ป่วนใต้หล้า บทที่ 7 : ผู้บุกรุก

สวัสดีครับทุกท่าน ขออภัยที่หายไปนานครับ พอดีช่วงนี้งานเยอะ แต่ก็พอมีเวลาบ้างล่ะครับ ลองอ่านตอนใหม่กันดูครับ

ตอนที่แล้ว

บทนำ + บทที่ 1 : ชาวต่างแดน
https://ppantip.com/topic/36610308
บทที่ 2 : บัณฑิตชุดดำ
https://ppantip.com/topic/36621396
บทที่ 3 : หัวหน้าสาขา
https://ppantip.com/topic/36632176
บทที่ 4 : แปรเปลี่ยน
https://ppantip.com/topic/36648133
บทที่ 5 : สำนักยุทธเอกะ
https://ppantip.com/topic/36665311
บทที่ 6 : สำนักเหมันต์นิรันดร์
https://ppantip.com/topic/36688404


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทที่ 7 : ผู้บุกรุก
    

    เชสเตอร์กับฮาน เมรันปรากฏตัวที่สำนักเหมันต์นิรันดร์แล้ว

    สายตาทั้งหลายในห้องโถงต่างหันไปมองคนทั้งสอง บรรยากาศอึมครึมครอบงำพื้นที่หนึ่งส่วน ทุกคนย่อมรู้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่ได้เข้ามาแบบปกติแน่

    ศิษย์ของเหมันต์นิรันดร์รีบตามเข้ามาอีกห้าคน ทั้งหมดหมายจะหยุดทั้งสองคนนี้ให้ได้ เพราะการที่พวกเขาปล่อยให้มีผู้บุกรุกจนมาถึงตรงนี้ย่อมเป็นความผิดร้ายแรงแล้ว

    ทั้งห้าเป็นศิษย์ระดับกลาง ฝีมือถือว่ายอดเยี่ยม ในสำนักถูกเรียกรวมว่า ห้าภูตหิมะ มีหน้าควบคุมดูแลศิษย์ระดับล่างทั้งหมด ซึ่งเชสเตอร์กับฮาน เมรันผ่านศิษย์ระดับล่างที่ออกมาต่อต้านได้หมดแล้ว จึงถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกโรง

    แม้แต่ละคนจะไม่ใช่ยอดยุทธชั้นยอด แต่หากอยู่รวมห้าคนแล้ว อันดับในแผ่นดินต้องติดอยู่อันดับต้น ๆ แน่นอน

    เพราะพวกเขามีดีที่การร่วมมือสอดประสานกันและตั้งค่ายกล

    ค่ายกลภูตหิมะต่อกรกับผู้บุกรุกมามากมายแล้ว

    ทั้งห้าเคลื่อนตัวแยกกันล้อมรอบเชสเตอร์กับฮาน เมรัน เป็นรูปดาวห้าแฉก โคจรลมปราณเทพหิมะ ตั้งท่าเตรียมเตรียมพร้อมใช้เพลงดาบธารน้ำแข็ง

    ผู้คนในห้องโถงตอนนี้ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปขวาง ทั้งหลายต่างกลายเป็นผู้ชม ดูการต่อสู้ครั้งนี้

    ทุกคนย่อมอยากเห็นฝีมือของสำนักเหมันต์นิรันดร์ เพราะในเมื่อเจ้าสำนักเทียนประกาศว่าจะส่งศิษย์เข้าสู่แผ่นดิน ย่อมเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นฝีมือของศิษย์เหมันต์นิรันดร์

    ทุกคนย่อมอยากรู้ว่าสองคนที่บุกรุกมาได้ถึงขนาดนี้ฝีมือขนาดไหน อยู่ในค่ายพรรคสำนักใด การมาถึงที่นี่ได้ย่อมไม่ใช่ชนชั้นธรรมดาอยู่แล้ว

    ห้าภูตหิมะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและสอดประสานกันอย่างสวยงาม เชสเตอร์กับฮาน เมรันทำได้เพียงมองตามการเคลื่อนที่เหล่านั้น

    และเมื่อถึงจังหวะหนึ่ง ทั้งห้าจากใช้เพลงดาบธารน้ำแข็งเข้าโจมตี

    ทว่า

    ไม่ทันที่จะเงื้อดาบ ทั้งห้าต่างล้มลง โดยไม่มีใครรู้สาเหตุ

    หลักฐานมีเพียงแผลโดยอาวุธประเภทดาบแทงคนละหนึ่งที่คอเท่านั้น

    แน่นอนแค่นี้ก็สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนในสำนักเหมันต์นิรันดร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสำนักเทียนซียี่ที่เห็นศิษย์ตัวเองพ่ายได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

    แต่ระดับผู้ใหญ่ผู้มีตำแหน่งระดับสูงย่อมไม่ออกตัว หรือแสดงอาการอะไรให้คนอื่นเห็น เทียนซียี่เพียงกล่าวกับผู้บุรุกทั้งสองว่า

    “พวกเจ้าเป็นใคร ข้าจำมิได้ว่าเรียนเชิญพวกเจ้า”

    เชสเตอร์ไม่ได้ตอบ ลำพังสีผิวที่ขาวเนียนและผมสีทองของเขาก็สร้างความแตกต่างกับคนที่นี่พอสมควรแล้ว ผู้ตอบคำถามของเจ้าสำนักคือ ฮาน เมรัน

    บัณฑิตชุดดำยิ้มรับ ค่อย ๆ ก้มคล้ายทำความเคารพ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า

    “ข้าฮาน เมรัน หนึ่งในผู้คุมกฎของพรรคนิลดารา ข้าได้รับคำสั่งจากท่านประมุขพรรคนิลดารา หวังเฟยหู่ ให้เป็นตัวแทนมาเยี่ยมท่านเจ้าสำนักเทียน”

    เทียนซียี่มองเขา ค่อยตอบกลับว่า  “นึกไม่ถึงว่าประมุขหวังจะเป็นห่วงข้าด้วย”

    “ไม่ใช่เพียงเป็นห่วง หน้ำซ้ำท่านประมุขได้ฝากสมุนไพรจากดินแดนบูรพามาให้ท่านด้วย” กล่าวจบฮาน เมรันก็หยิบห่อยาออกมาจากข้างในเสื้อ แล้วว่าต่อ “สมุมไพรชุดนี้ทางพรรคเราเรียกหาว่าว่านอบอ้าว มีคุณสมบัติทำให้เลือดลมเดินคล่อง ควบคุมลมปราณได้ดีขึ้น”

    เมื่อเป็นเช่นนี้เทียนซียี่จึงให้คนรับสมุนไพรที่ฮาน เมรันให้ไว้ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าสมุนไพรนั้นจะเป็นตัวยาที่ดี

    ในโลกของเรา หากแบ่งฝ่าย แบ่งพรรคพวก ย่อมไม่มองอีกฝ่ายเป็นฝ่ายดี ต่อให้อีกฝ่ายทำดีกับตนแค่ไหน ก็ต้องสงสัยว่าต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ ๆ

    แต่สมุนไพรนี้จะเป็นของดีจริงหรือไม่ อาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้ว เพราะพอฮาน เมรันกล่าวประโยคถัดมา ก็ทำให้คนทั้งห้องโถงต่างลุกฮือ

    “และท่านประมุขหวังยังได้หวังดี ได้ขอเชิญท่านเข้าร่วมกับพรรคนิลดาราของเรา ท่านเจ้าสำนักเทียนจะรับไมตรีนี้ไว้ไหม”

    แน่นอนประโยคนี้หมายถึงต้องการให้สำนักเหมันต์นิรันดร์ไปอยู่ภายใต้พรรคนิลดารา

    “สามหาวเกินไปแล้ว” เทียนซียี่พูดตอบเสียงดัง “เจ้าคิดว่าสำนักข้าเป็นสำนักอะไร”

    สิ้นคำนี้ ทุกคนพอรู้ว่าต้องเกิดการปะทะขึ้นแน่ ๆ แต่ผู้ที่ออกตัวคนแรกกับเป็นคาร์ซ เจ้าสำนักดาบพิฆาต

    มันก้าวออกมา พร้อมกล่าวอย่างห้าวหาญขึ้นว่า

    “ลำพังสองคนนี้ข้าจัดการเองเจ้าสำนักเทียน ไม่ต้องถึงมือท่านหรอก”

    สำหรับคาร์ซแล้วนี่เป็นโอกาสดีที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของตัวเอง อย่างที่รู้ว่าเขาต้องการให้ตัวเองและสำนักเล็ก ๆ ของเขาเป็นที่จดจำ การออกตัวสู้ต่อกับผู้บุกรุก โดยเฉพาะที่มาจากพรรคนิลดาราที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสำนักพรรคที่อยู่ที่นี่ ย่อมทำให้ชื่อเสียงของเขาถูกบันทึกอยู่เป็นแน่

    เจ้าสำนักเทียนรับคำ ปล่อยให้คาร์ซแสดงฝีมือ

    แม้สำนักดาบพิฆาตจะเป็นสำนักเล็ก ๆ มีศิษย์ไม่มาก แต่ฝีมือของคาร์ซก็มิใช่ระดับธรรมดา

    สำนักดาบพิฆาตถือเป็นสำนักที่เด่นด้านวิชาดาบ ด้วยเพลงดาบที่เน้นความรุนแรงของการฟันเป็นหลัก คาร์ซใช้เพลงดาบของสำนักปราบคู่ต่อสู้มากมาย และยิ่งเมื่อนำมาใช้กับดาบใหญ่พิฆาตศึก อาวุธประจำตัวของเจ้าสำนัก ยิ่งทำให้อานุภาพของเพลงดาบทวีความรุนแรงมากขึ้น

    คาร์ซอกกมาประจันหน้ากับฮาน เมรันและเชสเตอร์ ใช้ปลายดาบใหญ่พิฆาตศึกชี้ใส่หน้าทั้งคู่ แล้วพูดว่า

    “ที่นี่ไม่ใช่ที่พวกเจ้าจะมา กลับไปที่ของเจ้าซะ”

    ฮาน เมรันยังแย้มยิ้ม ไม่ได้รู้สึกยำเกรงใด ๆ กับคาร์ซแม้แต่น้อย แต่ผู้ออกมาคือ บุรุษผมทองชาวต่างแดนเชสเตอร์

    “มีด้วยหรือสถานที่ที่ข้ามามิได้ เจ้าใช้กฎเกณฑ์อันใดห้ามข้า หรือว่าใช้ความต่างของสีผมกันล่ะ” เชสเตอร์กล่าว

    “นึกไม่ถึงว่าพรรคนิลดาราจะมีชาวต่างแดนผมทองอยู่ด้วย เจ้าไม่รู้หรือไงว่าในดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่ที่ของพรรคนิลดารา กลับไปพรรคเจ้าไปเสียเถอะ อย่าให้ข้าลงมือ” คาร์ซว่าต่อ ยิ่งคนที่ออกตัวเป็นเชสเตอร์ ชาวต่างแดนไร้ชื่อเสียงแบบนี้ เขายิ่งได้ใจ เพราะถ้าให้ไปปะทะกับฮาน เมรันที่เป็นผู้คุมกฎของพรรคนิลดารา มันต้องตึงมือมากกว่าแน่ ๆ

    “โน ๆ” เชสเตอร์ยังใช้ภาษาต่างแดนตอบ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ความหมาย แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้มีใครสนใจความหมายของมันสักเท่าไร เพราะคำพูดประโยคต่อมาทุกคนแปลออก “ข้าเป็นคนต่างแดนไม่เข้าใจความหมายของเจ้าสักเท่าไร เอาเป็นว่าถ้าเจ้าจะขวางข้าก็เข้ามาเลย”

    โดนท้าทายอย่างนี้มีหรือคาร์ซจะนิ่งเฉย เขายอมรับคำเชิญ เพราะหากเขาเอาชนะเชสเตอร์ได้ ย่อมทำให้ทุกคนในที่นี้ยอมรับ และสร้างชื่อเสียงให้แก่ตน

    คาร์ซโคจรลมปราณจับด้ามดาบใหญ่พิฆาตศึกของตนสองมือ นี่คือท่าเตรียมพร้อมที่จะใช้ท่าพิฆาตอันร้ายกาจของเขาที่ชื่อว่า ดาบโหดฟันตรงหัว

    ดาบเล่มใหญ่ค่อย ๆ เงื้อขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเจ้าสำนักดาบพิฆาตก็สืบเท้าเพื่อใช้ออกซึ่งท่าไม้ตาย

    “ดาบโหดฟันตรงหัว!”

    ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นต้นตำรับ แต่หลายครั้งมาแล้วเรามักจะได้ยินผู้ใช้ท่าไม้ตายร้องเรียกชื่อท่าตัวเองตอนใช้

    อาจเพราะมันเป็นท่าไม้ตาย มันจึงจำเป็นต้องร้องบอกให้ผู้อื่นได้รับรู้ชื่อท่า

    อาจเพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้หึกเหิม เวลาได้ออกชื่อท่าตัวเอง

    หรืออาจเพราะเห็นมีคนทำ แล้วทำตาม

    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ท่าไม้ตายย่อมเป็นท่าไม้ตาย มันเป็นท่าพิฆาตของผู้ใช้

    เสียงดาบแหวกอากาศดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

    แต่ผู้ล้มลงกลับกลายเป็นคาร์ซ

    ดาบใหญ่พิฆาตศึกหล่นมือร่วงพร้อมร่างคาร์ซที่ล้มลง เลือดพุ่งออกเป็นสายจากบาดแผลโดนแทงที่ลำคอ แน่นอนว่าบาดแผลนี้เป็นฝีมือของเชสเตอร์

    ไม่มีใครมองเห็นวิถีดาบที่เชสเตอร์ใช้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเชสเตอร์แทงออกตอนไหน ไม่มีคนเห็นแม้แต่เงาดาบที่ใช้ออก

    นี่คือวิชาดาบไร้เงาของเชสเตอร์ ที่ใช้ออกร่วมกับดาบพิสดารแปรเปลี่ยน

    อานุภาพและความแยบคายย่อมไม่ธรรมดา

    แต่เหตุที่คาร์ซพลาดไม่แค่วิชาดาบไร้เงาของเชสเตอร์เพียงอย่างเดียว ยังมีอีกสองเหตุผลที่ทำให้คาร์ซพ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับท่าไม้ตายของเขาด้วย

    หนึ่งคือชื่อท่าไม้ตาย ชื่อท่า ดาบโหดฟันตรงหัว มันสิ้นคิดเกินไป แค่ชื่อก็บ่งบอกครบทั้งวิธีที่ฟันตรง ๆ แถมยังบอกตำแหน่งว่าฟันที่ศีรษะอีก และยิ่งมาประกาศชื่อท่าไม้ตายออกมาให้ได้ยินก็คล้ายเป็นการบ่งบอกให้คู่ต่อสู้รู้เลยว่าจะใช้ท่ายังไงตรงไหน อย่างนี้เชสเตอร์เลยรู้ว่าคาร์ซจะโจมตีอย่างไรแล้ว

    สอง เนื่องจากท่านี้เป็นท่าไม้ตาย ท่าไม้ตายมักจะเป็นท่าที่คนใช้จะใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น ใช้เมื่อถึงเวลาใช้จริง ๆ มักจะใช้ช่วงท้ายการต่อสู้เพื่อปิดฉาก หากได้ชื่อว่าเป็นท่าไม้ตายแล้วไม่มีใครใช้ตั้งแต่แรกหรอก

    เชสเตอร์มองร่างคาร์ซที่กองอยู่ที่พื้น แล้วมองไปยังเจ้าสำนักเทียนซียี่ แล้วพูดขึ้นว่า

    “ก่อนอื่นข้าต้องบอกก่อนว่าข้ามิได้อยากปะมือกับผู้ใด และข้าก็มิได้อยู่พรรคนิลดารา ที่ข้ากับท่านฮานเช่นนี้เพราะข้ายึดถือว่าท่านฮานเป็นสหาย และพอดีท่านฮานมีภารกิจต้องมาที่นี่ ข้าเลยติดตามด้วย”

    เทียนซียี่มองนักดาบผมทอง ระดับเจ้าสำนักย่อมรับรู้และมองเห็นความร้ายกาจของเพลงดาบเมื่อครู่ จึงนิ่งดูสถานการณ์แล้วค่อยกล่าวว่า

    “ในเมื่อเจ้ามิใช่พรรคนิลดารา ไยต้องออกตัวแทน”

    “ข้ามิได้ออกตัวแทน ข้าแค่ป้องกันตัวเองเท่านั้นแหละ ถ้าผู้ใดจะขัดขวางข้าน้อมรับทุกท่าน” เชสเตอร์บอกอย่างไม่เกรงกลัว

    “ฮ่ะ ๆ อย่าคิดมากไปเลยเจ้าสำนักเทียน” คราวนี้ฮาน เมรันพูดขึ้นมา เขายังพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายของข้าเป็นชาวต่างแดน อาจจะไม่เข้าใจธรรมเนียมบ้างต้องขออภัย แต่ท่านเจ้าสำนักเทียนก็มิน่าปฏิเสธคำเชิญของพรรคของเรา แบบนี้ข้าจะรายงานประมุขเช่นไร”

    “สำนักข้าไม่เข้ากับฝ่ายใดทั้งนั้นแหละ” เทียนซียี่ว่า “แต่ในเมื่อเกิดเรื่องที่สำนักข้าเช่นนี้ ข้าคงปล่อยเจ้าสองคนกลับไปง่าย ๆ มิได้แล้ว”

    สิ้นคำ เจ้าสำนักเทียนลุกขึ้นยืน แล้วเอื้อมมือหยิบดาบที่อยู่ข้างกายขึ้นมา

    ดาบนี้ย่อมเป็น เหน็บหนาว ดาบพิสดารที่เทียนซียี่ครอบครอง

    ดาบเหน็บหนาวนับเป็นหนึ่งในเจ็ดดาบพิสดาร ลักษณะเป็นดาบสองคมใหญ่ทีตีด้วยโลหะผสมกับน้ำแข็งพันปี ด้วยวิชาตีดาบขึ้นนวโลหะที่สามารถหลอมรวมธาตุทุกอย่างได้ของช่างตีดาบลึกลับ ทำให้คมดาบของดาบเล่มนี้ห่อหุ่มด้วยความหนาวเย็น หากผู้ใช้มีพลังปราณอยู่ระดับสูงยิ่งทำให้ดาบเหน็บหนาวเปล่งอานุภาพได้มากขึ้น

    พอได้มาผนวกกับวิชาของสำนักเหมันต์นิรันดร์ของเทียนซียี่ผู้ครอบครอง ยิ่งทำให้ดาบเหน็บหนาวขับพลังที่แท้จริงได้ถึงขั้นสูงสุดอีกด้วย

    เจ้าสำนักเทียนเดินเข้าหาเชสเตอร์กับฮาน เมรัน ราวกับไร้ซึ่งอาการป่วย ดูท่าเขาต้องการจะจัดการผู้รุกรานสองคนนี้เป็นแน่

    “ไม่ต้องเสียเวลา เข้ามาพร้อมกันทั้งสองคน” เทียนซียี่กล่าว


………………………………………………จบตอน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่