[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/36392596
บทที่ 11 รู้ตัวหรือเปล่าว่ายิ่งโกรธก็ยิ่งน่ารัก
รักตปักษ์เดินเข้าที่ทำงานด้วยความรู้สึกสดชื่นมากกว่าทุกวัน ส่วนหนึ่งมาจากวินัยซึ่งโทร.ไปหาตั้งแต่หกโมงเช้าว่า วันนี้คุณตะวันมีแผนจะให้เขาเดินทางไปพบลูกค้าแทนกลเทพ เจ้าหน้าที่ประสานงานซึ่งลาป่วยได้สามวันแล้ว ส่วนอีกเรื่องคือเขาจะได้เจอหน้าพนักงานเดลิเวอรี่จำเป็นที่สัญญาไว้ว่าจะมาส่งข้าวกล่องมื้อเที่ยงด้วยตัวเอง
แค่เอาข้าวมาส่ง จำเป็นต้องดีใจขนาดนี้ด้วยเหรอ?
ชายหนุ่มถามตัวเองด้วยความแปลกใจ ทั้งที่รู้ความจริงทุกอย่างและหมดความโกรธเคืองกันไปแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเจอหน้ากัน แล้วทำไมเขาถึงยังบอกให้หัตถ์เทพทำแบบนั้น จะว่าติดใจรสมือก็ไม่น่าใช่ การบริการ? มันก็ไม่ได้ดีเลิศเหมือนโรงแรมห้าดาว แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เขายังตัดใจไม่ขาดจากไอระซัง
รอยยิ้ม แววตาหรือความเอาใจใส่ ที่เชฟคนนี้มอบให้แก่เขาเป็นพิเศษ
รักตปักษ์สะบัดหน้าเบาๆ ก่อนผ่อนลมหายใจ มันไม่ได้มีเหตุผลซับซ้อนอะไรอย่างที่คิดสักหน่อย เขาแค่อยากเจอหัตถ์เทพอีก ก็เท่านั้น
“นั่งใจลอยคิดถึงใครแต่เช้าคะ คุณรักตปักษ์”
เสียงหวานของรุ้งมณีทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง เขาปัดเรื่องเชฟออกจากหัวก่อนหันไปส่งยิ้มให้เธอ
“เปล่าครับ แค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย”
“งานอะไรหรือคะ บอกได้ไหมเผื่อบางทีรุ้งอาจจะช่วยได้”
หญิงสาวซักพลางสำรวจเอกสารบนโต๊ะของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ถึงจะเป็นคนขี้เล่นและค่อนข้างอารมณ์ดี แต่การมองอย่างเกินพอดีของคู่สนทนาทำให้รักตปักษ์ไม่ค่อยชอบใจนัก
“ก็...” เขาทอดเสียงพลางแกล้งทำเป็นจัดโต๊ะ “พวกตารางงานน่ะครับ วันนี้ผมต้องออกไปส่งของหลายที่ เลยต้องวางแผนการเดินทางเอาไว้จะได้ไม่เสียเวลามาก”
รุ้งมณีมองชายหนุ่มด้วยดวงตาที่ใส่บิ๊กอายส์กลมโตสีน้ำตาล มันอาจจะดูน่ารักแต่ขณะเดียวกันก็สามารถปิดบังความรู้สึกเอาไว้ได้ ทำให้คู่สนทนาไม่สามารถอ่านความคิดของเธอออก
“แหม รุ้งนึกว่ากำลังคิดเรื่องลูกค้าของคุณกลเทพเสียอีก”
“ทำไมผมต้องคิดถึงพวกเขาด้วย?” รักตปักษ์ย้อนถามด้วยความงง เรียวปากแดงฉ่ำของรุ้งมณีเม้มเข้าหากันขณะที่เจ้าตัวยักไหล่
“ก็ไม่รู้สิคะ เห็นฝ่ายบุคคลบอกว่าวันนี้กลเทพขอลางานต่ออีกวัน แต่เขามีนัดกับลูกค้าตอนบ่ายเลยคิดว่าบริษัทจะส่งคุณไปทำงานแทน”
นัยน์ตากลมโตจ้องรักตปักษ์เชิงคาดคั้น เขาส่งยิ้มให้อย่างใจเย็น
“ผมยังเป็นเด็กใหม่อยู่เลยนะครับ” ชายหนุ่มพูดออกมาได้แค่นั้นก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงโครมจากหนังสือกองใหญ่ที่ถูกกระแทกลงบนโต๊ะ รักตปักษ์เหลือบตามองตัวต้นเหตุด้วยใบหน้านิ่ง ส่วนรุ้งมณีสะดุ้งสุดตัว วินัยหันไปยักคิ้วให้เธอ
“โทษที มันหนัก”
เขาแกล้งพูดพร้อมส่งยิ้มกวนประสาทให้หญิงสาวซึ่งกำลังยืนหน้าง้ำอย่างไม่พอใจ
“ถ้ารู้ว่ามันหนัก ทีหลังก็ยกมาทีละเล่มสิคะ” เธอพูดประชดพร้อมกับสะบัดหางเสียงเพื่อให้รู้ว่าโกรธ วินัยเลิกคิ้วทำหน้าเมื่อย
“โอย แบบนั้นมีหวังได้เดินกันเป็นสิบเที่ยว คนแก่อย่างผมลากขาไม่ไหวหรอกครับ”
เขาเน้นคำว่าแก่แถมยังยื่นหน้าเข้าไปหาหญิงสาว รุ้งมณีโกรธจนตาวาว แต่เพราะเธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้ารักตปักษ์ เลยกล้าไม่แสดงกริยากระฟัดกระเฟียดออกมา
“รู้ตัวว่าแก่ก็ไปนอนให้ลูกหลานตั้งหิ้งบูชาอยู่ที่บ้านสิ” ถึงจะเก็บอาการแต่ก็อดประชดประชันไม่ได้ วินัยถึงกับหัวเราะก๊าก
“คุณรุ้งละก็ทำเป็นตลกไปได้ ผมไม่ใช่ฮกลกซิ่วนะครับ” พูดจบเขาหุบยิ้มฉับก่อนหันไปสั่งรักตปักษ์ “อ่านพวกนี้ให้หมด ตอนบ่ายคุณตะวันจะเรียกคุณเข้าไปสอบปากเปล่า”
“แล้วงาน...” ชายหนุ่มแย้งเพราะเห็นซองสีน้ำตาลหลายชุดบนโต๊ะของวินัย อีกฝ่ายหันไปทางหญิงสาวที่กำลังมองตำราบนโต๊ะด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“คุณช่วยจัดการแทนให้ทีได้ไหม” ถามกันดื้อๆ รุ้งมณีทำหน้าเลิ่กลั่ก หันซ้ายมองขวาเหมือนไม่แน่ใจว่าวินัยกำลังพูดอยู่กับใคร แต่แถวนั้นนอกจากรักตปักษ์แล้วก็มีแต่เธอ
“คุณจะให้ฉันเป็นพนักงานส่งเอกสาร” เธอถามเสียงสูง วินัยยิ้ม
“ครับ”
ตอบง่ายๆ ในแบบกวนอารมณ์ รุ้งมณีถึงกับโมโหปรี๊ดพุ่ง
“แต่ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานนะคะ ไม่ใช่ Messenger”
“รักมันก็เจ้าหน้าที่ประสานงานเหมือนกัน” คราวนี้วินัยตอบเสียงเรียบพลางจ้องรุ้งมณีในลักษณะของผู้มีตำแหน่งสูงกว่า “ถ้าคุณทำไม่ได้ ผมก็จะยกงานนี้ให้พิทักษ์ แล้วค่อยรายงานให้คุณตะวันทราบ”
พิทักษ์ที่วินัยเอ่ยถึงคือหนึ่งในเจ้าหน้าที่ประสานงานของบริษัท และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรุ้งมณีมาตลอด แต่เธอไม่สนผู้ชายคนนั้นหรอก ที่แคร์คือประโยคหลังต่างหาก
“รุ้งไม่ได้ปฏิเสธอะไรสักหน่อย ก็แค่ถาม” เธอเม้มปากค้อนวินัยขวับ “จะให้ส่งอะไรก็บอกมา แต่ต้องเป็นทางเดียวกับที่รุ้งไปวันนี้นะคะ”
“ครับ” วินัยรับคำพลางหันไปสบตากับรักตปักษ์ ก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของเขาเพื่อมอบหมายงานให้รุ้งมณี ซึ่งเมื่อหญิงสาวออกจากห้องไปแล้วเขาจึงกลับมาหารุ่นน้องอีกครั้งพร้อมห่อกระดาษสีน้ำตาลสองใบ
“รบกวนคุณช่วยไปส่งนี่ให้หน่อย ใกล้แค่นี้เอง เสร็จแล้วให้รีบกลับเพราะเรามีนัดกับลูกค้าบ่ายโมงตรง”
“ครับ” รักตปักษ์รับคำพลางหยิบชื่อบริษัทที่เขาต้องไปส่งเอกสารขึ้นมาดูและผงกศีรษะช้าๆ เมื่อเห็นว่ามันอยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงตึกนี่เอง “งั้นผมไปนะครับ”
“อื้อ อ้อ!ขากลับคุณช่วยแวะซื้อข้าวขาหมูตรงแยกไฟแดงให้ผมหน่อย เน้นเนื้อกับผักดองแยะๆ แล้วสินธุกับนำชัยล่ะจะเอาอะไรมั้ย?” วินัยหันไปถามเพื่อนทั้งสองที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย พอเห็นทั้งคู่ส่ายหน้าพร้อมกันเขาจึงส่งเงินให้รุ่นน้องก่อนหอบกองหนังสือที่เอามาเมื่อครู่กลับไปวางไว้ที่เดิม
บริษัทที่จะต้องนำเอกสารไปส่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของรักตปักษ์มากนัก ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าเขาก็จัดส่งงานเสร็จเรียบร้อย ขากลับชายหนุ่มจึงแวะซื้อข้าวขาหมูซึ่งเป็นร้านดังให้วินัย พอจอดรถและเห็นจำนวนคนที่เข้าแถวรอซื้อเป็นคิวยาวเหยียด เขาจึงรู้สาเหตุว่าทำไมรุ่นพี่ถึงไม่ออกมาซื้อเอง ระหว่างรอรักตปักษ์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีนัดมื้อเที่ยงกับใครบางคน พอดูเวลาเขาก็หยิบสามาร์ตโฟนขึ้นมา กดเบอร์ที่เมมไว้ กลั้นใจรอคนรับสายด้วยที่ใจเต้นตึกตักซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแค่สั่งอาหาร ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย
ชายหนุ่มตั้งสติแต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงทุ้มนุ่มจากปลายสายก็เอ่ยทักขึ้นมาก่อน
“สวัสดีครับ คุณรัก”
รักตปักษ์รู้สึกว่ามือกำลังสั่น เขารีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้า แต่เอ๊ะ เขาจะกลัวหมอนั่นทำไมวะ?
“สวัสดีคุณหัตถ์เทพ” เขาเม้มปากก่อนกล่าวถามอย่างเกรงใจ “ผมโทร.มารบกวนเวลางานคุณหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ ว่าแต่คุณคิดออกหรือยังว่าเที่ยงวันนี้จะรับอะไร”
ชายหนุ่มยอมรับว่ายังไม่ทันได้คิด พอนึกได้ก็กดเบอร์เลยเดี๋ยวนั้น แล้วเขาจะเอาอะไรดีหว่า พวกดงบุริดีมั้ย หรือจะเป็นข้าวราดแกงกะหรี่ แต่นั่นมันไม่ใช่งานของไอระซังนี่หว่า ส่วนข้าวหน้าปลาแซลม่อนสามอย่างน่ะลืมไปได้เลย
“ผมอยากกินปลามากุโร่”
“ได้เลยครับ นอกจากมากุโร่แล้วคุณจะรับอย่างอื่นเพิ่มอีกไหมครับ” ถามเสียงนุ่มจนคนฟังแทบทำโทรศัพท์หลุดจากมือ รักตปักษ์สูดลมหายใจเรียกสติก่อนตอบปฏิเสธ
“แค่มากุโร่อย่างเดียวก็พอครับ อ้อ ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกน่าจะเข้าที่ทำงานประมาณ...เที่ยงสิบนาทีนะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ แล้วพบกันนะครับคุณรัก” หัตถ์เทพกล่าวตอบก่อนวางสาย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ชายหนุ่มกลับคิดว่าน้ำเสียงของเชฟตอนเอ่ยเรียกชื่อเขา มันช่างอ่อนละมุนจนให้ความรู้สึกแปลกๆ เขายัดสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋ากางเกง เม้มปาก มุ่นคิ้วคิดแต่แล้วกลับส่ายหน้า
คิดมากไปได้ไอ้รักตปักษ์ มันก็แค่คำพูดอ้อนแบบที่หมอนั่นชอบใช้กับลูกค้าทุกคนนั่นแหละ
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อก็ถึงคิวของเขาพอดี ได้ข้าวขาหมูตามสั่งแล้วเขาจึงบึ่งรถเข้าที่ทำงาน ส่งทั้งเอกสารกับกล่องข้าวให้วินัยซึ่งนั่งอยู่คนเดียวในห้องแล้วเสียงสมาร์ตโฟนของเขาก็ดังขึ้น
“ครับ” พอเห็นหมายเลขคนโทร. เขาก็รีบปลีกตัวออกมานอกห้อง “โอเค ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้”
เขากดลิฟต์ยืนรอ พอประตูเปิดกลับต้องชะงักเมื่อรุ้งมณีเดินสวนออกมา พอเห็นรักตปักษ์เรียวปากสีแดงฉ่ำก็ฉีกยิ้มกว้างอัตโนมัติ
“จะไปไหนคะคุณรักตปักษ์” ถามพร้อมไล่ดวงตามองอย่างเร็ว พอไม่เห็นกระเป๋าเอกสารเธอจึงเดาว่าอีกฝ่ายคงกำลังลงไปกินข้าวเที่ยง และถ้าใช่เธอจะได้ขอตามไปด้วย
“ผมจะลงไปรับของน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับก้าวเข้าไปในลิฟต์ “ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่อยากให้คนส่งรอนาน”
“ค...ค่ะ” โดนปฏิเสธไปแบบนั้นสาวเปรี้ยวอย่างรุ้งมณีถึงกับไปไม่ถูก แต่รักตปักษ์ไม่สน เพราะตอนนี้ใจเขาจดจ่ออยู่กับคนส่งอาหารที่กำลังมาถึง เมื่อลงไปถึงชั้นล็อบบี้และก้าวออกจากลิฟต์แล้วชายหนุ่มเร่งเดินไปตรงโถงกลาง ตาจ้องประตูหน้าเขม็งอย่างรอคอย
“คุณรัก” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกมาจากทางด้านหลัง รักตปักษ์สะดุ้งหันกลับไปมอง พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเขาก็ส่งยิ้มที่ดูเขินๆให้
“อ้าว คุณหัตถ์เทพ” ตาชำเลืองไปทางประตูหน้าก่อนตวัดกลับไปยังเชฟหนุ่ม “มาถึงนานแล้วหรือยังครับ พอดีผมติดงานนิดหน่อยเลยลงมาช้า”
ฟังเหมือนเป็นคำแก้ตัวทั่วไปของคนมาสาย แต่ตอนนี้ชายหนุ่มนึกอะไรไม่ออกจริงๆ หัตถ์เทพส่งยิ้มอย่างหล่อให้ก่อนตอบเสียงนุ่ม
“ผมเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกันครับ” เขาพูดพลางมองรักตปักษ์ด้วยนัยน์ตาหวานเชื่อมไม่ต่างจากชื่อเล่นก่อนยื่นถุงส่งให้ “ข้าวหน้าปลามากุโร่ตามสั่ง ได้แล้วครับ”
โอย แค่มองด้วยสายตาแบบนั้น กูก็ขาสั่นจนแทบจะลงไปนั่งกองกับพื้นอยู่แล้ว ยังจะใช้เสียงแบบเดียวกันอีก นี่กะจะให้หัวใจวายตายตรงนี้เลยใช่ไหม
รักตปักษ์โวยอยู่ในใจ พลางลดตาลงมองพื้นและนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ทำไมเขาถึงมีอาการเหมือนสาวน้อยเจอนักเรียนรุ่นพี่ในการ์ตูนตาหวานแบบนี้ หัตถ์เทพก็แค่เชฟ ทำไมเขาต้องเขินมันด้วยวะ
“ขอบใจ” ชายหนุ่มกล่าวสั้นๆก่อนรับถุง และหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา “เท่าไหร่ครับ”
“550 บาทไม่คิดค่าส่งครับ”
เชฟหนุ่มตอบ พอชำระเงินแล้วรักตปักษ์กล่าวคำขอบคุณอีกครั้งและทำท่าจะเดินกลับไปที่ลิฟต์ แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝ่าย
“คุณรัก”
ชายหนุ่มหมุนตัวหันกลับไปมองและต้องยืนตัวแข็งเมื่อหัตถ์เทพโน้มตัวเข้าไปหา
“กินให้อร่อยนะครับ” เชฟหนุ่มกระซิบบอกและส่งยิ้มที่ทำให้คนเห็นต้องใจเต้นอีกครั้ง ความร้อนแล่นเป็นริ้วขึ้นบนใบหน้าของรักตปักษ์ เขารีบขยับถอยออกห่างพร้อมกับรับคำ
“อือ”
เกือบหลุดคำขอบคุณตามออกไป แต่พอเห็นดวงตาพราวระยับของอีกฝ่ายแล้ว หนุ่มบิ๊กไบค์ก็รีบหันหน้าหนี เดินตรงไปขึ้นลิฟต์อย่างเร็ว เมื่อกลับเข้าห้องและนั่งโต๊ะของตัวเองแล้ว รักตปักษ์จึงวางกล่องข้าวและจ้องนิ่งพร้อมกับนึกภาวนาในใจขออย่าให้ปลาในกล่องกลายเป็นรูปหัวใจหรืออะไรที่น่ากลัวกว่านั้น แต่เมื่อนึกอีกที คนอย่างหัตถ์เทพคงไม่ใช้วิธีแกล้งแบบเดิม ประกอบกับท้องที่เริ่มร้องโครกคราก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจได้ในที่สุดว่า เป็นไงเป็นกัน ต่อให้มาเป็นหัวใจหรือช่อกุหลาบเจ็ดชั้น กูก็จะฟาดให้เรียบ
พอเปิดข้าวกล่อง รักตปักษ์ต้องเบิกตากว้างเพราะชิ้นปลาที่อัดแน่นอยู่บนข้าวไม่ใช่มากุโร่ธรรมดา แต่เป็นโอโทโร่ซึ่งมีราคาแพงกว่า และน่าจะเป็นส่วนพิเศษที่เรียกว่าชิโมะฟุริ
เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 11 รู้ตัวหรือเปล่าว่ายิ่งโกรธก็ยิ่งน่ารัก
บทที่ 11 รู้ตัวหรือเปล่าว่ายิ่งโกรธก็ยิ่งน่ารัก
รักตปักษ์เดินเข้าที่ทำงานด้วยความรู้สึกสดชื่นมากกว่าทุกวัน ส่วนหนึ่งมาจากวินัยซึ่งโทร.ไปหาตั้งแต่หกโมงเช้าว่า วันนี้คุณตะวันมีแผนจะให้เขาเดินทางไปพบลูกค้าแทนกลเทพ เจ้าหน้าที่ประสานงานซึ่งลาป่วยได้สามวันแล้ว ส่วนอีกเรื่องคือเขาจะได้เจอหน้าพนักงานเดลิเวอรี่จำเป็นที่สัญญาไว้ว่าจะมาส่งข้าวกล่องมื้อเที่ยงด้วยตัวเอง
แค่เอาข้าวมาส่ง จำเป็นต้องดีใจขนาดนี้ด้วยเหรอ?
ชายหนุ่มถามตัวเองด้วยความแปลกใจ ทั้งที่รู้ความจริงทุกอย่างและหมดความโกรธเคืองกันไปแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเจอหน้ากัน แล้วทำไมเขาถึงยังบอกให้หัตถ์เทพทำแบบนั้น จะว่าติดใจรสมือก็ไม่น่าใช่ การบริการ? มันก็ไม่ได้ดีเลิศเหมือนโรงแรมห้าดาว แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เขายังตัดใจไม่ขาดจากไอระซัง
รอยยิ้ม แววตาหรือความเอาใจใส่ ที่เชฟคนนี้มอบให้แก่เขาเป็นพิเศษ
รักตปักษ์สะบัดหน้าเบาๆ ก่อนผ่อนลมหายใจ มันไม่ได้มีเหตุผลซับซ้อนอะไรอย่างที่คิดสักหน่อย เขาแค่อยากเจอหัตถ์เทพอีก ก็เท่านั้น
“นั่งใจลอยคิดถึงใครแต่เช้าคะ คุณรักตปักษ์”
เสียงหวานของรุ้งมณีทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง เขาปัดเรื่องเชฟออกจากหัวก่อนหันไปส่งยิ้มให้เธอ
“เปล่าครับ แค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย”
“งานอะไรหรือคะ บอกได้ไหมเผื่อบางทีรุ้งอาจจะช่วยได้”
หญิงสาวซักพลางสำรวจเอกสารบนโต๊ะของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ถึงจะเป็นคนขี้เล่นและค่อนข้างอารมณ์ดี แต่การมองอย่างเกินพอดีของคู่สนทนาทำให้รักตปักษ์ไม่ค่อยชอบใจนัก
“ก็...” เขาทอดเสียงพลางแกล้งทำเป็นจัดโต๊ะ “พวกตารางงานน่ะครับ วันนี้ผมต้องออกไปส่งของหลายที่ เลยต้องวางแผนการเดินทางเอาไว้จะได้ไม่เสียเวลามาก”
รุ้งมณีมองชายหนุ่มด้วยดวงตาที่ใส่บิ๊กอายส์กลมโตสีน้ำตาล มันอาจจะดูน่ารักแต่ขณะเดียวกันก็สามารถปิดบังความรู้สึกเอาไว้ได้ ทำให้คู่สนทนาไม่สามารถอ่านความคิดของเธอออก
“แหม รุ้งนึกว่ากำลังคิดเรื่องลูกค้าของคุณกลเทพเสียอีก”
“ทำไมผมต้องคิดถึงพวกเขาด้วย?” รักตปักษ์ย้อนถามด้วยความงง เรียวปากแดงฉ่ำของรุ้งมณีเม้มเข้าหากันขณะที่เจ้าตัวยักไหล่
“ก็ไม่รู้สิคะ เห็นฝ่ายบุคคลบอกว่าวันนี้กลเทพขอลางานต่ออีกวัน แต่เขามีนัดกับลูกค้าตอนบ่ายเลยคิดว่าบริษัทจะส่งคุณไปทำงานแทน”
นัยน์ตากลมโตจ้องรักตปักษ์เชิงคาดคั้น เขาส่งยิ้มให้อย่างใจเย็น
“ผมยังเป็นเด็กใหม่อยู่เลยนะครับ” ชายหนุ่มพูดออกมาได้แค่นั้นก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงโครมจากหนังสือกองใหญ่ที่ถูกกระแทกลงบนโต๊ะ รักตปักษ์เหลือบตามองตัวต้นเหตุด้วยใบหน้านิ่ง ส่วนรุ้งมณีสะดุ้งสุดตัว วินัยหันไปยักคิ้วให้เธอ
“โทษที มันหนัก”
เขาแกล้งพูดพร้อมส่งยิ้มกวนประสาทให้หญิงสาวซึ่งกำลังยืนหน้าง้ำอย่างไม่พอใจ
“ถ้ารู้ว่ามันหนัก ทีหลังก็ยกมาทีละเล่มสิคะ” เธอพูดประชดพร้อมกับสะบัดหางเสียงเพื่อให้รู้ว่าโกรธ วินัยเลิกคิ้วทำหน้าเมื่อย
“โอย แบบนั้นมีหวังได้เดินกันเป็นสิบเที่ยว คนแก่อย่างผมลากขาไม่ไหวหรอกครับ”
เขาเน้นคำว่าแก่แถมยังยื่นหน้าเข้าไปหาหญิงสาว รุ้งมณีโกรธจนตาวาว แต่เพราะเธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้ารักตปักษ์ เลยกล้าไม่แสดงกริยากระฟัดกระเฟียดออกมา
“รู้ตัวว่าแก่ก็ไปนอนให้ลูกหลานตั้งหิ้งบูชาอยู่ที่บ้านสิ” ถึงจะเก็บอาการแต่ก็อดประชดประชันไม่ได้ วินัยถึงกับหัวเราะก๊าก
“คุณรุ้งละก็ทำเป็นตลกไปได้ ผมไม่ใช่ฮกลกซิ่วนะครับ” พูดจบเขาหุบยิ้มฉับก่อนหันไปสั่งรักตปักษ์ “อ่านพวกนี้ให้หมด ตอนบ่ายคุณตะวันจะเรียกคุณเข้าไปสอบปากเปล่า”
“แล้วงาน...” ชายหนุ่มแย้งเพราะเห็นซองสีน้ำตาลหลายชุดบนโต๊ะของวินัย อีกฝ่ายหันไปทางหญิงสาวที่กำลังมองตำราบนโต๊ะด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“คุณช่วยจัดการแทนให้ทีได้ไหม” ถามกันดื้อๆ รุ้งมณีทำหน้าเลิ่กลั่ก หันซ้ายมองขวาเหมือนไม่แน่ใจว่าวินัยกำลังพูดอยู่กับใคร แต่แถวนั้นนอกจากรักตปักษ์แล้วก็มีแต่เธอ
“คุณจะให้ฉันเป็นพนักงานส่งเอกสาร” เธอถามเสียงสูง วินัยยิ้ม
“ครับ”
ตอบง่ายๆ ในแบบกวนอารมณ์ รุ้งมณีถึงกับโมโหปรี๊ดพุ่ง
“แต่ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานนะคะ ไม่ใช่ Messenger”
“รักมันก็เจ้าหน้าที่ประสานงานเหมือนกัน” คราวนี้วินัยตอบเสียงเรียบพลางจ้องรุ้งมณีในลักษณะของผู้มีตำแหน่งสูงกว่า “ถ้าคุณทำไม่ได้ ผมก็จะยกงานนี้ให้พิทักษ์ แล้วค่อยรายงานให้คุณตะวันทราบ”
พิทักษ์ที่วินัยเอ่ยถึงคือหนึ่งในเจ้าหน้าที่ประสานงานของบริษัท และเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรุ้งมณีมาตลอด แต่เธอไม่สนผู้ชายคนนั้นหรอก ที่แคร์คือประโยคหลังต่างหาก
“รุ้งไม่ได้ปฏิเสธอะไรสักหน่อย ก็แค่ถาม” เธอเม้มปากค้อนวินัยขวับ “จะให้ส่งอะไรก็บอกมา แต่ต้องเป็นทางเดียวกับที่รุ้งไปวันนี้นะคะ”
“ครับ” วินัยรับคำพลางหันไปสบตากับรักตปักษ์ ก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของเขาเพื่อมอบหมายงานให้รุ้งมณี ซึ่งเมื่อหญิงสาวออกจากห้องไปแล้วเขาจึงกลับมาหารุ่นน้องอีกครั้งพร้อมห่อกระดาษสีน้ำตาลสองใบ
“รบกวนคุณช่วยไปส่งนี่ให้หน่อย ใกล้แค่นี้เอง เสร็จแล้วให้รีบกลับเพราะเรามีนัดกับลูกค้าบ่ายโมงตรง”
“ครับ” รักตปักษ์รับคำพลางหยิบชื่อบริษัทที่เขาต้องไปส่งเอกสารขึ้นมาดูและผงกศีรษะช้าๆ เมื่อเห็นว่ามันอยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงตึกนี่เอง “งั้นผมไปนะครับ”
“อื้อ อ้อ!ขากลับคุณช่วยแวะซื้อข้าวขาหมูตรงแยกไฟแดงให้ผมหน่อย เน้นเนื้อกับผักดองแยะๆ แล้วสินธุกับนำชัยล่ะจะเอาอะไรมั้ย?” วินัยหันไปถามเพื่อนทั้งสองที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย พอเห็นทั้งคู่ส่ายหน้าพร้อมกันเขาจึงส่งเงินให้รุ่นน้องก่อนหอบกองหนังสือที่เอามาเมื่อครู่กลับไปวางไว้ที่เดิม
บริษัทที่จะต้องนำเอกสารไปส่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของรักตปักษ์มากนัก ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าเขาก็จัดส่งงานเสร็จเรียบร้อย ขากลับชายหนุ่มจึงแวะซื้อข้าวขาหมูซึ่งเป็นร้านดังให้วินัย พอจอดรถและเห็นจำนวนคนที่เข้าแถวรอซื้อเป็นคิวยาวเหยียด เขาจึงรู้สาเหตุว่าทำไมรุ่นพี่ถึงไม่ออกมาซื้อเอง ระหว่างรอรักตปักษ์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขามีนัดมื้อเที่ยงกับใครบางคน พอดูเวลาเขาก็หยิบสามาร์ตโฟนขึ้นมา กดเบอร์ที่เมมไว้ กลั้นใจรอคนรับสายด้วยที่ใจเต้นตึกตักซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแค่สั่งอาหาร ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย
ชายหนุ่มตั้งสติแต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงทุ้มนุ่มจากปลายสายก็เอ่ยทักขึ้นมาก่อน
“สวัสดีครับ คุณรัก”
รักตปักษ์รู้สึกว่ามือกำลังสั่น เขารีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้า แต่เอ๊ะ เขาจะกลัวหมอนั่นทำไมวะ?
“สวัสดีคุณหัตถ์เทพ” เขาเม้มปากก่อนกล่าวถามอย่างเกรงใจ “ผมโทร.มารบกวนเวลางานคุณหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ ว่าแต่คุณคิดออกหรือยังว่าเที่ยงวันนี้จะรับอะไร”
ชายหนุ่มยอมรับว่ายังไม่ทันได้คิด พอนึกได้ก็กดเบอร์เลยเดี๋ยวนั้น แล้วเขาจะเอาอะไรดีหว่า พวกดงบุริดีมั้ย หรือจะเป็นข้าวราดแกงกะหรี่ แต่นั่นมันไม่ใช่งานของไอระซังนี่หว่า ส่วนข้าวหน้าปลาแซลม่อนสามอย่างน่ะลืมไปได้เลย
“ผมอยากกินปลามากุโร่”
“ได้เลยครับ นอกจากมากุโร่แล้วคุณจะรับอย่างอื่นเพิ่มอีกไหมครับ” ถามเสียงนุ่มจนคนฟังแทบทำโทรศัพท์หลุดจากมือ รักตปักษ์สูดลมหายใจเรียกสติก่อนตอบปฏิเสธ
“แค่มากุโร่อย่างเดียวก็พอครับ อ้อ ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกน่าจะเข้าที่ทำงานประมาณ...เที่ยงสิบนาทีนะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ แล้วพบกันนะครับคุณรัก” หัตถ์เทพกล่าวตอบก่อนวางสาย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ชายหนุ่มกลับคิดว่าน้ำเสียงของเชฟตอนเอ่ยเรียกชื่อเขา มันช่างอ่อนละมุนจนให้ความรู้สึกแปลกๆ เขายัดสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋ากางเกง เม้มปาก มุ่นคิ้วคิดแต่แล้วกลับส่ายหน้า
คิดมากไปได้ไอ้รักตปักษ์ มันก็แค่คำพูดอ้อนแบบที่หมอนั่นชอบใช้กับลูกค้าทุกคนนั่นแหละ
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อก็ถึงคิวของเขาพอดี ได้ข้าวขาหมูตามสั่งแล้วเขาจึงบึ่งรถเข้าที่ทำงาน ส่งทั้งเอกสารกับกล่องข้าวให้วินัยซึ่งนั่งอยู่คนเดียวในห้องแล้วเสียงสมาร์ตโฟนของเขาก็ดังขึ้น
“ครับ” พอเห็นหมายเลขคนโทร. เขาก็รีบปลีกตัวออกมานอกห้อง “โอเค ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้”
เขากดลิฟต์ยืนรอ พอประตูเปิดกลับต้องชะงักเมื่อรุ้งมณีเดินสวนออกมา พอเห็นรักตปักษ์เรียวปากสีแดงฉ่ำก็ฉีกยิ้มกว้างอัตโนมัติ
“จะไปไหนคะคุณรักตปักษ์” ถามพร้อมไล่ดวงตามองอย่างเร็ว พอไม่เห็นกระเป๋าเอกสารเธอจึงเดาว่าอีกฝ่ายคงกำลังลงไปกินข้าวเที่ยง และถ้าใช่เธอจะได้ขอตามไปด้วย
“ผมจะลงไปรับของน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับก้าวเข้าไปในลิฟต์ “ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่อยากให้คนส่งรอนาน”
“ค...ค่ะ” โดนปฏิเสธไปแบบนั้นสาวเปรี้ยวอย่างรุ้งมณีถึงกับไปไม่ถูก แต่รักตปักษ์ไม่สน เพราะตอนนี้ใจเขาจดจ่ออยู่กับคนส่งอาหารที่กำลังมาถึง เมื่อลงไปถึงชั้นล็อบบี้และก้าวออกจากลิฟต์แล้วชายหนุ่มเร่งเดินไปตรงโถงกลาง ตาจ้องประตูหน้าเขม็งอย่างรอคอย
“คุณรัก” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกมาจากทางด้านหลัง รักตปักษ์สะดุ้งหันกลับไปมอง พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเขาก็ส่งยิ้มที่ดูเขินๆให้
“อ้าว คุณหัตถ์เทพ” ตาชำเลืองไปทางประตูหน้าก่อนตวัดกลับไปยังเชฟหนุ่ม “มาถึงนานแล้วหรือยังครับ พอดีผมติดงานนิดหน่อยเลยลงมาช้า”
ฟังเหมือนเป็นคำแก้ตัวทั่วไปของคนมาสาย แต่ตอนนี้ชายหนุ่มนึกอะไรไม่ออกจริงๆ หัตถ์เทพส่งยิ้มอย่างหล่อให้ก่อนตอบเสียงนุ่ม
“ผมเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกันครับ” เขาพูดพลางมองรักตปักษ์ด้วยนัยน์ตาหวานเชื่อมไม่ต่างจากชื่อเล่นก่อนยื่นถุงส่งให้ “ข้าวหน้าปลามากุโร่ตามสั่ง ได้แล้วครับ”
โอย แค่มองด้วยสายตาแบบนั้น กูก็ขาสั่นจนแทบจะลงไปนั่งกองกับพื้นอยู่แล้ว ยังจะใช้เสียงแบบเดียวกันอีก นี่กะจะให้หัวใจวายตายตรงนี้เลยใช่ไหม
รักตปักษ์โวยอยู่ในใจ พลางลดตาลงมองพื้นและนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ทำไมเขาถึงมีอาการเหมือนสาวน้อยเจอนักเรียนรุ่นพี่ในการ์ตูนตาหวานแบบนี้ หัตถ์เทพก็แค่เชฟ ทำไมเขาต้องเขินมันด้วยวะ
“ขอบใจ” ชายหนุ่มกล่าวสั้นๆก่อนรับถุง และหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา “เท่าไหร่ครับ”
“550 บาทไม่คิดค่าส่งครับ”
เชฟหนุ่มตอบ พอชำระเงินแล้วรักตปักษ์กล่าวคำขอบคุณอีกครั้งและทำท่าจะเดินกลับไปที่ลิฟต์ แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝ่าย
“คุณรัก”
ชายหนุ่มหมุนตัวหันกลับไปมองและต้องยืนตัวแข็งเมื่อหัตถ์เทพโน้มตัวเข้าไปหา
“กินให้อร่อยนะครับ” เชฟหนุ่มกระซิบบอกและส่งยิ้มที่ทำให้คนเห็นต้องใจเต้นอีกครั้ง ความร้อนแล่นเป็นริ้วขึ้นบนใบหน้าของรักตปักษ์ เขารีบขยับถอยออกห่างพร้อมกับรับคำ
“อือ”
เกือบหลุดคำขอบคุณตามออกไป แต่พอเห็นดวงตาพราวระยับของอีกฝ่ายแล้ว หนุ่มบิ๊กไบค์ก็รีบหันหน้าหนี เดินตรงไปขึ้นลิฟต์อย่างเร็ว เมื่อกลับเข้าห้องและนั่งโต๊ะของตัวเองแล้ว รักตปักษ์จึงวางกล่องข้าวและจ้องนิ่งพร้อมกับนึกภาวนาในใจขออย่าให้ปลาในกล่องกลายเป็นรูปหัวใจหรืออะไรที่น่ากลัวกว่านั้น แต่เมื่อนึกอีกที คนอย่างหัตถ์เทพคงไม่ใช้วิธีแกล้งแบบเดิม ประกอบกับท้องที่เริ่มร้องโครกคราก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจได้ในที่สุดว่า เป็นไงเป็นกัน ต่อให้มาเป็นหัวใจหรือช่อกุหลาบเจ็ดชั้น กูก็จะฟาดให้เรียบ
พอเปิดข้าวกล่อง รักตปักษ์ต้องเบิกตากว้างเพราะชิ้นปลาที่อัดแน่นอยู่บนข้าวไม่ใช่มากุโร่ธรรมดา แต่เป็นโอโทโร่ซึ่งมีราคาแพงกว่า และน่าจะเป็นส่วนพิเศษที่เรียกว่าชิโมะฟุริ