เรื่องโดย นิลวนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนก่อนหน้า
บทนำ : https://ppantip.com/topic/36728941
บทที่ 1 : https://ppantip.com/topic/36732857
บทที่ 2 : https://ppantip.com/topic/36737670
บทที่ 3 : https://ppantip.com/topic/36744859
บทที่ 4 : https://ppantip.com/topic/36760739
บทที่ 5 : https://ppantip.com/topic/36780385
บทที่ 6 : https://ppantip.com/topic/36784759
บทที่ 7 : https://ppantip.com/topic/36796975
บทที่ 8 : https://ppantip.com/topic/36804123
บทที่ 9 : https://ppantip.com/topic/36820228
บทที่ 10
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว ฝนที่ตกหนักอยู่เมื่อก่อนหน้าค่อยๆ ซาลงทว่าก็ยังตกอยู่พรำๆ ภาณินผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน จนกระทั่งรับรู้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกร่างบางที่ตนโอบประคองไว้ เขาจึงลืมตาขึ้นมองดูเธอ
“ไข้ขึ้น!” คำที่เอ่ยฟังดูคล้ายอุทาน
“หนาวจัง” ร่างบางกระซิบพึมพำ ศีรษะเล็กเริ่มส่ายโงนเงนไปมา
ภาณินสัมผัสแก้มเนียนใสที่ก่ำแดงด้วยพิษไข้ ไอร้อนจากผิวเนื้อนวลเนียนกระจายแผ่สู่มือเขา ชายหนุ่มตบแก้มเธอเบาพร้อมกับเรียกชื่อ
“ทิวลิป... ทิวลิป...”
ริมฝีปากแดงแห้งผาก พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ ภาณินประคองกีรณาลงนอนราบ พลิกข้อมือดูนาฬิกา ผ่านไป 4 ชั่วโมงแล้ว มิน่าเล่าไข้ถึงได้ขึ้น ชายหนุ่มหยิบยาออกจากเป้ แล้วป้อนใส่ปากหญิงสาวตามด้วยน้ำสะอาด
รอจนผ่านไปเป็นครู่ร่างบางจึงค่อยหยุดกระสับกระส่าย พร้อมกับอุณหภูมิไข้ที่ลดลง
กีรณาหนาวจนต้องขดร่างกระชับแขนกอดอกแน่น ภาณินเห็นแล้วยิ่งสงสาร ชายหนุ่มตัดสินใจเอนร่างลงนอนซ้อน รวบร่างบางเข้ามากอดแนบอก ไออุ่นจากร่างของเขาทำให้กีรณานอนนิ่ง หลับสบายกว่าเมื่อแรกอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงจึงเผยรอยยิ้มพอใจ
ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว ดวงตายาวรีคมปราบของหนุ่มน้อยร่างสูงโปร่งกำลังทอดมองกีรณาอย่างตัดพ้อ จากนั้นจึงหันหลังแล้วค่อยๆ เดินจากไป กีรณามองร่างที่เดินห่างออกไปแล้วใจหาย ใบหน้าอันคุ้นเคยหันกลับมามองวูบหนึ่ง แล้วหันกลับเดินต่อไป กีรณาเศร้าใจจนบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวก่อน รอก่อน....” เธอร้องเรียก แต่หนุ่มน้อยไม่หัน หญิงสาวจึงวิ่งตาม แต่ยิ่งตามเหมือนยิ่งห่าง ร่างนั้นเดินไกลออกไปทุกที กีรณาร้องเรียกจนสุดเสียง
“เดี๋ยวก่อน... ใบหม่อน... รอทิวลิปด้วย...”
กีรณาลืมตาตื่น เงาร่างกลางหมอกควันหายวับ กลับแทนที่ด้วยใบหน้าคมขาวลอยเด่น ชะโงกมองเธออย่างห่วงใย หญิงสาวผุดลุกขึ้นมองคนตรงหน้าแบบงงๆ สมองค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ทีละเล็กละน้อย
ภาณินมองท่าทางของกีรณาแล้วคิดว่าหญิงเพิ่งจะฟื้นไข้ ตื่นขึ้นมาสมองของเธออาจจะยังงง ชายหนุ่มจึงถอยห่างออกมาให้เวลาเธออีกนิด เมื่อครู่เขาสะดุ้งตื่นเพราะแรงสะเทือนจากอาการกระสับกระส่ายของกีรณา เขาพยายามปลุกเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมตื่น จนกระทั่งชื่อของเขาหลุดออกมาจากปากเธอนั่นแหละ หญิงสาวจึงค่อยลืมตา ภาณินคิดอยู่ในใจ ว่ากีรณาน่าจะกำลังฝันถึงเขา
ร่างบางยังนั่งก้มหน้า คิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปเงียบๆ
“เมื่อกี้...ฝันอะไรเหรอ ทำไมละเมอเรียกพี่” ภาณินเอ่ยถามเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่
กีรณาลูบหน้าตัวเองแบบเผลอ นึกทวนถึงความฝันแล้วหน้าเริ่มแดง
“กี่โมงแล้ว” เธอไม่ได้ตอบ แต่กลับถามถึงเวลาขึ้นมาแทน
“ตีสี่ ทิวลิปจะนอนก็ได้ กำลังไม่สบาย นอนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่า
“ไม่ง่วงแล้ว” หญิงสาวส่ายหน้า ยังไม่ยอมสบตากับเขาอยู่ดี
ภาณินเคลื่อนร่างสูงไปตรงหน้าเธอ “สรุปว่าเมื่อกี้ฝันเรื่องอะไร?” เขาทู่ซี้ถาม แต่กีรณาไม่ตอบ
“ถ้าให้เดา ทิวลิปคงกำลังฝันว่าพี่ไปที่ไหนสักแห่ง”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา แม้เธอจะไม่เอ่ยอะไร แต่ภาณินคิดว่าเขาเดาถูก
“ฝันถึงตอนที่พี่ไปเรียนต่อใช่ไหม?” คราวนี้เธอพยักหน้า เขาจึงพูดต่อ “กลัวว่าพี่จะทิ้งไปอีก?” หญิงสาวพยักหน้าอกีครั้ง น้ำตาพลันรื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มรั้งร่างบางเข้ามากอดแล้วปลอบเธอเบาๆ “อย่ากลัวไปเลย พี่สัญญา ว่าจะไม่ไปไหนอีก”
กีรณาฟังแล้วเกือบจะร้องไห้โฮ เธอรู้สึกเหมือนแผลที่ในอกถูกบ่งหนองออกมาจนโล่ง เธอซุกหน้ากับอกกว้าง สะอื้นออกมาเบาๆ รู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายหนุ่มลูบศีรษะปลอบเธอเบาๆ กีรณารู้สึกเหมือนวันเวลาอดีตกำลังย้อนกลับ ใบหม่อนคนเดิมของเธอกลับมาแล้ว และครั้งนี้เขาสัญญาว่าเขาจะไม่จากเธอไปไหน
ภาณินละวงแขนที่กำลังโอบกอดจากร่างบาง เขาแตะหลังมือบนหน้าผากใช้วิธีธรรมชาติวัดไข้ให้กับหญิงสาว
“ไข้ลดแล้ว ค่อยสบายใจหน่อย” หลังวัดไข้ภาณินลดมือลงมาสวมกอดกีรณาไว้ตามเดิม
“ปล่อยได้แล้วมั้ง?” กีรณาเริ่มท้วง
“ยังไม่อยากปล่อยเลย” เจ้าของวงแขนบอกเสียงอ้อน ดวงหน้างามจึงร้อนผ่าว อาบสีแดงขึ้นจางๆ ต่อว่าเขาเสียงอุบอิบ
“คนฉวยโอกาส”
“ก็เราเพิ่งจะดีกัน” ร่างสูงให้เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเอง หญิงสาวจึงแย้ง
“ใครว่า?”
มือหนาดันร่างบางออกห่างแล้วก้มลงจ้องหน้าทำตาวาว
“หรือว่ายังโกรธ”
“เปล่าเสียหน่อย”
“งั้นก็แปลว่าเราดีกันแล้ว” ภาณินยืนกรานจนกีรณาอดไม่ได้ ต้องส่งค้อน
“คนขี้ตู่”
“กับทิวลิปคนเดียว” ร่างสูงบอกอย่างเจ้าชู้
“แน่ใจ?” ดวงตาคู่สวยหรี่ลงตั้งคำถาม ภาณินพยักหน้ามั่นใจ เธอจึงว่า “แล้วจะคอยดู”
เขารั้งเธอเข้ามากอด แนบแก้มลงบนศีรษะทุยสวยเสียงทุ้มหัวเราะหึๆ ทั้งอิ่มใจทั้งเป็นสุข
“ยังไม่ตีห้าเลย พี่ว่าทิวลิปนอนต่ออีกนิดจะดีกว่า เดี๋ยวฟ้าสางเราค่อยหาทางกลับขึ้นไป”
กีรณาพยักหน้าเบาๆ แล้วเอนตัวลงนอนหันหน้าเข้าหากำแพง ร่างสูงกำลังจะเอนลงนอนตาม ร่างบางรีบหันกลับมาถาม “ใบหม่อนจะทำอะไร” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ทั้งถามและข่มขู่
“ก็นอนไง เมื่อคืนพี่ก็นอนตรงนี้” ภาณินบอกหน้าตาย ตบมือลงบนพื้นเพื่อยืนยัน แล้วทำท่าว่าจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ
“รีบลุกเลย เมื่อคืนเขาไม่สบายเลยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้รู้แล้ว ห้ามใบหม่อนมานอนใกล้เด็ดขาด” ริมฝีปากบางเอ่ยห้ามเสียงเฉียบ
“ใจร้ายชะมัด หายไข้แล้วทิ้งกันเฉยเลย” เจ้าของร่างสูงแสร้งตัดพ้ออย่างแง่งอน
“ไม่ต้องพูดมาก ทิวลิปจะนอนแล้ว” กีรณาไม่ใจอ่อน พูดจบก็เบือนหน้ากลับเข้าหากำแพงตามเดิม
ภาณินหัวเราะออกมาเบาๆ เขาหยิบเสื้อแจ๊คเก็ตมาห่มคลุมบนร่างของกีรณา ส่วนตัวเขากระเถิบนั่งเอาหลังพิงกำแพงแล้วช้อนศีรษะกีรณาขึ้นมานอนหนุนอยู่บนตัก หญิงสาวเหลือบตามองใบหน้าคมขาวหล่อเหลาราวรูปสลัก
“ใบหม่อน”
“หือ? ทำไมไม่หลับ” ร่างสูงถามทั้งยังหลับตา
“ยังไม่อยากหลับ”
“งั้น จะยังไงดี” ภาณินชำเลืองมองเธอ สายตามีคำถาม
“อยากถาม”
“ถามว่า?”
“ใบหม่อนยังจำได้ใช่ไหม?”
ภาณินก้มหน้าลงมามองสบตาเธอ แล้วพยักหน้า บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จำได้ ไม่เคยลืม”
กีรณายิ้มหลับตา เอ่ยออกมาเบาๆ “นึกว่าจะลืมเสียแล้ว”
“ทำไมถึงคิดว่าพี่ลืม”
“ไม่รู้สิ ผ่านไปหลายปี ใบหม่อนอาจจะลืมทิวลิปไปแล้วก็ได้” ใบหน้าสวยติดจะมุ่ยๆ อยู่เล็กน้อย
“แล้วทิวลิปล่ะ ลืมหรือเปล่า” ภาณินย้อนถามกลับ
“ไม่ลืม แต่อยากจะลืม” เป็นคำตอบที่ทำให้ภาณินต้องผงกศีรษะ ก้มลงมองหน้าเธออีกครั้งด้วยความสงสัย
“ทำไม? หรือว่าไม่คิดถึงพี่แล้ว” เขาสรุปเอาเองแบบดื้อๆ
“เปล่าเสียหน่อย แค่คิดว่า ใบหม่อนอาจจะเบื่อ ไม่อยากอยู่กับทิวลิปแล้ว”
ครั้นได้ฟังคำตอบภาณินจึงค่อยยิ้มออก เด็กหนอเด็ก สำหรับเขากีรณายังเป็นเด็ก คิดอะไรแบบเด็กๆ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“ฟังพี่นะ พี่ไม่เคยลืม แล้วก็คิดเสมอว่าวันหนึ่งพี่ต้องกลับมาหาทิวลิปให้ได้ และตอนนี้พี่ก็กลับมาแล้ว”
“กลับมาแล้วยังไงต่อ”
“ก็... ไม่ยังไง ก็กลับมาหา”
“ทิวลิปหมายความว่า ใบหม่อนจะทำอะไรต่อไป
“เอ...ทำอะไรดีล่ะ” เขาทำเป็นคิด ถ่วงเวลาตอบ แกล้งคนอยากรู้
“ทิวลิปเป็นคนถาม ใบหมอนต้องตอบสิ”
“อืม...พี่ก็จะไปขอทิวลิปกับอาพี”
กีรณลืมตาผุดลุกขึ้นทันใด มองจ้องหน้าภาณินตาโตเท่าไข่ห่าน “กล้าเหรอ?”
“กล้าสิ!”
“แล้วไม่กลัวพ่อพีเหรอ!” กีรณาเองยังกลัว แถมใครๆ ก็ยังหวั่น แล้วไฉนภาณินกลับไม่กลัวบิดาเธอ
“กลัวสิ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปขอก็ต้องไป ไม่งั้นจะผิดสัญญา”
“ใบหม่อน ทิวลิปว่า...” กีรณาอยากจะห้ามปรามเขา แต่ภาณินกลับตัดบท ไม่ยอมให้เธอพูดต่อ
“หยุดพูด หยุดถาม นอนได้แล้ว”
กีรณาได้แต่ล้มตัวลงนอน หลับตาลงทั้งที่คิ้วยังขมวด ความจริงไม่เพียงเรื่องของบิดาเธอ กีรณายังคงมีเรื่องที่ติดค้างในใจ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน เรื่องที่กีรณาไม่เคยบอกใคร แม้แต่ตฤณที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน กีรณาก็ไม่เคยเอ่ยให้ได้ยิน
ผู้หญิงสวยจัดคนนั้น... หล่อนเป็นใคร เกี่ยวพันและลงเอยอย่างไรกับภาณิน หากพวกเขาเคยคบหากัน ก็เป็นไปได้ว่าอาจเลิกรากันไปแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่ปล่อยให้ภาณินกลับมาหาเธอเป็นแน่ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่กีรณาต้องหาคำตอบ ก่อนตัดสินใจเรื่องอนาคตระหว่างเธอกับภาณิน
ใบหน้าคมก้มหน้ามองหว่างคิ้วบนดวงหน้ารูปหัวใจที่ยังขมวดแน่น นิ้วเรียวคลึงเบาๆ หวังให้มันคลายออก จากนั้นจึงเปลี่ยนมาลูบศีรษะแผ่วเบาราวจะกล่อม ลมหายใจกีรณาค่อยๆ ผ่อนเข้าผ่อนออกแล้วเงียบไป เจ้าตัวกำลังกลับสู่นิทรารมย์อย่างเป็นสุข
---------------------------------------------
(ยังมีต่อ)
เร้นรัก กามเทพ บทที่ 10
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว ฝนที่ตกหนักอยู่เมื่อก่อนหน้าค่อยๆ ซาลงทว่าก็ยังตกอยู่พรำๆ ภาณินผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน จนกระทั่งรับรู้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกร่างบางที่ตนโอบประคองไว้ เขาจึงลืมตาขึ้นมองดูเธอ
“ไข้ขึ้น!” คำที่เอ่ยฟังดูคล้ายอุทาน
“หนาวจัง” ร่างบางกระซิบพึมพำ ศีรษะเล็กเริ่มส่ายโงนเงนไปมา
ภาณินสัมผัสแก้มเนียนใสที่ก่ำแดงด้วยพิษไข้ ไอร้อนจากผิวเนื้อนวลเนียนกระจายแผ่สู่มือเขา ชายหนุ่มตบแก้มเธอเบาพร้อมกับเรียกชื่อ
“ทิวลิป... ทิวลิป...”
ริมฝีปากแดงแห้งผาก พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ ภาณินประคองกีรณาลงนอนราบ พลิกข้อมือดูนาฬิกา ผ่านไป 4 ชั่วโมงแล้ว มิน่าเล่าไข้ถึงได้ขึ้น ชายหนุ่มหยิบยาออกจากเป้ แล้วป้อนใส่ปากหญิงสาวตามด้วยน้ำสะอาด
รอจนผ่านไปเป็นครู่ร่างบางจึงค่อยหยุดกระสับกระส่าย พร้อมกับอุณหภูมิไข้ที่ลดลง
กีรณาหนาวจนต้องขดร่างกระชับแขนกอดอกแน่น ภาณินเห็นแล้วยิ่งสงสาร ชายหนุ่มตัดสินใจเอนร่างลงนอนซ้อน รวบร่างบางเข้ามากอดแนบอก ไออุ่นจากร่างของเขาทำให้กีรณานอนนิ่ง หลับสบายกว่าเมื่อแรกอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงจึงเผยรอยยิ้มพอใจ
ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว ดวงตายาวรีคมปราบของหนุ่มน้อยร่างสูงโปร่งกำลังทอดมองกีรณาอย่างตัดพ้อ จากนั้นจึงหันหลังแล้วค่อยๆ เดินจากไป กีรณามองร่างที่เดินห่างออกไปแล้วใจหาย ใบหน้าอันคุ้นเคยหันกลับมามองวูบหนึ่ง แล้วหันกลับเดินต่อไป กีรณาเศร้าใจจนบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวก่อน รอก่อน....” เธอร้องเรียก แต่หนุ่มน้อยไม่หัน หญิงสาวจึงวิ่งตาม แต่ยิ่งตามเหมือนยิ่งห่าง ร่างนั้นเดินไกลออกไปทุกที กีรณาร้องเรียกจนสุดเสียง
“เดี๋ยวก่อน... ใบหม่อน... รอทิวลิปด้วย...”
กีรณาลืมตาตื่น เงาร่างกลางหมอกควันหายวับ กลับแทนที่ด้วยใบหน้าคมขาวลอยเด่น ชะโงกมองเธออย่างห่วงใย หญิงสาวผุดลุกขึ้นมองคนตรงหน้าแบบงงๆ สมองค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ทีละเล็กละน้อย
ภาณินมองท่าทางของกีรณาแล้วคิดว่าหญิงเพิ่งจะฟื้นไข้ ตื่นขึ้นมาสมองของเธออาจจะยังงง ชายหนุ่มจึงถอยห่างออกมาให้เวลาเธออีกนิด เมื่อครู่เขาสะดุ้งตื่นเพราะแรงสะเทือนจากอาการกระสับกระส่ายของกีรณา เขาพยายามปลุกเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมตื่น จนกระทั่งชื่อของเขาหลุดออกมาจากปากเธอนั่นแหละ หญิงสาวจึงค่อยลืมตา ภาณินคิดอยู่ในใจ ว่ากีรณาน่าจะกำลังฝันถึงเขา
ร่างบางยังนั่งก้มหน้า คิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปเงียบๆ
“เมื่อกี้...ฝันอะไรเหรอ ทำไมละเมอเรียกพี่” ภาณินเอ่ยถามเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่
กีรณาลูบหน้าตัวเองแบบเผลอ นึกทวนถึงความฝันแล้วหน้าเริ่มแดง
“กี่โมงแล้ว” เธอไม่ได้ตอบ แต่กลับถามถึงเวลาขึ้นมาแทน
“ตีสี่ ทิวลิปจะนอนก็ได้ กำลังไม่สบาย นอนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่า
“ไม่ง่วงแล้ว” หญิงสาวส่ายหน้า ยังไม่ยอมสบตากับเขาอยู่ดี
ภาณินเคลื่อนร่างสูงไปตรงหน้าเธอ “สรุปว่าเมื่อกี้ฝันเรื่องอะไร?” เขาทู่ซี้ถาม แต่กีรณาไม่ตอบ
“ถ้าให้เดา ทิวลิปคงกำลังฝันว่าพี่ไปที่ไหนสักแห่ง”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา แม้เธอจะไม่เอ่ยอะไร แต่ภาณินคิดว่าเขาเดาถูก
“ฝันถึงตอนที่พี่ไปเรียนต่อใช่ไหม?” คราวนี้เธอพยักหน้า เขาจึงพูดต่อ “กลัวว่าพี่จะทิ้งไปอีก?” หญิงสาวพยักหน้าอกีครั้ง น้ำตาพลันรื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มรั้งร่างบางเข้ามากอดแล้วปลอบเธอเบาๆ “อย่ากลัวไปเลย พี่สัญญา ว่าจะไม่ไปไหนอีก”
กีรณาฟังแล้วเกือบจะร้องไห้โฮ เธอรู้สึกเหมือนแผลที่ในอกถูกบ่งหนองออกมาจนโล่ง เธอซุกหน้ากับอกกว้าง สะอื้นออกมาเบาๆ รู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายหนุ่มลูบศีรษะปลอบเธอเบาๆ กีรณารู้สึกเหมือนวันเวลาอดีตกำลังย้อนกลับ ใบหม่อนคนเดิมของเธอกลับมาแล้ว และครั้งนี้เขาสัญญาว่าเขาจะไม่จากเธอไปไหน
ภาณินละวงแขนที่กำลังโอบกอดจากร่างบาง เขาแตะหลังมือบนหน้าผากใช้วิธีธรรมชาติวัดไข้ให้กับหญิงสาว
“ไข้ลดแล้ว ค่อยสบายใจหน่อย” หลังวัดไข้ภาณินลดมือลงมาสวมกอดกีรณาไว้ตามเดิม
“ปล่อยได้แล้วมั้ง?” กีรณาเริ่มท้วง
“ยังไม่อยากปล่อยเลย” เจ้าของวงแขนบอกเสียงอ้อน ดวงหน้างามจึงร้อนผ่าว อาบสีแดงขึ้นจางๆ ต่อว่าเขาเสียงอุบอิบ
“คนฉวยโอกาส”
“ก็เราเพิ่งจะดีกัน” ร่างสูงให้เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเอง หญิงสาวจึงแย้ง
“ใครว่า?”
มือหนาดันร่างบางออกห่างแล้วก้มลงจ้องหน้าทำตาวาว
“หรือว่ายังโกรธ”
“เปล่าเสียหน่อย”
“งั้นก็แปลว่าเราดีกันแล้ว” ภาณินยืนกรานจนกีรณาอดไม่ได้ ต้องส่งค้อน
“คนขี้ตู่”
“กับทิวลิปคนเดียว” ร่างสูงบอกอย่างเจ้าชู้
“แน่ใจ?” ดวงตาคู่สวยหรี่ลงตั้งคำถาม ภาณินพยักหน้ามั่นใจ เธอจึงว่า “แล้วจะคอยดู”
เขารั้งเธอเข้ามากอด แนบแก้มลงบนศีรษะทุยสวยเสียงทุ้มหัวเราะหึๆ ทั้งอิ่มใจทั้งเป็นสุข
“ยังไม่ตีห้าเลย พี่ว่าทิวลิปนอนต่ออีกนิดจะดีกว่า เดี๋ยวฟ้าสางเราค่อยหาทางกลับขึ้นไป”
กีรณาพยักหน้าเบาๆ แล้วเอนตัวลงนอนหันหน้าเข้าหากำแพง ร่างสูงกำลังจะเอนลงนอนตาม ร่างบางรีบหันกลับมาถาม “ใบหม่อนจะทำอะไร” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ทั้งถามและข่มขู่
“ก็นอนไง เมื่อคืนพี่ก็นอนตรงนี้” ภาณินบอกหน้าตาย ตบมือลงบนพื้นเพื่อยืนยัน แล้วทำท่าว่าจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ
“รีบลุกเลย เมื่อคืนเขาไม่สบายเลยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้รู้แล้ว ห้ามใบหม่อนมานอนใกล้เด็ดขาด” ริมฝีปากบางเอ่ยห้ามเสียงเฉียบ
“ใจร้ายชะมัด หายไข้แล้วทิ้งกันเฉยเลย” เจ้าของร่างสูงแสร้งตัดพ้ออย่างแง่งอน
“ไม่ต้องพูดมาก ทิวลิปจะนอนแล้ว” กีรณาไม่ใจอ่อน พูดจบก็เบือนหน้ากลับเข้าหากำแพงตามเดิม
ภาณินหัวเราะออกมาเบาๆ เขาหยิบเสื้อแจ๊คเก็ตมาห่มคลุมบนร่างของกีรณา ส่วนตัวเขากระเถิบนั่งเอาหลังพิงกำแพงแล้วช้อนศีรษะกีรณาขึ้นมานอนหนุนอยู่บนตัก หญิงสาวเหลือบตามองใบหน้าคมขาวหล่อเหลาราวรูปสลัก
“ใบหม่อน”
“หือ? ทำไมไม่หลับ” ร่างสูงถามทั้งยังหลับตา
“ยังไม่อยากหลับ”
“งั้น จะยังไงดี” ภาณินชำเลืองมองเธอ สายตามีคำถาม
“อยากถาม”
“ถามว่า?”
“ใบหม่อนยังจำได้ใช่ไหม?”
ภาณินก้มหน้าลงมามองสบตาเธอ แล้วพยักหน้า บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จำได้ ไม่เคยลืม”
กีรณายิ้มหลับตา เอ่ยออกมาเบาๆ “นึกว่าจะลืมเสียแล้ว”
“ทำไมถึงคิดว่าพี่ลืม”
“ไม่รู้สิ ผ่านไปหลายปี ใบหม่อนอาจจะลืมทิวลิปไปแล้วก็ได้” ใบหน้าสวยติดจะมุ่ยๆ อยู่เล็กน้อย
“แล้วทิวลิปล่ะ ลืมหรือเปล่า” ภาณินย้อนถามกลับ
“ไม่ลืม แต่อยากจะลืม” เป็นคำตอบที่ทำให้ภาณินต้องผงกศีรษะ ก้มลงมองหน้าเธออีกครั้งด้วยความสงสัย
“ทำไม? หรือว่าไม่คิดถึงพี่แล้ว” เขาสรุปเอาเองแบบดื้อๆ
“เปล่าเสียหน่อย แค่คิดว่า ใบหม่อนอาจจะเบื่อ ไม่อยากอยู่กับทิวลิปแล้ว”
ครั้นได้ฟังคำตอบภาณินจึงค่อยยิ้มออก เด็กหนอเด็ก สำหรับเขากีรณายังเป็นเด็ก คิดอะไรแบบเด็กๆ เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“ฟังพี่นะ พี่ไม่เคยลืม แล้วก็คิดเสมอว่าวันหนึ่งพี่ต้องกลับมาหาทิวลิปให้ได้ และตอนนี้พี่ก็กลับมาแล้ว”
“กลับมาแล้วยังไงต่อ”
“ก็... ไม่ยังไง ก็กลับมาหา”
“ทิวลิปหมายความว่า ใบหม่อนจะทำอะไรต่อไป
“เอ...ทำอะไรดีล่ะ” เขาทำเป็นคิด ถ่วงเวลาตอบ แกล้งคนอยากรู้
“ทิวลิปเป็นคนถาม ใบหมอนต้องตอบสิ”
“อืม...พี่ก็จะไปขอทิวลิปกับอาพี”
กีรณลืมตาผุดลุกขึ้นทันใด มองจ้องหน้าภาณินตาโตเท่าไข่ห่าน “กล้าเหรอ?”
“กล้าสิ!”
“แล้วไม่กลัวพ่อพีเหรอ!” กีรณาเองยังกลัว แถมใครๆ ก็ยังหวั่น แล้วไฉนภาณินกลับไม่กลัวบิดาเธอ
“กลัวสิ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปขอก็ต้องไป ไม่งั้นจะผิดสัญญา”
“ใบหม่อน ทิวลิปว่า...” กีรณาอยากจะห้ามปรามเขา แต่ภาณินกลับตัดบท ไม่ยอมให้เธอพูดต่อ
“หยุดพูด หยุดถาม นอนได้แล้ว”
กีรณาได้แต่ล้มตัวลงนอน หลับตาลงทั้งที่คิ้วยังขมวด ความจริงไม่เพียงเรื่องของบิดาเธอ กีรณายังคงมีเรื่องที่ติดค้างในใจ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน เรื่องที่กีรณาไม่เคยบอกใคร แม้แต่ตฤณที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน กีรณาก็ไม่เคยเอ่ยให้ได้ยิน
ผู้หญิงสวยจัดคนนั้น... หล่อนเป็นใคร เกี่ยวพันและลงเอยอย่างไรกับภาณิน หากพวกเขาเคยคบหากัน ก็เป็นไปได้ว่าอาจเลิกรากันไปแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่ปล่อยให้ภาณินกลับมาหาเธอเป็นแน่ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่กีรณาต้องหาคำตอบ ก่อนตัดสินใจเรื่องอนาคตระหว่างเธอกับภาณิน
ใบหน้าคมก้มหน้ามองหว่างคิ้วบนดวงหน้ารูปหัวใจที่ยังขมวดแน่น นิ้วเรียวคลึงเบาๆ หวังให้มันคลายออก จากนั้นจึงเปลี่ยนมาลูบศีรษะแผ่วเบาราวจะกล่อม ลมหายใจกีรณาค่อยๆ ผ่อนเข้าผ่อนออกแล้วเงียบไป เจ้าตัวกำลังกลับสู่นิทรารมย์อย่างเป็นสุข
---------------------------------------------
(ยังมีต่อ)