[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/36321758
บทที่ 10 มอเตอร์ไซค์วินเที่ยวพิเศษ
ปกติแล้วในทุกวันหยุด กิจกรรมหลักส่วนใหญ่ของหัตถ์เทพคือคิดค้นเมนูใหม่ๆ ซึ่งเขามักใช้วัตถุดิบที่ซื้อมาเองแล้วลองทำที่บ้าน เสร็จแล้วก็จะเดินแจกจ่ายให้คนร่วมคอนโดช่วยชิม เก็บคำแนะนำหรือคำวิจารณ์เพื่อเอาไปปรับปรุง และหากมีเวลาเหลือก็จะออกไปเดินห้าง กินข้าวในฟาสต์ฟู้ด อาจแวะดูอย่างอื่นบ้างนิดหน่อยปิดท้ายด้วยการซื้อของกินของใช้ก่อนกลับคอนโด
มันเป็นการดำเนินชีวิตธรรมดา แสนเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนยุ่งยาก หมุนวนแบบเดิมๆ มาโดยตลอดนับตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทย ถึงจะมีการพูดคุยกับเพื่อนเชฟด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเรื่องอาหาร ส่วนพนักงานร้านคนอื่นนอกจากมินะจังแล้ว เขาก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ จนกระทั่งเมื่อวาน การเจอรักตปักษ์ที่ห้างอย่างไม่คาดฝัน วันธรรมดาของเขาก็กลายเป็นวันที่ไม่ธรรมดา
ตอนเดินดูของเขาสะดุดตากับผู้ชายในเสื้อแจ๊กเก็ตสีม่วงดำ พอเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าเป็นรักตปักษ์ หัตถ์เทพยอมรับว่าวินาทีแรกเขารู้สึกใจเต้นที่ได้เจอกับลูกค้าจอมป่วนอย่างไม่คาดฝัน และความยินดีนั่นเองที่ทำให้เขาเผลอเอ่ยทักออกไป รู้ตัวอีกทีคนถูกเรียกก็หันมาแล้ว ใบหน้าออกแนวเหวอของชายหนุ่มตอนเจอกัน ดูตลกเสียจนหัตถ์เทพแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ไม่นับอาการสำลักจนหน้าแดงตอนได้ยินชื่อเล่นหรือท่าทางหงุดหงิดตอนถูกกอดบนรถมอเตอร์ไซค์ ที่น่ารักเสียจนเขาไม่อยากปล่อยมือ
ให้ตายเถอะ ถึงจะทำเป็นปากดีแต่เนื้อแท้แล้วหมอนี่ก็ขี้กลัวเหมือนกัน
เชฟหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงสีหน้าตกใจของรักตปักษ์เวลาเจอกันตรงๆ เขาอยากมองดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยแสนดื้อรั้น แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่เบือนหนีหรือไม่ก็ก้มหน้าหลบ เรื่องข้าวกล่องนั่นอีก เขารู้ว่ารักตปักษ์ต้องการแกล้งให้เขาวิ่งออกจากร้านตอนเที่ยง เลยจงใจตกแต่งไข่ปลาให้เป็นรูปหัวใจเพราะรู้ว่าหมอนั่นต้องเปิดอวดคนอื่นแน่
หัตถ์เทพยืนยิ้มอย่างมีความสุขพลางหวนย้อนนึกถึงวันแรกที่เจอกัน เขาจับตามองรักตปักษ์อยู่ตลอดเวลาและรู้ด้วยว่าโดนแกล้งเรื่องปลามีกลิ่น เลยพอจะเดาได้ว่าลูกค้าคนนี้จะต้องเป็นพวกมีปัญหาประเภทกัดไม่ปล่อย ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อหลังจากนั้น เขาเจอเรื่องป่วนจากผู้ชายคนนี้อีกหลายต่อหลายครั้ง น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับสนุกกับความดื้อดึงดันทุรังเอาชนะอย่างแสนน่ารัก นั่นเองที่ทำให้เชฟหนุ่มเริ่มสนใจรักตปักษ์มากยิ่งขึ้น ยิ่งรู้ว่าลูกค้าหนุ่มคนนี้ทำงานกับคุณสึกิยาม่า หรือคุณตะวัน เพื่อนของคุณซาโตชิเจ้าของร้านและเป็นลูกค้าระดับวีไอพีด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งอยากเข้าใกล้ เพราะจากที่ได้ยิน ดูเหมือนคุณตะวันจะถูกใจรักตปักษ์มาก เอ่ยชมให้คุณซาโตชิฟังบ่อยๆว่าเด็กคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ นิสัยน่ารัก มีไหวพริบความฉลาด มี First Contact เป็นเลิศ ถึงขนาดให้ความสนับสนุนเรื่องหน้าที่การงานอย่างออกหน้าออกตา
ไม่ใช่แค่คุณตะวันหรอกที่สนใจ เขาเองก็ชอบผู้ชายคนนี้เหมือนกัน
ความรู้สึกนี้เริ่มต้นขึ้นตอนที่เขาถูกรักตปักษ์ตำหนิเรื่องความรับผิดชอบต่องาน ซึ่งต้นเหตุมาจากเรื่องปลาสุกิ สำหรับคนอื่นมันอาจเป็นเพียงคำพูดเล็กน้อย แต่กับเขา ใบหน้าที่ดูจริงจังผิดไปจากเคยของหนุ่มบิ๊กไบค์ จุดประกายบางอย่างให้ปะทุขึ้นภายในใจของหัตถ์เทพ
ความรู้สึกผูกพันที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ทำให้เชฟหนุ่มให้ความสนใจรักตปักษ์มากยิ่งขึ้น ตอนหนุ่มบิ๊กไบค์ก้าวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางหดหู่ เขาก็ใช้วาซาบิมาช่วยให้ตื่นตัว เรื่องสอบนั่นก็ด้วย ที่รู้ไม่ใช่เพราะแค่ท่าทางอิดโรย หากเพราะคุณตะวันเปรยให้ฟังตอนมานั่งกินมื้อค่ำที่ร้าน นั่นเองที่ทำให้เขาเริ่มเป็นห่วงรักตปักษ์ จนถึงขั้นอยากดูแลให้ดียิ่งกว่าลูกค้าคนใด หัตถ์เทพนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดความคิดลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกันได้แบบนั้น และแน่ใจว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อรักตปักษ์มันมากเกินกว่าความเป็นเพื่อน
ไอ้อาการแบบนี้มันควรจะเรียกว่าตกหลุมรักได้หรือเปล่า ?
เชฟหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองและส่ายหน้าช้าๆ รัก? เขาทวนคำและใจเต้นเมื่อนึกได้ว่ามันพ้องกับชื่อของคนที่กำลังคิดถึง อย่าเพ้อเจ้อน่าหัตถ์เทพ ต่อให้มีความรู้สึกดีต่อกันมากแค่ไหน เขาทั้งสองคนก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน มันคงไม่ใช่ความรักหรอก
“มีอะไรหรือเปล่าคะไอระซัง?”
เสียงใสของมินะจังซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชุดจากกิโมโนไปเป็นเสื้อผ้าวัยรุ่นเอ่ยถาม หัตถ์เทพหันไปส่งยิ้มให้เธอ
“เปล่านี่ครับ ทำไมหรือ?”
“ก็เห็นไอระซังยืนทำหน้าแปลกๆ เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย” เธอยิ้มก่อนยื่นหน้าเข้าไปกระเซ้า “กำลังคิดถึงแฟนอยู่แหง”
“เฮ้ย ! เปล่า ไม่ใช่” เชฟหนุ่มปฏิเสธพร้อมโบกมือ “แฟนเฟินที่ไหน ไม่มี ผมกำลังคิดเรื่องงานอยู่ต่างหากล่ะมินะจัง”
อาการร้อนตัวแถมคำพูดที่ดูผิดไปจากเดิม ยิ่งสร้างความอยากรู้ให้กับสาวมินะมากยิ่งขึ้น แต่เพราะรู้ดีว่าถามไป คนปากหนักอย่างไอระซังก็ไม่มีวันบอก เธอจึงยักไหล่
“เรื่องงานก็เรื่องงาน แล้วไอระซังยังไม่กลับอีกหรือคะ” ที่ถามเพราะตอนนี้ทั้งร้านเหลือแค่เธอกับหัตถ์เทพเพียงสองคน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะทั้งคู่มักจะอยู่เช็คข้าวของ ตรวจความเรียบร้อยของร้านอย่างละเอียดก่อนกลับบ้านทุกวัน โดยเฉพาะเชฟใหญ่ที่ออกจากร้านเป็นคนสุดท้ายเสมอ
“ผมขอเช็คของในตู้อีกรอบก่อน” หัตถ์เทพตอบ มินะจังผงกศีรษะก่อนมองนาฬิกาข้อมือ
“จะเที่ยงคืนอยู่แล้วนะคะ เดี๋ยวก็ไม่ทันรถหรอก”
เธอเตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะหัตถ์เทพมักทำงานเพลินจนลืมเวลา ทำให้หวิดพลาดบีทีเอสเที่ยวสุดท้ายอยู่หลายครั้ง อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ก่อนตอบเสียงนุ่ม
“ทันแน่ครับ มินะจังเองก็กลับบ้านได้แล้วไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ”
“ไมได้ห่วง แค่ไม่อยากบิดมอเตอร์ไซค์ไปส่งไอระซังที่คอนโดต่างหาก” หญิงสาวแกล้งแหย่เพราะเธอเคยไปส่งหัตถ์เทพถึงที่พักมาแล้วครั้งหนึ่ง พอหวนนึกถึงเชฟตัวสูงโย่งนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ผู้หญิงที่คนขับเองก็ตัวเล็กนิดเดียวแล้วเธอก็นึกขำจนหัวเราะคิกออกมา เหมือนยีราฟกับแรคคูนไม่มีผิด
“งั้นฉันกลับก่อนนะคะ” มินะจังพูดหลังจากพยายามหยุดหัวเราะจนสำเร็จ อีกฝ่ายยังคงยิ้มเช่นเดิม
“ครับ ขับรถดีๆนะครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้” เชฟหนุ่มกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งเมื่อพนักงานสาวออกจากร้านไปแล้วเขาก็ล็อคกุญแจหน้าก่อนเดินกลับไปตรวจความเรียบร้อยในครัวอีกรอบ ผ่านไปพักใหญ่งานจึงเสร็จ ดับไฟทุกดวงปิดประตูร้านแล้วหัตถ์เทพจึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดูเวลา เมื่อรู้ว่าเลยเที่ยงคืนไปมากและตัวเขาเองตกรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายแล้ว เชฟหนุ่มก็ถอนใจ
“คงต้องแท็กซี่” เขาพูดพึมพำอย่างไม่ชอบใจนักก่อนออกเดิน ไปได้ครึ่งทางหูก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของรถจักรยานยนต์ดังมาจากด้านหลัง ฟังคล้ายคามุยอิ เขานึกและสะบัดศีรษะเบาๆ จะเป็นไปได้ยังไง ป่านนี้หมอนั่นคงนอนหลับอุตุไปแล้ว
เสียงมอเตอร์ไซค์คันนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แทนที่จะวิ่งผ่านเลยไปมันกลับชะลอความเร็วและหยุดลง ยังไม่ทันได้หันไปมอง เชฟหนุ่มต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนขับ
“คุณหัตถ์เทพ”
*/*/*/*/*/*
หากจะนับเรื่องการกินข้าวกับหัตถ์เทพเป็นเรื่องแย่แล้ว พอเจอกับบททดสอบของคุณตะวันที่ทยอยเข้ามาไม่หยุดกลับแย่ยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่า เพราะไม่เพียงต้องทำข้อสอบมหาหินติดกันสองวัน รุ่งขึ้นหลังวันหยุดเขาก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปสัตหีบเพื่อดูงาน ครั้งแรกวินัยเสนอให้ไปโดยรถทัวร์แต่รักตปักษ์กลับขอขับมอเตอร์ไซค์ไปเอง โดยอ้างเหตุผลเรื่องความคล่องตัว
ระยะทางไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่หลงใหลธรรมชาติ ความเร็ว กับสายลม สิ่งที่สร้างความปวดหัวและดูดพลังชีวิตของหนุ่มบิ๊กไบค์จนลดฮวบเดียวตกถึงศูนย์คืองาน เพราะมันไม่ใช่แค่การเดินดูผ่านๆ หากต้องศึกษาทุกอย่างให้ลึกซึ้งนับตั้งแต่งานเปเปอร์ไปยันขั้นตอนการขนส่ง เพื่อที่จะได้ให้ความกระจ่างกับลูกค้าเวลาเสนองาน ด้วยหลักสูตรแบบเร่งรัดต้องเรียนจบภายในเวลาหนึ่งวัน กว่าจะครบหมดทุกอย่างฟ้าก็มืด หลังจากโทร.รายงานให้คุณตะวันทราบและปฏิเสธการนอนค้างคืนด้วยเหตุผลเรื่องงานของบริษัทแล้ว รักตปักษ์จึงบึ่งมอเตอร์ไซดกลับภายในวันนั้นเลย
ชายหนุ่มบิดเจ้าคามุยอิแสนรักตียาวจากสัตหีบ แวะพักตรงปั๊มน้ำมันแถวบางแสนเพียงครั้งเดียวก่อนตรงดิ่งเข้ากรุงเทพ แต่ต้องมาเสียเวลากับขบวนรถบรรทุกตั้งแต่ช่วงบางพลีไปจนถึงบางนา พอหลุดออกมาเขาจึงวิ่งซอกแซกเข้าซอยเพื่อเลี่ยงรถติดแต่ไปๆ มาๆ ดันไปโผล่ในซอยร้านฮิราเมะ ซึ่งรักตปักษ์ก็งงตัวเองเหมือนกันว่าเขาจะมาที่นี่ทำไม เพราะตอนไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว แต่ระหว่างขับรถเพื่อออกจากซอยนั่นเอง ชายหนุ่มก็เห็นผู้ชายตัวสูงรูปร่างคุ้นตากำลังเดินอย่างเร่งรีบอยู่บนทางเท้า ไม่จำเป็นต้องมองหน้า เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ใคร
ใจของรักตปักษ์เต้นแรงซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความดีใจที่ได้เจอหรือตื่นเต้นที่จะได้หาเรื่องแกล้งผู้ชายคนนี้กันแน่ เขารีบบังคับจักรยานยนต์เข้าไปแล่นใกล้ๆ เปิดหน้ากากกันลมก่อนเอ่ยเรียก
“คุณหัตถ์เทพ”
คนถูกเรียกทำหน้าแปลกใจก่อนหมุนตัวหันไปหา “คุณรัก” เอ่ยชื่ออย่างนึกไม่ถึงก่อนดวงตาคมจะไล่มองสำรวจทั้งมอเตอร์ไซค์และคนขับ “มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
“ผมเพิ่งกลับจากดูงานที่สัตหีบ แล้วคุณล่ะครับทำไมถึงกลับเอาป่านนี้” ชายหนุ่มตอบไปตามตรงพลางพลิกนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา “รถไฟฟ้าหมดแล้ว จะกลับยังไงครับเนี่ย”
“แท็กซี่ครับ” หัตถ์เทพตอบ และทำท่าจะโบกมือเรียกแท็กซี่ซึ่งบังเอิญวิ่งออกจากซอยพอดี แต่ต้องแปลกใจเมื่อรักตปักษ์รีบคว้ามือเขาเอาไว้ เชฟหนุ่มมองรถรับจ้างสีเหลืองเขียวแล่นผ่านไปอย่างเสียดายก่อนหันไปทางคนห้าม ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
เป็นข้อเสนอที่ทำให้หัตถ์เทพประหลาดใจไม่น้อย เพราะรู้ดีว่ารักตปักษ์ไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่ แล้วทำไมจู่ๆถึงเกิดมีน้ำใจขึ้นมา นี่แสดงว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ใช่ไหม
“อย่าดีกว่าครับ...”
“ทำไมครับ อย่าบอกนะว่าไม่อยากให้ผมรู้จักบ้าน”
ถ้าเป็นประโยคที่หลุดจากปากคนอื่น เขาคงยอมรับว่าใช่ แต่กับคนชื่อรักตปักษ์ เชฟหนุ่มกลับเต็มใจแถมยังอยากเชิญเข้าไปดื่มชาในบ้านเลยด้วยซ้ำ
“อยากสิครับ” พูดไปตามใจคิด รักตปักษ์จึงตบเบาะหลังเบาๆ
“งั้นก็ขึ้นมาเลย”
บิ๊กไบค์ไหวยวบเล็กน้อยเมื่อมีน้ำหนักผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอีกคน คนขับรอจนคนซ้อนขยับให้เข้าที่ จึงเอ่ยปากเตือน
“ผมมีหมวกแค่ใบเดียว นั่งระวังเอาหน่อยก็แล้วกัน”
“ครับ”
“เกาะเอวผมได้นะ ถ้ากลัว”
เป็นการบอกด้วยเจตนาดี เชฟหนุ่มจึงอมยิ้มน้อยๆก่อนตอบ
“ครับ”
รับคำสั้นเสียจนรักตปักษ์เหลือบตามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นคนซ้อนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา เขาจึงถามชื่อคอนโด ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบจากหัตถ์เทพแล้ว ชายหนุ่มจึงปิดหน้ากากกันลม บิดคันเร่ง พาเขาและผู้โดยสารพุ่งออกจากที่นั่นทันที
เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืน ท้องถนนจึงแทบจะไร้ยวดยานวิ่งผ่านไปมา ปกติแล้วทางโล่งแบบนี้รักตปักษ์จะวิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 120 กม./ชม. แต่พอมีคนซ้อนท้าย ความเร็วกลับลดลงเกือบครึ่ง ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย หากชายหนุ่มมีแผนเด็ดไว้แกล้งหัตถ์เทพต่างหาก
เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 10 มอเตอร์ไซด์วินเที่ยวพิเศษ
บทที่ 10 มอเตอร์ไซค์วินเที่ยวพิเศษ
ปกติแล้วในทุกวันหยุด กิจกรรมหลักส่วนใหญ่ของหัตถ์เทพคือคิดค้นเมนูใหม่ๆ ซึ่งเขามักใช้วัตถุดิบที่ซื้อมาเองแล้วลองทำที่บ้าน เสร็จแล้วก็จะเดินแจกจ่ายให้คนร่วมคอนโดช่วยชิม เก็บคำแนะนำหรือคำวิจารณ์เพื่อเอาไปปรับปรุง และหากมีเวลาเหลือก็จะออกไปเดินห้าง กินข้าวในฟาสต์ฟู้ด อาจแวะดูอย่างอื่นบ้างนิดหน่อยปิดท้ายด้วยการซื้อของกินของใช้ก่อนกลับคอนโด
มันเป็นการดำเนินชีวิตธรรมดา แสนเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนยุ่งยาก หมุนวนแบบเดิมๆ มาโดยตลอดนับตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทย ถึงจะมีการพูดคุยกับเพื่อนเชฟด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเรื่องอาหาร ส่วนพนักงานร้านคนอื่นนอกจากมินะจังแล้ว เขาก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ จนกระทั่งเมื่อวาน การเจอรักตปักษ์ที่ห้างอย่างไม่คาดฝัน วันธรรมดาของเขาก็กลายเป็นวันที่ไม่ธรรมดา
ตอนเดินดูของเขาสะดุดตากับผู้ชายในเสื้อแจ๊กเก็ตสีม่วงดำ พอเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าเป็นรักตปักษ์ หัตถ์เทพยอมรับว่าวินาทีแรกเขารู้สึกใจเต้นที่ได้เจอกับลูกค้าจอมป่วนอย่างไม่คาดฝัน และความยินดีนั่นเองที่ทำให้เขาเผลอเอ่ยทักออกไป รู้ตัวอีกทีคนถูกเรียกก็หันมาแล้ว ใบหน้าออกแนวเหวอของชายหนุ่มตอนเจอกัน ดูตลกเสียจนหัตถ์เทพแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ไม่นับอาการสำลักจนหน้าแดงตอนได้ยินชื่อเล่นหรือท่าทางหงุดหงิดตอนถูกกอดบนรถมอเตอร์ไซค์ ที่น่ารักเสียจนเขาไม่อยากปล่อยมือ
ให้ตายเถอะ ถึงจะทำเป็นปากดีแต่เนื้อแท้แล้วหมอนี่ก็ขี้กลัวเหมือนกัน
เชฟหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงสีหน้าตกใจของรักตปักษ์เวลาเจอกันตรงๆ เขาอยากมองดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยแสนดื้อรั้น แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่เบือนหนีหรือไม่ก็ก้มหน้าหลบ เรื่องข้าวกล่องนั่นอีก เขารู้ว่ารักตปักษ์ต้องการแกล้งให้เขาวิ่งออกจากร้านตอนเที่ยง เลยจงใจตกแต่งไข่ปลาให้เป็นรูปหัวใจเพราะรู้ว่าหมอนั่นต้องเปิดอวดคนอื่นแน่
หัตถ์เทพยืนยิ้มอย่างมีความสุขพลางหวนย้อนนึกถึงวันแรกที่เจอกัน เขาจับตามองรักตปักษ์อยู่ตลอดเวลาและรู้ด้วยว่าโดนแกล้งเรื่องปลามีกลิ่น เลยพอจะเดาได้ว่าลูกค้าคนนี้จะต้องเป็นพวกมีปัญหาประเภทกัดไม่ปล่อย ซึ่งก็เป็นจริงเมื่อหลังจากนั้น เขาเจอเรื่องป่วนจากผู้ชายคนนี้อีกหลายต่อหลายครั้ง น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับสนุกกับความดื้อดึงดันทุรังเอาชนะอย่างแสนน่ารัก นั่นเองที่ทำให้เชฟหนุ่มเริ่มสนใจรักตปักษ์มากยิ่งขึ้น ยิ่งรู้ว่าลูกค้าหนุ่มคนนี้ทำงานกับคุณสึกิยาม่า หรือคุณตะวัน เพื่อนของคุณซาโตชิเจ้าของร้านและเป็นลูกค้าระดับวีไอพีด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งอยากเข้าใกล้ เพราะจากที่ได้ยิน ดูเหมือนคุณตะวันจะถูกใจรักตปักษ์มาก เอ่ยชมให้คุณซาโตชิฟังบ่อยๆว่าเด็กคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ นิสัยน่ารัก มีไหวพริบความฉลาด มี First Contact เป็นเลิศ ถึงขนาดให้ความสนับสนุนเรื่องหน้าที่การงานอย่างออกหน้าออกตา
ไม่ใช่แค่คุณตะวันหรอกที่สนใจ เขาเองก็ชอบผู้ชายคนนี้เหมือนกัน
ความรู้สึกนี้เริ่มต้นขึ้นตอนที่เขาถูกรักตปักษ์ตำหนิเรื่องความรับผิดชอบต่องาน ซึ่งต้นเหตุมาจากเรื่องปลาสุกิ สำหรับคนอื่นมันอาจเป็นเพียงคำพูดเล็กน้อย แต่กับเขา ใบหน้าที่ดูจริงจังผิดไปจากเคยของหนุ่มบิ๊กไบค์ จุดประกายบางอย่างให้ปะทุขึ้นภายในใจของหัตถ์เทพ
ความรู้สึกผูกพันที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ทำให้เชฟหนุ่มให้ความสนใจรักตปักษ์มากยิ่งขึ้น ตอนหนุ่มบิ๊กไบค์ก้าวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางหดหู่ เขาก็ใช้วาซาบิมาช่วยให้ตื่นตัว เรื่องสอบนั่นก็ด้วย ที่รู้ไม่ใช่เพราะแค่ท่าทางอิดโรย หากเพราะคุณตะวันเปรยให้ฟังตอนมานั่งกินมื้อค่ำที่ร้าน นั่นเองที่ทำให้เขาเริ่มเป็นห่วงรักตปักษ์ จนถึงขั้นอยากดูแลให้ดียิ่งกว่าลูกค้าคนใด หัตถ์เทพนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดความคิดลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกันได้แบบนั้น และแน่ใจว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อรักตปักษ์มันมากเกินกว่าความเป็นเพื่อน
ไอ้อาการแบบนี้มันควรจะเรียกว่าตกหลุมรักได้หรือเปล่า ?
เชฟหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองและส่ายหน้าช้าๆ รัก? เขาทวนคำและใจเต้นเมื่อนึกได้ว่ามันพ้องกับชื่อของคนที่กำลังคิดถึง อย่าเพ้อเจ้อน่าหัตถ์เทพ ต่อให้มีความรู้สึกดีต่อกันมากแค่ไหน เขาทั้งสองคนก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน มันคงไม่ใช่ความรักหรอก
“มีอะไรหรือเปล่าคะไอระซัง?”
เสียงใสของมินะจังซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชุดจากกิโมโนไปเป็นเสื้อผ้าวัยรุ่นเอ่ยถาม หัตถ์เทพหันไปส่งยิ้มให้เธอ
“เปล่านี่ครับ ทำไมหรือ?”
“ก็เห็นไอระซังยืนทำหน้าแปลกๆ เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย” เธอยิ้มก่อนยื่นหน้าเข้าไปกระเซ้า “กำลังคิดถึงแฟนอยู่แหง”
“เฮ้ย ! เปล่า ไม่ใช่” เชฟหนุ่มปฏิเสธพร้อมโบกมือ “แฟนเฟินที่ไหน ไม่มี ผมกำลังคิดเรื่องงานอยู่ต่างหากล่ะมินะจัง”
อาการร้อนตัวแถมคำพูดที่ดูผิดไปจากเดิม ยิ่งสร้างความอยากรู้ให้กับสาวมินะมากยิ่งขึ้น แต่เพราะรู้ดีว่าถามไป คนปากหนักอย่างไอระซังก็ไม่มีวันบอก เธอจึงยักไหล่
“เรื่องงานก็เรื่องงาน แล้วไอระซังยังไม่กลับอีกหรือคะ” ที่ถามเพราะตอนนี้ทั้งร้านเหลือแค่เธอกับหัตถ์เทพเพียงสองคน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะทั้งคู่มักจะอยู่เช็คข้าวของ ตรวจความเรียบร้อยของร้านอย่างละเอียดก่อนกลับบ้านทุกวัน โดยเฉพาะเชฟใหญ่ที่ออกจากร้านเป็นคนสุดท้ายเสมอ
“ผมขอเช็คของในตู้อีกรอบก่อน” หัตถ์เทพตอบ มินะจังผงกศีรษะก่อนมองนาฬิกาข้อมือ
“จะเที่ยงคืนอยู่แล้วนะคะ เดี๋ยวก็ไม่ทันรถหรอก”
เธอเตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะหัตถ์เทพมักทำงานเพลินจนลืมเวลา ทำให้หวิดพลาดบีทีเอสเที่ยวสุดท้ายอยู่หลายครั้ง อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ก่อนตอบเสียงนุ่ม
“ทันแน่ครับ มินะจังเองก็กลับบ้านได้แล้วไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ”
“ไมได้ห่วง แค่ไม่อยากบิดมอเตอร์ไซค์ไปส่งไอระซังที่คอนโดต่างหาก” หญิงสาวแกล้งแหย่เพราะเธอเคยไปส่งหัตถ์เทพถึงที่พักมาแล้วครั้งหนึ่ง พอหวนนึกถึงเชฟตัวสูงโย่งนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ผู้หญิงที่คนขับเองก็ตัวเล็กนิดเดียวแล้วเธอก็นึกขำจนหัวเราะคิกออกมา เหมือนยีราฟกับแรคคูนไม่มีผิด
“งั้นฉันกลับก่อนนะคะ” มินะจังพูดหลังจากพยายามหยุดหัวเราะจนสำเร็จ อีกฝ่ายยังคงยิ้มเช่นเดิม
“ครับ ขับรถดีๆนะครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้” เชฟหนุ่มกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งเมื่อพนักงานสาวออกจากร้านไปแล้วเขาก็ล็อคกุญแจหน้าก่อนเดินกลับไปตรวจความเรียบร้อยในครัวอีกรอบ ผ่านไปพักใหญ่งานจึงเสร็จ ดับไฟทุกดวงปิดประตูร้านแล้วหัตถ์เทพจึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดูเวลา เมื่อรู้ว่าเลยเที่ยงคืนไปมากและตัวเขาเองตกรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายแล้ว เชฟหนุ่มก็ถอนใจ
“คงต้องแท็กซี่” เขาพูดพึมพำอย่างไม่ชอบใจนักก่อนออกเดิน ไปได้ครึ่งทางหูก็ได้ยินเสียงกระหึ่มของรถจักรยานยนต์ดังมาจากด้านหลัง ฟังคล้ายคามุยอิ เขานึกและสะบัดศีรษะเบาๆ จะเป็นไปได้ยังไง ป่านนี้หมอนั่นคงนอนหลับอุตุไปแล้ว
เสียงมอเตอร์ไซค์คันนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แทนที่จะวิ่งผ่านเลยไปมันกลับชะลอความเร็วและหยุดลง ยังไม่ทันได้หันไปมอง เชฟหนุ่มต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนขับ
“คุณหัตถ์เทพ”
*/*/*/*/*/*
หากจะนับเรื่องการกินข้าวกับหัตถ์เทพเป็นเรื่องแย่แล้ว พอเจอกับบททดสอบของคุณตะวันที่ทยอยเข้ามาไม่หยุดกลับแย่ยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่า เพราะไม่เพียงต้องทำข้อสอบมหาหินติดกันสองวัน รุ่งขึ้นหลังวันหยุดเขาก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปสัตหีบเพื่อดูงาน ครั้งแรกวินัยเสนอให้ไปโดยรถทัวร์แต่รักตปักษ์กลับขอขับมอเตอร์ไซค์ไปเอง โดยอ้างเหตุผลเรื่องความคล่องตัว
ระยะทางไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่หลงใหลธรรมชาติ ความเร็ว กับสายลม สิ่งที่สร้างความปวดหัวและดูดพลังชีวิตของหนุ่มบิ๊กไบค์จนลดฮวบเดียวตกถึงศูนย์คืองาน เพราะมันไม่ใช่แค่การเดินดูผ่านๆ หากต้องศึกษาทุกอย่างให้ลึกซึ้งนับตั้งแต่งานเปเปอร์ไปยันขั้นตอนการขนส่ง เพื่อที่จะได้ให้ความกระจ่างกับลูกค้าเวลาเสนองาน ด้วยหลักสูตรแบบเร่งรัดต้องเรียนจบภายในเวลาหนึ่งวัน กว่าจะครบหมดทุกอย่างฟ้าก็มืด หลังจากโทร.รายงานให้คุณตะวันทราบและปฏิเสธการนอนค้างคืนด้วยเหตุผลเรื่องงานของบริษัทแล้ว รักตปักษ์จึงบึ่งมอเตอร์ไซดกลับภายในวันนั้นเลย
ชายหนุ่มบิดเจ้าคามุยอิแสนรักตียาวจากสัตหีบ แวะพักตรงปั๊มน้ำมันแถวบางแสนเพียงครั้งเดียวก่อนตรงดิ่งเข้ากรุงเทพ แต่ต้องมาเสียเวลากับขบวนรถบรรทุกตั้งแต่ช่วงบางพลีไปจนถึงบางนา พอหลุดออกมาเขาจึงวิ่งซอกแซกเข้าซอยเพื่อเลี่ยงรถติดแต่ไปๆ มาๆ ดันไปโผล่ในซอยร้านฮิราเมะ ซึ่งรักตปักษ์ก็งงตัวเองเหมือนกันว่าเขาจะมาที่นี่ทำไม เพราะตอนไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว แต่ระหว่างขับรถเพื่อออกจากซอยนั่นเอง ชายหนุ่มก็เห็นผู้ชายตัวสูงรูปร่างคุ้นตากำลังเดินอย่างเร่งรีบอยู่บนทางเท้า ไม่จำเป็นต้องมองหน้า เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ใคร
ใจของรักตปักษ์เต้นแรงซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความดีใจที่ได้เจอหรือตื่นเต้นที่จะได้หาเรื่องแกล้งผู้ชายคนนี้กันแน่ เขารีบบังคับจักรยานยนต์เข้าไปแล่นใกล้ๆ เปิดหน้ากากกันลมก่อนเอ่ยเรียก
“คุณหัตถ์เทพ”
คนถูกเรียกทำหน้าแปลกใจก่อนหมุนตัวหันไปหา “คุณรัก” เอ่ยชื่ออย่างนึกไม่ถึงก่อนดวงตาคมจะไล่มองสำรวจทั้งมอเตอร์ไซค์และคนขับ “มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
“ผมเพิ่งกลับจากดูงานที่สัตหีบ แล้วคุณล่ะครับทำไมถึงกลับเอาป่านนี้” ชายหนุ่มตอบไปตามตรงพลางพลิกนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา “รถไฟฟ้าหมดแล้ว จะกลับยังไงครับเนี่ย”
“แท็กซี่ครับ” หัตถ์เทพตอบ และทำท่าจะโบกมือเรียกแท็กซี่ซึ่งบังเอิญวิ่งออกจากซอยพอดี แต่ต้องแปลกใจเมื่อรักตปักษ์รีบคว้ามือเขาเอาไว้ เชฟหนุ่มมองรถรับจ้างสีเหลืองเขียวแล่นผ่านไปอย่างเสียดายก่อนหันไปทางคนห้าม ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
เป็นข้อเสนอที่ทำให้หัตถ์เทพประหลาดใจไม่น้อย เพราะรู้ดีว่ารักตปักษ์ไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่ แล้วทำไมจู่ๆถึงเกิดมีน้ำใจขึ้นมา นี่แสดงว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ใช่ไหม
“อย่าดีกว่าครับ...”
“ทำไมครับ อย่าบอกนะว่าไม่อยากให้ผมรู้จักบ้าน”
ถ้าเป็นประโยคที่หลุดจากปากคนอื่น เขาคงยอมรับว่าใช่ แต่กับคนชื่อรักตปักษ์ เชฟหนุ่มกลับเต็มใจแถมยังอยากเชิญเข้าไปดื่มชาในบ้านเลยด้วยซ้ำ
“อยากสิครับ” พูดไปตามใจคิด รักตปักษ์จึงตบเบาะหลังเบาๆ
“งั้นก็ขึ้นมาเลย”
บิ๊กไบค์ไหวยวบเล็กน้อยเมื่อมีน้ำหนักผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอีกคน คนขับรอจนคนซ้อนขยับให้เข้าที่ จึงเอ่ยปากเตือน
“ผมมีหมวกแค่ใบเดียว นั่งระวังเอาหน่อยก็แล้วกัน”
“ครับ”
“เกาะเอวผมได้นะ ถ้ากลัว”
เป็นการบอกด้วยเจตนาดี เชฟหนุ่มจึงอมยิ้มน้อยๆก่อนตอบ
“ครับ”
รับคำสั้นเสียจนรักตปักษ์เหลือบตามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นคนซ้อนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา เขาจึงถามชื่อคอนโด ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบจากหัตถ์เทพแล้ว ชายหนุ่มจึงปิดหน้ากากกันลม บิดคันเร่ง พาเขาและผู้โดยสารพุ่งออกจากที่นั่นทันที
เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืน ท้องถนนจึงแทบจะไร้ยวดยานวิ่งผ่านไปมา ปกติแล้วทางโล่งแบบนี้รักตปักษ์จะวิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 120 กม./ชม. แต่พอมีคนซ้อนท้าย ความเร็วกลับลดลงเกือบครึ่ง ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย หากชายหนุ่มมีแผนเด็ดไว้แกล้งหัตถ์เทพต่างหาก