจองวิมานไว้บนดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ ..

ขณะนี้ก็มีค่ายสินค้าเจ้าใหม่ เพิ่งเปิดตัวไม่กี่ปี คือกรณีพระคึกฤทธิ์ สำนักนาป่าพง สร้างจุดขายว่าสำนักตนเท่านั้นที่สอนแต่คำพุทธเจ้าล้วนๆ สร้างเรื่องขึ้นมากล่าวตู่ว่า พุทธเจ้าไม่ให้ฟังคำสาวก โดยพระคึกฤทธิ์ไปยกพระสูตรมาบิดเบือน พระสูตรนั้นพระพุทธเจ้าตรัสถึงนักบวชนอกพุทธศาสนาที่ใช้ถ้อยคำสละสลวย เป็นร้อยกรอง แต่เป็นเรื่องนอกแนว ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา จึงไม่ควรฟัง

เมื่อพระคึกฤทธิ์ตั้ง พุทธวจน ขึ้นมา ให้ฟังแต่คำพุทธเจ้า ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าให้สวดปาติโมกข์เพียง ๑๕๐ ข้อ ไม่ใช่ ๒๒๗ ข้อตามที่สวดๆ กันทุกวันนี้ แล้วอ้างพระสูตรว่า พระพุทธเจ้าให้สวดปาติโมกข์ ๑๕๐ ถ้วน..

เรื่องสวดปาติโมกข์ ๑๕๐ ที่พระคึกฤทธิ์ชูขึ้นเป็นจุดขายของสำนักนาป่าพงนั้น มีต้นเค้ามาจากพระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาไทยที่เรียกว่า ฉบับหลวง ที่จัดพิมพ์เมื่อปี ๒๕๐๐ ซึ่งพระคึกฤทธิ์อ้างพระสูตร ๔ แห่ง (วัชชีบุตรสูตร, เสขสูตรที่ ๒, -ที่ ๓, -ที่ ๔) เป็นเนื้อความตอนที่ภิกษุวัชชีบุตรกราบทูลพระพุทธเจ้า ที่ว่า “สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้” ซึ่งแปลมาจากบาลีว่า สาธิกมิทํ ภันฺเต ทิยัฑฺฒสิกฺขาปทสตํ .. ปัญหาคือคำแปล สาธิกํ ว่า "ถ้วน" นั้นแปลผิด (สาธิกมิทํ = สาธิกํ + อิทํ, อิทํ แปลว่า นี้) ที่ถูกคือจะต้องแปลว่า เกินกว่า ดังนั้น ข้อความดังกล่าวก็จะแปลว่า “สิกขาบท ๑๕๐ ทั้งยังมีเกินขึ้นไปอีกนี้” ซึ่งพระไตรปิฎกพม่า หรือพระไตรปิฎกภาษาอังกฤษที่แปลโดยสมาคมบาลีปกรณ์ ก็แปลถูกต้องตรงกันว่า เกินกว่า แม้แต่พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับพิมพ์ครั้งเดียวกันนี้เอง ก็มีคำแปล สาธิกํ ปรากฏอยู่หลายแห่ง ล้วนแปลว่า เกิน ไม่มีที่ใดแปลว่า ถ้วน

จะเป็นเพราะผู้แปลพระไตรปิฎกติดคำแปล "สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้" มาจากหนังสือวินัยมุขที่นิพนธ์โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งในหนังสือนั้นแปลว่า ถ้วน หรือว่าสมเด็จจะแปลผิด หรือช่างเรียงพิมพ์จะเรียงตัวตะกั่วผิด ก็ไม่ใช่สาระอะไร ข้อสำคัญคือสมเด็จฯท่านเองก็สวดปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อตามปกติ

ส่วนพระคึกฤทธิ์ก็อ้างว่าปาติโมกข์ที่สวดเกินจากนั้นอีก ๗๗ ข้อเป็นถ้อยคำของพระอุบาลี เป็นคำสาวก ไม่ใช่คำพระพุทธเจ้า จึงไม่ต้องปฏิบัติตาม ก็มีปัญหาว่า ปาติโมกข์ ๑๕๐ ข้อ ได้แก่สิกขาบทข้อใดบ้าง พระคึกฤทธิ์อ้างว่า พระปาติโมกข์มีเพียง ๑๕๐ ข้อ คือตัดอนิยต ๒ และเสขิยวัตร ๗๕ แต่พระคึกฤทธิ์ก็ไม่มี “คำพุทธเจ้า” มายืนยัน ตรงกันข้าม กลับมีหลักฐานว่าพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายสวดอนิยต ๒ และยังตรัสตอบพระอุบาลีว่า สิกขาบทของภิกษุมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถรวม ๒๒๐ สิกขาบท ซึ่งครอบคลุมเสขิยวัตร ๗๕ ..

และเพื่อจะปฏิเสธคำพระสาวกให้แน่นอนอย่างที่ตัวต้องการ พระคึกฤทธิ์ก็ดิสเครดิตพระสาวกทั้งหมด กล่าวหาว่าอรรถกถาซึ่งเป็นคำอธิบายพระไตรปิฎก เป็นคำสาวก ไม่ให้ฟัง แม้แต่ในชั้นพระสูตร ที่เป็นคำของพระสารีบุตร ผู้ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญรับรองด้วยพระองค์เองว่า แม้พระองค์ตรัสเองก็จะแสดงธรรมเช่นที่พระสารีบุตรว่าไว้อย่างนี้ๆ

กระนั้น พระคึกฤทธิ์ก็ยังดูหมิ่นพระสารีบุตร โดยอ้างเรื่องราวที่พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไปแสดงธรรมให้ภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ประมาณ ๕๐๐ รูป ที่เป็นพระบวชใหม่ ที่หลงเชื่อติดตามพระเทวทัตไป ในคราวที่พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ เช่นขอให้ภิกษุทั้งหลายไม่ฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉัน ให้ต้องโทษ แต่พระพุทธเจ้าไม่อนุญาต พระเทวทัตไม่พอใจก็ยุแยงพวกภิกษุวัชชีบุตรเหล่านั้นแล้วพาแยกออกไป ทำให้สงฆ์แตกกัน เป็นอนันตริยกรรม เรื่องปรากฏในพระวินัย (สังฆเภทขันธกะ) ..

เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไปแสดงธรรมให้ภิกษุวัชชีบุตรเหล่านั้นกลับใจและผละจากพระเทวทัตกลับมาแล้ว พระสารีบุตรก็ทูลขอให้อุปสมบทใหม่แก่ภิกษุที่ประพฤติตามพระเทวทัตนั้น แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ต้องถึงกับบวชใหม่ แค่ให้ปลงอาบัติถุลลัจจัยว่าเทวทัตปฏิบัติแก่เธออย่างไรก็พอแล้ว ตรงนี้เองที่พระคึกฤทธิ์ยกเอามาล่วงเกินพระสารีบุตรว่า นี่แหละ สารีบุตรยังผิด ดังนั้น จึงไม่ต้องไปฟังคำสาวกแม้แต่จะเป็นสารีบุตร ให้ฟังแต่คำพุทธเจ้า

เรื่องการสวดปาติโมกข์ ๑๕๐ นี้ ที่จริงไม่มีเหตุผลหลักฐานอะไรเลย แต่พระคึกฤทธิ์ก็ชักจูงให้ภิกษุอื่นประพฤติตาม แล้วก็เผยแพร่ขยายไปทั่ว มีวัดตามหัวเมืองบางวัดประกาศเอาตามสำนักนาป่าพง คือสวดปาติโมกข์ ๑๕๐ ข้อ บ้างก็มีภิกษุจากสำนักนาป่าพงไปเข้าฟังสวดปาติโมกข์ในอุโบสถวัดอื่นแล้วประกาศว่า จะขอฟังสวดเพียง ๑๕๐ ข้อ พ้นจากนั้นแล้วก็อ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้สวดต่อ ก็ไม่พนมมือรับฟังปาติโมกข์ต่อไป นั่งเป็นเบื้อในวงหัตถบาสอยู่อย่างนั้น นี่คือความแตกแยกระส่ำระสายที่กำลังเกิดขึ้น สภาพเช่นนี้สร้างปัญหาจนสำนักงานพระพุทธศาสนาและมหาเถรสมาคมบรรยายว่า “.. แบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย อันอาจลุกลามเป็นการแตกแยกความสามัคคีของสงฆ์และก่อให้เกิดวิวาทะระหว่างพุทธศาสนิกชนไม่รู้จบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทย..”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่