เรื่องโดย นิลวนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนก่อนหน้า
บทนำ
https://ppantip.com/topic/36728941
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36732857
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36737670
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36744859
บทที่ 4
เอกสารปึกใหญ่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของภาณินตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า ข้างๆ กันยังมีแก้วกาแฟใบสวยภายในบรรจุเครื่องดื่มชนิดร้อนสีเข้มที่เมื่อก่อนหน้ายังส่งกลิ่นหอมกรุ่นยวนจมูกแต่กลับถูกวางทิ้งไว้จนเย็นชืด เหตุที่ของทั้งสองสิ่งไม่ได้รับการใส่ใจ เป็นเพราะเจ้าของโต๊ะร่างสูงเอาแต่ยืนใจลอยอยู่ที่ข้างหน้าต่าง สายตาคู่คมทอดมองไปไกลอยู่นิ่งนาน ขนาดว่าอาจารย์หนุ่มรุ่นพี่เข้ามายืนจ้องหน้า ภาณินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว
“ไงเจ้าพอล เอกสารกองเต็มโต๊ะ ไม่ยอมอ่าน กลับมัวมายืนเหม่ออยู่เป็นนานสองนาน หรือว่า...ข้างนอกนั่นมีอะไรน่าสนใจ” วีรวัฒน์เอ่ยทักด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แล้วชะโงกหน้ามองไปยังจุดเดียวกับภาณิน ส่งผลให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาแล้วยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเองแบบเก้อๆ
“อ้าว! พี่วี เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมผมไม่รู้ตัวเลย” พูดแล้วก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ นิ้วเรียวหยิบปึกเอกสารขึ้นมาแล้วค่อยๆ พลิกดูไปทีละหน้า
“ก็นายมัวแต่ใจลอย ขนาดพี่เข้ามาตั้งนานยังไม่รู้ เป็นอะไรไปรึเปล่า พักนี่พี่ว่านายดูแปลกๆ”
วีรวัฒน์เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมและคุ้นเคยกับภาณินมาตั้งแต่ครั้งที่เขายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในประเทศอเมริกา หลังกลับมาเมืองไทยแล้วเขาทั้งสองก็ยังคงติดต่อกันมิได้ขาด ดังนั้นการมาทำวิจัยที่เมืองไทยของภาณินในครั้งนี้ นอกจากจะด้วยเหตุผลส่วนตัวแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการโน้มน้าวของเขาอีกด้วย และล่าสุดก็คือการเชื้อเชิญให้มาเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ในคณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จึงมีทั้งความเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง และเวลานี้พวกเขายังเป็นเพื่อนร่วมงานกันอีกทบหนึ่ง เรียกสนิทสนมกันจนสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
“แค่กำลังคิดเรื่องงานวิจัยนิดหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอกครับพี่”
“ระบบการเรียนการสอนบ้านเรากับที่โน่นต่างกัน นายเพิ่งมาเริ่มงานใหม่ๆ อาจต้องใช้เวลาปรับตัวนิดหน่อย แล้วนี่เอกสารอะไร กองหนาเป็นตั้งเชียว” วีรวัฒน์ถามพลางหยิบเอกสารขึ้นมาพลิกดู
“ข้อมูลนักศึกษาครับ คณบดีท่านอยากให้ผมบรรจุงานวิจัยเข้ากับโครงการฝึกงานของนักศึกษา ผมเลยจะคัดเลือกทีมวิจัยจากกลุ่มนักศึกษาปีสี่ที่ต้องออกไปฝึกงานอยู่แล้ว พวกนี้คือประวัติ ผลการเรียน แล้วก็ตัวอย่างงานวิจัยที่ผมขอมาจากฝ่ายวิชาการ ตั้งใจว่าจะลองอ่านแล้วเลือกดูน่ะครับ”
“ดีเหมือนกันนะ คัดเลือกจากงานที่เคยทำ บางทีอาจได้เห็นแนวคิดดีๆ ของพวกเด็กๆ ก็เป็นได้ นอกจากเรื่องทีมวิจัยแล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวออกภาคสนาม พี่คิดว่านายคงทำ short list ไว้แล้ว แต่ถ้าติดขัดอะไรบอกพี่ได้เลย พี่เต็มใจช่วย” รุ่นพี่หนุ่มร่ายยาวอย่างผู้มีประสบการณ์ ยกมือหนาขึ้นตบไหล่ให้กำลังใจกับเพื่อนรุ่นน้อง
“ขอบคุณครับพี่ ก่อนหน้าจะมาเมืองไทย ผมประสานงานกับหน่วยงานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังสรุปรายชื่อทีมวิจัย ก็จะแจ้งตารางการทำงานพร้อมกับกำหนดการเดินทางให้ทางโน้นทราบ ถึงเวลาก็เดินทางได้เลย ก็คงใช้เวลาอีกสักพัก”
“โอเค! งั้นถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก เราพี่น้องกันฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจ ว่าแต่พูดถึงการคัดเลือกนักศึกษา มีเด็กคนหนึ่งที่พี่คิดว่ามีแวว น่าจะเหมาะกับโครงการของนาย เป็นเด็กดีมีความรับผิดชอบ หัวไว ผลการเรียนอยู่ในระดับแถวหน้าของคณะ เรียกว่าหน่วยก้านดีทีเดียว พี่เลยอยากแนะนำ เผื่อว่านายจะสนใจ”
“ใครเหรอครับ มีชื่ออยู่ในกองนี้หรือเปล่า” ภาณินรับฟังแล้วเหลือบมองกองเอกสารด้วยความสนใจ
“น่าจะอยู่นะ เพราะเธอกำลังเรียนอยู่ปีสี่ เทอมหน้าก็ต้องออกฝึกงานเหมือนกัน ชื่อกีรณา เกียรติธนบดี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คนนี้ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวล่ะ รับรองว่านายจะไม่ผิดหวัง” ชื่อเสียงเรียงนามและสรรพคุณของนักศึกษาที่วีรวัฒน์เอ่ยอ้าง ทำเอาภาณินชะงักกึก อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เขาเองก็กำลังคิดว่าจะดึงกีรณาเข้ามาร่วมทีมวิจัยของตนอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่ว่าจะทำอย่างไรเธอถึงจะยอมมาเข้าทีมก็เท่านั้น
“อ้อ... ครับ” หน้าคมพยักหงึกๆ ขณะพลิกกระดาษไล่ดูเอกสารไปทีละหน้า
“นายลองดูประวัติของเธอ เท่าที่พี่รู้เด็กคนนี้พื้นฐานครอบครัวดี ความประพฤติไม่มีเสีย แถมยังหน้าตาสะสวยระดับดาวคณะ หนุ่มๆ ตามจีบกันกรอ”
ท่าทางในการนำเสนอของวีรวัฒน์แสดงออกว่าเขาภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้อยู่ไม่น้อย ภาณินฟังแล้วให้หงุดหงิด ทำเสียงหึ ก่อนจะเผลอประชดออกมาเบาๆ
“แหงแหละ ก็สวยเสียขนาดนั้น...”
“หือ? นายว่าไงนะ”
“อะ...อ๋อ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่มีอะไร...”
“นายดูหงุดหงิดๆ แถมยังทำหน้าแปลกพิกล หรือว่านายกับเธอจะรู้จักกันมาก่อน” วีรวัฒน์มีข้อสงสัยหลังจากมองเห็นถึงปฏิกิริยาแปลกๆ ของภาณินแล้วให้สงสัย
“ก็ทำนองนั้น พ่อผมกับพ่อทิวลิปเป็นเพื่อนกัน แล้วตอนเด็กๆ เราก็เคยสนิทกันมาก” ภาณินบอกคร่าว ไม่ได้เท้าความไปถึงปมบาดหมางระหว่างเขาและเธอ
“แบบนั้นก็ดีสิ รู้จักกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งคุยกันง่าย หรือนายว่าไง?”
“คือ... นั่นมันเรื่องสมัยเด็กแล้วน่ะครับพี่ ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว” ร่างสูงเอ่ยเรียบๆ หากแต่นัยน์ตามีรอยครุ่นคิด
“พูดเหมือนนายกับเธอจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน อย่าบอกนะว่า.....” วีรวัฒน์เบิกตาค้าง ดูท่าว่าเขาจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
ภาณินมองหน้ารุ่นพี่แล้วพยักหน้ารับ “พี่คงจะจำเรื่องที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ เด็กคนนั้นก็คือกีรณา ลูกศิษย์คนเก่งคนพี่นี่แหละ”
“ฮะ...เฮ้ย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”
“จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรหรอกครับ เพราะก่อนหน้าที่ผมจะมาเมืองไทย ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเธอเรียนอยู่ที่นี่”
“หมายความว่านายเองก็คิดจะกลับมาเมืองไทยอยู่แล้ว?”
“ก็ประมาณนั้น เพียงแต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้ตัดสินใจ จนกระทั่งพี่โทรมาชวนนั่นแหละผมถึงคิดว่า กลับมาน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็น่าจะได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับเธอได้ง่ายขึ้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด”
“เรื่องมันนานขนาดนั้น แล้วตอนนี้พวกนายก็โตๆ กันแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่ปรับความเข้าใจจะกลายเป็นเรื่องยากไปได้”
ตามปกติแล้ววีรวัฒน์เป็นคนมองโลกในแง่ดี ปัญหาทุกอย่างที่ผ่านเข้าล้วนมีทางแก้ แต่เมื่อได้รับฟังเรื่องระหว่างภาณินกับกีรณาดูเหมือนจะหนักหนากว่าที่เขาเคยคิด รุ่นพี่หนุ่มหนักใจแทนเพื่อนรุ่นน้องจนถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ไม่นึกจริงๆ ว่ากีรณาจะเป็นคนเดียวกับที่นายเคยพูดถึง อะไรโลกมันจะกลมปานนั้น จริงสิ! กีรณาก็ชื่อเล่นว่าทิวลิป แต่พี่กลับไม่เฉลียวใจเลยสักนิด”
“ที่ผมรับงานสอน ก็เพราะรู้มาก่อนว่าทิวลิปเรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน” ภาณินเฉลยถึงความตั้งใจที่มีมาตั้งแต่เดิม
“แปลว่านายรับงานเพราะอยากจะหาโอกาสมาเจอเธอ นายนี่มันจอมวางแผนชัดๆ” วีรวัฒน์เอ่ยเสียงกลั้ยวหัวเราะ “เฮ้อ! นายพอลเอ๊ย.... อีหรอบนี้ พี่จะช่วยอะไรนายได้บ้างเนี่ย”
“ไม่เป็นไรครับพี่ เรื่องทิวลิป ผมคงค่อยๆ หาทางคุยกับเธอ”
“หรือว่าจะให้พี่ช่วยพูด จะว่าไปแล้วเธอเองก็ดูท่าว่าจะนับถือพี่อยู่พอควร เป็นไง จะลองดูไหม? ไม่แน่ว่าเธออาจจะยอมฟัง”
“ท่าจะยาก ผมเองยังคิดไม่ถึงเลยว่าพอโตมาแล้วทิวลิปจะดื้อขนาดนี้”
“ศึกหนักเลยงานนี้ แต่เอาเถอะ! ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก อย่าเก็บไว้คนเดียว จะพาลเครียดไปเสียเปล่าๆ” วีรวัฒน์สรุปสีหน้าบอกชัดว่าเห็นใจ ภาณินพยักหน้ารับทั้งที่ใจยังหนักอึ้ง
“ได้เวลาสอนแล้วพี่ไปก่อนล่ะ นายก็มีสอนคาบต่อไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
“งั้นพักเที่ยงค่อยเจอกัน” วีรวัฒน์นัดแนะ แล้วโบกมือก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คล้อยหลังอาจารย์หนุ่มรุ่นพี่ ภาณินหยิบแฟ้มข้อมูลนักศึกษาขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วไล่พิจารณาไปทีละหน้าก่อนจะหยุดลงที่ ดวงหน้าสวยในรูปถ่ายซึ่งติดอยู่ด้านบนของประวัติของนักศึกษา
“เรียนเก่งไม่เลวเลยเฮะ!” เสียงทุ้มเอ่ยชมหลังกวาดรายละเอียดที่แสดงในรายงานอยู่หลายรอบ
ใบหน้าขาวคมอมยิ้ม นัยน์ตาฉายแววพอใจกับความหวังที่เริ่มผุดพราย ถ้าเขาสามารถทำให้กีรณายอมมาร่วมทำงานในทีมวิจัยได้ เท่ากับเขาเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ใกล้ชิด และใช้เวลาร่วมกับเธอได้มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปไม่แน่ว่ากีรณาอาจจะยอมเปิดใจและเข้าใจในตัวเขาได้มากขึ้น เมื่อทิฐิและความโกรธของกีรณาลดลง คงไม่ยากที่ความสัมพันธ์ดังเช่นในอดีตจะกลับคืนมาเหมือนเดิม
‘ในทันทีที่คิดได้ นัยน์ตาคู่คมพลันวิบวับอย่างมีหวัง’
---------------------------------------
(ยังมีต่อ)
เร้นรัก กามเทพ บทที่ 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอกสารปึกใหญ่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของภาณินตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า ข้างๆ กันยังมีแก้วกาแฟใบสวยภายในบรรจุเครื่องดื่มชนิดร้อนสีเข้มที่เมื่อก่อนหน้ายังส่งกลิ่นหอมกรุ่นยวนจมูกแต่กลับถูกวางทิ้งไว้จนเย็นชืด เหตุที่ของทั้งสองสิ่งไม่ได้รับการใส่ใจ เป็นเพราะเจ้าของโต๊ะร่างสูงเอาแต่ยืนใจลอยอยู่ที่ข้างหน้าต่าง สายตาคู่คมทอดมองไปไกลอยู่นิ่งนาน ขนาดว่าอาจารย์หนุ่มรุ่นพี่เข้ามายืนจ้องหน้า ภาณินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว
“ไงเจ้าพอล เอกสารกองเต็มโต๊ะ ไม่ยอมอ่าน กลับมัวมายืนเหม่ออยู่เป็นนานสองนาน หรือว่า...ข้างนอกนั่นมีอะไรน่าสนใจ” วีรวัฒน์เอ่ยทักด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แล้วชะโงกหน้ามองไปยังจุดเดียวกับภาณิน ส่งผลให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาแล้วยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเองแบบเก้อๆ
“อ้าว! พี่วี เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมผมไม่รู้ตัวเลย” พูดแล้วก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ นิ้วเรียวหยิบปึกเอกสารขึ้นมาแล้วค่อยๆ พลิกดูไปทีละหน้า
“ก็นายมัวแต่ใจลอย ขนาดพี่เข้ามาตั้งนานยังไม่รู้ เป็นอะไรไปรึเปล่า พักนี่พี่ว่านายดูแปลกๆ”
วีรวัฒน์เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมและคุ้นเคยกับภาณินมาตั้งแต่ครั้งที่เขายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในประเทศอเมริกา หลังกลับมาเมืองไทยแล้วเขาทั้งสองก็ยังคงติดต่อกันมิได้ขาด ดังนั้นการมาทำวิจัยที่เมืองไทยของภาณินในครั้งนี้ นอกจากจะด้วยเหตุผลส่วนตัวแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการโน้มน้าวของเขาอีกด้วย และล่าสุดก็คือการเชื้อเชิญให้มาเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ในคณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จึงมีทั้งความเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง และเวลานี้พวกเขายังเป็นเพื่อนร่วมงานกันอีกทบหนึ่ง เรียกสนิทสนมกันจนสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
“แค่กำลังคิดเรื่องงานวิจัยนิดหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอกครับพี่”
“ระบบการเรียนการสอนบ้านเรากับที่โน่นต่างกัน นายเพิ่งมาเริ่มงานใหม่ๆ อาจต้องใช้เวลาปรับตัวนิดหน่อย แล้วนี่เอกสารอะไร กองหนาเป็นตั้งเชียว” วีรวัฒน์ถามพลางหยิบเอกสารขึ้นมาพลิกดู
“ข้อมูลนักศึกษาครับ คณบดีท่านอยากให้ผมบรรจุงานวิจัยเข้ากับโครงการฝึกงานของนักศึกษา ผมเลยจะคัดเลือกทีมวิจัยจากกลุ่มนักศึกษาปีสี่ที่ต้องออกไปฝึกงานอยู่แล้ว พวกนี้คือประวัติ ผลการเรียน แล้วก็ตัวอย่างงานวิจัยที่ผมขอมาจากฝ่ายวิชาการ ตั้งใจว่าจะลองอ่านแล้วเลือกดูน่ะครับ”
“ดีเหมือนกันนะ คัดเลือกจากงานที่เคยทำ บางทีอาจได้เห็นแนวคิดดีๆ ของพวกเด็กๆ ก็เป็นได้ นอกจากเรื่องทีมวิจัยแล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวออกภาคสนาม พี่คิดว่านายคงทำ short list ไว้แล้ว แต่ถ้าติดขัดอะไรบอกพี่ได้เลย พี่เต็มใจช่วย” รุ่นพี่หนุ่มร่ายยาวอย่างผู้มีประสบการณ์ ยกมือหนาขึ้นตบไหล่ให้กำลังใจกับเพื่อนรุ่นน้อง
“ขอบคุณครับพี่ ก่อนหน้าจะมาเมืองไทย ผมประสานงานกับหน่วยงานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังสรุปรายชื่อทีมวิจัย ก็จะแจ้งตารางการทำงานพร้อมกับกำหนดการเดินทางให้ทางโน้นทราบ ถึงเวลาก็เดินทางได้เลย ก็คงใช้เวลาอีกสักพัก”
“โอเค! งั้นถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก เราพี่น้องกันฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจ ว่าแต่พูดถึงการคัดเลือกนักศึกษา มีเด็กคนหนึ่งที่พี่คิดว่ามีแวว น่าจะเหมาะกับโครงการของนาย เป็นเด็กดีมีความรับผิดชอบ หัวไว ผลการเรียนอยู่ในระดับแถวหน้าของคณะ เรียกว่าหน่วยก้านดีทีเดียว พี่เลยอยากแนะนำ เผื่อว่านายจะสนใจ”
“ใครเหรอครับ มีชื่ออยู่ในกองนี้หรือเปล่า” ภาณินรับฟังแล้วเหลือบมองกองเอกสารด้วยความสนใจ
“น่าจะอยู่นะ เพราะเธอกำลังเรียนอยู่ปีสี่ เทอมหน้าก็ต้องออกฝึกงานเหมือนกัน ชื่อกีรณา เกียรติธนบดี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คนนี้ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเชียวล่ะ รับรองว่านายจะไม่ผิดหวัง” ชื่อเสียงเรียงนามและสรรพคุณของนักศึกษาที่วีรวัฒน์เอ่ยอ้าง ทำเอาภาณินชะงักกึก อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เขาเองก็กำลังคิดว่าจะดึงกีรณาเข้ามาร่วมทีมวิจัยของตนอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่ว่าจะทำอย่างไรเธอถึงจะยอมมาเข้าทีมก็เท่านั้น
“อ้อ... ครับ” หน้าคมพยักหงึกๆ ขณะพลิกกระดาษไล่ดูเอกสารไปทีละหน้า
“นายลองดูประวัติของเธอ เท่าที่พี่รู้เด็กคนนี้พื้นฐานครอบครัวดี ความประพฤติไม่มีเสีย แถมยังหน้าตาสะสวยระดับดาวคณะ หนุ่มๆ ตามจีบกันกรอ”
ท่าทางในการนำเสนอของวีรวัฒน์แสดงออกว่าเขาภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้อยู่ไม่น้อย ภาณินฟังแล้วให้หงุดหงิด ทำเสียงหึ ก่อนจะเผลอประชดออกมาเบาๆ
“แหงแหละ ก็สวยเสียขนาดนั้น...”
“หือ? นายว่าไงนะ”
“อะ...อ๋อ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่มีอะไร...”
“นายดูหงุดหงิดๆ แถมยังทำหน้าแปลกพิกล หรือว่านายกับเธอจะรู้จักกันมาก่อน” วีรวัฒน์มีข้อสงสัยหลังจากมองเห็นถึงปฏิกิริยาแปลกๆ ของภาณินแล้วให้สงสัย
“ก็ทำนองนั้น พ่อผมกับพ่อทิวลิปเป็นเพื่อนกัน แล้วตอนเด็กๆ เราก็เคยสนิทกันมาก” ภาณินบอกคร่าว ไม่ได้เท้าความไปถึงปมบาดหมางระหว่างเขาและเธอ
“แบบนั้นก็ดีสิ รู้จักกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งคุยกันง่าย หรือนายว่าไง?”
“คือ... นั่นมันเรื่องสมัยเด็กแล้วน่ะครับพี่ ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว” ร่างสูงเอ่ยเรียบๆ หากแต่นัยน์ตามีรอยครุ่นคิด
“พูดเหมือนนายกับเธอจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน อย่าบอกนะว่า.....” วีรวัฒน์เบิกตาค้าง ดูท่าว่าเขาจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
ภาณินมองหน้ารุ่นพี่แล้วพยักหน้ารับ “พี่คงจะจำเรื่องที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ เด็กคนนั้นก็คือกีรณา ลูกศิษย์คนเก่งคนพี่นี่แหละ”
“ฮะ...เฮ้ย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”
“จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรหรอกครับ เพราะก่อนหน้าที่ผมจะมาเมืองไทย ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเธอเรียนอยู่ที่นี่”
“หมายความว่านายเองก็คิดจะกลับมาเมืองไทยอยู่แล้ว?”
“ก็ประมาณนั้น เพียงแต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้ตัดสินใจ จนกระทั่งพี่โทรมาชวนนั่นแหละผมถึงคิดว่า กลับมาน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็น่าจะได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับเธอได้ง่ายขึ้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด”
“เรื่องมันนานขนาดนั้น แล้วตอนนี้พวกนายก็โตๆ กันแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่ปรับความเข้าใจจะกลายเป็นเรื่องยากไปได้”
ตามปกติแล้ววีรวัฒน์เป็นคนมองโลกในแง่ดี ปัญหาทุกอย่างที่ผ่านเข้าล้วนมีทางแก้ แต่เมื่อได้รับฟังเรื่องระหว่างภาณินกับกีรณาดูเหมือนจะหนักหนากว่าที่เขาเคยคิด รุ่นพี่หนุ่มหนักใจแทนเพื่อนรุ่นน้องจนถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ไม่นึกจริงๆ ว่ากีรณาจะเป็นคนเดียวกับที่นายเคยพูดถึง อะไรโลกมันจะกลมปานนั้น จริงสิ! กีรณาก็ชื่อเล่นว่าทิวลิป แต่พี่กลับไม่เฉลียวใจเลยสักนิด”
“ที่ผมรับงานสอน ก็เพราะรู้มาก่อนว่าทิวลิปเรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน” ภาณินเฉลยถึงความตั้งใจที่มีมาตั้งแต่เดิม
“แปลว่านายรับงานเพราะอยากจะหาโอกาสมาเจอเธอ นายนี่มันจอมวางแผนชัดๆ” วีรวัฒน์เอ่ยเสียงกลั้ยวหัวเราะ “เฮ้อ! นายพอลเอ๊ย.... อีหรอบนี้ พี่จะช่วยอะไรนายได้บ้างเนี่ย”
“ไม่เป็นไรครับพี่ เรื่องทิวลิป ผมคงค่อยๆ หาทางคุยกับเธอ”
“หรือว่าจะให้พี่ช่วยพูด จะว่าไปแล้วเธอเองก็ดูท่าว่าจะนับถือพี่อยู่พอควร เป็นไง จะลองดูไหม? ไม่แน่ว่าเธออาจจะยอมฟัง”
“ท่าจะยาก ผมเองยังคิดไม่ถึงเลยว่าพอโตมาแล้วทิวลิปจะดื้อขนาดนี้”
“ศึกหนักเลยงานนี้ แต่เอาเถอะ! ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก อย่าเก็บไว้คนเดียว จะพาลเครียดไปเสียเปล่าๆ” วีรวัฒน์สรุปสีหน้าบอกชัดว่าเห็นใจ ภาณินพยักหน้ารับทั้งที่ใจยังหนักอึ้ง
“ได้เวลาสอนแล้วพี่ไปก่อนล่ะ นายก็มีสอนคาบต่อไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
“งั้นพักเที่ยงค่อยเจอกัน” วีรวัฒน์นัดแนะ แล้วโบกมือก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คล้อยหลังอาจารย์หนุ่มรุ่นพี่ ภาณินหยิบแฟ้มข้อมูลนักศึกษาขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วไล่พิจารณาไปทีละหน้าก่อนจะหยุดลงที่ ดวงหน้าสวยในรูปถ่ายซึ่งติดอยู่ด้านบนของประวัติของนักศึกษา
“เรียนเก่งไม่เลวเลยเฮะ!” เสียงทุ้มเอ่ยชมหลังกวาดรายละเอียดที่แสดงในรายงานอยู่หลายรอบ
ใบหน้าขาวคมอมยิ้ม นัยน์ตาฉายแววพอใจกับความหวังที่เริ่มผุดพราย ถ้าเขาสามารถทำให้กีรณายอมมาร่วมทำงานในทีมวิจัยได้ เท่ากับเขาเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ใกล้ชิด และใช้เวลาร่วมกับเธอได้มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปไม่แน่ว่ากีรณาอาจจะยอมเปิดใจและเข้าใจในตัวเขาได้มากขึ้น เมื่อทิฐิและความโกรธของกีรณาลดลง คงไม่ยากที่ความสัมพันธ์ดังเช่นในอดีตจะกลับคืนมาเหมือนเดิม
‘ในทันทีที่คิดได้ นัยน์ตาคู่คมพลันวิบวับอย่างมีหวัง’
---------------------------------------
(ยังมีต่อ)