เรื่องโดย นิลวนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนก่อนหน้า
บทนำ : https://ppantip.com/topic/36728941
บทที่ 1 : https://ppantip.com/topic/36732857
บทที่ 2 : https://ppantip.com/topic/36737670
บทที่ 3 : https://ppantip.com/topic/36744859
บทที่ 4 : https://ppantip.com/topic/36760739
บทที่ 5 : https://ppantip.com/topic/36780385
บทที่ 6 : https://ppantip.com/topic/36784759
บทที่ 7 : https://ppantip.com/topic/36796975
บทที่ 8
อาหารค่ำถูกจัดเตรียมอย่างพร้อมสรรพ และสมาชิกบ้านเกียรติธนบดีอยู่ที่บ้านกันพร้อมหน้า ขาดเพียงกีรณาที่กำลังเดินทางกลับ การะเกดสั่งให้คนเตรียมอุปกรณ์เพิ่มอีกหนึ่งที่ตามที่บุตรสาวโทรมาบอก พีรพัฒน์มองจานที่ถูกนำมาวางแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เจ้าตฤณมาฝากท้องที่บ้านเราอีกแล้วใช่ไหม ไอ้หมอนี่มันยังไง ข้าวปลาที่บ้านไม่ยอมกิน บ้านช่องมีไม่ยอมกลับ”
พีรพัฒน์บ่นเสียงดังเหมือนกับทุกครั้งที่ตฤณมาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของเขา การะเกดมองสามียิ้มๆ เคยชินกับอาการหวงลูกสาวของสามีไปเสียแล้ว
“คุณพีละก็ แค่หลานมาทานข้าว จะบ่นอะไรนักหนา”
“ไม่ให้บ่นได้ยังไงกัน มันเล่นมาเกือบจะทุกวัน ไม่รู้จักเกรงใจกันเสียบ้าง”
เมื่อสามีเริ่มเสียงดัง การะเกดจึงรีบเฉลย
“พอเถอะค่ะ บ่นไปก็เท่านั้น คนที่มาวันนี้ก็ไม่ใช่ตาตฤณหรอกค่ะ”
“ไม่ใช่เจ้าตฤณ งั้นเป็นใคร” พีรพัฒน์สังหรณ์วูบ แต่ยังไม่อยากปักใจ
“ตาหม่อนค่ะ”
นั่นประไร เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด “อะไรนะ? เดี๋ยวนี้เจ้าหม่อนมันกล้าบุกเดียวมากินข้าวบ้านเราตามลำพังเชียวเรอะ?”
“ถึงกับต้องกล้าเลยเหรอคะคุณพี เมื่อก่อนตาหม่อนก็มาที่นี่อยู่ออกบ่อย”
“เอะอะเสียงดังอะไรกันเจ้าพี” คุณวิสูตรเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องอาหาร ไม่ได้ฟังที่บุตรชายกับสะใภ้โต้คารมกันมาแต่ต้น
“กำลังพูดถึงเด็กที่ไม่ยอมกลับไปกินข้าวบ้านครับคุณพ่อ” พีรพัฒน์ตอบบิดาแบบพาลๆ
“เจ้าตฤณละสิ” แม้แต่ประมุขของบ้านก็ยังนึกถึงแขกประจำอย่างตฤณเป็นคนแรก
“ไม่ใช่คะคุณพ่อ แต่เป็นตาหม่อน” การะเกดบอกกับท่าน แล้วพูดต่อเหมือนฟ้อง “คุณพีพาล ต่อว่าพวกหลานๆ เรื่องมาทานข้าวบ้านเราบ่อยๆ ค่ะ คุณพ่อ”
คุณวิสูตรฟังแล้วหันไปมองหน้าบุตรชาย ต่อให้ลูกสะใภ้ไม่บอก ท่านก็เดาออกอยู่ดี
“แกนี่มันหวงลูกสาวจนขึ้นสมองนะเจ้าพี กับอีแค่หลานๆ แวะมากินข้าวเท่านั้น แค่นี้ยังจะกันท่า”
“ก็พวกมันมาบ่อย รบกวนเวลาของครอบครัวนี่ครับคุณพ่อ” ถึงอย่างไรพีรพัฒน์ก็ไม่มีทางยอมเปิดทางให้สองหนุ่มลูกเพื่อนมาเกาะแกะตามติดลูกสาวของเขา
“ทีเมื่อก่อนตาหม่อนก็มาขลุกอยู่ที่นี่แทบทุกวัน แกยังไม่บ่นเลย” คุณวิสูตรพูดเหมือนลูกสะใภ้ไม่มีผิด
“ก็ตอนนั้นยังเป็นเด็กนี่ครับคุณพ่อ แต่ตอนนี้โตๆ กันแล้ว ลูกผมจะเสียหายเอาได้”
“ดูเอาเถอะค่ะคุณพ่อ แค่มากินข้าวยังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้าเขามาขอ มิโวยวายไปกันใหญ่หรอหรือคะ เกดไม่อยากจะนึกเลย”
“ลองมาสิ จะได้ตัดเพื่อนกับพ่อมันเสียให้รู้แล้วรู้แล้วไป คุณก็เหมือนกัน คอยแต่จะเข้าข้างหมอนั่นตลอด”
“ตาหม่อนค่ะ ไม่ใช่หมอนั่น คุณพีพาลเหมือนเด็กๆ เลยค่ะคุณพ่อ”
“นั่นสิ ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้าพี เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแกได้แตกก่อนพ่อกันพอดี”
“ตาพีตั้งป้อมหาเรื่องกับพวกเด็กๆ มาตั้งแต่หนุ่มยันจะแก่ ป่านนี้ยังจะไม่ชินกันอีก”
คุณหญิงภัทรียาเดินเข้าร่วมวงหลังฟังอยู่นาน ท่านเจ้าของบ้านพยักหน้ากับภรรยา แล้วส่ายหัวกับบุตรชาย การะเกดมองทุกคนแล้วอมยิ้ม
“เข้ากันเป็นปีเป็นขลุ่ย ไม่รู้ล่ะถ้าหมอนั่นมาเกาะแกะสร้างความรำคาญใจให้ลูก ผมจะไปเอาเรื่องกับพ่อมัน” คนไร้พวกฟาดงวงฟาดงา แล้วถามภรรยาต่อไป “คุณรู้ได้ยังไงว่าเจ้าหม่อนมันจะมา”
“ลูกโทรมาบอกว่าวันนี้ตาหม่อนขับรถมาส่ง แล้วจะขอทานข้าวเย็นด้วยเลย”
“ส่งทำไม? รถลูกเราก็มี ขับไปเรียนเองได้ แล้วทำไมถึงขับกลับมาเองไม่ได้”
“ไม่ทราบค่ะ คงมีเรื่องคุยกันกระมังคะ ตาหม่อนโทรมาบอกแต่แรกว่าจะ ออกจากมหาวิทยาลัยกันเย็นหน่อย”
“จะคุยอะไรกันนักหนา หาเรื่องตีสนิทละสิไม่ว่า”
“พอเถอะเจ้าพี ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ ลูกกลับมาแล้ว อย่าเผลอพูดอะไรให้ลูกหนักใจ” คุณวิสูตรปรามบุตรชาย เมื่อเห็นกีรณาเดินมาแต่ไกล
“สวัสดีค่ะ คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่” กีรณานบไหว้ทักทายผู้ใหญ่ในบ้าน ภาณินตามมาติดอยู่ข้างๆ ยกมือไหว้ ตามประสาคนสนิท
“สวัสดีครับ คุณปู่ คุณย่า อาพี อาเกด”
“ไหว้พระเถอะลูก มาๆ มานั่งเลยลูก กำลังรอกินข้าวกันอยู่พอดี” คุณหญิงภัทรียาเอ่ยต้อนรับ
“ขอบคุณครับคุณย่า ต้องขอโทษที่หม่อนมารบกวนกะทันหัน”
“รบกวนอะไรกันจ๊ะ บ้านนี้ยินดีต้อนรับหม่อนเสมอ บ้านอา ก็เหมือนบ้านเรานั่นล่ะ”
“เฮอะ! ” คนพาลหวงลูกสาวแค่นเสียงในลำคอ แล้วเมินหนี
“นั่งสิเจ้าพี มัวยืนทำอะไร” คุณวิสูตรติงบุตรชาย แล้วหัวเราะหึๆ อย่างรู้ทัน
“ทำงานเป็นยังไงบ้างตาหม่อน ยุ่งไหม ลูกศิษย์เราดื้อหรือเปล่า” การะเกดชวนภาณินคุย ชำเลืองมองไปทางบุตรสาวเหมือนจงใจถามถึงกีรณามากว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ
“แรกๆ ก็มีบ้างครับ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว” คำตอบของภาณินเองก็หมายถึงกีรณาเช่นกัน
“คนเขาไม่อยากจะเสวนา ยังจะมาตามตื๊อ” พีรพัฒน์เอ่ยขึ้นลอย การะเกดเหลือบตามองสามี ที่ใต้โต๊ะ นิ้วเรียวๆ กำลังบิดหน้าขาของสามีเป็นการเตือน “โอ๊ย! เจ็บนะเกด ก็ผมพูดเรื่องจริง”
“คนพูดเรื่องจริง น่ะตายมานักต่อนักแล้ว ไอ้ลูกชาย” คุณวิสูตรแกล้งขวางบุตรชาย เข้าข้างสะใภ้ แต่มีหรือที่พีรพัฒน์จะยอมง่ายๆ
“คนอย่างผม ไม่ตายง่ายๆ หรอกครับคุณพ่อ”
“พอเถอะค่ะคุณพี พูดเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้ ทานข้าวไปเถอะค่ะ” การะเกดปรามสามีแล้วตักอาหารใส่จานให้เขา “แล้วงานวิจัยล่ะ ราบรื่นดีไหม” คำหลังคือคำถามสำหรับภาณิน
“เรียบร้อยดีครับ ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรมาก แต่อีกสองอาทิตย์จะมีออกภาคสนาม วันนี้หม่อนเลยถือโอกาสจะมาเรียน คุณปู่ คุณย่า และคุณอาทั้งสองเอาไว้ก่อนเลย”
“ไปที่ไหน แล้วไปยังไง” คราวนี้พีรพัฒน์ถึงกับหูผึง หันมามองหน้าถามกับภาณินตรงๆ ทั้งที่ก่อนหน้ายังแทบไม่ยอมมองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“เขาใหญ่ครับ หลังสอบเสร็จก็จะออกเดินทางกันเลย อาพีไม่ต้องกังวลนะครับ หม่อนรับรองว่าจะดูแลทิวลิปเป็นอย่างดี”
“ใครว่าเป็นกังวล ที่ถามเนี่ยก็เพราะว่าอยากรู้ แล้วก็กำลังจะบอกว่า อา-ไม่-อ-นุ-ญาต” คนหวงลูกย้ำทีละคำ คนนั่งฟังทั้งหลายตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากค้างไปตามๆ กัน
“ได้ไงละคะคุณพ่อ นี่มันโปรเจคจบของทิวลิปนะ” เป็นกีรณาที่ร้อนตัวกว่าใครๆ
“นั่นสิคะ นี่มันเกี่ยวกับเรื่องเรียนของลูก คุณไปห้ามแบบนั้นมันจะถูกเหรอ” การะเกดพยายามช่วยบุตรสาว
“ครั้งนี้แม่ไม่เข้าข้างเรานะตาพี ถ้าลูกมาขอไปเที่ยว ก็ค่อยว่าไปอย่าง แล้วครั้งนี้ตาหม่อนก็รับปากจะดูแลอย่างดี”
สามเสียงค้านกันให้วุ่น มีเพียงคุณวิสูตรที่นั่งมองบุตรชายหัวเราะหึๆ นึกอยู่แล้วว่าบุตรชายต้องมาไม้นี้
“ไม่ต้องห่วงนะครับอา หม่อนไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับทิวลิปแน่ๆ” ภาณินข้ามผ่านทั้งสายตาและน้ำเสียงไม่เป็นมิตรที่ถูกส่งมายังเขาตรงๆ จากเพื่อนสนิทของบิดา ส่วนกีรณาฟังแล้วยังแอบค้อน
‘ใครจะไปสน! คนอย่างกีรณา... มีหรือที่ต้องรอให้ใครมาดูแล’
แม้จะแสดงออกว่าหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า แต่จริงๆ แล้วพีรพัฒน์เองเอ็นดูภาณินมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเพียงแค่หงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจยามคิดว่าลูกชายเพื่อนคนนี้คือคนที่ลูกสาวเขาฝากใจรักใคร่มาตั้งแต่เด็ก ภาณินจึงเปรียบเหมือนตัวหารแบ่งครึ่งความรักที่กีรณาควรจะมีให้กับบิดาอย่างเขาก็เท่านั้น
“อย่าห่วงไปเลยนะคะพ่อ ทิวลิปรับรองว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด”
“พ่อไว้ใจเรา แต่กับคนอื่น เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่”
“ทิวลิปโตแล้วนะคะพ่อ ดูแลตัวเองได้สบายมาก เว้นแต่ว่าพ่อจะไม่ไว้ใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่พ่อ....”
“อนุญาตเถอะค่ะพ่อ จะได้พิสูจน์ด้วยไงว่า ทิวลิปโตแล้ว ดูแลตัวเองได้จริงๆ” กีรณาอ้อนพ่อ ดวงตากระจ่างใสวิบวับ พีรพัฒน์มองตาบุตรสาวแล้วใจอ่อน ตกหลุมยอมตามที่กีรณาขอเหมือนทุกครั้ง
“จอมต่อรองจริงๆ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร”
“ลูกใครก็เหมือนคนนั้นล่ะเจ้าพี ยังไงก็ต้องอนุญาต ยังจะทำท่ามากอยู่ได้” คุณวิสูตรค่อนบุตรชายแล้วพยักหน้ากับหลานสาวอย่างรู้กัน
“คุณปู่อย่าว่าพ่อสิคะ พ่อก็แค่เป็นห่วงทิวลิปเท่านั้นเอง จริงไหมคะพ่อ” เป็นธรรมเนียมว่าเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว กีรณาจะต้องพูดเอาใจบิดาไว้เสียหน่อย กันท่านเปลี่ยนใจ
“จริงที่สุด ถ้าไม่ห่วง พ่อก็คงไม่ห้ามลูกหรอก”
“รับรองค่ะว่าทิวลิปต้องปลอดภัย กลับมาครบสามสิบสองแน่นอน”
“คุยรู้เรื่องกันแล้วก็ทานข้าวกันต่อเถอะค่ะ คุยกันจนอาหารชืดหมดแล้ว”
การะเกดตัดจบทุกเรื่องราว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงกลับมาเป็นการพูดคุยกันตามปกติ กีรณาคิดอยู่ในใจอย่างสงสัย น่าแปลกที่ภาณินไม่ได้โดนบิดาเธอสับแหลกอย่างที่เธอคิด
ที่กีรณาคิดไม่ถึงยิ่งกว่า คือจุดประสงค์ที่ภาณินตามเธอมาที่บ้านวันนี้ กีรณาหลงระแวงอยู่ตั้งนาน ที่แท้เขาตั้งใจมาขออนุญาติกับบิดาเธอนั่นเอง เป็นอันว่าเรื่องออกภาคสนามที่กีรณากำลังกังวลใจ ภาณินได้เข้ามาดำเนินการให้ โดยที่เธอไม่ต้องออกแรงคิดแผนอ้อนบิดาแต่อย่างใด ว่าแต่เขารู้ได้อย่างไร หรือว่าจะมีใครไปบอก สมองกีรณานึกถึงเพื่อนรักขึ้นมาทันที หรือว่า ฟ้าใสจะปาวารณาตัวฑูตสันถวไมตรีเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเธอและภาณินไปเสียแล้ว
--------------------------------------------
(ยังมีต่อ)
เร้นรัก กามเทพ บทที่ 8
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อาหารค่ำถูกจัดเตรียมอย่างพร้อมสรรพ และสมาชิกบ้านเกียรติธนบดีอยู่ที่บ้านกันพร้อมหน้า ขาดเพียงกีรณาที่กำลังเดินทางกลับ การะเกดสั่งให้คนเตรียมอุปกรณ์เพิ่มอีกหนึ่งที่ตามที่บุตรสาวโทรมาบอก พีรพัฒน์มองจานที่ถูกนำมาวางแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เจ้าตฤณมาฝากท้องที่บ้านเราอีกแล้วใช่ไหม ไอ้หมอนี่มันยังไง ข้าวปลาที่บ้านไม่ยอมกิน บ้านช่องมีไม่ยอมกลับ”
พีรพัฒน์บ่นเสียงดังเหมือนกับทุกครั้งที่ตฤณมาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของเขา การะเกดมองสามียิ้มๆ เคยชินกับอาการหวงลูกสาวของสามีไปเสียแล้ว
“คุณพีละก็ แค่หลานมาทานข้าว จะบ่นอะไรนักหนา”
“ไม่ให้บ่นได้ยังไงกัน มันเล่นมาเกือบจะทุกวัน ไม่รู้จักเกรงใจกันเสียบ้าง”
เมื่อสามีเริ่มเสียงดัง การะเกดจึงรีบเฉลย
“พอเถอะค่ะ บ่นไปก็เท่านั้น คนที่มาวันนี้ก็ไม่ใช่ตาตฤณหรอกค่ะ”
“ไม่ใช่เจ้าตฤณ งั้นเป็นใคร” พีรพัฒน์สังหรณ์วูบ แต่ยังไม่อยากปักใจ
“ตาหม่อนค่ะ”
นั่นประไร เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด “อะไรนะ? เดี๋ยวนี้เจ้าหม่อนมันกล้าบุกเดียวมากินข้าวบ้านเราตามลำพังเชียวเรอะ?”
“ถึงกับต้องกล้าเลยเหรอคะคุณพี เมื่อก่อนตาหม่อนก็มาที่นี่อยู่ออกบ่อย”
“เอะอะเสียงดังอะไรกันเจ้าพี” คุณวิสูตรเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องอาหาร ไม่ได้ฟังที่บุตรชายกับสะใภ้โต้คารมกันมาแต่ต้น
“กำลังพูดถึงเด็กที่ไม่ยอมกลับไปกินข้าวบ้านครับคุณพ่อ” พีรพัฒน์ตอบบิดาแบบพาลๆ
“เจ้าตฤณละสิ” แม้แต่ประมุขของบ้านก็ยังนึกถึงแขกประจำอย่างตฤณเป็นคนแรก
“ไม่ใช่คะคุณพ่อ แต่เป็นตาหม่อน” การะเกดบอกกับท่าน แล้วพูดต่อเหมือนฟ้อง “คุณพีพาล ต่อว่าพวกหลานๆ เรื่องมาทานข้าวบ้านเราบ่อยๆ ค่ะ คุณพ่อ”
คุณวิสูตรฟังแล้วหันไปมองหน้าบุตรชาย ต่อให้ลูกสะใภ้ไม่บอก ท่านก็เดาออกอยู่ดี
“แกนี่มันหวงลูกสาวจนขึ้นสมองนะเจ้าพี กับอีแค่หลานๆ แวะมากินข้าวเท่านั้น แค่นี้ยังจะกันท่า”
“ก็พวกมันมาบ่อย รบกวนเวลาของครอบครัวนี่ครับคุณพ่อ” ถึงอย่างไรพีรพัฒน์ก็ไม่มีทางยอมเปิดทางให้สองหนุ่มลูกเพื่อนมาเกาะแกะตามติดลูกสาวของเขา
“ทีเมื่อก่อนตาหม่อนก็มาขลุกอยู่ที่นี่แทบทุกวัน แกยังไม่บ่นเลย” คุณวิสูตรพูดเหมือนลูกสะใภ้ไม่มีผิด
“ก็ตอนนั้นยังเป็นเด็กนี่ครับคุณพ่อ แต่ตอนนี้โตๆ กันแล้ว ลูกผมจะเสียหายเอาได้”
“ดูเอาเถอะค่ะคุณพ่อ แค่มากินข้าวยังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้าเขามาขอ มิโวยวายไปกันใหญ่หรอหรือคะ เกดไม่อยากจะนึกเลย”
“ลองมาสิ จะได้ตัดเพื่อนกับพ่อมันเสียให้รู้แล้วรู้แล้วไป คุณก็เหมือนกัน คอยแต่จะเข้าข้างหมอนั่นตลอด”
“ตาหม่อนค่ะ ไม่ใช่หมอนั่น คุณพีพาลเหมือนเด็กๆ เลยค่ะคุณพ่อ”
“นั่นสิ ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้าพี เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแกได้แตกก่อนพ่อกันพอดี”
“ตาพีตั้งป้อมหาเรื่องกับพวกเด็กๆ มาตั้งแต่หนุ่มยันจะแก่ ป่านนี้ยังจะไม่ชินกันอีก”
คุณหญิงภัทรียาเดินเข้าร่วมวงหลังฟังอยู่นาน ท่านเจ้าของบ้านพยักหน้ากับภรรยา แล้วส่ายหัวกับบุตรชาย การะเกดมองทุกคนแล้วอมยิ้ม
“เข้ากันเป็นปีเป็นขลุ่ย ไม่รู้ล่ะถ้าหมอนั่นมาเกาะแกะสร้างความรำคาญใจให้ลูก ผมจะไปเอาเรื่องกับพ่อมัน” คนไร้พวกฟาดงวงฟาดงา แล้วถามภรรยาต่อไป “คุณรู้ได้ยังไงว่าเจ้าหม่อนมันจะมา”
“ลูกโทรมาบอกว่าวันนี้ตาหม่อนขับรถมาส่ง แล้วจะขอทานข้าวเย็นด้วยเลย”
“ส่งทำไม? รถลูกเราก็มี ขับไปเรียนเองได้ แล้วทำไมถึงขับกลับมาเองไม่ได้”
“ไม่ทราบค่ะ คงมีเรื่องคุยกันกระมังคะ ตาหม่อนโทรมาบอกแต่แรกว่าจะ ออกจากมหาวิทยาลัยกันเย็นหน่อย”
“จะคุยอะไรกันนักหนา หาเรื่องตีสนิทละสิไม่ว่า”
“พอเถอะเจ้าพี ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ ลูกกลับมาแล้ว อย่าเผลอพูดอะไรให้ลูกหนักใจ” คุณวิสูตรปรามบุตรชาย เมื่อเห็นกีรณาเดินมาแต่ไกล
“สวัสดีค่ะ คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่” กีรณานบไหว้ทักทายผู้ใหญ่ในบ้าน ภาณินตามมาติดอยู่ข้างๆ ยกมือไหว้ ตามประสาคนสนิท
“สวัสดีครับ คุณปู่ คุณย่า อาพี อาเกด”
“ไหว้พระเถอะลูก มาๆ มานั่งเลยลูก กำลังรอกินข้าวกันอยู่พอดี” คุณหญิงภัทรียาเอ่ยต้อนรับ
“ขอบคุณครับคุณย่า ต้องขอโทษที่หม่อนมารบกวนกะทันหัน”
“รบกวนอะไรกันจ๊ะ บ้านนี้ยินดีต้อนรับหม่อนเสมอ บ้านอา ก็เหมือนบ้านเรานั่นล่ะ”
“เฮอะ! ” คนพาลหวงลูกสาวแค่นเสียงในลำคอ แล้วเมินหนี
“นั่งสิเจ้าพี มัวยืนทำอะไร” คุณวิสูตรติงบุตรชาย แล้วหัวเราะหึๆ อย่างรู้ทัน
“ทำงานเป็นยังไงบ้างตาหม่อน ยุ่งไหม ลูกศิษย์เราดื้อหรือเปล่า” การะเกดชวนภาณินคุย ชำเลืองมองไปทางบุตรสาวเหมือนจงใจถามถึงกีรณามากว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ
“แรกๆ ก็มีบ้างครับ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว” คำตอบของภาณินเองก็หมายถึงกีรณาเช่นกัน
“คนเขาไม่อยากจะเสวนา ยังจะมาตามตื๊อ” พีรพัฒน์เอ่ยขึ้นลอย การะเกดเหลือบตามองสามี ที่ใต้โต๊ะ นิ้วเรียวๆ กำลังบิดหน้าขาของสามีเป็นการเตือน “โอ๊ย! เจ็บนะเกด ก็ผมพูดเรื่องจริง”
“คนพูดเรื่องจริง น่ะตายมานักต่อนักแล้ว ไอ้ลูกชาย” คุณวิสูตรแกล้งขวางบุตรชาย เข้าข้างสะใภ้ แต่มีหรือที่พีรพัฒน์จะยอมง่ายๆ
“คนอย่างผม ไม่ตายง่ายๆ หรอกครับคุณพ่อ”
“พอเถอะค่ะคุณพี พูดเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้ ทานข้าวไปเถอะค่ะ” การะเกดปรามสามีแล้วตักอาหารใส่จานให้เขา “แล้วงานวิจัยล่ะ ราบรื่นดีไหม” คำหลังคือคำถามสำหรับภาณิน
“เรียบร้อยดีครับ ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรมาก แต่อีกสองอาทิตย์จะมีออกภาคสนาม วันนี้หม่อนเลยถือโอกาสจะมาเรียน คุณปู่ คุณย่า และคุณอาทั้งสองเอาไว้ก่อนเลย”
“ไปที่ไหน แล้วไปยังไง” คราวนี้พีรพัฒน์ถึงกับหูผึง หันมามองหน้าถามกับภาณินตรงๆ ทั้งที่ก่อนหน้ายังแทบไม่ยอมมองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“เขาใหญ่ครับ หลังสอบเสร็จก็จะออกเดินทางกันเลย อาพีไม่ต้องกังวลนะครับ หม่อนรับรองว่าจะดูแลทิวลิปเป็นอย่างดี”
“ใครว่าเป็นกังวล ที่ถามเนี่ยก็เพราะว่าอยากรู้ แล้วก็กำลังจะบอกว่า อา-ไม่-อ-นุ-ญาต” คนหวงลูกย้ำทีละคำ คนนั่งฟังทั้งหลายตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากค้างไปตามๆ กัน
“ได้ไงละคะคุณพ่อ นี่มันโปรเจคจบของทิวลิปนะ” เป็นกีรณาที่ร้อนตัวกว่าใครๆ
“นั่นสิคะ นี่มันเกี่ยวกับเรื่องเรียนของลูก คุณไปห้ามแบบนั้นมันจะถูกเหรอ” การะเกดพยายามช่วยบุตรสาว
“ครั้งนี้แม่ไม่เข้าข้างเรานะตาพี ถ้าลูกมาขอไปเที่ยว ก็ค่อยว่าไปอย่าง แล้วครั้งนี้ตาหม่อนก็รับปากจะดูแลอย่างดี”
สามเสียงค้านกันให้วุ่น มีเพียงคุณวิสูตรที่นั่งมองบุตรชายหัวเราะหึๆ นึกอยู่แล้วว่าบุตรชายต้องมาไม้นี้
“ไม่ต้องห่วงนะครับอา หม่อนไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับทิวลิปแน่ๆ” ภาณินข้ามผ่านทั้งสายตาและน้ำเสียงไม่เป็นมิตรที่ถูกส่งมายังเขาตรงๆ จากเพื่อนสนิทของบิดา ส่วนกีรณาฟังแล้วยังแอบค้อน
‘ใครจะไปสน! คนอย่างกีรณา... มีหรือที่ต้องรอให้ใครมาดูแล’
แม้จะแสดงออกว่าหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า แต่จริงๆ แล้วพีรพัฒน์เองเอ็นดูภาณินมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเพียงแค่หงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจยามคิดว่าลูกชายเพื่อนคนนี้คือคนที่ลูกสาวเขาฝากใจรักใคร่มาตั้งแต่เด็ก ภาณินจึงเปรียบเหมือนตัวหารแบ่งครึ่งความรักที่กีรณาควรจะมีให้กับบิดาอย่างเขาก็เท่านั้น
“อย่าห่วงไปเลยนะคะพ่อ ทิวลิปรับรองว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด”
“พ่อไว้ใจเรา แต่กับคนอื่น เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่”
“ทิวลิปโตแล้วนะคะพ่อ ดูแลตัวเองได้สบายมาก เว้นแต่ว่าพ่อจะไม่ไว้ใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่พ่อ....”
“อนุญาตเถอะค่ะพ่อ จะได้พิสูจน์ด้วยไงว่า ทิวลิปโตแล้ว ดูแลตัวเองได้จริงๆ” กีรณาอ้อนพ่อ ดวงตากระจ่างใสวิบวับ พีรพัฒน์มองตาบุตรสาวแล้วใจอ่อน ตกหลุมยอมตามที่กีรณาขอเหมือนทุกครั้ง
“จอมต่อรองจริงๆ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร”
“ลูกใครก็เหมือนคนนั้นล่ะเจ้าพี ยังไงก็ต้องอนุญาต ยังจะทำท่ามากอยู่ได้” คุณวิสูตรค่อนบุตรชายแล้วพยักหน้ากับหลานสาวอย่างรู้กัน
“คุณปู่อย่าว่าพ่อสิคะ พ่อก็แค่เป็นห่วงทิวลิปเท่านั้นเอง จริงไหมคะพ่อ” เป็นธรรมเนียมว่าเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว กีรณาจะต้องพูดเอาใจบิดาไว้เสียหน่อย กันท่านเปลี่ยนใจ
“จริงที่สุด ถ้าไม่ห่วง พ่อก็คงไม่ห้ามลูกหรอก”
“รับรองค่ะว่าทิวลิปต้องปลอดภัย กลับมาครบสามสิบสองแน่นอน”
“คุยรู้เรื่องกันแล้วก็ทานข้าวกันต่อเถอะค่ะ คุยกันจนอาหารชืดหมดแล้ว”
การะเกดตัดจบทุกเรื่องราว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงกลับมาเป็นการพูดคุยกันตามปกติ กีรณาคิดอยู่ในใจอย่างสงสัย น่าแปลกที่ภาณินไม่ได้โดนบิดาเธอสับแหลกอย่างที่เธอคิด
ที่กีรณาคิดไม่ถึงยิ่งกว่า คือจุดประสงค์ที่ภาณินตามเธอมาที่บ้านวันนี้ กีรณาหลงระแวงอยู่ตั้งนาน ที่แท้เขาตั้งใจมาขออนุญาติกับบิดาเธอนั่นเอง เป็นอันว่าเรื่องออกภาคสนามที่กีรณากำลังกังวลใจ ภาณินได้เข้ามาดำเนินการให้ โดยที่เธอไม่ต้องออกแรงคิดแผนอ้อนบิดาแต่อย่างใด ว่าแต่เขารู้ได้อย่างไร หรือว่าจะมีใครไปบอก สมองกีรณานึกถึงเพื่อนรักขึ้นมาทันที หรือว่า ฟ้าใสจะปาวารณาตัวฑูตสันถวไมตรีเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเธอและภาณินไปเสียแล้ว
--------------------------------------------
(ยังมีต่อ)