เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 5 ฉลองความสำเร็จที่ร้านซูชิ

กระทู้สนทนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ 5 ฉลองความสำเร็จที่ร้านซูชิ

            รักตปักษ์ลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า แต่ความง่วงทำให้เขายังไม่อยากลุกจากเตียง เลยนอนมองเพดานห้องที่ติดสติกเกอร์ดาวสะท้อนแสงเอาไว้ ตอนกลางวันแบบนี้มันก็เป็นแค่พลาสติกสีขาวธรรมดา แต่พอตกกลางคืนตอนปิดไฟ เจ้าดาวดวงเล็กๆพวกนี้จะส่องแสงเรืองรองสวยงาม สร้างบรรยากาศเหมือนเขากำลังมองดวงดาวบนท้องฟ้าซึ่งในเมืองใหญ่แบบนี้ไม่มีทางเห็นได้ง่ายๆ

            ไม่ว่าจะตอนอยู่บ้านหรือแยกตัวออกมาอยู่ตามลำพังในคอนโดแบบนี้ รักตปักษ์ก็ยังคงชอบติดสติกเกอร์ดาวไม่เคยเปลี่ยน จนพี่ชายซึ่งเคยมาเยี่ยมครั้งหนึ่งออกปากบ่นว่าทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แต่เขาไม่สน เพราะแสงสวยๆ ของดาวมักทำให้เขาลืมความทุกข์และสร้างแรงใจให้เขาสามารถแก้ปัญหาต่างๆจนลุล่วงไปได้เสมอ

            ยกเว้นเมื่อวาน

            รักตปักษ์ถอนลมหายใจยาวเมื่อนึกถึงสีหน้าของคุณตะวันตอนฟังผลการเจรจากับตัวแทนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเขา ไม่จำเป็นต้องพูดเขาก็พอจะเดาออกว่างานนี้เจ๊งไม่เป็นท่า ยิ่งวินัยแอบมากระซิบบอกว่าลูกค้ากลุ่มนั้น หิน ชนิดปฏิเสธบริษัทอื่นอย่างไม่ไยดีมาหลายแห่งด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ่งเครียด เขาอยากทำงานให้สำเร็จ แต่ดูทางแล้วดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าวันนี้ไม่มีการติดต่อจากลูกค้ากลุ่มนี้จริงๆ มันคงเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับเจ้าหน้าที่ประสานงานอย่างเขา ถึงคุณตะวันจะบอกว่าไม่เป็นไร รักตปักษ์ก็ยังคิดว่ามันเป็นความล้มเหลวอยู่ดี และไอ้ความรู้สึกแย่ๆ นี่เองที่ทำให้เขาเป๋จนต้องบึ่งเจ้าคามุยอิไปหาเบียร์ซดแก้กลุ้ม ผ่านร้านไหนก็ไม่ถูกใจเลยบิดคนเร่งยาวไปจนถึงแถวย่านอโศก สุดท้ายดันไปลงเอยตรงร้านซูชิ

            แต่ทำไมต้องเป็นร้านของไอ้บ้านั่นด้วย ?    

            รักตปักษ์ถามตัวเองด้วยความแปลกใจ แต่พอหาคำตอบไม่ได้ก็โมโหฮึดฮัดพาลเป็นหงุดหงิด เพราะมัวแต่คิดเรื่องงาน เขาเลยลืมหาเรื่องกวนประสาทเจ้าเชฟไอระ ที่แย่กว่าก็คือ ตัวเขาเองกลับถูกหมอนั่นหลอกให้กินวาซาบิเข้าไปคำโต

            เจ็บใจเป็นบ้า !

            ชายหนุ่มยกมือขึ้นกดหน้าผากตัวเอง ก่อนระบายลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ไม่เป็นไร เมื่อวานพลาดวันนี้เขาจะต้องหาทางโต้คืนด้วยวิธีแสบสันจนไอ้เชฟนั่นต้องจำไปจนวันตาย

            แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าการแกล้งไอ้เชฟหน้าหล่อ นั่นก็คือคำตอบตกลงทำสัญญาจากตัวแทนญี่ปุ่น เพราะจากที่ผ่านมาแม้จะเคยทำหน้าที่ติดต่อกับลูกค้ามาแล้วหลายครั้ง มันก็เป็นเพียงการทำงานแทนพนักงานประจำ ดังนั้นหากการเจรจาครั้งนี้ลุล่วง มันจะเป็นผลงานพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

            รักตปักษ์ลูบหน้าตาเพื่อให้หายงัวเงียก่อนลุกขึ้นนั่ง พอก้มลงมาสารรูปตัวเองถึงได้รู้ว่ายังอยู่ในชุดเดิม เมื่อคืนเขาเครียดจนลืมอาบน้ำเลยหรือนี่ ชายหนุ่มคิดพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความรู้สึกสงสารตัวเองก่อนลุกขึ้นเก็บที่นอน ถอดเสื้อชุดเก่าโยนลงตะกร้าคว้าผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเดินเข้าห้องน้ำ ราวสิบนาทีจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าสดชื่น สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงผูกเนกไทเรียบร้อยแล้วจึงหวีผมให้เข้ารูป จากนั้นจึงหยิบน้ำหอม Lacoste กลิ่นโปรดมาฉีดเป็นลำดับสุดท้าย หมุนตัวไปมาหน้ากระจกจนแน่ใจว่าดูดีจึงสวมแจ็คเก็ตทับ หยิบหมวก สะพายกระเป๋าออกจากห้อง กดลิฟต์ลงไปยังชั้นจอดรถ ไม่ถึงอึดใจเสียงทรงพลังของคาวาซากิก็ดังสนั่น คามุยอิสีม่วงดำคันงามพุ่งปราดออกสู่ถนนใหญ่ วิ่งปะปนไปกับการจราจรอันแออัดของยามเช้า

            ด้วยจำนวนรถยนต์อันล้นหลามราวกับฝูงมด ทำให้รักตปักษ์ต้องใช้เวลาเดินทางถึงสี่สิบนาทีกว่าจะถึงบริษัท พอเอารถเข้าจอด ลุงยามเจ้าเก่าก็เดินยิ้มกริ่มเข้ามาทัก

            “สวัสดีครับคุณรักตปักษ์ วันนี้รถติดน่าดูเลยนะครับ” ที่บอกแบบนี้เพราะตัวคนพูดเองก็ติดแหง่กอยู่บนรถประจำทางเป็นชั่วโมง ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อก สะบัดผมให้เข้าที่ก่อนส่งยิ้มให้

            “ก็เอาเรื่องเหมือนกันครับลุงพงศ์ แต่เจ้าคามุยอิของผมเป็นนินจา เลยใช้วิธีกระโดดข้ามหลังคารถคันอื่นมาเรื่อยๆ”

            เป็นการพูดเล่นแท้ๆ แต่ยามสมพงศ์คนซื่อกลับทำตาโตอ้าปากค้าง “รถคุณทำแบบนั้นได้ด้วยหรือครับ”

            รักตปักษ์อยากแกล้งลุงยามอีกนิด แต่พอเห็นสีหน้าเชื่ออย่างจริงจังของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็เปลี่ยนใจ แกล้งคนแก่แบบนี้มันไม่สนุก เอาไว้ไปเล่นงานไอ้เชฟบ้านั่นดีกว่า

            “ผมพูดเล่นน่ะลุง ขืนทำแบบนั้นจริงๆมีหวังผมได้จ่ายค่าซ่อมอานเลย”

             พูดจบก็หัวเราะขำกับความคิดพิสดารของตัวเองก่อนขอตัวขึ้นตึกเพื่อทำงาน พอตอกบัตรเสร็จรักตปักษ์จึงเดินไปที่โต๊ะของเขาระหว่างนั้นก็เอ่ยปากทักทายคนในบริษัทไปด้วย ยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่ง วินัยก็กวักมือเรียก ไม่จำเป็นต้องบอกชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่างานวันนี้คือการวิ่งส่งเอกสารเหมือนเคย ตาชำเลืองไปทางห้องของคุณตะวัน ใจจริงแล้วเขาอยากอยู่รอฟังผลงานของเมื่อวานมากกว่า ว่ามันจะออกหัวหรือก้อย แต่เมื่อคิดอีกทีถ้าทางนั้นให้คำตอบตอนบ่าย เขาก็ต้องเสียเวลาเปล่าไปครึ่งวัน งั้นค่อยกลับมาลุ้นผลตอนเย็นก็ได้

            “ครับพี่วินัย” รักตปักษ์เอ่ยปากขานรับพนักงานรุ่นพี่ อีกฝ่ายชี้ไปยังซองกระดาษสีน้ำตาลกองใหญ่ที่วางไว้บนโต๊ะข้างๆ

            “วันนี้รักวิ่งหลายที่หน่อยนะ” วินัยพูดหมือนออกตัวพร้อมกับส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ “นี่เป็นบริษัทที่ต้องวิ่งไปรับของ ส่วนพวกนี้เป็นเอกสารที่ต้องนำไปส่ง ผมแยกประเภทไว้ให้แล้วพวกที่มีตราประทับเป็นเอกสารสำคัญต้องถึงมือผู้รับก่อนเที่ยง”

            รักตปักษ์ยืนฟังขณะเดียวกันก็อ่านรายชื่อบริษัทที่วินัยจดใส่กระดาษไปด้วย คราวนี้แต่ละที่อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่แต่สภาพการจราจรที่ติดหนับยิ่งกว่าตังเม ทำให้เขาต้องคำนวณเวลาเดินทางให้ดี โดยเฉพาะบริษัทที่ถูกระบุให้เอกสารถึงมือเจ้าหน้าที่ก่อนเที่ยงวัน

            “ไหวหรือเปล่า” พอเห็นรุ่นน้องยืนเงียบไม่พูดไม่จา วินัยก็เอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง ถึงจะรู้ว่ารักตปักษ์เป็นพวกบ้าพลังแต่การขี่จักรยานยนต์ตะลอนไปตามที่ต่างๆ ท่ามกลางแดดที่ร้อนยิ่งกว่าเตาย่างบาบีคิวกับควันจากท่อไอเสีย ย่อมเหนื่อยและเพลียกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์มาก และยิ่งไปกว่านั้นวินัยยังรู้ใจรุ่นน้องว่ากังวลเรื่องลูกค้าที่เจรจาด้วยเมื่อวาน

            “ส่วนเรื่องงาน ได้เรื่องยังไงผมจะโทร.ไปบอก” เขารีบพูดเพื่อเอาใจแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

            “ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอกครับ แค่กำลังคิดว่าจะไปที่ไหนก่อนดี” รักตปักษ์ออกตัวพลางหยิบซองทั้งหมดยัดใส่กระเป๋า “มีเท่านี้นะครับ”

            เขาถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่น ไม่อย่างนั้นคงต้องเหนื่อยวิ่งเข้าวิ่งออกกันหลายรอบ วินัยมองรุ่นน้องอย่างพินิจก่อนสั่นศีรษะ

            “ใช่ เท่านี้แหละ” เขาตอบสั้นๆ รักตปักษ์จึงจัดแจงคล้องกระเป๋า ขยับให้กระชับเข้าที่ ตบเบาๆเพื่อให้แน่ในว่ามันปิดสนิทเรียบร้อยดีแล้วจึงบอก

            “งั้นผมไปนะครับ”

            ชายหนุ่มเดินไปกดลิฟต์ จังหวะเดียวกันนั้นรุ้งมณีก็เดินมายืนเคียงข้าง เธอมองหน้ารักตปักษ์อย่างพิจารณาค่อนไปทางพึงใจก่อนเอ่ยปากทัก

            “สวัสดีค่ะ”

            รักตปักษ์เหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนเลื่อนตาขึ้นมองตัวเลขบอกชั้นของลิฟต์

            “สวัสดีครับ” เขาตอบสั้นๆ ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดเหมือนผู้ชายคนอื่นที่พอเห็นสาวสวยอย่างเธอแล้วรีบทำเป็นตีสนิทหาเรื่องชวนคุย และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้รุ้งมณีเริ่มสนใจรักตปักษ์ในขณะเดียวกันก็นึกอยากเอาชนะกับท่าทางเมินเฉย ไม่สนใจไยดีในตัวเธอเหมือนผู้ชายคนอื่น

            “ออกไปติดต่อลูกค้าหรือคะ” หญิงสาวหาเรื่องชวนคุย ชายหนุ่มหัวเราะหึก่อนกระตุกมุมปากเพิ่มรอยยิ้มก่อนตอบ

            “ก็ทำนองนั้นแหละครับ แต่ดูแนวแล้วผมน่าจะเป็นแค่ผู้ฟังเท่านั้น”

            ไม่ได้เป็นคำประชดประชัน แล้วก็ไม่ใช่การพูดตลก ผิดวิสัยของรักตปักษ์ซึ่งมักพูดจากระเซ้าเย้าแหย่คนไปทั่ว ตัวชายหนุ่มเองยังนึกแปลกใจว่าทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น ความกังวลของเรื่องเมื่อวานส่งผลกับเขาขนาดนี้เลยหรือ

            บ้าไปแล้ว

            รักตปักษ์สะบัดศีรษะเบาๆ เพื่อเรียกสติ ทำไมต้องมานั่งหงุดหงิดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจรจากับลูกค้าสักหน่อย ชายหนุ่มคิดพลางถอนใจออกมาเบาๆ เออ มันก็ใช่ แต่งานครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งโดยตรงจากคุณตะวัน ซึ่งเขาเองก็ทำเต็มที่และมันควรจะสำเร็จ    

            เสียง ติ๊ง ดังจากลิฟต์ พอประตูเปิดรุ้งมณีก็ก้าวนำเข้าไปก่อน แต่เมื่อเห็นคู่สนทนายังยืนนิ่งเหมือนคนใจลอย เธอจึงกดปุ่มให้ประตูเปิดค้างไว้พร้อมกับเอ่ยเรียก

            “คุณรักตปักษ์”

            ชายหนุ่มสะดุ้งและรีบก้าวตามเข้าไปทันที พอประตูปิด รุ่งมณีจึงถามด้วยความเป็นห่วง

            “ทำไมวันนี้คุณดูเงียบจัง ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

            เสียงหวานปานน้ำผึ้งชวนให้มดเข้าไปไต่ตอม แต่รักตปักษ์เป็นพวกมดแถมลุ่มน้ำอะเมซอนที่ชอบกินเนื้อสดๆ มากกว่าจึงไม่สนใจน้ำเสียงของเธอนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังตอบ

            “ผมสบายดี แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะครับ”

            รุ้งมณีมองหน้าคนพูด พอเห็นแววตาขี้เล่นของเขาเธอจึงหัวเราะ

            “คิดเรื่องอะไรหรือคะ พอจะบอกได้หรือเปล่า” ที่ถามออกไปแบบนั้นเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังคิดอะไรบางอย่างกับเธอ ปากรูปกระจับของรักตปักษ์ยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์

            “เรื่องแบบผู้ชายน่ะครับ คุณรุ้งมณีอย่ารู้เลยจะดีกว่า”  

            ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวยิ้มในหน้า เพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘จีบ’ เธอ แต่ความช่ำชองในเรื่องของความรักกับอาชีพที่ต้องเผชิญกับความเจ้าชู้ของลูกค้าเกือบทุกวัน เธอจึงเก็บความลิงโลดนั้นเอาไว้ไม่แสดงอาการอะไรออกมา

            “แหม ฟังดูเป็นเรื่องลึกลับจังเลยนะคะ”

            “ก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอกครับ” รักตปักษ์พูดโดยตายังคงมองตัวเลขเหนือประตูเหมือนเดิม “แต่เรื่องบางอย่างผู้ชายด้วยกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจ”

            รุ้งมณีแกล้งตีแขนชายหนุ่มแก้เขิน “เล่นพูดเป็นปริศนาแบบนี้คนฟังอายนะคะ” เธอเอียงคอน้อยๆ ให้ดูน่ารักพร้อมกับกระพือแผงขนตาที่หนาพอกับกันสาดน้ำฝน “อ้อ คุณรักตปักษ์ไม่ต้องเรียกชื่อรุ้งเต็มยศแบบนั้นก็ได้ เราทำงานที่เดียวกัน เรียกสั้นๆว่ารุ้งก็พอ”

            “ครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างว่าง่าย และลิฟต์ก็ถึงชั้นล่างพอดีเขาหลีกให้รุ่งมณีออกไปก่อน ส่วนตัวเขาเองเมื่อก้าวตามออกไปแล้วจึงรีบพูด “งั้นผมขอไปทำงานก่อนนะครับ”

            รุ้งมณีส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน “ค่ะ กลับมาค่อยคุยกันใหม่”

            รักตปักษ์ไม่รับคำแต่ก็ส่งยิ้มกลับไปตามมารยาท ก่อนแยกตัวเดินไปยังจุดจอดรถจักรยานยนต์ สวมหมวกกันน็อก สตาร์ทเจ้าคามุยอิโบกมือให้ยามพงศ์หนึ่งครั้งก่อนบิดคันเร่ง พาบิ๊กไบค์คู่ใจทะยานเข้าสู่ท้องถนนของกรุงเทพมหานคร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่