เรื่องโดย นิลวนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนก่อนหน้า
บทนำ : https://ppantip.com/topic/36728941
บทที่ 1 : https://ppantip.com/topic/36732857
บทที่ 2 : https://ppantip.com/topic/36737670
บทที่ 3 : https://ppantip.com/topic/36744859
บทที่ 4 : https://ppantip.com/topic/36760739
บทที่ 5
หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นทว่าข่าวลือยังคงแพร่สะพัด นำพาเรื่องร้อนๆ มากระทบเข้าหูกีรณาและฟ้าใสอย่างไม่ขาดสาย ฟ้าใสมองหน้าเพื่อนที่ยังนั่งนิ่งเสมือนหนึ่งทองไมรู้ร้อนอย่างอึดอัดผสมกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ได้ปริปากถาม
เรื่องชวนปวดหัวในวันนี้ เริ่มต้นจากการที่มีบางคนผ่านไปเห็นเหตุการณ์แล้วบังเอิญถ่ายคลิปไว้ก่อนจะเอาไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต พร้อมกับคำอธิบายในเชิงลบเพียงสั้นๆ แต่กลับมีอิทธิพลเมื่อถูกแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง จนกลายมาเป็นหัวข้อที่ใครต่อใครพากันเก็บมาพูดคุย ซุบซิบต่อๆ กันแบบไม่รู้จบ ฟ้าใสแน่ใจว่ากีรณารู้ทุกอย่างไม่ต่างจากเธอ แต่เจ้าตัวกลับเลือกที่จะนิ่ง และเธอเองก็รู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้ ต่อให้เธอเค้นถามก็คงจะไม่มีประโยชน์ เพื่อนรักของเธอคงทำแค่เพียงยิ้มรับ โดยปราศจากปฏิกิริยาอื่นใด เพราะเจ้าตัวยังคงเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้ในใจเหมือนเดิม
เวลาทอดผ่านไปพักใหญ่ ฟ้าใสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความอดทนของเธอดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแต่เพียงนี้
“ตกลงว่าแกจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช่ไหม” ฟ้าใสทำลายความเงียบโดยการพูดขึ้นอย่างจริงจัง
กีรณาเหลือบตามองเพื่อน ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบกลับ “แล้วจะให้ทำไง เราห้ามความคิด ห้ามปากคนได้เสียที่ไหน จริงไหม?” เจ้าของดวงหน้าสวยเบือนหน้ามองไปไกลๆ อย่างไร้จุดหมายหลังพูดจบ
“แต่ฉันว่ามันไม่แฟร์ แกควรจะมีโอกาสพูดได้อธิบายอะไรบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้พวกนั้นเก็บเอาไปพูดกันเป็นตุเป็นตะแบบนี้”
“แกจะให้ฉันเปิดแถลงข่าวเลยไหมล่ะ” กีรณาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ จงใจกลบเกลื่อนรอยขุ่นในใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโน้มน้าวเพื่อนของตนแทน “ช่างมันเถอะนะฟ้า อีกไม่นานก็เลิกพูดกันไปเองนั่นแหละ”
“ผ่านมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ยังไม่เห็นจะเลิกพูดกันเลย” สาวใสในแว่นหนาทำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจ ไม่วายส่งค้อนไปหาคนใจเย็นข้างๆ ตัว
“แค่อาทิตย์เดียวต่างหาก ใจร้อนจริงแกนี่ รอให้ครบเดือนก่อนดีไหม แล้วค่อยมาดูกันว่าพวกนั้นจะยังพูดถึงกันอีกไหม เผลอๆ อีกไม่กี่วันอาจจะมีเรื่องใหม่มาให้พวกนั้นนินทากันจนลืมเรื่องของเราไปเลยก็ได้” กีรณาบอกกับเพื่อนทั้งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจ ที่ผ่านมาเธอเองก็ได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องของเธอเป็นเหมือนกับข่าวลืออื่นๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไหนเลยจะอยู่ยั้งยืนยงให้คนพูดกันไปไม่รู้จบ
“กลัวก็แต่มันจะไปเข้าหูพ่อแกเท่านั้นแหละ ความแตกเมื่อไหร่มีหวังได้เดือดร้อนกันไปทั่ว”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่ะ เรื่องมันก็ไม่จริง ต่อให้พ่อเห็นคลิปก็ไม่มีทางเชื่อหรอก” กีรณายังคงยืนยันอย่างหนักแน่น
“แน่ใจ? แล้วถ้าพ่อแกถามว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ก็รอให้ถึงตอนนั้นก่อนแล้วค่อยเล่าละกัน ยังไงๆ พ่อก็ต้องฟังฉันอยู่แล้ว”
“มั่นใจเกินไปหรือเปล่าแก เป็นเรื่องอื่นก็ว่าไปอย่าง เรื่องเสียหายขนาดนี้ฉันกลัวพ่อแกจะบุกมาเอาเรื่องถึงมหา’ ลัย เสียละไม่ว่า ถามจริงเหอะ ทำไมแกไม่ชิงบอกไปเสียก่อน ตอนนี้มันอาจจะน่ากลัวล่ะนะ แต่อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมาใจหายใจคว่ำกันทีหลัง” ฟ้าใสพูดพลางนึกถึงยามที่ตฤณเล่าเรื่องอุปนิสัยบิดาของกีรณา ในจึงนึกถึงคำที่ว่ากันไว้ดีกว่าแก้ขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่รู้ทีหลังมันเสี่ยงกว่านะแก”
กีรณามองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มพลางส่ายหน้า
“เฮ้อ! แกนี่นะ เรื่องดื้อละไม่มีใครเกิน”
“เถอะน่ะ อีกไม่กี่วันเรื่องก็เงียบไปเองแหละ อย่าวิตกให้มากไปหน่อยเลย” ดวงหน้าสวยยิ้มหวาน พยายามเรียกกำลังใจให้ทั้งเพื่อนและตัวเอง
“ว่าแต่ หลังจากเกิดเรื่องแล้วแกได้คุยกับอาจารย์พอลบ้างหรือเปล่า” ฟ้าใสขยับแว่นแล้วถาม น้ำเสียงระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด
“คุยทำไม มีอะไรต้องคุย” กีรณายังตีขรุมราวกับว่าภาณินไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“ก็เขาเป็นคนทำให้แกเสียชื่อ ก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบออกมาบ้าง หรืออย่างน้อยแค่ขอโทษก็ยังดี” ฟ้าใสยืนยันความคิดของตนขณะจ้องมองคนตรงหน้า แววนัยน์ตาซุกซนมองรอดแว่นหนาอย่างจับสังเกต
“บ้าสิ! จะให้เขามารับผิดชอบอะไร แกนี่เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว” คนตอบก้มหน้าขณะพูด ดวงตากลมโตหรุบต่ำหลบเลี่ยงสายตาจับพิรุจของเพื่อนรัก
“นี่ฉันจริงจังนะ ทิวลิป แล้วฉันก็เชื่อว่าอาจารย์เองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก” ใบหน้าเล็กๆ พยักเพยิดบอกอย่างมั่นใจ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แต่เขาไม่มาพูดอะไรน่ะดีแล้ว ยิ่งคุยเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่ พวกนั้นยิ่งกำลังจ้องจับผิดฉันอยู่ด้วย”
“มันก็จริงอ่ะนะ บางทีตอนนี้อาจารย์อาจจะกำลังรู้สึกผิด อยากจะมาขอโทษแกอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้”
“เขาอยากจะทำหรือไม่ทำอะไรมันก็เรื่องของเขา แต่สำหรับฉัน คำขอโทษมันไม่จำเป็น แค่อยู่ห่างๆ ฉันไว้เป็นพอ แต่เอ๊ะ! เมื่อกี้แกพูดเหมือนกำลังเข้าข้างอาจารย์อยู่เลยนะ”” จู่ๆ กีรณาฉุกใจคิดถึงคำพูดกำกวมขอฟ้าใส จนต้องหันไปถาม พร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนรักราวกับจะจับผิด
ฟ้าใสทำตาโตอย่างตกใจ นึกไม่ถึงว่ากีรณาจะจับสังเกตเธอได้เร็วปานนี้ มือเล็กๆ ยกขึ้นขยับแว่นอย่างประดักประเดิด พยายามเรียกความมั่นใจให้เพื่อน ทว่าน้ำเสียงไม่วายตะกุกตะกัก “พะ...พูดอะไรแบบนั้น แกเป็นเพื่อนฉันนะทิวลิป ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ต้องอยู่ข้างแกอยู่แล้ว”
“แต่เมื่อกี้แกพูดเหมือนแกกำลังเห็นใจเขา”
“ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า คนเราเวลาทำผิดกับใคร ถ้าไม่ใช่คนเลวร้ายจนเกินไปก็ย่อมจะมีความรู้สึกผิดอยู่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แกต่างหากที่ทำให้ฉันสงสัย ที่บอกว่าขอแค่เขาไม่เข้ามาใกล้แกอีก มันเท่ากับบอกเลาๆ ว่าที่ผ่านมาอาจารย์พยายามจะเข้าหาแก แปลว่าแกกับอาจารย์ภาณินน่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน ฉะนั้นฉันขอถามแกกลับบ้าง ว่าแกมีอะไรจะบอกฉันบ้างรึเปล่า”
“นี่...แกเป็นอะไรรึเปล่าฟ้า ทำไมพูดจาแปลกๆ” ปากยังปฏิเสธกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจกำลังสังหรณ์ว่าฟ้าใสน่าจะรู้เรื่องของภาณินแล้ว
“แกต่างหากที่แปลกทิวลิป เรื่องที่เกิดขึ้นแกเองเป็นฝ่ายเสียหาย แต่กลับนิ่งเฉยทำเหมือนว่าเรื่องมันไม่เกี่ยวอะไรกับแก แกต่างหากที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าแกกำลังปกปิดอะไรบางอย่างไว้”
“เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวแล้วยังไง ฟังนะฟ้าใส สำหรับฉันเรื่องพวกนี้มันไม่ได้มีอะไรเลยแล้วต่อให้ใครพูดกันยังไงมันก็ไม่มีผลอะไรกับฉัน แกน่าจะรู้ดีที่สุดว่าฉันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้”
“สรุปว่ายังไงๆ แกก็จะไม่บอกฉันอยู่ดี ช่างเถอะ! ฉันลืมไปว่าบางทีแกอาจจะไม่สะดวกใจ เพราะแกไม่เคยเชื่อใจฉัน”
“ไปกันใหญ่แล้ว แกกำลังทำฉันงงนะฟ้า เชื่อใจไม่เชื่อใจอะไรกัน ตกลงว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันแน่”
“พูดถึงความเป็นเพื่อนไง เพื่อนกันไม่ควรจะปิดบังอะไรกันไม่ใช่เหรอ ก็ได้ แนเมื่อแกไม่ยอมบอก งั้นฉันจะบอกแกเอง ฉันรู้แล้วว่าอาจารย์ภาณินคือพี่หม่อนของแก”
แม้พอจะเดาออกอยู่บ้างแล้ว แต่ครั้นฟ้าใสพูดออกมาแบบชัดๆ กีรณายังไม่วายตกใจจนนิ่งอึ้ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็พูดอะไรไม่ออกไปอีกพักใหญ่
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงนะ เพราะฉันไม่อยากให้แกลำบากใจถึงได้ทำเป็นไม่รู้ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมแกถึงเอาแต่ปิดบัง ไม่ยอมบอกฉันสักที”
“รู้ไปก็เท่านั้น แก้ไขอะไรก็ไม่ได้ แล้วจะรู้ไปทำไม”
“อย่างน้อยก็จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันเลี่ยง ฉันเป็นเพื่อนแกนะทิวลิป อะไรที่ช่วยได้ ฉันต้องช่วยอยู่แล้ว”
“ความจริงก็ไม่ได้อยากจะปิดหรอก เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าจะเล่ายังไงมากกว่า เอาเป็นว่าฉันขอโทษแกละกัน ว่าแต่แกเถอะ ไหนบอกว่าไม่อยากให้ฉันลำบากใจ ในเมื่อรู้อยู่แล้ว แล้วจะมาซักไซ้ทำไมเนี่ย แล้วขอบอกอีกครั้งว่าเขาไม่ใช่ของฉัน ต่อไปห้ามพูดว่าเขาคือพี่หม่อนของฉันอีกเป็นอันขาด”
“เหอะ! จะของแกหรือของใครก็ช่าง อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็โล่งใจไปเปาะหนึ่ง ไอ้การรู้แล้วต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้นี่มันอึดอัดจนอกแทบระเบิดจริงๆ”
“ตฤณบอกแกใช่ไหม”
“อื้ม แต่อย่าไปว่าตฤณมันเลยนะ ฉันเองแหละที่เป็นฝ่ายคาดคั้น หมอนี่ตายยากจริงๆ พูดถึงก็มาทันที” สาวแว่นบุ้ยปากใบ้ส่งสัญญาณ “ฉันว่านะ ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องอกแตกตายเพราะเรื่องแก ก็คงเป็นหมอนี่แหละ ดูสิ เดินหน้าง้ำมาเลย”
กีรณาเหลือบตามองไปทางตฤณที่กำลังเดินตรงดิ่งมาหาเธอ ดูจากสีหน้าบนใบหน้าขาวๆ แล้วเดาอารมณ์ของเขาได้ไม่ยาก
“เดินจ้ำ ทำหน้ามุ่ยขนาดนี้ ควายหายหรือไงตฤณ” กีรณาแกล้งแซว พร้อมกับส่งยิ้มหวาน
“ไม่ต้องมาพูดเลย รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าทำเราร้อนใจแค่ไหน” ตฤณย้อนกลับเสียงสะบัด จ้องหน้าสวยเขม็ง
“เป็นอะไรของนาย มาถึงก็พูดจาหาเรื่องกันแบบนี้ ไปกินรังแตนที่ไหนมาไม่ทราบ” กีรณาย้อนถามกวนๆ เหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ไม่ต้องมาทำเป็นไก๋ เรื่องดังขนาดนี้ อย่ามาบอกเลยว่าไม่รู้”
“รู้หรือไม่รู้มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของนายสักหน่อย จะร้อนตัวร้อนใจไปทำไม” หญิงสาวเปรียบเหมือนทองไม่รู้ร้อนโดยแท้ ทั้งยังไม่สนใจกับท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นแทนเธอของคนตรงหน้าอีกต่างหาก
“อย่าพูดแบบนี้สิทิวลิป ตฤณมันเป็นห่วงแกมากเลยนะ” ฟ้าใสปรามกีรณาพร้อมกับส่งสายตามองตฤณอย่างเห็นใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง ห่วงไปแล้วจะทำอะไรได้ สู้อยู่เฉยๆ รอให้เรื่องเงียบไปไม่ดีกว่า”
“ถามจริง? ทิวลิปไม่รู้สึกโกรธบ้างเลยเหรอ” ตฤณเอ่ยถามอย่างเหลืออด
“ก็ไม่นะ เรื่องมันไม่จริง เลยไมรู้จะโกรธไปทำไม”
“แล้วจะปล่อยให้ใครๆ พูดกันไปแบบผิดๆ งั้นเหรอ”
“อีกไม่นานคนก็เลิกพูดกันไปเองนั่นแหละ”
“แล้วต้องอีกนานแค่ไหน นี่มันผ่านมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้วนะ”
“เดี๋ยวนะ นี่พวกนายสองคนนัดกันมาหรือไง เจอหน้าปั๊บ ถามเหมือนกันเป๊ะ”
“ก็บอกแล้วว่าเป็นห่วง” ฟ้าใสตอบคำถามเพื่อนแทนตฤณรวมทั้งตัวเธอเอง
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่ว เลิกสนใจเรื่องนี้กันได้แล้ว”
“ตกลงว่าทิวลิปจะไม่ทำอะไรจริงๆ ใช่ไหม”
กีรณาส่งยิ้มอ่อนพร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบ
“งั้นเราจะเป็นไปพูดกับพี่หม่อนเอง เขาเป็นคนก่อเรื่องควรจะต้องรับผิดชอบ” ตฤณพูดจบแล้วหันหลังเดินจากไป กีรณาผุดลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปรั้งร่างสูงเอาไว้อย่างร้อนรน
“นายจะบ้าเหรอตฤณ จะไปพูดกับเขาทำไม ห้ามไปเลยนะ”
“ก็ในทิวลิปไม่คิดจะทำอะไร เราทนดูต่อไปไม่ไหวถึงต้องไปจัดการเรื่องนี้เองไง”
“หยุดเลยนะ นายจะไปพูดให้ได้อะไรขึ้นมา บอกแล้วไงว่าอีกไม่นานเรื่องก็เงียบ เราต่างคนต่างอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว นายจะฟื้นฝอยหาตะเข็บไปทำไม”
“แต่เขาทำทิวลิปเสียหาย เรายอมไม่ได้ที่ใครต่อใครเอาเธอไปพูดถึงในทางเสียๆ หายๆ แบบนั้น”
กีรณาสูดลมหายใจลึกสะกดอารมณ์ตัวเองให้เย็น ก่อนจะพูดเรียบๆ พยายามทุเลาความลุ่มร้อนของชายหนุ่มลง
“เพื่ออะไรเหรอตฤณ นายก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ ยิ่งพูดอะไรออกไปก็เหมือนเราร้อนตัว” กีรณาทอดเสียงอ่อนแล้วถอนหายใจหนัก “เรานิ่ง เพราะเราไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนแก้ตัว สู้ปล่อยๆ ไปแบบนี้ เดี๋ยวคนก็ลืมกันไปเอง”
“แต่เราไม่คิดแบบนั้น ตัวไม่รู้หรอก ว่าลับหลังคนพวกนั้นเอาตัวไปพูดว่ายังไงกันบ้าง”
“ก็ช่างเขาสิ บอกแล้วไงว่าเราไม่สนใจ... ขอร้องละนะตฤณ อย่าไปยุ่งกับเขา ไม่ว่ายังไง ระหว่างเรากับเขาก็ไม่มีอะไรต่อกันอีกแล้ว” เสียงใสติดจะสั่นเครือขณะเอ่ย
ตฤณได้เห็นหยดน้ำที่กำลังกลิ้งอยู่ในหน่วยตาของกีรณา ใจที่กำลังร้อนลุ่มพลันอ่อนยวบ อาการเป็นเดือนเป็นแค้นเลือนหายวูบ
“ทิวลิป!” ตฤณเรียกชื่อเธอเบาๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นท่าทางหวั่นไหวของกีรณา จึงอดใจหายขึ้นมาไม่ได้ “ตกลง ไม่พูดก็ไม่พูด แต่แน่ใจนะว่าทิวลิปจะไม่เป็นไร” ตฤณถามอย่างอ่อนใจ
กีรณาสบตาเขาแล้วยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรจริงๆ เราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว นายอย่าห่วงเลย”
“ก็เพราะไม่ใช่เด็กแล้ว เราถึงยิ่งต้องห่วง แต่ก็ช่างเธอในเมื่อทิวลิปยืนยันแบบนั้น เราก็คงต้องแล้วแต่เธอ” คำพูดของตฤณฟังดูน้อยใจ ทว่าแฝงไว้ด้วยนัยบางอย่าง
“หรือว่านายไม่เชื่อใจเรา”
----------------------------------
(ยังมีต่อ)
เร้นรัก กามเทพ บทที่ 5
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นทว่าข่าวลือยังคงแพร่สะพัด นำพาเรื่องร้อนๆ มากระทบเข้าหูกีรณาและฟ้าใสอย่างไม่ขาดสาย ฟ้าใสมองหน้าเพื่อนที่ยังนั่งนิ่งเสมือนหนึ่งทองไมรู้ร้อนอย่างอึดอัดผสมกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ได้ปริปากถาม
เรื่องชวนปวดหัวในวันนี้ เริ่มต้นจากการที่มีบางคนผ่านไปเห็นเหตุการณ์แล้วบังเอิญถ่ายคลิปไว้ก่อนจะเอาไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต พร้อมกับคำอธิบายในเชิงลบเพียงสั้นๆ แต่กลับมีอิทธิพลเมื่อถูกแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง จนกลายมาเป็นหัวข้อที่ใครต่อใครพากันเก็บมาพูดคุย ซุบซิบต่อๆ กันแบบไม่รู้จบ ฟ้าใสแน่ใจว่ากีรณารู้ทุกอย่างไม่ต่างจากเธอ แต่เจ้าตัวกลับเลือกที่จะนิ่ง และเธอเองก็รู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้ ต่อให้เธอเค้นถามก็คงจะไม่มีประโยชน์ เพื่อนรักของเธอคงทำแค่เพียงยิ้มรับ โดยปราศจากปฏิกิริยาอื่นใด เพราะเจ้าตัวยังคงเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้ในใจเหมือนเดิม
เวลาทอดผ่านไปพักใหญ่ ฟ้าใสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความอดทนของเธอดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแต่เพียงนี้
“ตกลงว่าแกจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช่ไหม” ฟ้าใสทำลายความเงียบโดยการพูดขึ้นอย่างจริงจัง
กีรณาเหลือบตามองเพื่อน ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบกลับ “แล้วจะให้ทำไง เราห้ามความคิด ห้ามปากคนได้เสียที่ไหน จริงไหม?” เจ้าของดวงหน้าสวยเบือนหน้ามองไปไกลๆ อย่างไร้จุดหมายหลังพูดจบ
“แต่ฉันว่ามันไม่แฟร์ แกควรจะมีโอกาสพูดได้อธิบายอะไรบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้พวกนั้นเก็บเอาไปพูดกันเป็นตุเป็นตะแบบนี้”
“แกจะให้ฉันเปิดแถลงข่าวเลยไหมล่ะ” กีรณาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ จงใจกลบเกลื่อนรอยขุ่นในใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโน้มน้าวเพื่อนของตนแทน “ช่างมันเถอะนะฟ้า อีกไม่นานก็เลิกพูดกันไปเองนั่นแหละ”
“ผ่านมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ยังไม่เห็นจะเลิกพูดกันเลย” สาวใสในแว่นหนาทำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจ ไม่วายส่งค้อนไปหาคนใจเย็นข้างๆ ตัว
“แค่อาทิตย์เดียวต่างหาก ใจร้อนจริงแกนี่ รอให้ครบเดือนก่อนดีไหม แล้วค่อยมาดูกันว่าพวกนั้นจะยังพูดถึงกันอีกไหม เผลอๆ อีกไม่กี่วันอาจจะมีเรื่องใหม่มาให้พวกนั้นนินทากันจนลืมเรื่องของเราไปเลยก็ได้” กีรณาบอกกับเพื่อนทั้งที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจ ที่ผ่านมาเธอเองก็ได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องของเธอเป็นเหมือนกับข่าวลืออื่นๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไหนเลยจะอยู่ยั้งยืนยงให้คนพูดกันไปไม่รู้จบ
“กลัวก็แต่มันจะไปเข้าหูพ่อแกเท่านั้นแหละ ความแตกเมื่อไหร่มีหวังได้เดือดร้อนกันไปทั่ว”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่ะ เรื่องมันก็ไม่จริง ต่อให้พ่อเห็นคลิปก็ไม่มีทางเชื่อหรอก” กีรณายังคงยืนยันอย่างหนักแน่น
“แน่ใจ? แล้วถ้าพ่อแกถามว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ก็รอให้ถึงตอนนั้นก่อนแล้วค่อยเล่าละกัน ยังไงๆ พ่อก็ต้องฟังฉันอยู่แล้ว”
“มั่นใจเกินไปหรือเปล่าแก เป็นเรื่องอื่นก็ว่าไปอย่าง เรื่องเสียหายขนาดนี้ฉันกลัวพ่อแกจะบุกมาเอาเรื่องถึงมหา’ ลัย เสียละไม่ว่า ถามจริงเหอะ ทำไมแกไม่ชิงบอกไปเสียก่อน ตอนนี้มันอาจจะน่ากลัวล่ะนะ แต่อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมาใจหายใจคว่ำกันทีหลัง” ฟ้าใสพูดพลางนึกถึงยามที่ตฤณเล่าเรื่องอุปนิสัยบิดาของกีรณา ในจึงนึกถึงคำที่ว่ากันไว้ดีกว่าแก้ขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่รู้ทีหลังมันเสี่ยงกว่านะแก”
กีรณามองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มพลางส่ายหน้า
“เฮ้อ! แกนี่นะ เรื่องดื้อละไม่มีใครเกิน”
“เถอะน่ะ อีกไม่กี่วันเรื่องก็เงียบไปเองแหละ อย่าวิตกให้มากไปหน่อยเลย” ดวงหน้าสวยยิ้มหวาน พยายามเรียกกำลังใจให้ทั้งเพื่อนและตัวเอง
“ว่าแต่ หลังจากเกิดเรื่องแล้วแกได้คุยกับอาจารย์พอลบ้างหรือเปล่า” ฟ้าใสขยับแว่นแล้วถาม น้ำเสียงระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด
“คุยทำไม มีอะไรต้องคุย” กีรณายังตีขรุมราวกับว่าภาณินไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“ก็เขาเป็นคนทำให้แกเสียชื่อ ก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบออกมาบ้าง หรืออย่างน้อยแค่ขอโทษก็ยังดี” ฟ้าใสยืนยันความคิดของตนขณะจ้องมองคนตรงหน้า แววนัยน์ตาซุกซนมองรอดแว่นหนาอย่างจับสังเกต
“บ้าสิ! จะให้เขามารับผิดชอบอะไร แกนี่เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว” คนตอบก้มหน้าขณะพูด ดวงตากลมโตหรุบต่ำหลบเลี่ยงสายตาจับพิรุจของเพื่อนรัก
“นี่ฉันจริงจังนะ ทิวลิป แล้วฉันก็เชื่อว่าอาจารย์เองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก” ใบหน้าเล็กๆ พยักเพยิดบอกอย่างมั่นใจ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แต่เขาไม่มาพูดอะไรน่ะดีแล้ว ยิ่งคุยเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่ พวกนั้นยิ่งกำลังจ้องจับผิดฉันอยู่ด้วย”
“มันก็จริงอ่ะนะ บางทีตอนนี้อาจารย์อาจจะกำลังรู้สึกผิด อยากจะมาขอโทษแกอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้”
“เขาอยากจะทำหรือไม่ทำอะไรมันก็เรื่องของเขา แต่สำหรับฉัน คำขอโทษมันไม่จำเป็น แค่อยู่ห่างๆ ฉันไว้เป็นพอ แต่เอ๊ะ! เมื่อกี้แกพูดเหมือนกำลังเข้าข้างอาจารย์อยู่เลยนะ”” จู่ๆ กีรณาฉุกใจคิดถึงคำพูดกำกวมขอฟ้าใส จนต้องหันไปถาม พร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนรักราวกับจะจับผิด
ฟ้าใสทำตาโตอย่างตกใจ นึกไม่ถึงว่ากีรณาจะจับสังเกตเธอได้เร็วปานนี้ มือเล็กๆ ยกขึ้นขยับแว่นอย่างประดักประเดิด พยายามเรียกความมั่นใจให้เพื่อน ทว่าน้ำเสียงไม่วายตะกุกตะกัก “พะ...พูดอะไรแบบนั้น แกเป็นเพื่อนฉันนะทิวลิป ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ต้องอยู่ข้างแกอยู่แล้ว”
“แต่เมื่อกี้แกพูดเหมือนแกกำลังเห็นใจเขา”
“ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า คนเราเวลาทำผิดกับใคร ถ้าไม่ใช่คนเลวร้ายจนเกินไปก็ย่อมจะมีความรู้สึกผิดอยู่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แกต่างหากที่ทำให้ฉันสงสัย ที่บอกว่าขอแค่เขาไม่เข้ามาใกล้แกอีก มันเท่ากับบอกเลาๆ ว่าที่ผ่านมาอาจารย์พยายามจะเข้าหาแก แปลว่าแกกับอาจารย์ภาณินน่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน ฉะนั้นฉันขอถามแกกลับบ้าง ว่าแกมีอะไรจะบอกฉันบ้างรึเปล่า”
“นี่...แกเป็นอะไรรึเปล่าฟ้า ทำไมพูดจาแปลกๆ” ปากยังปฏิเสธกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจกำลังสังหรณ์ว่าฟ้าใสน่าจะรู้เรื่องของภาณินแล้ว
“แกต่างหากที่แปลกทิวลิป เรื่องที่เกิดขึ้นแกเองเป็นฝ่ายเสียหาย แต่กลับนิ่งเฉยทำเหมือนว่าเรื่องมันไม่เกี่ยวอะไรกับแก แกต่างหากที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าแกกำลังปกปิดอะไรบางอย่างไว้”
“เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวแล้วยังไง ฟังนะฟ้าใส สำหรับฉันเรื่องพวกนี้มันไม่ได้มีอะไรเลยแล้วต่อให้ใครพูดกันยังไงมันก็ไม่มีผลอะไรกับฉัน แกน่าจะรู้ดีที่สุดว่าฉันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้”
“สรุปว่ายังไงๆ แกก็จะไม่บอกฉันอยู่ดี ช่างเถอะ! ฉันลืมไปว่าบางทีแกอาจจะไม่สะดวกใจ เพราะแกไม่เคยเชื่อใจฉัน”
“ไปกันใหญ่แล้ว แกกำลังทำฉันงงนะฟ้า เชื่อใจไม่เชื่อใจอะไรกัน ตกลงว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันแน่”
“พูดถึงความเป็นเพื่อนไง เพื่อนกันไม่ควรจะปิดบังอะไรกันไม่ใช่เหรอ ก็ได้ แนเมื่อแกไม่ยอมบอก งั้นฉันจะบอกแกเอง ฉันรู้แล้วว่าอาจารย์ภาณินคือพี่หม่อนของแก”
แม้พอจะเดาออกอยู่บ้างแล้ว แต่ครั้นฟ้าใสพูดออกมาแบบชัดๆ กีรณายังไม่วายตกใจจนนิ่งอึ้ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็พูดอะไรไม่ออกไปอีกพักใหญ่
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงนะ เพราะฉันไม่อยากให้แกลำบากใจถึงได้ทำเป็นไม่รู้ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมแกถึงเอาแต่ปิดบัง ไม่ยอมบอกฉันสักที”
“รู้ไปก็เท่านั้น แก้ไขอะไรก็ไม่ได้ แล้วจะรู้ไปทำไม”
“อย่างน้อยก็จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันเลี่ยง ฉันเป็นเพื่อนแกนะทิวลิป อะไรที่ช่วยได้ ฉันต้องช่วยอยู่แล้ว”
“ความจริงก็ไม่ได้อยากจะปิดหรอก เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าจะเล่ายังไงมากกว่า เอาเป็นว่าฉันขอโทษแกละกัน ว่าแต่แกเถอะ ไหนบอกว่าไม่อยากให้ฉันลำบากใจ ในเมื่อรู้อยู่แล้ว แล้วจะมาซักไซ้ทำไมเนี่ย แล้วขอบอกอีกครั้งว่าเขาไม่ใช่ของฉัน ต่อไปห้ามพูดว่าเขาคือพี่หม่อนของฉันอีกเป็นอันขาด”
“เหอะ! จะของแกหรือของใครก็ช่าง อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็โล่งใจไปเปาะหนึ่ง ไอ้การรู้แล้วต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้นี่มันอึดอัดจนอกแทบระเบิดจริงๆ”
“ตฤณบอกแกใช่ไหม”
“อื้ม แต่อย่าไปว่าตฤณมันเลยนะ ฉันเองแหละที่เป็นฝ่ายคาดคั้น หมอนี่ตายยากจริงๆ พูดถึงก็มาทันที” สาวแว่นบุ้ยปากใบ้ส่งสัญญาณ “ฉันว่านะ ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องอกแตกตายเพราะเรื่องแก ก็คงเป็นหมอนี่แหละ ดูสิ เดินหน้าง้ำมาเลย”
กีรณาเหลือบตามองไปทางตฤณที่กำลังเดินตรงดิ่งมาหาเธอ ดูจากสีหน้าบนใบหน้าขาวๆ แล้วเดาอารมณ์ของเขาได้ไม่ยาก
“เดินจ้ำ ทำหน้ามุ่ยขนาดนี้ ควายหายหรือไงตฤณ” กีรณาแกล้งแซว พร้อมกับส่งยิ้มหวาน
“ไม่ต้องมาพูดเลย รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าทำเราร้อนใจแค่ไหน” ตฤณย้อนกลับเสียงสะบัด จ้องหน้าสวยเขม็ง
“เป็นอะไรของนาย มาถึงก็พูดจาหาเรื่องกันแบบนี้ ไปกินรังแตนที่ไหนมาไม่ทราบ” กีรณาย้อนถามกวนๆ เหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ไม่ต้องมาทำเป็นไก๋ เรื่องดังขนาดนี้ อย่ามาบอกเลยว่าไม่รู้”
“รู้หรือไม่รู้มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของนายสักหน่อย จะร้อนตัวร้อนใจไปทำไม” หญิงสาวเปรียบเหมือนทองไม่รู้ร้อนโดยแท้ ทั้งยังไม่สนใจกับท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นแทนเธอของคนตรงหน้าอีกต่างหาก
“อย่าพูดแบบนี้สิทิวลิป ตฤณมันเป็นห่วงแกมากเลยนะ” ฟ้าใสปรามกีรณาพร้อมกับส่งสายตามองตฤณอย่างเห็นใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง ห่วงไปแล้วจะทำอะไรได้ สู้อยู่เฉยๆ รอให้เรื่องเงียบไปไม่ดีกว่า”
“ถามจริง? ทิวลิปไม่รู้สึกโกรธบ้างเลยเหรอ” ตฤณเอ่ยถามอย่างเหลืออด
“ก็ไม่นะ เรื่องมันไม่จริง เลยไมรู้จะโกรธไปทำไม”
“แล้วจะปล่อยให้ใครๆ พูดกันไปแบบผิดๆ งั้นเหรอ”
“อีกไม่นานคนก็เลิกพูดกันไปเองนั่นแหละ”
“แล้วต้องอีกนานแค่ไหน นี่มันผ่านมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้วนะ”
“เดี๋ยวนะ นี่พวกนายสองคนนัดกันมาหรือไง เจอหน้าปั๊บ ถามเหมือนกันเป๊ะ”
“ก็บอกแล้วว่าเป็นห่วง” ฟ้าใสตอบคำถามเพื่อนแทนตฤณรวมทั้งตัวเธอเอง
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่ว เลิกสนใจเรื่องนี้กันได้แล้ว”
“ตกลงว่าทิวลิปจะไม่ทำอะไรจริงๆ ใช่ไหม”
กีรณาส่งยิ้มอ่อนพร้อมกับพยักหน้าเป็นคำตอบ
“งั้นเราจะเป็นไปพูดกับพี่หม่อนเอง เขาเป็นคนก่อเรื่องควรจะต้องรับผิดชอบ” ตฤณพูดจบแล้วหันหลังเดินจากไป กีรณาผุดลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปรั้งร่างสูงเอาไว้อย่างร้อนรน
“นายจะบ้าเหรอตฤณ จะไปพูดกับเขาทำไม ห้ามไปเลยนะ”
“ก็ในทิวลิปไม่คิดจะทำอะไร เราทนดูต่อไปไม่ไหวถึงต้องไปจัดการเรื่องนี้เองไง”
“หยุดเลยนะ นายจะไปพูดให้ได้อะไรขึ้นมา บอกแล้วไงว่าอีกไม่นานเรื่องก็เงียบ เราต่างคนต่างอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว นายจะฟื้นฝอยหาตะเข็บไปทำไม”
“แต่เขาทำทิวลิปเสียหาย เรายอมไม่ได้ที่ใครต่อใครเอาเธอไปพูดถึงในทางเสียๆ หายๆ แบบนั้น”
กีรณาสูดลมหายใจลึกสะกดอารมณ์ตัวเองให้เย็น ก่อนจะพูดเรียบๆ พยายามทุเลาความลุ่มร้อนของชายหนุ่มลง
“เพื่ออะไรเหรอตฤณ นายก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ ยิ่งพูดอะไรออกไปก็เหมือนเราร้อนตัว” กีรณาทอดเสียงอ่อนแล้วถอนหายใจหนัก “เรานิ่ง เพราะเราไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนแก้ตัว สู้ปล่อยๆ ไปแบบนี้ เดี๋ยวคนก็ลืมกันไปเอง”
“แต่เราไม่คิดแบบนั้น ตัวไม่รู้หรอก ว่าลับหลังคนพวกนั้นเอาตัวไปพูดว่ายังไงกันบ้าง”
“ก็ช่างเขาสิ บอกแล้วไงว่าเราไม่สนใจ... ขอร้องละนะตฤณ อย่าไปยุ่งกับเขา ไม่ว่ายังไง ระหว่างเรากับเขาก็ไม่มีอะไรต่อกันอีกแล้ว” เสียงใสติดจะสั่นเครือขณะเอ่ย
ตฤณได้เห็นหยดน้ำที่กำลังกลิ้งอยู่ในหน่วยตาของกีรณา ใจที่กำลังร้อนลุ่มพลันอ่อนยวบ อาการเป็นเดือนเป็นแค้นเลือนหายวูบ
“ทิวลิป!” ตฤณเรียกชื่อเธอเบาๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นท่าทางหวั่นไหวของกีรณา จึงอดใจหายขึ้นมาไม่ได้ “ตกลง ไม่พูดก็ไม่พูด แต่แน่ใจนะว่าทิวลิปจะไม่เป็นไร” ตฤณถามอย่างอ่อนใจ
กีรณาสบตาเขาแล้วยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรจริงๆ เราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว นายอย่าห่วงเลย”
“ก็เพราะไม่ใช่เด็กแล้ว เราถึงยิ่งต้องห่วง แต่ก็ช่างเธอในเมื่อทิวลิปยืนยันแบบนั้น เราก็คงต้องแล้วแต่เธอ” คำพูดของตฤณฟังดูน้อยใจ ทว่าแฝงไว้ด้วยนัยบางอย่าง
“หรือว่านายไม่เชื่อใจเรา”
----------------------------------
(ยังมีต่อ)