ทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น

ทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น
…………………
“พระพุทธเจ้าสอนว่า สติปัฏฐาน
เป็นทางสายเดียว เพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น
ฉะนั้น จะเป็นพระอรหันต์ได้
ก็ต้องเจริญสติปัฏฐาน
จะเป็นโสดาบันก็ต้องเจริญสติปัฏฐาน
สติปัฏฐาน คือ
การมีสติตามรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
สติปัฏฐาน คือ
มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ไปเรื่อย ๆ
ระลึกรู้ ในเบื้องต้น คือ
ระลึกความมีอยู่ของกายของใจ
อย่างความโกรธเกิดขึ้น
ระลึกได้ว่า มีความโกรธเกิดขึ้น
อันนี้เป็นการเจริญสติปัฏฐาน
ในขั้นที่ทำให้เกิดสติ
(ในขั้นต้นนี้)ให้เรา
ตามระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ เรื่อย ๆ ไปนะ
ใจโกรธขึ้นมา สติก็เกิดเอง
ใจโลภขึ้นมา สติก็เกิดเอง
ใจหลงขึ้นมา สติก็เกิดเอง
ฉะนั้น สติปัฏฐาน
เป็นการตามรู้ความจริง
ของกายของใจเรื่อย ๆ ไปนะ
ในเบื้องต้น จะทำให้มีสติ
อะไรเกิดขึ้นในร่างกาย จะรู้สึก
หายใจออก มันก็รู้สึก
หายใจเข้า ก็รู้สึก
ยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้สึก
จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ก็จะรู้สึก
ไม่ใช่เคลื่อนไหวแล้วใจลอย หนีไปไหน
แต่จะรู้สึกอยู่
หรือมีความสุข มีความทุกข์
เกิดในร่างกาย ก็รู้สึก
มีความสุข ความทุกข์ ความเฉย ๆ
เกิดขึ้นในใจ ก็รู้สึก
มีกุศล อกุศล เกิดขึ้นในใจ ก็รู้สึก
มีโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นในใจ ก็รู้สึก
อะไรเกิดขึ้น แล้วเรารู้สึกได้
อย่างนี้เรียกว่า เรา “มีสติ"
ทีนี้ การเจริญสติปัฏฐานในขั้นสูงต่อไป
มันจะไม่หยุดอยู่แค่การมีสติ
มันจะเกิด "ปัญญา" ด้วย
มันจะเห็นความจริงเลยว่า
ร่างกายที่หายใจออก หายใจเข้า ไม่ใช่ตัวเรา
ความสุข ความทุกข์ ในร่างกาย
ไม่ใช่เรา เราสั่งไม่ได้
ความสุข ความทุกข์ ความเฉย ๆ ในใจ
ก็ไม่ใช่เรา เราสั่งไม่ได้
กุศล อกุศล ก็ไม่ใช่ตัวเรา เราสั่งไม่ได้
จิตใจเรา เราก็สั่งไม่ได้
ลองไปสังเกตตัวเองนะ
จิตจะไปเกิดทางตา ทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
หรือจิตจะไปคิดอะไรนี่
สั่งไม่ได้ ห้ามไม่ได้ จิตเป็นของจิตเอง
ฉะนั้น จิตไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่า
ร่างกาย ไม่ใช่เรา
ความสุข ความทุกข์ ก็ไม่ใช่เรา
ความดี ความชั่ว ก็ไม่ใช่เรา
จิตใจที่เป็นตัวรับรู้ความรู้สึก ก็ไม่ใช่เรา
เราจะได้เป็น พระโสดาบัน
พระโสดาบัน รู้ความจริงแล้วว่า
ตัวเราไม่มี
ปัญญาที่เห็นว่าตัวเราไม่มี
เรียกว่า ปัญญาเบื้องต้น
เราก็เรียนรู้ความจริงของกายของใจต่อไป
ปัญญามากขึ้น มีปัญญาแก่กล้าขึ้น
ปัญญาขั้นกลาง คือ การเห็นความจริงว่า
ร่างกาย ที่ว่าไม่ใช่ตัวเรานี้
แท้จริงแล้ว เป็นตัวทุกข์
แล้วมันจะไม่ยึดถือกาย
เป็น พระอนาคามี
ปัญญาขั้นสูง จะรู้ความจริงว่า
ตัวจิตนั้น คือ ตัวทุกข์
ถ้ารู้ว่า จิต คือ ตัวทุกข์ ก็ไม่ยึดถือจิต
พอไม่ยึดถือจิตตัวเดียว
จะไม่ยึดถืออะไรในโลกอีกแล้ว
เพราะ จิต เป็นสิ่งที่เราสำคัญมั่นหมาย
มากที่สุดเลยว่าเป็นตัวเรา
ฉะนั้น จะไม่ใช่ตัวเรา แล้วก็เป็นตัวทุกข์
พอรู้อย่างนี้ ก็จะเป็น พระอรหันต์
เพราะจิตจะปล่อยวาง
ไม่ยึดถืออะไรสักอย่างเดียวในโลก
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนะ
ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงที่สุดแห่งทุกข์
หนีไม่พ้น การรู้กาย-รู้ใจ อย่างที่เป็น
ฉะนั้นต่อไปนี้ พยายามรู้กายรู้ใจให้มาก ๆ
อย่าคิดมาก ไม่ต้องไปคิดว่า
ร่างกายนี้เป็นอย่างไร จิตใจนี้เป็นอย่างไร
คอยรู้สึก คอยดูความจริงของร่างกาย
คอยรู้สึก คอยดูความจริงของจิตใจเรื่อย ๆ ไป
พอรู้สึกไปอย่างที่มันเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ใจก็เข้าใจความเป็นจริงขึ้นมา
พอเข้าใจความเป็นจริงก็ไม่ยึดถือ
พอไม่ยึดถือ จิตก็ปล่อยวาง
ก็หลุดพ้น เป็นพระอริยบุคคล”
…………………
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐
ถอดคำ: แต้ว
เรียบเรียง: สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา

https://www.facebook.com/1317977204900901/photos/a.1412754818756472.1073741828.1317977204900901/1634367789928506/?type=3&theater

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่