ป่วนใต้หล้า บทที่ 6 : สำนักเหมันต์นิรันดร์

สวัสดีครับทุกท่าน ผมเอาตอนใหม่ของป่วนใต้หล้ามาให้อ่านแล้วครับ ตอนนี้จะพาท่านไปยังสำนักหนึ่งที่ถือว่าเป็นอีกขั้วอำนาจหนึ่งนอกจากสองขั้วอำนาจหลักเลย ลองอ่านกันดูครับ

และอีกเรื่อง ถ้าหลายคนสังเกต จะเห็นว่ามีชื่อตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องนี้ชื่อ เชสเตอร์ ซึ่งชื่อนี้ก็มีจาก Chester Bennington นักร้องนำวง Linkin Park นั่นแหละครับ เนื่องจากผมชอบวงนี้ เลยขอใช้ชื่อเป็นตัวละครหน่อย คงต้องรู้สึกเสียใจของการจากไปของ Chester Bennington เหมือนกันครับ (จริงๆ ชื่ออื่นของสมาชิกในวงผมก็แอบเอามาใช้ ลองสังเกตกันดูนะครับ)

ตอนที่แล้ว

บทนำ + บทที่ 1 : ชาวต่างแดน
https://ppantip.com/topic/36610308
บทที่ 2 : บัณฑิตชุดดำ
https://ppantip.com/topic/36621396
บทที่ 3 : หัวหน้าสาขา
https://ppantip.com/topic/36632176
บทที่ 4 : แปรเปลี่ยน
https://ppantip.com/topic/36648133
บทที่ 5 : สำนักยุทธเอกะ
https://ppantip.com/topic/36665311

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทที่ 6 : สำนักเหมันต์นิรันดร์

    
    ห้าผู้กล้าพเนจรหลังจากออกจากเมืองลัวร์แล้ว ก็มุ่งหมายไปที่สำนักเหมันต์นิรันดร์ทันที

    ระยะทางจากเมืองลัวร์ถึงสำนักเหมันต์นิรันดร์ที่อยู่ทางทิศอุดร หากใช้การเดินทางด้วยรถม้าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน ซึ่งทั้งห้าตัดสินใจเช่ารถม้าเพื่อการเดินทางนี้

    สำหรับเจิ้นจงแล้ว กาลก่อนเป็นถึงคุณชายแห่งตระกูลใหญ่ การเดินทางด้วยรถม้าจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแค่รถม้านี้ไม่ดูหรูหราเท่าสมัยนั้นเท่านั้นเอง

    แต่มีหนึ่งในห้าของผู้กล้าพเนจรนี้รู้สึกไม่ธรรมดา

    คนผู้นี้คือ ชายผิวคล้ำรูปร่างกำยำ เพราะคนผู้นี้สีหน้าไม่สู้ดี หน้าดำ ๆ ของตัวเองส่อแววขาวซีดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    “เจ้าเป็นอันใดหรือไอยรา” เจิ้นจงเอ่ยถามเขา

    ไอยราทำหน้าพะอืดพะอม คล้ายมีบางอย่างจุกในลำคอ ค่อย ๆ อ้าปากเหมือนจะพูด แต่แล้วก็หุบปากก่อนที่น้ำคำจะออกมาเสียก่อน

    แล้วเจิ้นจงก็รู้คำตอบ พอได้หันไปมองหนุ่มแว่นสวมหมวกบัณฑิตผู้สะพายกระเป๋าใบโต

    เพราะคนผู้นี้ได้เขียนข้อความลงในกระดานขนาดเล็ก เอาให้เจิ้นจงดู ข้อความมีว่า

    ไอยราเมารถม้า

    “เช่นนี้เองหรือโตวจี้ ข้าดันคาดคิดว่าไอยราถูกพิษเสียได้” ผู้นำของห้าผู้กล้าพเนจรบอก

    โต้วจี้ยิ้มให้ พยักหน้าเล็กน้อย ซึ่งตอนนี้ไอยราก็พยายามโคจรปราณเพื่อยั้บยั้งอาการเมารถม้าของตน

    แต่การเมารถใช่ว่ายั้บยั้งง่าย

    หากท่านเคยเมารถย่อมทราบดี อาการวิงเวียนมึนงงจะครอบงำทุกโสตของท่านโดยตลอด มิอาจจะเคลื่อนไหวทำสิ่งใดได้

    ทางที่ดีที่สุดคือ ต้องขับของในร่างกายออกมาเพื่อบรรเทาอาการเหล่านั้น

    และไอยราก็ขับของในร่างกายออกมาจริง ๆ

    ทว่าเขามิได้กระทำด้วยตนเอง ในจังหวะหนึ่งที่มัวพะอืดพะอม ก็ถูกฝ่ามือของผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มห้าพเนจรซัดเข้าใส่กลางหลัง

    แม้พลังแฝงของฝ่ามือจะบางเบาจนฆ่ามดไม่ตาย แต่ว่าหากกระทบถูกในจุดนี้ในสภาวะเช่นนี้ ต่อให้เป็นร่างกายอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของไอยราก็ทนไม่ไหว ต้องรากออกมา

    “เทียนเสียอิง เจ้าทำอะไรเนี่ย” ไอยราพออ้วกเสร็จก็หันไปว่าใส่หญิงสาวร่างบางคลุมหน้า

    “ก็เห็นท่านสู้กับมัน จริง ๆ แล้วเรื่องเมารถอะไรพวกนี้ หากท่านทำใจให้สบาย ปลดปล่อยไปตามที่ร่างกายต้องการ ไม่ฝืนทนมัน ท่านก็สามารถอยู่กับอาการเมารถม้านี่ได้แล้ว ตอนนี้ท่านก็สามารถกล่าววาจากับข้าได้แล้วมิใช่หรือ” เทียนเสียอิงกล่าว

    ไอยราครุ่นคิด “นั่นสิ ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ขอบใจเจ้ามากเลยเทียนเสียอิง”

    “มิกล้า มิกล้า เรื่องแค่นี้มันเป็นเรื่องธรรมดา ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้าและทุกคนที่ติดตามข้าไปยังสำนักเหมันต์นิรันดร์ด้วย” หญิงสาวว่าต่อ

    “บิดาของสหายก็ไม่ต่างจากบิดาของข้า” เจิ้นจงพูดขึ้นมาบ้าง “บิดาท่านป่วย พวกเราก็ต้องการไปเยี่ยมเช่นกัน”

    เทียนเสียอิงคลี่ยิ้มเบื้องหลังผ้าคลุม นางมองทั้งสี่คนในรถม้า ทั้งหมดต่างพยักหน้ารับบ่งบอกว่าคิดเช่นเดียวกัน

    “แม้ข้าจะไม่รู้จักบิดาท่าน ข้าก็ยินดีร่วมทางกับท่านเช่นกัน” คราในนี้ชายต่างแดนผมสีน้ำตาลเอ่ยขึ้นมาบ้าง เขานั่งเหม่อมาช่วงระยะหนึ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่างในใจ ค่อยมาสนใจตอนที่ไอยราอ้วกมาออก

    “ข้าก็ขอบใจท่านเทนโคเช่นกัน” เทียนเสียอิงถาม

    เทนโค บราเฮผงกศีรษะรับ “มิเป็นไร ข้าเป็นเพียงคนต่างแดน แค่พวกท่านนับข้าเป็นสหายก็ถือมาดีมากแล้ว”

    “อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยท่านเทนโค” เจิ้นจงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “คนเราหากนับเป็นสหายแล้ว เชื้อชาติ ชนชาติ หรือมาจากแดนไหนก็มิสำคัญหรอก”

    “ขอบคุณพวกท่านทุกคนเช่นกัน” เทนโค บราเฮพยักหน้ารับอีกครั้ง

    แล้วเจิ้นจงก็หันไปพูดกับเทียนเสียอิงต่อว่า “หากไม่มีอาการป่วยของบิดาท่าน ข้าก็มิได้รู้ว่าท่านคือบุตรีของเทียนซิยี่ เจ้าสำนักเหมันต์นิรันดร์”

    “ขออภัยที่ข้ามิได้บอกทุกคน” เทียนเสียอิงกล่าว

    “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องไหนท่านบอกได้ท่านก็บอก เรื่องไหนบอกไม่ได้ก็มิจำเป็นต้องบอก” เจิ้นจงว่า

    เทียนเสียอิงยิ้ม

    แต่แล้วการสนทนาของทั้งหมดก็ต้องหยุดลง เพราะจู่ ๆ รถม้าก็หยุดกึง

    มีคนผู้หนึ่งขวางรถม้าอยู่

    บุคคลผู้นี้รูปร่างผอมบาง ไร้ความบึกบึน แม้ใส่ชุดดำและปกปิดใบหน้าก็มองรู้ว่าเป็นสตรี

    ไม่ต้องรีรอให้ผู้อยู่ในรถม้าปรากฎ สตรีที่ขวางหน้าก็พูดขึ้นทันทีว่า

    “เจิ้นจง จงออกมาซะ!!”

    เสียงสตรีย่อมหวีดแหลมกว่าบุรุษ คงไม่มีผู้ใดชอบฟังเสียงแหลมนี้นาน ยกเว้นนางอยู่บนเตียง

    เจิ้นจงเลิกผ้าคลุมรถม้า ออกข้างนอกคนเดียว ส่วนคนอื่นก็ยังอยู่ในรถม้า คล้ายไม่ได้สนใจการขวางทางของสตรีผู้นี้

    “จื่อชิง เจ้าอีกแล้ว เมื่อใดเจ้าจะเลิกติดตามพวกข้าสักที” เจิ้นจงกล่าวกับสตรีชุดดำนั้น

    “ข้าได้รับคำสั่งให้มาหยุดการกระทำของเจ้า และนำตัวเจ้ากลับสู่สำนักยุทธเอกะ” สตรีนามจื่อชิงบอก

    เจิ้นจงส่ายศีรษะ มองนางด้วยสายตาเบื่อหน่าย “จื่อชิง เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว เจ้าลอบติดตามและขวางทางพวกข้ามาสิบครั้งแล้ว กล่าวเช่นนี้ทุกครั้ง จุดประสงค์ของเจ้ามิจำเป็นต้องย้อนบอกหรอก แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้ามิขอกลับไปที่สำนักแล้ว”

    “แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องพาเจ้ากลับไปสำนักให้ได้!!” สิ้นคำจื่อชิงก็พุ่งกายปานสายฟ้าเข้าหาเจิ้นจง

    “มิเบา สำเร็จท่าเท้าสายฟ้าแล้วหรือ” เจิ้นจงมองนาง ยังมิขยับกายใดทั้งที่จื่อชิงใกล้เข้ามาแล้ว

    สองแขนของจื่อชิงกางออก สูดหายใจฟอดใหญ่โคจรลมปราณควบคุมพลังรวมที่กำปั้น ตระเตรียมใช้ท่าหมัดคู่ทลายภูผา หนึ่งในวิชาขั้นสูงของสำนักยุทธเอกะ ที่สามารถป่นหินผาเป็นผงธุลี

    “หึ” เจิ้นจงยิ้ม ไม่ได้รู้สึกอะไรกับวิชาที่จื่อชิงใช้เลย

    หมัดคู่ทลายภูผาพุ่งด้วยความเร็วสูงจากท่าร่างเท้าสายฟ้า วิชาสองอย่างประสานกันนี้ ทั้งรวดเร็ว ทั้งรุนแรง ยากที่คนธรรมดาจะรับไหว

    แต่เจิ้นจงมิใช่คนธรรมดา

    หมัดคู่ที่รวดเร็วและรุนแรงกลับถูกสลายหยุดนิ่งอย่างแผ่วเบาที่กลางฝ่ามือของเจิ้นจง

    “ดับพสุธา นี่เจ้าใช้วิชาระดับสูงเช่นนี้ได้ด้วยหรือ” จื่อชิงพูด ใบหน้าปรากฎหยาดเหงื่อจากการสิ่งที่เกินการคาดหมาย

    “ก็แค่วิชาหนึ่ง ตอนนี้เจ้าคงรู้ถึงความห่างชั้นแล้วสินะ” เจิ้นจงบอกกับนาง

    รู้ไม่รู้มิอาจเข้าใจได้ เพราะคำตอบของนางไม่ใช่คำพูด

    พลันจื่อชิงถอนมือ เปลี่ยนจากกำหมัดกลายเป็นฝ่ามือ แล้วใช้ออกด้วยฝ่ามือป่นศิลา

    ทว่าไม่ทันที่นางจะโคจรพลัง มือข้างหนึ่งของเจิ้นจงก็คว้าหมับไว้ก่อน พร้อมดึงตัวจื่อชิงเข้าประชิดมา

    ตกอยู่ในอ้อมกอดของตน

    เจิ้นจงหันหน้า โน้มเข้าใกล้ใบหน้าของจื่อชิง แล้วบุรุษหนุ่มก็พูดขึ้นว่า

    “เจ้าเลิกขัดขวางข้าเสียเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่กลับสำนักยุทธเอกะแล้ว”

    สตรีหน้าแดงอย่างไร้สาเหตุ สักพักพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของเจิ้นจง

    คล้ายบุรุษหนุ่มยอมปล่อยเอง จื่อชิงหลุดออกมาได้

    นางจ้องมองเจิ้นจงอย่างเอาเรื่อง ครั้งนี้ย่อมรู้ว่าระดับฝีมือตนมิอาจขัดขวางเขาได้เลย แล้วบอกว่า

    “ครั้งนี้ข้ายอมเจ้า แต่ข้าไม่ได้ยอมแพ้ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะพาเจ้ากลับไปที่สำนักให้ได้”

    เจิ้นจงคลี่ยิ้มให้ เขามิได้ว่ากล่าวอะไรกับนาง ปล่อยนางลี้กายออกไป แล้วกลับเข้าไปรถม้าเพื่อเดินทางสู่สำนักเหมันต์นิรันดร์ต่อไป

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่