ท่ามกลางม่านหมอกของเวียงสิงห์ รถกลางเก่ากลางใหม่ของผู้กองวสันต์วิ่งช้า ๆ ตัดหมอกขาวลอยฟุ้งเป็นระยะ เสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งแว่วมาตามสายลมเย็นยามเช้า ร่างของชายผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเป็นเหตุนี่เอง เสียงกรุ๋งเกริ๋งคือเสียงกระพรวนผูกคอแพะที่ชายผู้ทั้งลากจูงมาตามเส้นถนนเงียบสงบ อีกทางหนึ่งร่างสูงเพรียวในชุดดำวิ่งลัดเลาะเงียบงัน สามชีวิต สามจุดประสงค์ แวะเวียนบรรจบในถนนสายเก่า คล้ายโชคชะตาผูกพัน
ชายแก่เนื้อตัวสกปรกชูมือขึ้นฟ้าราววิงวอน มือของเขาเต็มไปด้วยโลหิตแดงฉาน รถของผู้กองทิววิ่งตัดสายหมอกจึงต้องหักหลบลงไหล่ทาง ด้วยสัญชาตญาณตำรวจเขาหยิบปืนประจำตัว ภาพที่เห็นดูน่าสงนและน่าตกใจไม่น้อย เจ้าแพะดิ้นพราดอยู่กลางถนน และ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกหน ตาสบตา เขาและเจ้าของร่างสูง สูงพอ ๆ กับเขา ไม่สิน่าจะสูงกว่าหน่อยด้วยซ้ำ แล้วมาทำอะไรกลางถนนเรียกได้ว่ากลางดงไร้รถผ่าน แต่ก่อนเขาจะคิดอะไรได้หมดจด ร่างนั้นก็หายวับไปเพียงกระพริบตา เหลือแต่เขากับแพะน้อย ถึงมันยังไม่ตายก็เหมือนตาย สีแดงโลหิตตัดกับพื้นถนนเห็นได้อย่างชัดเจน ผู้กองหนุ่มตัดสินใจเหนี่ยวไก ให้เจ้าแพะน้อยจากไปด้วยความการุณ
ความคิดของผู้กองหนุ่มอาจเฉียบคมได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของ "แม่" เจ้าตัวทำเรื่องย้ายจากเมืองกรุงสู่ต่างจังหวัด ใช้เวลาต่อจากนี้อย่างมีคุณค่ากับแม่ซึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ห้วงคิดเจ้าตัวล่องลอยการย้ายออกต่างจังหวัดไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความลังเลบางประการทำให้ทุกอย่างเนิ่นช้ากว่าจะตัดสินใจให้เด็ดขาด แต่แล้วมันก็สายเกินไป "แม่" จากไปเสียแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ใบหน้าขาวใสของแพทย์หนุ่ม และ แววตาคู่นั้นติดอยู่ในใจทิว พี่สาวและพี่เขยแนะนำ ว่า หมอกันต์ คนนี้แหละ เป็นหมอประจำตัวของแม่ ความคิดและสัญชาตญาณของทิวยิ่งโลดแล่น เมื่อพี่สาวให้ทัศนะด้วยความแปลกใจ ตอนเช้าที่พี่ไปเจอแม่เกล้าผมสวยดอกไฮเดรนเยียสีม่วงประดับตรงมวยผม คำตอบของหมอพาให้วสันต์สงสัย เขารู้ได้อย่างไร ว่าแม่จากไปด้วยดี ไม่มีห่วงอาลัย
ภาพเมื่อสามวันที่แล้ว คนเป็นหมอยังคงจำได้ดี กันตภัทร เป็นหมอพาลิ เชี่ยวชาญการรักษาแบบประคับประคอง ไม่เพียงกายคนป่วย แต่เป็นใจของเขาและญาติ นั่นทำให้ผู้ที่เป็น specialty ในสาขานี้ ไม่เพียงต้องใจดีและใจเย็น ความเอาใจใส่ การสื่อสารเจรจาพาทีต้องเป็นเลิศ คนไข้ที่มาถึงมือเขาไม่เคยมีปาฏิหาริย์ที่จะกลับคืนสู่ครอบครัวในสภาพที่เป็นปกติ มีเพียงแค่ตายอย่างไร ก็เท่านั้น
ระหว่างการรักษามีแากขมขื่นมากมายที่กันตภัทรของเผชิญ ความปวด ความเจ็บ ของผู้ป่วย น้ำตา ความโกรธเกรี้ยวของญาติ ที่หมออย่างกันต์ต้องทำใจให้ได้ อย่างแม่ของทิวก็เป็นเคสหนึ่งที่อยู่กับกันต์มานาน เจ้าตัวรู้ดีตามความเชี่ยวชาญคุณป้าคงอยู่ได้ไม่นาน ลมหายใจเข้าออกพร้อมเสียงแผ่วเบาบอกเล่าความป่วยเจ็บ สังขารนี้ใกล้แตกดับ "แม่ไม่ไหวแล้ว แม่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ" ดวงตาของกันตภัทรเคยอบอุ่นโอนโยนเสมอ คำพูดหวานขานเพราะ เขาเผชิญสถานการณ์เหล่านี้มานักต่อนัก หากเมื่อสิ้นเสียงของคุณแม่ แววตาของหมอหมุ่นราวตัดสินใจอะไรบางอย่าง ไม่กี่วันต่อจากนั้น คุณแม่ก็เดินทางไกล
อันที่จริงวิทยาศาสตร์ก็เป็นกำแพงกั้นความสงสัยให้กับหมอกันต์อยู่หลายส่วน ถ้าหากศพแล้วศพเล่าไม่ได้ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ดหน้าฝนล่ะก็นะ ที่สำคัญผู้ตายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายในมือหมอกันตภัทรทั้งนั้น ภายใต้สถานการณ์ผันผวนราวคลื่นใต้น้ำ ดวงตาของหมอกันต์ไม่ได้มีไว้ให้ใครนอกจากผู้กองทิว ต่างฝ่ายต่างจดจ้อง สำหรับหมอกันต์ มันคือ การ "จีบ" แบบตะโกน รุกแรงแต่ซอฟหวาน ขี้เล่น อบอุ่น สไตล์หมอพาลิ
หากในใจผู้กองทิวกลับแตกต่าง หน้าตึงดุนิ่งเฉย ผสานไว้ด้วยความระแวงตามแบบฉบับตำรวจ ทุกอย่างชี้ชัดไปที่หมอกันต์ แต่กระนั้นมันก็มากจนเกินไป ความ "รุก" แบบตะโกนสุดใจ ไม่ได้ทำให้ทิวรู้สึกอะไรมากไปกว่าความระแวง แม้กำแพงบางอย่างจะสั่นคลอน หมอกันต์เป็นอีกคนนอกจากพี่สาวพี่เขยที่ใกล้ชิดแม่มากกว่าใคร ความรวดร้าวในใจผ่อนคลายลงไปได้บ้าง เขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่หมอกันต์พูดเกียวกับแม่เป็นเรื่องจริง หากท้ายที่สุดความระแวงสงสัยยังคงเป็นเจ้าเรือน อะไรบางอย่างในตัวบอกว่าเรื่องราวมีมากกว่านั้น และ หมอกันต์ก็ไม่ได้เปิดเผยทุกสิ่งให้ได้รู้
ม่านหมอกขาวในเวียงสิงห์ยังทอดยาวเป็นสายปกคลุมถนนในยามเช้าฉันใด
ความสงสัยระแวงระไวก็ยังปกคลุมหัวใจผู้กองทิวฉันนั้น
ป.ล. ไม่ใช่แค่การุณยฆาตเป็นชื่อเรื่อง เพลงก็ด้วย ร้องได้ก็แต่นนท์บ่นี่
การุณยฆาต รีวิว (ตอนที่ 1) : In a fog
ชายแก่เนื้อตัวสกปรกชูมือขึ้นฟ้าราววิงวอน มือของเขาเต็มไปด้วยโลหิตแดงฉาน รถของผู้กองทิววิ่งตัดสายหมอกจึงต้องหักหลบลงไหล่ทาง ด้วยสัญชาตญาณตำรวจเขาหยิบปืนประจำตัว ภาพที่เห็นดูน่าสงนและน่าตกใจไม่น้อย เจ้าแพะดิ้นพราดอยู่กลางถนน และ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกหน ตาสบตา เขาและเจ้าของร่างสูง สูงพอ ๆ กับเขา ไม่สิน่าจะสูงกว่าหน่อยด้วยซ้ำ แล้วมาทำอะไรกลางถนนเรียกได้ว่ากลางดงไร้รถผ่าน แต่ก่อนเขาจะคิดอะไรได้หมดจด ร่างนั้นก็หายวับไปเพียงกระพริบตา เหลือแต่เขากับแพะน้อย ถึงมันยังไม่ตายก็เหมือนตาย สีแดงโลหิตตัดกับพื้นถนนเห็นได้อย่างชัดเจน ผู้กองหนุ่มตัดสินใจเหนี่ยวไก ให้เจ้าแพะน้อยจากไปด้วยความการุณ
ความคิดของผู้กองหนุ่มอาจเฉียบคมได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของ "แม่" เจ้าตัวทำเรื่องย้ายจากเมืองกรุงสู่ต่างจังหวัด ใช้เวลาต่อจากนี้อย่างมีคุณค่ากับแม่ซึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ห้วงคิดเจ้าตัวล่องลอยการย้ายออกต่างจังหวัดไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความลังเลบางประการทำให้ทุกอย่างเนิ่นช้ากว่าจะตัดสินใจให้เด็ดขาด แต่แล้วมันก็สายเกินไป "แม่" จากไปเสียแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ใบหน้าขาวใสของแพทย์หนุ่ม และ แววตาคู่นั้นติดอยู่ในใจทิว พี่สาวและพี่เขยแนะนำ ว่า หมอกันต์ คนนี้แหละ เป็นหมอประจำตัวของแม่ ความคิดและสัญชาตญาณของทิวยิ่งโลดแล่น เมื่อพี่สาวให้ทัศนะด้วยความแปลกใจ ตอนเช้าที่พี่ไปเจอแม่เกล้าผมสวยดอกไฮเดรนเยียสีม่วงประดับตรงมวยผม คำตอบของหมอพาให้วสันต์สงสัย เขารู้ได้อย่างไร ว่าแม่จากไปด้วยดี ไม่มีห่วงอาลัย
ภาพเมื่อสามวันที่แล้ว คนเป็นหมอยังคงจำได้ดี กันตภัทร เป็นหมอพาลิ เชี่ยวชาญการรักษาแบบประคับประคอง ไม่เพียงกายคนป่วย แต่เป็นใจของเขาและญาติ นั่นทำให้ผู้ที่เป็น specialty ในสาขานี้ ไม่เพียงต้องใจดีและใจเย็น ความเอาใจใส่ การสื่อสารเจรจาพาทีต้องเป็นเลิศ คนไข้ที่มาถึงมือเขาไม่เคยมีปาฏิหาริย์ที่จะกลับคืนสู่ครอบครัวในสภาพที่เป็นปกติ มีเพียงแค่ตายอย่างไร ก็เท่านั้น
ระหว่างการรักษามีแากขมขื่นมากมายที่กันตภัทรของเผชิญ ความปวด ความเจ็บ ของผู้ป่วย น้ำตา ความโกรธเกรี้ยวของญาติ ที่หมออย่างกันต์ต้องทำใจให้ได้ อย่างแม่ของทิวก็เป็นเคสหนึ่งที่อยู่กับกันต์มานาน เจ้าตัวรู้ดีตามความเชี่ยวชาญคุณป้าคงอยู่ได้ไม่นาน ลมหายใจเข้าออกพร้อมเสียงแผ่วเบาบอกเล่าความป่วยเจ็บ สังขารนี้ใกล้แตกดับ "แม่ไม่ไหวแล้ว แม่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ" ดวงตาของกันตภัทรเคยอบอุ่นโอนโยนเสมอ คำพูดหวานขานเพราะ เขาเผชิญสถานการณ์เหล่านี้มานักต่อนัก หากเมื่อสิ้นเสียงของคุณแม่ แววตาของหมอหมุ่นราวตัดสินใจอะไรบางอย่าง ไม่กี่วันต่อจากนั้น คุณแม่ก็เดินทางไกล
อันที่จริงวิทยาศาสตร์ก็เป็นกำแพงกั้นความสงสัยให้กับหมอกันต์อยู่หลายส่วน ถ้าหากศพแล้วศพเล่าไม่ได้ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ดหน้าฝนล่ะก็นะ ที่สำคัญผู้ตายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายในมือหมอกันตภัทรทั้งนั้น ภายใต้สถานการณ์ผันผวนราวคลื่นใต้น้ำ ดวงตาของหมอกันต์ไม่ได้มีไว้ให้ใครนอกจากผู้กองทิว ต่างฝ่ายต่างจดจ้อง สำหรับหมอกันต์ มันคือ การ "จีบ" แบบตะโกน รุกแรงแต่ซอฟหวาน ขี้เล่น อบอุ่น สไตล์หมอพาลิ
หากในใจผู้กองทิวกลับแตกต่าง หน้าตึงดุนิ่งเฉย ผสานไว้ด้วยความระแวงตามแบบฉบับตำรวจ ทุกอย่างชี้ชัดไปที่หมอกันต์ แต่กระนั้นมันก็มากจนเกินไป ความ "รุก" แบบตะโกนสุดใจ ไม่ได้ทำให้ทิวรู้สึกอะไรมากไปกว่าความระแวง แม้กำแพงบางอย่างจะสั่นคลอน หมอกันต์เป็นอีกคนนอกจากพี่สาวพี่เขยที่ใกล้ชิดแม่มากกว่าใคร ความรวดร้าวในใจผ่อนคลายลงไปได้บ้าง เขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่หมอกันต์พูดเกียวกับแม่เป็นเรื่องจริง หากท้ายที่สุดความระแวงสงสัยยังคงเป็นเจ้าเรือน อะไรบางอย่างในตัวบอกว่าเรื่องราวมีมากกว่านั้น และ หมอกันต์ก็ไม่ได้เปิดเผยทุกสิ่งให้ได้รู้