เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน ตอนพิเศษ วันธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

กระทู้สนทนา
ตอนพิเศษ วันธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

          หัตถ์เทพเรียงชิ้นปลามากุโร่ไว้บนชามข้าวอย่างประณีต ตกแต่งด้วยใบชิโสะซึ่งมีไข่กุ้งกับวาซาบิจัดวางไว้อย่างสวยงาม เสร็จแล้วจึงเลื่อนส่งให้พนักงานเพื่อที่จะนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้า จากนั้นจึงทำความสะอาดมีดและเขียงในเวลาเดียวกันก็มองคนที่กำลังจ้องตาใสอยู่อีกด้านหนึ่งของบาร์ไปด้วย

          “มองอะไรครับ”

          เขาถามเสียงนุ่ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งจ้องหน้าโดยไม่พูดไม่จา รักตปักษ์ยักไหล่

          “เปล่า ถามทำไม”

          “ก็คุณเอาแต่จ้องหน้าผมตั้งแต่เข้ามานั่งในร้าน” เชฟหนุ่มพูดพลางคลี่ยิ้มร้ายและยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ “แฟนคุณหล่อขนาดนั้นเลยหรือครับ”

          ใบหน้าของหนุ่มบิ๊กไบค์ร้อนฉ่าขึ้นมาในทันที เขาเหลือบตามองซ้ายขวาเมื่อไม่มีใครนั่งอยู่ใกล้ๆ เลยหลุดปากพอให้อีกฝ่ายได้ยิน

          “แฟนบ้าอะไร อย่าหลงตัวเองได้ไหมวะ!”

          หัตถ์เทพไม่ได้โกรธคำพูดนั้นเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่ามันเป็นประโยคที่น่าฟัง โดยเฉพาะคนพูดคือรักตปักษ์ด้วยแล้ว มันก็ยิ่งน่ารักมากที่สุด

          “ผมไม่ได้หลงตัวเองนะครับ” เขาพูดเสียงนุ่มพลางเลื่อนเข้าไปใกล้หนุ่มบิ๊กไบค์อีกนิด “แต่ถ้าหลงรักคุณละก็ ผมยอมรับ”

          ไม่พูดเปล่ายังจ้องปากรูปกระจับเขม็งแถมแกล้งเลียปากเหมือนอยากกัดเต็มแก่ ทำเอาคนที่กำลังนั่งหน้าร้อนอยู่แล้วเขินจนตัวแทบระเบิด

          “พูดอะไรดูสถานที่หน่อย” รักตปักษ์พูดเบาๆ เชฟหนุ่มเอียงคอมองคนรักที่กำลังนั่งตัวบิดทำอะไรไม่ถูกอย่างนึกเอ็นดูก่อนตอบ

          “งั้นคืนนี้ไปค้างกับผมสิครับ จะได้พูดให้ฟังอีกครั้งแบบใกล้ชิด”

          ประโยคแรกยังพอรับได้ แต่ไอ้ท่อนสุดท้ายมันไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ยิ่งเห็นคนพูดทำตาวิบวับไม่ต่างจากไฟกะพริบบนต้นคริสมาสต์ด้วยแล้ว หนุ่มบิ๊กไบค์ก็ยิ่งมั่นใจเลยว่าขืนทำตามข้อเสนอ ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะไม่ปลอดภัย

          “ไม่”

          เขาพูดสั้นๆ ก่อนดื่มน้ำรวดเดียวหมดแล้ว เช็คบิลเดินออกจากร้าน และเจอหัตถ์เทพมายืนรอตรงจุดที่เขาจอดมอเตอร์ไซด์เอาไว้เหมือนเช่นเคย

          “ไม่ไปจริงๆ หรือครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จนรักตปักษ์ต้องนับหนึ่งถึงสิบพร้อมจิกมือไว้เพื่อเตือนไม่ให้ตัวเองเผลอใจอ่อนก่อนตอบ

          “ก็บอกไปแล้วไง”

          “ตั้งแต่ที่ไปนอนค้างด้วยกันคราวก่อน ก็เกือบสองอาทิตย์แล้วนะครับ” เชฟหนุ่มพูดพลางขยับเข้าไปหาและก้มลงกระซิบข้างหู “นอนคนเดียวมันหนาวนะครับ”

          เขาแตะริมฝีปากกับแก้มขาวเบาๆ ทำให้หนุ่มบิ๊กไบค์ถึงกับสะดุ้งและรีบถอยออกห่างทันที

          “ทำบ้าอะไรน่ะ!” เขาติงเสียงเข้มก่อนกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครในลานจอดรถจึงถอนใจออกมาก่อนจะหันกลับไปเล่นงานคนรักที่ชอบทำตัวรุ่มร่ามไม่ดูสถานที่ “เลิกทำแบบนี้ได้ไหม เกิดใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”

          “บอกแล้วไงครับว่าผมไม่สน”

          “แต่ผมสน อย่าลืมสิว่าคุณเป็นเชฟ จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงร้าน คิดถึงงานที่ทำบ้าง สังคมสมัยนี้อาจเปิดกว้างแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับมันได้”

          รักตปักษ์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแถมยังมีท่าทางจริงจัง ซึ่งตัวหัตถ์เทพเองก็เห็นด้วยในข้อนั้น แต่เพราะก่อนที่จะหยอกคนรักทุกครั้ง เขาจะดูจนแน่ใจแล้วว่าแถวนั้นไม่มีใคร เลยกล้าทำอะไรไปโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเห็น

          “ครับ” พอเห็นคนรักยืนหน้าง้ำ เชฟหนุ่มจึงกล่าวรับคำและคลี่ยิ้มบางพลางมองแฟนของตัวเองด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์

          “ถ้าไม่อยากให้ผมทำตรงนี้ งั้นไปนอนค้างด้วยกันนะครับ”

          “ไม่โว้ย!”

          หนุ่มบิ๊กไบค์โพล่งออกมาดังลั่นก่อนทำท่าจะสวมหมวก แต่หัตถ์เทพคว้าข้อมือไว้ก่อน

          “พรุ่งนี้ผมหยุด เราไปดีดูหนังกันดีไหมครับ” เขาถามเสียงนุ่ม รักตปักษ์มุ่นคิ้วมองหน้าเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังมาไม้ไหน ถ้าตกปากรับคำไปแล้ว จะโดนหว่านล้อมให้ไปนอนค้างด้วยหรือเปล่า หรือถ้าไปจริงๆ แล้วสุดท้ายโดนลากไปคอนโดหมอนั่นล่ะ เขาจะทำยังไง

          “แค่ดูหนังเท่านั้นครับ อาจจะมีกินข้าว นั่งจิบกาแฟคุยกัน ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น ถ้าคุณตกลงเราจะได้นัดเวลากันไงครับ”

          เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนานเชฟหนุ่มก็พอจะเดาออกว่ารักตปักษ์กังวลเรื่องอะไร ซึ่งได้ผลเพราะสีหน้าที่กำลังคิดหนักเมื่อครู่คลายลงทันที

          “งั้นก็ได้ แล้วเราจะนัดเจอกันที่ไหนดี”

          “ที่ห้างเดิมไงครับ” หัตถ์เทพตอบและนิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “คราวนี้ไม่เอาคามุยอิไปนะครับ”

          “ทำไม?”

          “ผมอยากเห็นคุณแต่งตัวสบายๆ แบบไม่ต้องมีเสื้อแจ็คเก็ตกับหมวก แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร สำหรับผมแล้วชุดไหนคุณก็น่ารักเสมอ”

          คำชมซึ่งหน้าทำให้รักตปักษ์เขินจนตัวแทบบิด แต่เจ้าตัวกลับกลบความอายด้วยการแกล้งย่นจมูกเหมือนเบื่อคำพูดแบบนั้นเต็มทน

          “เพ้อเจ้อ”

          “บอกแล้วไงครับว่าผมไม่ได้เพ้อเจ้อ” เชฟหนุ่มแย้งเสียงนุ่มพลางมองคนรักด้วยนัยน์ตาพราวระยับราวกับมีดวงดาวอยู่ในนั้นนับล้านดวง “แต่กำลังเพ้อรัก”

          หนุ่มบิ๊กไบค์หน้าร้อนผ่าว เขารีบสวมหมวกฉับเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์และสะบัดคำพูดออกมาสั้นๆ ก่อนปิดหน้ากากกันลม

          “เลี่ยน!”

          เสียงเครื่องยนต์บิ๊กไบค์คำรามกระหึ่ม เมื่อชายหนุ่มบิดคันเร่ง คามุยอิผู้ปราดเปรียวก็พุ่งทะยานจากไป หัตถ์เทพมองตามพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุขก่อนหมุนตัวเดินเข้าร้านเพื่อกลับไปทำงานต่อ

          เสียงข้อความไลน์ปลุกรักตปักษ์ให้ตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา ไม่ต้องดูก็พอจะเอาออกว่าคนส่งเป็นใคร ซึ่งไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไหร่ เพราะเมื่อกดดูเขาก็เห็นข้อความ ‘อรุณสวัสดิ์’’ ตามด้วยเวลากับจุดนัดหมาย หนุ่มบิ๊กไบค์จึงรีบลุกจากเตียง เก็บที่นอน ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้าตากเสร็จหมดแล้วจึงอาบน้ำแต่งตัว  

           เพราะเป็นวันอาทิตย์ คนจึงทยอยเข้ามาในห้างมากกว่าวันปกติแม้จะเป็นช่วงเช้า ส่วนหนึ่งคือผู้ปกครองที่มักพาบุตรหลานมาเรียนพิเศษ อีกส่วนก็คือการยกขบวนมาพักผ่อนกันทั้งครอบครัว เพราะสวนสาธารณะในเมืองหลวงมีน้อยและพื้นที่ก็เล็กเสียจนไม่พอรองรับจำนวนคน ทางเลือกของคนกรุงคือห้างสรรพสินค้าซึ่งนอกจากจะได้พักผ่อนแล้ว ยังสามารถซื้อข้าวของเครื่องใช้กลับบ้านได้อีกด้วย  

          หัตถ์เทพวันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีขาวลายสิงโตคำรามกับกางเกงยีนสีดำ ยืนมองผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมาอยู่ตรงบริเวณลานที่คนส่วนใหญ่ใช้เป็นจุดนัดพบ ตาคอยจ้องไปยังประตูทางเข้าเป็นระยะ เพื่อที่ว่าจะได้เห็นคนที่กำลังเฝ้ารอ ขณะเดียวกันเขาก็อดหันกลับเข้าไปในห้างไม่ได้ เพราะถ้าคนรักขี่มอเตอร์ไซด์มา คงเดินออกมาจากทางด้านใน แต่เมื่อนึกถึงคำขอเมื่อคืน เชฟหนุ่มจึงหันกลับไปยังประตูด้านหน้าอีกครั้งและคลี่ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นคนที่ตนเองกำลังรอ แต่พอเห็นหนุ่มบิ๊กไบค์เต็มตา หัตถ์เทพถึงกับยืนตกตะลึงตาค้าง เพราะวันนี้รักตปักษ์มาในชุดเสื้อเชิ้ตลำลองแขนสั้นลายพรางสีชมพูหวาน กับกางเกงยีนซีดทรงกระบอกแต่งขาดที่มีรอยเจาะรูเบ้อเริ่มเผยให้เห็นต้นขาขาวผ่องกับหัวเข่าเกลี้ยงเกลา ดูน่ารักแทบไม่ต่างจากสาวน้อยแรกรุ่น

          “รัก” เขาหลุดปากเรียกออกไปอย่างลืมตัว อีกฝ่ายส่งยิ้มกว้างกลับมาให้

          “รอนานปะ มัวซักผ้าอยู่น่ะเลยช้าไปหน่อย”

          หนุ่มบิ๊กไบค์รีบออกตัว แต่หัตถ์เทพกลับส่ายหน้า

          “ผมเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน” เขาพูดเสียงนุ่มพลางมองรักตปักษ์ที่อยู่ในเสื้อสีหวานด้วยดวงตาที่มีประกายระยิบระยับ ก่อนจะหลุดปากออกมาเบาๆ “น่ารัก”

          แก้มขาวของรักตปักษ์แปรเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับเสื้อ เพราะได้ยินคำนั้นเต็มสองหูก่อนจะรีบหันหน้าหลบดวงตาแพรวพราวของเชฟหนุ่ม ส่วนปากก็เอ่ยเตือน

          “เราอยู่กลางห้างนะ”

          “ครับ ผมทราบ” หัตถ์เทพหยอดเสียงนุ่ม หากในใจกลับคิดว่าถ้าตอนนี้อยู่ในห้อง เขาคงดึงหนุ่มบิ๊กไบค์มากอดและหอมแก้มสักฟอดไปแล้ว

          “กำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่ใช่ไหม” รักตปักษ์ถามเสียงต่ำพลางมองอย่างไม่ไว้ใจเมื่อเห็นคนรักกำลังยืนทำตาวาว แทนที่จะปฏิเสธ เชฟหนุ่มกลับฉีกยิ้มตีหน้าซื่อยอมรับ

          “ใช่ครับ ผมกำลังคิดว่าอยากกอดคุณ”

          “งั้นมัวรออะไรอยู่ อยากทำก็ทำเลยสิ” หนุ่มบิ๊กไบค์แกล้งยั่วเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้า แต่พอเห็นสายตาของหัตถ์เทพ เขาก็อยากจะถอนคำพูดเมื่อกี้ทันที

          “แน่ใจหรือครับ” ถามพร้อมกับขยับแขนเหมือนจะคว้าคนท้าเข้าไปกอดจริงๆ รักตปักษ์รีบกระโดดถอยออกห่างพร้อมกับร้องห้ามเสียงดัง

          “อย่านะโว้ย!”

          เสียงกับท่าทางของหนุ่มบิ๊กไบค์ทำให้คนที่กำลังเดินไปมาหันมามองด้วยความสงสัย แต่เพราะเข้าใจว่าเป็นการหยอกเย้าของเด็กวัยรุ่น ส่วนใหญ่จึงไม่สนใจอะไรนัก แต่ก็มีผู้หญิงบางคนบันทึกภาพทั้งคู่ด้วยสมาร์ตโฟนพร้อมกับส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมาเบาๆ ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเธอเหล่านั้นเป็นสาววายจอมจิ้นเหมือนมินะจัง หัตถ์เทพเลยคว้าแขนลากคนรักออกไปจากที่นั่นอย่างเร็ว พอขึ้นบันไดเลื่อนไปจนถึงชั้นสอง รักตปักษ์ก็สะบัดตัวออกพร้อมกับบ่นพึมพำ

          “เล่นอะไรบ้าๆ ดูดิ คนอื่นเลยรู้กันหมด”

          เชฟหนุ่มหัวเราะขำกับคำพูดและท่าทางกระเง้ากระงอดของคนรักก่อนจะแกล้งถาม

          “รู้อะไรหรือครับ”

          “ก็เรื่องที่เราสองคน...” หนุ่มบิ๊กไบค์ชะงักคำพูดค้างเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังโดนอีกฝ่ายหลอกให้พูดคำว่า ‘เป็นแฟนกัน’ ออกมา เขาเลยทำปากยื่นเมินหน้าหนีพร้อมกับบ่นอย่างหงุดหงิด “ยิ้มเจ้าเล่ห์นักนะ”

          “แค่อยากได้ยินคำว่ารักจากปาก ไม่ถือว่าเจ้าเล่ห์หรอกครับ” หัตถ์เทพรีบแก้เลยยิ่งทำให้อีกฝ่ายงอนมากขึ้น เขาจึงต้องรีบหาทางง้อเพราะไม่อยากให้การเที่ยวครั้งนี้ต้องกร่อย

          “จะกินข้าวก่อนหรือดูหนังก่อนดีครับ”

          เชฟหนุ่มถามเสียงนุ่ม พอเห็นคนรักทำหน้างอไม่ยอมตอบ เลยเปลี่ยนหัวข้อ

          “งั้นเราซื้อป๊อบคอร์นเข้าไปนั่งกินระหว่างดูก็ได้ ว่าแต่คุณชอบหนังแนวไหน ผมจะได้ซื้อตั๋วถูก”

          หัตถ์เทพยังคงพยายามถามเพื่อเอาใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเป็นเมินหน้าหนีไม่ยอมพูดออกมาสักคำ เขาจึงยิ้มในหน้าก่อนปล่อยไม้เด็ด

          “โอเค งั้นเป็นหนังรักน้ำตาท่วมจอ”

          “ไม่ต้องเลยนะ” รักตปักษ์พูดสวนขึ้นมาทันควัน เชฟหนุ่มกลั้นยิ้มขณะพูด

          “อ้าว เห็นคุณเคยบอกว่าชอบ”

          “ตอนไหน?” หนุ่มบิ๊กไบค์ถามเสียงขุ่น หัตถ์เทพซึ่งแทบจะกลั้นขำไม่อยู่ตอบด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม

          “ก็ตอนที่นอนดูดาวด้วยกันไงครับ”

รักตปักษ์ขมวดคิ้วขณะนึกทบทวน เขาจำคืนนั้นได้ดีเพราะมันเป็นวันฟ้าใสไร้เมฆกับดวงจันทร์ หัตถ์เทพเลยขนฟูกพาเขาไปนอนดูดาวตรงระเบียง ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าแฟนของเขาอวดความรู้เรื่องชื่อของดาวต่างๆ ไม่หยุดปาก แต่ไม่ยักกะจำได้ว่าตัวเองบอกเรื่องหนังที่ชอบหรือไม่ชอบตอนไหน

          “ผมไม่เคยพูด อย่ามามั่ว”

          หนุ่มบิ๊กไบค์พูดพลางมองหน้าคนรักอย่างขัดใจ อีกฝ่ายเลยคลี่ยิ้มบาง

          “โอเค ผมผิด งั้นคุณบอกสิครับว่าอยากดูเรื่องอะไร”

          หัตถ์เทพถามเสียงนุ่มเหมือนอย่างเคย รักตปักษ์จึงหันไปดูโปรแกรมหนัง ไล่อ่านกลับไปกลับมาเหมือนกำลังเลือกอยู่อึดใจจึงชี้ไปที่ภาพยนตร์แนวขับรถไล่ล่าหักเหลี่ยมเฉือนคมซึ่งสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่าเจ็ดภาค

          “ผมชอบเรื่องนี้”

          เชฟหนุ่มมองภาพตัวอย่างแวบหนึ่งก่อนหันไปส่งสายตาล้อเลียน

          “เลือกได้เยี่ยมสมเป็นคุณเลยนะครับ”

          “พอเลย ถ้าพูดมากกว่านี้ผมกลับนะ” หนุ่มบิ๊กไบค์ซึ่งอายจนหน้าแดงยื่นคำขาด หัตถ์เทพจึงเดินไปยังช่องขายตั๋วซึ่งเมื่อซื้อเสร็จแล้วเขาก็พาคนรักไปเลือกป๊อบคอร์น เมื่อได้เวลาทั้งคู่จึงเข้าไปชมภาพยนตร์ด้วยกัน ซึ่งเมื่อดูจบรักตปักษ์ซึ่งยังสนุกกับตัวหนังชวนคนที่มาด้วยกันคุยอย่างตื่นเต้น

          “โหย ฉากขับรถมันเป็นบ้าเลยว่ะ ว่ามั้ย ถ้าทำได้ผมก็อยากซิ่งคามุยอิแบบนั้นบ้าง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่