[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/36236377
บทที่ 7 ข้าวกล่องกระชากใจ
ไฟดวงสุดท้ายของร้านถูกดับลง หัตถ์เทพก้าวออกจากร้านทางประตูด้านข้าง ปิดประตูล็อคกุญแจขยับจนแน่ใจว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงเดินอย่างเร่งรีบมุ่งหน้าตรงไปยังปากซอย
ร้านฮิราเมะตั้งอยู่ในย่านอโศกก็จริง แต่อยู่ลึกเข้าไปในซอยซึ่งต้องใช้เวลาเดินราวสิบนาที มันอาจจะไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่มีรถหรือจักรยานยนต์และไม่ค่อยลำบากสักเท่าไหร่กับลูกค้าจำพวกเดินเท้าตะลอนกิน แต่ก็เฉพาะในช่วงกลางวันหรือหัวค่ำ หากเป็นยามดึกแม้ถนนจะไม่เปลี่ยวนักแต่ก็ไร้ยวดยานวิ่งไปมา นานทีจะมีแท็กซี่วิ่งผ่านเข้ามาสักคันและส่วนใหญ่จะมีผู้โดยสารนั่งมาด้วย ดังนั้นการเข้าออกยามวิกาลจึงเหลือแค่การเดินเพียงอย่างเดียว
ตัวหัตถ์เทพเองแม้จะมีรถยนต์ส่วนตัว แต่เขากลับชอบการเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามากกว่า เพราะมันอยู่ห่างจากคอนโดที่เขาอยู่ไม่ถึงสองร้อยเมตร และอยู่ไม่ไกลจากซอยร้านเท่าไหร่ อีกอย่างการเดินทางแบบนี้สบายกว่าการขับรถมาก ไม่เพียงสะดวกรวดเร็วและตรงเวลา เขายังสามารถใช้ความคิดระหว่างนั่งอยู่บนรถแถมไม่ต้องคอยหงุดหงิดกับการจราจรบนท้องถนนอีกด้วย
สิ่งเดียวที่สร้างปัญหาต่อเชฟหนุ่มคือ เวลาปิดร้าน ถึงแม้จะเร็วกว่าที่อื่นคือประมาณสามทุ่ม แต่กว่าลูกค้าจะออกจากร้านจนหมด เคลียร์งานทุกอย่างรวมถึงเตรียมของสำหรับวันใหม่ให้เสร็จก็กินเวลาเลยไปจนเฉียดเที่ยงคืน ทำเอาเขาเกือบพลาดรถไฟเที่ยวสุดท้ายอยู่หลายครั้ง มันอาจจะเรียกแท็กซี่ได้ก็จริงแต่เขาไม่ค่อยชอบใช้บริการสักเท่าไหร่ ใช่ว่ารังเกียจ หากเป็นเพราะเขาอยากนั่งเงียบๆ คิดเรื่องงาน อาศัยแสงสว่างช่วยในการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่มากกว่า
วันนี้ก็เช่นกัน เนื่องจากมีงานเลี้ยงฉลองของลูกค้าหลายกลุ่ม ความวุ่นวายจึงบังเกิดส่งผลให้จำต้องยืดเวลาปิดร้านออกไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ นาฬิกาบนจอมือถือก็บอกเวลาห้าทุ่มสี่สิบห้า ปิดประตูร้านได้หัตถ์เทพจึงเดินจ้ำอ้าวออกจากซอย วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้นซึ่งก็ทันรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายอย่างเฉียดฉิว พอหาที่นั่งได้เชฟหนุ่มจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นมาตรวจดูงานสำหรับวันต่อไป ระหว่างนั้นเองจู่ๆ ภาพสีหน้ากับแววตาที่ดูเหมือนวัยรุ่นเจ้าปัญหาของรักตปักษ์ก็แทรกเข้ามาในความคิด คำพูดกวนประสาทรวมถึงท่าทางข่มขู่หวนกลับเข้าสู่ความทรงจำ หัตถ์เทพถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว
จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไงในเมื่อวิธีการของหมอนั่นมันเด็กเสียยิ่งกว่าเด็ก ความจริงแล้วเขาไม่สนที่จะถูกเปิดเผยเรื่องตัวเองชอบเป่าฟองสบู่ และไม่แคร์เลยสักนิดว่าใครจะคิดยังไง ในเมื่อมันเป็นการระบายความเครียดที่ได้ผล และเขาก็รู้สึกสบายใจทุกครั้งเมื่อได้ทำ แต่ที่ยอมอ่อนข้อให้เพราะอยากรู้ว่ารักตปักษ์จะมาไม้ไหน และไม่ว่าจะมีลูกเล่นอะไรเขาเองก็พร้อมรับมือ
เสียงประกาศจุดจอดสถานีต่อไปดังออกมาจากลำโพง หัตถ์เทพยัดสมุดลงกระเป๋า ขยับให้เข้าที่ก่อนออกจากรถ เดินลงบันไดและก้าวต่อไปเรื่อยๆ แวะซื้อโจ๊กปากซอยเจ้าประจำติดมือไปหนึ่งถุงก่อนเดินเข้าคอนโด กดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่ 20 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด พอเข้าห้องแล้วเชฟหนุ่มจึงเปิดเพลงเบาๆ แกะโจ๊กออกจากถุง ยกชามไปนั่งกินที่โต๊ะระหว่างนั้นก็อ่านบันทึกของตัวเองไปด้วย กินไปอ่านไปจนหมดก็ยกชามไปล้างเช็ดจนแห้งก่อนเก็บเข้าตู้ จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหัตถ์เทพจึงเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเช็คเพจของตนเอง ขณะเดียวกันก็หาข้อมูลด้านอาหารเพิ่มเติมซึ่งพอเจออะไรใหม่ เขาก็จะเซฟเก็บเอาไว้ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงตีสอง จึงปิดอุปกรณ์ทุกอย่างก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ และกลับออกมาในสภาพสวมชุดนอนซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงลายดอกไม้ ก่อนนอนทุกคืนเชฟหนุ่มจะดื่มไวน์แดงหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงดับไฟก่อนเอนตัวลงบนเตียง สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มฟังเพลงเบาๆ และเคลิ้มหลับไปในที่สุด
ตีสี่สามสิบนาทีของเช้าวันรุ่งขึ้นหัตถ์เทพตื่นโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก สิ่งแรกที่เชฟหนุ่มทำคือทบทวนงานทั้งของเมื่อวานและวันนี้อีกรอบ เช็คตารางการส่งวัตถุดิบว่ามีอะไรเป็นพิเศษ จากนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัว ดื่มนมสดเป็นมื้อเช้าหนึ่งแก้ว เสร็จแล้วจึงสะพายกระเป๋าเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเที่ยวแรก และไปถึงร้านเป็นคนแรกเหมือนเคย
งานในวันนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากทุกวัน ตรวจดูของสด รับวัตถุดิบตัวใหม่ ตกแต่งปลาที่เพิ่งนำเข้ามาเพื่อให้พร้อมสำหรับลูกค้า พอใกล้เวลาเปิดร้านหัตถ์เทพจะอาบน้ำอีกครั้งก่อนสวมเสื้อผ้าสีขาว สวมหมวกอันเป็นเครื่องแบบชองเชฟ ยืนประจำตำแหน่งรอต้อนรับลูกค้าคนแรกที่ก้าวเข้ามาในร้าน
ช่วงเช้าไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่ แต่พอใกล้เที่ยงลูกค้าก็เริ่มทยอยกันเข้ามา โชคดีที่เมนูส่วนใหญ่เป็นดงบุริกับข้าวแกงกะหรี่ งานเลยไม่ยุ่งมาก แต่เชฟใหญ่อย่างหัตถ์เทพมักไม่ค่อยอยู่นิ่ง ช่วงที่ไม่มีออเดอร์เขาก็มักจะทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย บางทีก็หยิบฟักทองหรือหัวไชเท้ามาแกะให้เป็นดอกไม้เล็กๆ เพื่อใช้ตกแต่งจาน
กำลังทำงานเพลินๆ มินะจัง พนักงานสาวหน้าตาน่ารักที่มักจะรวบผมทรงห้างม้าอยู่เสมอเดินเข้ามาบอกเสียงใส
“รับโทรศัพท์ด้วยค่ะไอระซัง”
หัตถ์เทพเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะนับตั้งแต่ทำงานที่นี่ เขาไม่เคยได้รับโทรศัพท์ในเวลางานเลยสักครั้ง จะว่าเป็นบริษัทขนส่งอาหารสดก็ไม่น่าเป็นไปได้ ความสงสัยทำให้เชฟหนุ่มมอบงานที่กำลังทำให้เชฟอีกคน เช็ดมือก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูพร้อมกับกรอกคำพูด
“ครับ”
“สวัดสีครับเชฟ” เสียงรักตปักษ์ดังเข้ามาในสาย “พร้อมจะรับคำสั่งแรกจากผมหรือยังครับ”
*/*/*/*/*
วันนี้รักตปักษ์ตื่นเช้าด้วยความรู้สึกดีกว่าทุกวัน แน่นอนว่ามันเป็นผลจากงานของเขาที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นตอบตกลงเซ็นสัญญา แต่นั่นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่เขาเพิ่งเจอเมื่อคืนวาน ความลับของเชฟตัวแสบที่ไม่อยากให้คนทั้งโลกรู้
ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความขบขันเมื่อหวนนึกถึงสีหน้าของหัตถ์เทพ ถึงจะทำเป็นวางมาดขรึมตีหน้านิ่ง เขากลับแน่ใจว่าแท้จริงแล้วหมอนั่นคงเจ็บใจแทบคลั่ง ฮี! สมน้ำหน้า คอยดูเถอะ กูจะหาเรื่องแกล้งให้หมดสภาพเชฟไปเลย
ปากรูปกระจับยกมุมขึ้นจนเป็นรูปโค้ง ขณะเจ้าตัวคิดแผนการร้ายไว้หลายแบบสำหรับเล่นงานคู่กรณี เมื่อจินตนาการถึงสีหน้าของหัตถ์เทพตอนโดนแกล้งแล้ว รักตปักษ์ถึงกับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนรุ่นพี่ที่บังเอิญเดินผ่านมาต้องหยุดดู
“รัก” วินัยเอ่ยเรียกและเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นรุ่นน้องไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเลยสักนิด เขาจึงกระแอมและโน้มตัวลงพร้อมกับเพิ่มเสียงให้ดังกว่าเดิม
“รัก!” คำนั้นแทบจะกรอกเข้าไปในรูหู รักตปักษ์สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง
“ครับ” ชายหนุ่มขานรับสั้นๆ พอเห็นคนเรียกยังคงยืนจ้องเขม็งไม่พูดไม่จา เขาจึงถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือครับ”
“ผมต่างหากที่ควรถามแบบนั้น” วินัยพูดด้วยท่าทางจริงจังพลางใช้สายตาสำรวจราวจับพิรุธ “เห็นนั่งอมยิ้มคนเดียวมาตั้งแต่เช้า มีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ”
“เพิ่งหวานกับแฟนมาแหง” สินธุซึ่งนั่งถัดไปอีกสองโต๊ะตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาบ้าง รักตปักษ์สะดุ้งอีกครั้งและรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เฮ้ย เปล่านะครับ ผมยังไม่มีแฟน”
วินัยแกล้งพยักหน้าเออออไปด้วย แต่ยังไม่วายแหย่ “โอเคไม่ใช่แฟน ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นกิ๊ก ไม่งั้นคงไม่นั่งยิ้มตาเยิ้มแบบนี้หรอก”
“โอ๊ย พี่ ไปกันใหญ่แล้ว!” รักตปักษ์ร้องออกมาอย่างอ่อนใจและรีบเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้จะให้ผมวิ่งไปไหนครับ”
“ไม่มี” วินัยตอบหน้าตายก่อนวางหนังสือตั้งใหญ่ลงบนโต๊ะ “ผมอยากให้คุณศึกษาข้อมูลเรื่องการขนส่งเพิ่มเติม อ่านทุกหน้าอย่างละเอียด เพราะมันจะช่วยให้เข้าใจงานมากขึ้น”
รักตปักษ์มองหนังสือตรงหน้า คะเนจากสายตานอกจากจะมีความหนาแทบไม่ต่างจากเอนไซโคพิเดียแล้ว ยังมีทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น โชคดีที่ไม่มีภาษาเยอรมันหรือภาษาอาหรับ ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เปิดกูเกิ้ลกันมือหงิก
“ไหวหรือเปล่า” พอเห็นหน้าของรุ่นน้องแล้ว วินัยจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นรอยยิ้มทะเล้นของรักตปักษ์แล้วเขาก็แทบอยากจะดึงคำถามเมื่อครู่กลับ
“สบายมากครับ” ชายหนุ่มตอบพลางตบเล่มที่อยู่บนสุด “หนาแบบนี้หนุนนอนสบาย”
วินัยตบกะโหลกรุ่นน้องหนึ่งผัวะเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ แต่เพราะรู้ดีว่าภายใต้ความสนุกสนานของรักตปักษ์มีความเอาจริงเอาจังซ่อนอยู่เสมอ เขาจึงไม่ถือสากับความขี้เล่นนี้มากนัก
“อย่าทำเป็นเล่น วันนี้คุณต้องอ่านให้ได้เกินครึ่ง ผมจะทดสอบหลังเลิกงาน ถ้าอันไหนไม่ผ่านต้องกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง เข้าใจไหม”
สิ่งที่รุ่นพี่บอก ทำให้รักตปักษ์นึกเอะใจ มันอาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่วินัยสั่งให้เขานั่งศึกษาข้อมูลก็จริง แต่นับเป็นครั้งแรกที่มีการสอบหลังการอ่าน เขาอยากถามถึงเหตุผล แต่เมื่อนึกถึงงานที่เพิ่งทำสำเร็จ เขาจึงพอจะมองออกเป็นเลาๆ ว่าบางทีเจ้าของความคิดนี้ก็คือคุณตะวัน
แสดงว่าเขาอาจต้องทำหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าอีกครั้ง
ความหนักอกมาพร้อมกับความดีใจ หากคุณตะวันมีแผนจะให้เขาทำแบบนั้นจริง ก็นับเป็นความก้าวหน้า เพราะรักตปักษ์เองทำงานกับบริษัทนี้มาปีกว่า นอกจากวิ่งส่งของกับพูดคุยกับลูกค้านิดหน่อยแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากจำนวนของพนักงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประสานงานที่เดิมมีอยู่แล้วสามคน และแต่ละคนล้วนมีความสามารถ โดยเฉพาะรุ้งมณี ความสามารถของเธอนั้นโดดเด่นจนยากจะหาใครมาเทียบ
รักตปักษ์ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดจู่ๆ คุณตะวันจึงยอมเสี่ยงให้ความสนับสนุนเด็กอย่างเขา แต่ในเมื่อเจ้านายมอบความไว้วางใจ เขาก็ควรทำอย่างเต็มที่ เพื่อบริษัทและเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง
ชายหนุ่มหยิบหนังสือเล่มบนสุดมาอ่าน พลิกไปทีละหน้า ไล่สายตาไปทีละบรรทัดอย่างละเอียด จุดไหนไม่เข้าใจ เขาจะย้อนกลับไปอ่านทวนอีกครั้ง และถ้ายังติดอยู่อีกเขาก็จะใช้ตัวช่วยคือกูเกิ้ล ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลจนเป็นที่พอใจแล้วรักตปักษ์จะบันทึกลงคอม จดหัวข้อสำคัญลงสมุด ทำแบบนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนถึง 11:30 น. วินัยซึ่งคอยจับตาดูอยู่ตลอดจึงเดินมาทัก
“ไงรูปหล่อ อ่านไปกี่เล่มแล้ว ?”
“สามครับ” รักตปักษ์ตอบพลางมองหนังสือเล่มหนาที่วางไว้ตรงชั้นด้านข้าง รุ่นพี่มองตามแล้วเลิกคิ้วสูงด้วยความทึ่ง
“เก่งนี่หว่า เป็นผมนะแค่เล่มเดียวก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันแล้ว”
“ผมเลือกเล่มง่ายๆ ก่อนน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดเหมือนถ่อมตัว แต่กลับถูกวินัยเขกกะโหลกด้วยความหมั่นไส้
“ง่ายกับผีน่ะสิ ตำราภาษาจีนล้วนๆ เลยนะโว้ย” เขาส่ายหัวให้กับความทะลึ่งของรุ่นน้องก่อนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เออ ใกล้เที่ยงแล้ว ผมว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก จะไปด้วยกันไหม”
รักตปักษ์เกือบพยักหน้ารับ แต่ความคิดบางอย่างพุ่งเข้าหัวทำให้เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมตั้งใจจะอ่านเล่มนี้ให้จบ เลยคิดว่าจะสั่งพวกเดลิเวอรี่มากินน่ะครับ”
“อ้าวเหรอ แล้วจะกินอะไรล่ะ พิซซ่าหรือไก่ทอด” รุ่นพี่ซักไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้อยากรู้อะไรมากนัก อีกฝ่ายยิ้มในหน้าก่อนตอบ
“พวกข้าวราดแกงเองครับ ไม่มีอะไรมาก”
วินัยทำหน้างง “ข้าวราดแกงมันมีแบบเดลิเวอรี่ด้วยเหรอวะ”
“อ้าว ก็ร้านป้าก้อนกับลุงสิงห์ฝั่งตรงข้ามไงครับ พี่ลืมไปแล้วเหรอ” รักตปักษ์ตอบก่อนส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่เขาเคารพ “ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ พวกพี่ไปกันเถอะ”
“เอางั้นนะ” วินัยถามย้ำ เมื่อรุ่นน้องพยักหน้าเขาจึงเดินไปสมทบกับสินธุและนำขัย จากนั้นทั้งหมดจึงเดินออกจากห้องทำงาน พอได้อยู่ตามลำพังแล้ว รักตปักษ์จึงหยิบนามบัตรของร้านฮิราเมะ กดหมายเลขร้าน พอมีคนรับสายเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เชฟหล่อขอห่อกลับบ้าน บทที่ 7 ข้าวกล่องกระชากใจ
บทที่ 7 ข้าวกล่องกระชากใจ
ไฟดวงสุดท้ายของร้านถูกดับลง หัตถ์เทพก้าวออกจากร้านทางประตูด้านข้าง ปิดประตูล็อคกุญแจขยับจนแน่ใจว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงเดินอย่างเร่งรีบมุ่งหน้าตรงไปยังปากซอย
ร้านฮิราเมะตั้งอยู่ในย่านอโศกก็จริง แต่อยู่ลึกเข้าไปในซอยซึ่งต้องใช้เวลาเดินราวสิบนาที มันอาจจะไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่มีรถหรือจักรยานยนต์และไม่ค่อยลำบากสักเท่าไหร่กับลูกค้าจำพวกเดินเท้าตะลอนกิน แต่ก็เฉพาะในช่วงกลางวันหรือหัวค่ำ หากเป็นยามดึกแม้ถนนจะไม่เปลี่ยวนักแต่ก็ไร้ยวดยานวิ่งไปมา นานทีจะมีแท็กซี่วิ่งผ่านเข้ามาสักคันและส่วนใหญ่จะมีผู้โดยสารนั่งมาด้วย ดังนั้นการเข้าออกยามวิกาลจึงเหลือแค่การเดินเพียงอย่างเดียว
ตัวหัตถ์เทพเองแม้จะมีรถยนต์ส่วนตัว แต่เขากลับชอบการเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามากกว่า เพราะมันอยู่ห่างจากคอนโดที่เขาอยู่ไม่ถึงสองร้อยเมตร และอยู่ไม่ไกลจากซอยร้านเท่าไหร่ อีกอย่างการเดินทางแบบนี้สบายกว่าการขับรถมาก ไม่เพียงสะดวกรวดเร็วและตรงเวลา เขายังสามารถใช้ความคิดระหว่างนั่งอยู่บนรถแถมไม่ต้องคอยหงุดหงิดกับการจราจรบนท้องถนนอีกด้วย
สิ่งเดียวที่สร้างปัญหาต่อเชฟหนุ่มคือ เวลาปิดร้าน ถึงแม้จะเร็วกว่าที่อื่นคือประมาณสามทุ่ม แต่กว่าลูกค้าจะออกจากร้านจนหมด เคลียร์งานทุกอย่างรวมถึงเตรียมของสำหรับวันใหม่ให้เสร็จก็กินเวลาเลยไปจนเฉียดเที่ยงคืน ทำเอาเขาเกือบพลาดรถไฟเที่ยวสุดท้ายอยู่หลายครั้ง มันอาจจะเรียกแท็กซี่ได้ก็จริงแต่เขาไม่ค่อยชอบใช้บริการสักเท่าไหร่ ใช่ว่ารังเกียจ หากเป็นเพราะเขาอยากนั่งเงียบๆ คิดเรื่องงาน อาศัยแสงสว่างช่วยในการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่มากกว่า
วันนี้ก็เช่นกัน เนื่องจากมีงานเลี้ยงฉลองของลูกค้าหลายกลุ่ม ความวุ่นวายจึงบังเกิดส่งผลให้จำต้องยืดเวลาปิดร้านออกไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ นาฬิกาบนจอมือถือก็บอกเวลาห้าทุ่มสี่สิบห้า ปิดประตูร้านได้หัตถ์เทพจึงเดินจ้ำอ้าวออกจากซอย วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้นซึ่งก็ทันรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายอย่างเฉียดฉิว พอหาที่นั่งได้เชฟหนุ่มจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นมาตรวจดูงานสำหรับวันต่อไป ระหว่างนั้นเองจู่ๆ ภาพสีหน้ากับแววตาที่ดูเหมือนวัยรุ่นเจ้าปัญหาของรักตปักษ์ก็แทรกเข้ามาในความคิด คำพูดกวนประสาทรวมถึงท่าทางข่มขู่หวนกลับเข้าสู่ความทรงจำ หัตถ์เทพถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว
จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไงในเมื่อวิธีการของหมอนั่นมันเด็กเสียยิ่งกว่าเด็ก ความจริงแล้วเขาไม่สนที่จะถูกเปิดเผยเรื่องตัวเองชอบเป่าฟองสบู่ และไม่แคร์เลยสักนิดว่าใครจะคิดยังไง ในเมื่อมันเป็นการระบายความเครียดที่ได้ผล และเขาก็รู้สึกสบายใจทุกครั้งเมื่อได้ทำ แต่ที่ยอมอ่อนข้อให้เพราะอยากรู้ว่ารักตปักษ์จะมาไม้ไหน และไม่ว่าจะมีลูกเล่นอะไรเขาเองก็พร้อมรับมือ
เสียงประกาศจุดจอดสถานีต่อไปดังออกมาจากลำโพง หัตถ์เทพยัดสมุดลงกระเป๋า ขยับให้เข้าที่ก่อนออกจากรถ เดินลงบันไดและก้าวต่อไปเรื่อยๆ แวะซื้อโจ๊กปากซอยเจ้าประจำติดมือไปหนึ่งถุงก่อนเดินเข้าคอนโด กดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่ 20 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด พอเข้าห้องแล้วเชฟหนุ่มจึงเปิดเพลงเบาๆ แกะโจ๊กออกจากถุง ยกชามไปนั่งกินที่โต๊ะระหว่างนั้นก็อ่านบันทึกของตัวเองไปด้วย กินไปอ่านไปจนหมดก็ยกชามไปล้างเช็ดจนแห้งก่อนเก็บเข้าตู้ จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหัตถ์เทพจึงเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเช็คเพจของตนเอง ขณะเดียวกันก็หาข้อมูลด้านอาหารเพิ่มเติมซึ่งพอเจออะไรใหม่ เขาก็จะเซฟเก็บเอาไว้ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงตีสอง จึงปิดอุปกรณ์ทุกอย่างก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ และกลับออกมาในสภาพสวมชุดนอนซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงลายดอกไม้ ก่อนนอนทุกคืนเชฟหนุ่มจะดื่มไวน์แดงหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงดับไฟก่อนเอนตัวลงบนเตียง สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มฟังเพลงเบาๆ และเคลิ้มหลับไปในที่สุด
ตีสี่สามสิบนาทีของเช้าวันรุ่งขึ้นหัตถ์เทพตื่นโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก สิ่งแรกที่เชฟหนุ่มทำคือทบทวนงานทั้งของเมื่อวานและวันนี้อีกรอบ เช็คตารางการส่งวัตถุดิบว่ามีอะไรเป็นพิเศษ จากนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัว ดื่มนมสดเป็นมื้อเช้าหนึ่งแก้ว เสร็จแล้วจึงสะพายกระเป๋าเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเที่ยวแรก และไปถึงร้านเป็นคนแรกเหมือนเคย
งานในวันนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากทุกวัน ตรวจดูของสด รับวัตถุดิบตัวใหม่ ตกแต่งปลาที่เพิ่งนำเข้ามาเพื่อให้พร้อมสำหรับลูกค้า พอใกล้เวลาเปิดร้านหัตถ์เทพจะอาบน้ำอีกครั้งก่อนสวมเสื้อผ้าสีขาว สวมหมวกอันเป็นเครื่องแบบชองเชฟ ยืนประจำตำแหน่งรอต้อนรับลูกค้าคนแรกที่ก้าวเข้ามาในร้าน
ช่วงเช้าไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่ แต่พอใกล้เที่ยงลูกค้าก็เริ่มทยอยกันเข้ามา โชคดีที่เมนูส่วนใหญ่เป็นดงบุริกับข้าวแกงกะหรี่ งานเลยไม่ยุ่งมาก แต่เชฟใหญ่อย่างหัตถ์เทพมักไม่ค่อยอยู่นิ่ง ช่วงที่ไม่มีออเดอร์เขาก็มักจะทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย บางทีก็หยิบฟักทองหรือหัวไชเท้ามาแกะให้เป็นดอกไม้เล็กๆ เพื่อใช้ตกแต่งจาน
กำลังทำงานเพลินๆ มินะจัง พนักงานสาวหน้าตาน่ารักที่มักจะรวบผมทรงห้างม้าอยู่เสมอเดินเข้ามาบอกเสียงใส
“รับโทรศัพท์ด้วยค่ะไอระซัง”
หัตถ์เทพเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะนับตั้งแต่ทำงานที่นี่ เขาไม่เคยได้รับโทรศัพท์ในเวลางานเลยสักครั้ง จะว่าเป็นบริษัทขนส่งอาหารสดก็ไม่น่าเป็นไปได้ ความสงสัยทำให้เชฟหนุ่มมอบงานที่กำลังทำให้เชฟอีกคน เช็ดมือก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูพร้อมกับกรอกคำพูด
“ครับ”
“สวัดสีครับเชฟ” เสียงรักตปักษ์ดังเข้ามาในสาย “พร้อมจะรับคำสั่งแรกจากผมหรือยังครับ”
*/*/*/*/*
วันนี้รักตปักษ์ตื่นเช้าด้วยความรู้สึกดีกว่าทุกวัน แน่นอนว่ามันเป็นผลจากงานของเขาที่ทำให้บริษัทญี่ปุ่นตอบตกลงเซ็นสัญญา แต่นั่นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่เขาเพิ่งเจอเมื่อคืนวาน ความลับของเชฟตัวแสบที่ไม่อยากให้คนทั้งโลกรู้
ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความขบขันเมื่อหวนนึกถึงสีหน้าของหัตถ์เทพ ถึงจะทำเป็นวางมาดขรึมตีหน้านิ่ง เขากลับแน่ใจว่าแท้จริงแล้วหมอนั่นคงเจ็บใจแทบคลั่ง ฮี! สมน้ำหน้า คอยดูเถอะ กูจะหาเรื่องแกล้งให้หมดสภาพเชฟไปเลย
ปากรูปกระจับยกมุมขึ้นจนเป็นรูปโค้ง ขณะเจ้าตัวคิดแผนการร้ายไว้หลายแบบสำหรับเล่นงานคู่กรณี เมื่อจินตนาการถึงสีหน้าของหัตถ์เทพตอนโดนแกล้งแล้ว รักตปักษ์ถึงกับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนรุ่นพี่ที่บังเอิญเดินผ่านมาต้องหยุดดู
“รัก” วินัยเอ่ยเรียกและเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นรุ่นน้องไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเลยสักนิด เขาจึงกระแอมและโน้มตัวลงพร้อมกับเพิ่มเสียงให้ดังกว่าเดิม
“รัก!” คำนั้นแทบจะกรอกเข้าไปในรูหู รักตปักษ์สะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง
“ครับ” ชายหนุ่มขานรับสั้นๆ พอเห็นคนเรียกยังคงยืนจ้องเขม็งไม่พูดไม่จา เขาจึงถามด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือครับ”
“ผมต่างหากที่ควรถามแบบนั้น” วินัยพูดด้วยท่าทางจริงจังพลางใช้สายตาสำรวจราวจับพิรุธ “เห็นนั่งอมยิ้มคนเดียวมาตั้งแต่เช้า มีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ”
“เพิ่งหวานกับแฟนมาแหง” สินธุซึ่งนั่งถัดไปอีกสองโต๊ะตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาบ้าง รักตปักษ์สะดุ้งอีกครั้งและรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เฮ้ย เปล่านะครับ ผมยังไม่มีแฟน”
วินัยแกล้งพยักหน้าเออออไปด้วย แต่ยังไม่วายแหย่ “โอเคไม่ใช่แฟน ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นกิ๊ก ไม่งั้นคงไม่นั่งยิ้มตาเยิ้มแบบนี้หรอก”
“โอ๊ย พี่ ไปกันใหญ่แล้ว!” รักตปักษ์ร้องออกมาอย่างอ่อนใจและรีบเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้จะให้ผมวิ่งไปไหนครับ”
“ไม่มี” วินัยตอบหน้าตายก่อนวางหนังสือตั้งใหญ่ลงบนโต๊ะ “ผมอยากให้คุณศึกษาข้อมูลเรื่องการขนส่งเพิ่มเติม อ่านทุกหน้าอย่างละเอียด เพราะมันจะช่วยให้เข้าใจงานมากขึ้น”
รักตปักษ์มองหนังสือตรงหน้า คะเนจากสายตานอกจากจะมีความหนาแทบไม่ต่างจากเอนไซโคพิเดียแล้ว ยังมีทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น โชคดีที่ไม่มีภาษาเยอรมันหรือภาษาอาหรับ ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เปิดกูเกิ้ลกันมือหงิก
“ไหวหรือเปล่า” พอเห็นหน้าของรุ่นน้องแล้ว วินัยจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นรอยยิ้มทะเล้นของรักตปักษ์แล้วเขาก็แทบอยากจะดึงคำถามเมื่อครู่กลับ
“สบายมากครับ” ชายหนุ่มตอบพลางตบเล่มที่อยู่บนสุด “หนาแบบนี้หนุนนอนสบาย”
วินัยตบกะโหลกรุ่นน้องหนึ่งผัวะเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ แต่เพราะรู้ดีว่าภายใต้ความสนุกสนานของรักตปักษ์มีความเอาจริงเอาจังซ่อนอยู่เสมอ เขาจึงไม่ถือสากับความขี้เล่นนี้มากนัก
“อย่าทำเป็นเล่น วันนี้คุณต้องอ่านให้ได้เกินครึ่ง ผมจะทดสอบหลังเลิกงาน ถ้าอันไหนไม่ผ่านต้องกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง เข้าใจไหม”
สิ่งที่รุ่นพี่บอก ทำให้รักตปักษ์นึกเอะใจ มันอาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่วินัยสั่งให้เขานั่งศึกษาข้อมูลก็จริง แต่นับเป็นครั้งแรกที่มีการสอบหลังการอ่าน เขาอยากถามถึงเหตุผล แต่เมื่อนึกถึงงานที่เพิ่งทำสำเร็จ เขาจึงพอจะมองออกเป็นเลาๆ ว่าบางทีเจ้าของความคิดนี้ก็คือคุณตะวัน
แสดงว่าเขาอาจต้องทำหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าอีกครั้ง
ความหนักอกมาพร้อมกับความดีใจ หากคุณตะวันมีแผนจะให้เขาทำแบบนั้นจริง ก็นับเป็นความก้าวหน้า เพราะรักตปักษ์เองทำงานกับบริษัทนี้มาปีกว่า นอกจากวิ่งส่งของกับพูดคุยกับลูกค้านิดหน่อยแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากจำนวนของพนักงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประสานงานที่เดิมมีอยู่แล้วสามคน และแต่ละคนล้วนมีความสามารถ โดยเฉพาะรุ้งมณี ความสามารถของเธอนั้นโดดเด่นจนยากจะหาใครมาเทียบ
รักตปักษ์ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดจู่ๆ คุณตะวันจึงยอมเสี่ยงให้ความสนับสนุนเด็กอย่างเขา แต่ในเมื่อเจ้านายมอบความไว้วางใจ เขาก็ควรทำอย่างเต็มที่ เพื่อบริษัทและเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง
ชายหนุ่มหยิบหนังสือเล่มบนสุดมาอ่าน พลิกไปทีละหน้า ไล่สายตาไปทีละบรรทัดอย่างละเอียด จุดไหนไม่เข้าใจ เขาจะย้อนกลับไปอ่านทวนอีกครั้ง และถ้ายังติดอยู่อีกเขาก็จะใช้ตัวช่วยคือกูเกิ้ล ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลจนเป็นที่พอใจแล้วรักตปักษ์จะบันทึกลงคอม จดหัวข้อสำคัญลงสมุด ทำแบบนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนถึง 11:30 น. วินัยซึ่งคอยจับตาดูอยู่ตลอดจึงเดินมาทัก
“ไงรูปหล่อ อ่านไปกี่เล่มแล้ว ?”
“สามครับ” รักตปักษ์ตอบพลางมองหนังสือเล่มหนาที่วางไว้ตรงชั้นด้านข้าง รุ่นพี่มองตามแล้วเลิกคิ้วสูงด้วยความทึ่ง
“เก่งนี่หว่า เป็นผมนะแค่เล่มเดียวก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันแล้ว”
“ผมเลือกเล่มง่ายๆ ก่อนน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดเหมือนถ่อมตัว แต่กลับถูกวินัยเขกกะโหลกด้วยความหมั่นไส้
“ง่ายกับผีน่ะสิ ตำราภาษาจีนล้วนๆ เลยนะโว้ย” เขาส่ายหัวให้กับความทะลึ่งของรุ่นน้องก่อนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เออ ใกล้เที่ยงแล้ว ผมว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก จะไปด้วยกันไหม”
รักตปักษ์เกือบพยักหน้ารับ แต่ความคิดบางอย่างพุ่งเข้าหัวทำให้เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมตั้งใจจะอ่านเล่มนี้ให้จบ เลยคิดว่าจะสั่งพวกเดลิเวอรี่มากินน่ะครับ”
“อ้าวเหรอ แล้วจะกินอะไรล่ะ พิซซ่าหรือไก่ทอด” รุ่นพี่ซักไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้อยากรู้อะไรมากนัก อีกฝ่ายยิ้มในหน้าก่อนตอบ
“พวกข้าวราดแกงเองครับ ไม่มีอะไรมาก”
วินัยทำหน้างง “ข้าวราดแกงมันมีแบบเดลิเวอรี่ด้วยเหรอวะ”
“อ้าว ก็ร้านป้าก้อนกับลุงสิงห์ฝั่งตรงข้ามไงครับ พี่ลืมไปแล้วเหรอ” รักตปักษ์ตอบก่อนส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่เขาเคารพ “ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ พวกพี่ไปกันเถอะ”
“เอางั้นนะ” วินัยถามย้ำ เมื่อรุ่นน้องพยักหน้าเขาจึงเดินไปสมทบกับสินธุและนำขัย จากนั้นทั้งหมดจึงเดินออกจากห้องทำงาน พอได้อยู่ตามลำพังแล้ว รักตปักษ์จึงหยิบนามบัตรของร้านฮิราเมะ กดหมายเลขร้าน พอมีคนรับสายเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ