“อ้าก……. พอได้แล้ว” เสียงร้องโหยหวนของไรอันเริ่มทำให้แอลใจเสียว่าเพื่อนของเขาจะเป็นอะไรไปเพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าพลังของเขามันมากน้อยเพียงใดกับผลกระทบที่ตามมา เอ็ดยืนพิงต้นสนต้นใหญ่พลางพยายามทำเป็นลืมๆกับน้ำเสียงไรอันที่แทบจะทำให้สัตว์ทั้งป่าแตกตื่นกันไปหมด
หลังจากเลิกเรียนพวกเขาทั้งสามก็ตรงดิ่งเข้าป่าเพื่อที่จะใช้พลังจิตของแอลเพ่งมันเข้าไปอยู่ในหัวของไรอัน ใครจะไปรู้ละว่าการที่มีใครบางคนกำลังเล่นตลกกับสมองของตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่น่าอยากลองเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ไม่ต่างไปจากการล้างสมองของพวกมนุษย์ยามที่พวกเขาดันไปเผยธาตุแท้เลยต้องจับมานั่งลบข้อมูลในหัวออกไปโดยแอลจะต้องจัดการให้ตลอดเวลา
แต่ในเมื่อทำมันบ่อยๆครั้งไม่ได้ ถ้าหากฝืนกายหรือกำลังมากๆเข้า มันจะถลำลึกเข้าสู่โหมดบ้าคลั่งโดยทันทีนี่เป็นเพียงเนื้อหาจากในหนังสือบันทึกลับของแวมไพร์เท่านั้นที่แอบสรุปไว้สำหรับพวกที่มีพลังจากการกำหนดจิตโดยตรงจะมีผลตามมาที่หนักยิ่งกว่าอะไรจะเทียมทานได้
“ไม่รู้ว่าเบียงก้าติดธุระอะไรหนักหนา ปล่อยให้เราจัดการกันเองอยู่ได้ พลาดขึ้นมามีหวังซวยกันไปหมด” เอ็ดแอบบ่นเบาๆพลางกระตุกกายหนีอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของไรอันแผดเสียงออกมา
ร่างกำยำของผู้ถูกรื้อค้นความจำนั่งคุกเข่ากำมือแน่น มีหมอกสีดำบางๆรัดตัวเขาแน่นจนขยับไม่ได้ เหนือร่างที่นั่งคุกเข่านั้นแอลกำลังเพ่งพลังเข้าสู่หัวของเขาเรื่อยๆ มันต้องถูกใครบางคนที่มีพลังคล้ายคลึงทำไว้ไม่งั้นมันคงจะง่ายกว่านี้และต้องแกร่งกล้ามากแน่ๆ
ข้ออีกอย่างสำหรับแวมไพร์เผ่าพันธุ์เขานั้นก็คือเมื่อค้นพบว่าตัวเองมีพลังสายอะไร ก็จะสามารถปรับตัวและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าในหนังสือที่เกริ่นไว้คร่าวๆเพราะไม่มีใครอยากเผยจุดด้อยของแต่ละสายพลังด้วยเช่นกัน
กึก กึก เสียงย่ำเท้าดังมาแต่ไกลเพียงไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรตรงมาทางบริเวณที่พวกเขาอยู่ เอ็ดดันตัวเองยืนตรงก่อนจะชะโงกหน้าพลางเงี่ยหูฟัง เซมองแอลที่กำลังมีเลือดสีเข้มไหลออกมาจากดวงตาที่มีสีดำและแดงสลับกัน ขณะที่มือข้างหนึ่งงอผิดรูปยกขึ้นเอียงโดยชี้ไปทางไรอันที่ยังดิ้นรนออกจากหมอกสีดำของแอลที่รัดแน่น
เอ็ดเดินเข้ามาพลางจับไหล่ทำนองว่าค่อยลองใหม่อีกครั้ง ดวงตาสองสีของแอลค่อยๆกลายมาเป็นปกติ เมื่อถูกปลดปล่อยเป็นอิสระไรอันก็ทรุดตัวเองลงกับพื้นดินพลางพยายามใช้มือยันพื้นไว้ ตรงข้ามกับแวมไพร์หนุ่มที่ถูกพลังของตัวเองมีผลตรงข้ามกับผู้ที่ยังไม่ชำนาญพออย่างเขาต้องรีบหาที่ยึดไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองเซล้มลง
ก่อนจะมองเอ็ดที่หันมาพยักหน้าว่าควรไปได้แล้ว พลางเดินตามไปเมื่อไรอันถูกเอ็ดพยุงไว้ วินาทีนี้เขานั้นอยากจะหาอาหารมาดับกระหายเขาซะเหลือเกินแม้จะได้กลิ่นมนุษย์ที่ห่างไปจากจุดพวกเขาเพียงไม่กี่กิโลเมตร
เสียงเหยียบกิ่งไม้ที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ เอ็ดรอคอยดูปฏิกิริยาของเพื่อนรักที่เริ่มจะเข้าสู่โหมดแวมไพร์ผู้กระหายเลือด นับตั้งแต่วันที่แอลถูกเปลี่ยนจากระยะเวลาที่ต่างกันฟื้นตัวยากกว่าเขามากๆและก็เซอร์ไพรส์เขาด้วยการออกอาการอาละวาดซึ่งดูเหมือนไม่ใช่ตัวตนของเขาอีกต่อไป
เมื่อสามหนุ่มแวมไพร์เดินพ้นออกมาจากเขตของป่าแล้วก็ต่างแยกตัวกันออกไปราวกับไม่เกิดอะไรขึ้นเพราะเขาทั้งสามต้องทำตัวให้เป็นปกติเหมือนกับวัยรุ่นที่มั่วสุมกันทั่วไป ไรอันเลือกที่จะกลับที่พักเพราะต้องการความสงบเสียงต่างๆทั่วทุกสารทิศเร่งเร้าให้เขาหัวสมองเกือบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
ผิดไปจากแอลที่เลือกจะเดินเข้าเมืองเพื่อพยายามควบคุมอารมณ์สองขั้วของเขาให้ได้ ชายหนุ่มอีกคนที่เห็นเพื่อนๆต่างแยกกันไปหมดแล้วจึงเดินกลับไปที่โรงเรียนเมื่อเพื่อนของเขาคลาดสายตาไปแล้วราวกับมีความลับ
เวลาในช่วงเย็นๆของวันนี้ ชายหนุ่มผู้มีพลังพิเศษธาตุดินน้ำลมไฟบวกกับเป็นแวมไพร์ที่มีเสน่ห์น่าค้นหาและขี้เล่นที่สุดเดินกลับมาที่โรงเรียนเป้าหมายเดียวของเขาคือผู้หญิงสวยหวานซ่อนเปรี้ยวอย่างเรเนสซึ่งรอคอยเขามานานพอสมควรผุดลุกยืนจากบริเวณที่จอดรถเมื่อเห็นหนุ่มหล่อเดินล้วงกระเป๋าเข้ามา
“นายหายไปไหนมากัน”
“ธุระ”
“โอเค ฉันแค่อยากจะให้นายทำตามที่ฉันบอกนายก่อนหน้านี้”
“เธอนี่ ร้ายใช่ย่อยเลยนะ”
“ช่วยไม่ได้ เมื่อฉันอยากจะได้อะไรก็ต้องทำให้มันสำเร็จ”
“แต่ฉันว่าคราวนี้ เธอควรลองทบทวนใหม่ดีกว่านะ เผื่อเธออยากจะถอนตัวขึ้นมากลางคัน”
“ฉันคิดมาดีแล้วต่างหากละ” เรเนสสังเกตท่าทีที่ค่อนข้างกรุ้มกริ่มของเขาเพราะดูยังไงซะเขาก็มีเลศนัย
“ผู้หญิงก็อย่างนี้สินะ” เสียงราบเรียบเปรยออกมาเบาๆ ดูเหมือนหญิงสาวอย่างหล่อนกำลังทำข้อตกลงกับซาตานอยู่รำไรและดูเหมือนว่าเธอชักอยากจะถอนตัวขึ้นมาซะแล้ว
“ถ้าเกิดอยากหาที่ซบอกใครสักคน ฉันยังว่าง” เขาพูดแบบทีเล่นทีจริงพลางปรากฏรอยยิ้มมุมปากดูเหมือนเสือร้ายที่กำลังจะวางแผนจ้องตะครุบเหยื่ออย่างเธอ
“บ้าน่า” เธอมีอาการรู้สึกขวยเขินขึ้นมาแต่ก็สามารถมันไว้ได้ทันเมื่ออีกฝ่ายกำลังเสนอตัวของเขาเองระหว่างที่เธอกำลังจะเดินหนีนั้น เขาได้กระชากแขนเธอไว้ แรงกดของเขาแทบจะทำให้เธอนิ่วหน้าออกมาเล็กน้อยแต่ก็ต้องกัดฟันเงยหน้ามองคนที่สูงกว่าและพละกำลังเยอะกว่าหลายเท่า
“เธอไม่รู้ ว่าเธอกำลังจะเล่นกับอะไร” เสียงของเอ็ดดูจริงจังมากขึ้นพร้อมกับใบหน้าแปลกใจที่ยังเห็นเธอยิ้มหวานตอบแบบฝืนๆ
“ถ้านายหมายถึงไฟละก็ ยากแค่ไหนฉันก็เจอมาแล้ว” เรเนสยื้อแขนตัวเองออกจากมือที่ร้อนแทบจะลุกเป็นไฟของเขาออกพลางเดินผ่านหน้าเขาไปเมื่อเธอต้องพยายามควบคุมไม่ให้เขามาจ้องจะกลืนกินหัวเธอราวกับเขากำลังพยายามกันเธอออกไปจากพวกเขา
“เธอกำลังเล่นกับความตายอยู่ต่างหากล่ะ” เอ็ดเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังจะจบอนาคตตัวเองด้วยความท้าทายกับสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน เดินห่างออกไปก่อนจะก้มหน้าเดินหันหลังกลับโดยไม่รู้ตัวเลยว่าหญิงสาวก็หันมามองเขาเช่นกันความสับสนในแววตาของเธอว่าเขากำลังพยายามจะสื่ออะไรกับเธออยู่กันแน่
ร้านอาหารxxx
สาวผู้ที่มีสีผมไฮไลท์กันอย่างเป็นเอกลักษณ์เดินข้ามถนนมายังถนนที่มีทางแยกออกเป็นสามแยก เมื่อถึงหัวมุมเธอจึงเลี้ยวขวาแต่ทว่า
“โอ้พระเจ้า” นิโคลอุทานเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่คุ้นเคยเป็นอย่างนี้ยืนพิงกำแพงรออยู่ตรงหัวมุมที่ที่เธอกำลังจะไปอย่างตกใจ
“ไง” ไซม่อนผู้ที่มีลุคแบดบอยเหลือร้ายยิ้มมุมปากเจื่อนๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตานิโคลให้ชัดขึ้น
“นายชอบทำให้ฉันตกใจอยู่เรื่อย”
“เฮ้ ฉันแค่อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้นเอง” หนุ่มหล่อเดินตามหญิงสาวที่เดินเลี่ยงเขาไปเพื่อที่จะไปเข้าร้านอาหารของครอบครัวเธอ
“ฉันไม่อยากเป็นที่รองรับอารมณ์ของนาย…ให้นายไปปรับเปลี่ยนอารมณ์ซะใหม่ แล้วค่อยมาคุยกัน” นิโคลหันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความไม่พอใจก่อนจะพยายามเดินหนีเมื่อพักหลังๆมานี้เขามีอาการแปลกพิกลและไม่น่าไว้ใจ แต่ให้ตายสิ ยังไงซะเธอก็หนีเขาไม่พ้น
หมับ เขากระชากข้อมือเธอได้ทันพลางทำสีหน้านิ่งเรียบ นั่นเป็นสัญญาณว่าเขาเริ่มจะโมโหแล้ว
“โอเค แต่ขอเถอะ วันนี้ฉันต้องไปช่วยงานที่ร้าน” นิโคลยอมอ่อนข้อเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่มีต่อกัน
“แต่…ฉันมีเรื่องที่จะบอกเธอ” ไซม่อนยังคงรั้งที่จะขอคุยกับเธอให้ได้
“ไว้วันหลังแล้วกันนะ” นิโคลหลังจากที่พูดจบประโยคก็รีบสาวเท้าเดินหนีแต่อีกฝ่ายยังคงกระชากแขนเธอไว้ เธอจึงยื้อแขนตัวเองเข้าหาตัวเองเมื่อเขากำลังทำตัวไร้เหตุผลจนเธอเสียหลักล้มลงพื้น
ไซม่อนเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยแต่ถ้าไม่มีใครอีกคนที่เขาเกลียดขี้หน้าเดินเข้ามาพยุงนิโคลลุกขึ้น เขาคงจะเป็นคนที่ยังคอยห่วงใยในสายตาของเธอบ้าง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันโอเค” นิโคลตอบ ทันทีที่แอลโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ได้มากู้สถานการณ์เพื่อช่วยชีวิตเธอเอาไว้จากสายตาคาดคั้นของไซม่อน หญิงสาวมองหนุ่มหล่ออีกฝ่ายที่มีรอยนูนบนกรามเป็นสันจากการระงับอารมณ์และเธอรู้ดีว่าไซม่อนคงโมโหมาก เขาหันหลังเดินจากไปแววตาของเขาเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม ว่าแต่เรื่องอะไรกันที่เขาพยายามจะบอกเธอ
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”
“ไม่รู้สิ ฉันแค่อยากจะมาทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น” แอลตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบใบหน้าที่ซีดเผือดแบบผิดปกติของเขาทำให้เธอมีข้อสงสัยเล็กน้อยผุดขึ้นในหัว
นิโคลคลี่ยิ้มก่อนจะเดินนำเขาไป พร้อมกับยืนรอขณะที่มีประตูถูกเปิดจากชายหนุ่มที่มาในลุคแปลกๆแบบไม่ทันตั้งตัวแต่เธอก็รู้สึกดี
เมื่อสองหนุ่มสาวก้าวเท้าเข้าไปในร้านก็คงไม่รอดพ้นจากสายตาของผู้อาวุโสที่กำลังลงมือทำเมนูอาหารให้แก่ลูกค้าด้วยตัวเองในวันสุดสัปดาห์
“ไอ้หนุ่มนี่ก็ไม่เลวนี่”
“ปล่อยให้เด็กๆเขาศึกษากันด้วยตัวเองเถอะคะ นีล” ภรรยาผู้เป็นที่รักบอกสามีของตนพลางยิ้มกริ่มเมื่อลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจะได้ออกไปผจญโลกภายนอกซะที จะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้โหดร้ายเสมอไป
“เคียร์ร่า คุณก็รู้ใจผมอยู่นะ” นีลถามเสียงเชิงล้อเมื่อเคยเห็นลูกสาวอยากจะเป็นลุกชายมากกว่าลูกสาว ทั้งสองกันอย่างเบาๆเพราะเห็นร่างบอบบางของลูกสาวเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์
“เม้าท์อะไรกันคะ”
“เปล่าเลยจ้ะ ลูกจะทำอะไรก็ทำ เอ้ย ลูกอยากจะขอพักวันนี้ก็ได้ พ่อแม่อยากให้ลูกผ่อนคลายบ้าง” เคียร่าบอกลูกสาวพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับสามีที่โอบไหล่เธอ
“ใช่ วันนี้พ่อแม่อยากให้ลูก พักจริงๆ” นีลเสริมด้วยอีกแรงพลางยิ้มให้แก่นิโคล
“นี่พ่อแม่คิดว่า…ไม่ใช่นะคะ” บทสนทนาทั้งหมดที่พูดไปในเชิงอ้อมค้อมคงไม่พ้นหูของชายผู้ถูกเม้าท์ที่นั่งรออยู่ตรงมุมที่เป็นส่วนตัวและรอยยิ้มก็ปรากฏตรงริมฝีปากก่อนเขาจะลุกขึ้นยืน
“พ่อแม่คะ นิคแค่…”
“แอรอน ซันไชน์ครับ” ประโยคของเธอถูกขัดขึ้นโดยชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับยื่นมือไปเขย่ากับบุพการีของเธอซึ่งๆหน้า
“ตามสบายเลยพ่อหนุ่ม” เคียร่ากระซิบข้างหูเขาพร้อมกับเดินไปพร้อมกับสามีเพื่อเข้าครัวไปสั่งงานให้พนักงานเสริฟ์ของ จงใจทิ้งระเบิดให้กับลูกสาวจอมห้าวที่นับวันยิ่งเหมือนไม่เข้าใกล้คำว่าผู้หญิงอ่อนหวานเลยซักนิด
“ลองไปเดินเล่นข้างนอกไหม” แอลเอ่ยชวนพร้อมยื่นมือเพื่อให้หญิงสาวจับ
“ได้สิ” รอยยิ้มของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มจิตใจอ่อนระทวยพลางเดินจูงมือเธอเพื่อออกไปเดินเล่น วินาทีนี้เขาอยากจะทำตามใจตัวเองมากกว่าภารกิจที่ต้องเผชิญ
The Vampire Powers. [บทที่ 21]
หลังจากเลิกเรียนพวกเขาทั้งสามก็ตรงดิ่งเข้าป่าเพื่อที่จะใช้พลังจิตของแอลเพ่งมันเข้าไปอยู่ในหัวของไรอัน ใครจะไปรู้ละว่าการที่มีใครบางคนกำลังเล่นตลกกับสมองของตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่น่าอยากลองเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ไม่ต่างไปจากการล้างสมองของพวกมนุษย์ยามที่พวกเขาดันไปเผยธาตุแท้เลยต้องจับมานั่งลบข้อมูลในหัวออกไปโดยแอลจะต้องจัดการให้ตลอดเวลา
แต่ในเมื่อทำมันบ่อยๆครั้งไม่ได้ ถ้าหากฝืนกายหรือกำลังมากๆเข้า มันจะถลำลึกเข้าสู่โหมดบ้าคลั่งโดยทันทีนี่เป็นเพียงเนื้อหาจากในหนังสือบันทึกลับของแวมไพร์เท่านั้นที่แอบสรุปไว้สำหรับพวกที่มีพลังจากการกำหนดจิตโดยตรงจะมีผลตามมาที่หนักยิ่งกว่าอะไรจะเทียมทานได้
“ไม่รู้ว่าเบียงก้าติดธุระอะไรหนักหนา ปล่อยให้เราจัดการกันเองอยู่ได้ พลาดขึ้นมามีหวังซวยกันไปหมด” เอ็ดแอบบ่นเบาๆพลางกระตุกกายหนีอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของไรอันแผดเสียงออกมา
ร่างกำยำของผู้ถูกรื้อค้นความจำนั่งคุกเข่ากำมือแน่น มีหมอกสีดำบางๆรัดตัวเขาแน่นจนขยับไม่ได้ เหนือร่างที่นั่งคุกเข่านั้นแอลกำลังเพ่งพลังเข้าสู่หัวของเขาเรื่อยๆ มันต้องถูกใครบางคนที่มีพลังคล้ายคลึงทำไว้ไม่งั้นมันคงจะง่ายกว่านี้และต้องแกร่งกล้ามากแน่ๆ
ข้ออีกอย่างสำหรับแวมไพร์เผ่าพันธุ์เขานั้นก็คือเมื่อค้นพบว่าตัวเองมีพลังสายอะไร ก็จะสามารถปรับตัวและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าในหนังสือที่เกริ่นไว้คร่าวๆเพราะไม่มีใครอยากเผยจุดด้อยของแต่ละสายพลังด้วยเช่นกัน
กึก กึก เสียงย่ำเท้าดังมาแต่ไกลเพียงไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรตรงมาทางบริเวณที่พวกเขาอยู่ เอ็ดดันตัวเองยืนตรงก่อนจะชะโงกหน้าพลางเงี่ยหูฟัง เซมองแอลที่กำลังมีเลือดสีเข้มไหลออกมาจากดวงตาที่มีสีดำและแดงสลับกัน ขณะที่มือข้างหนึ่งงอผิดรูปยกขึ้นเอียงโดยชี้ไปทางไรอันที่ยังดิ้นรนออกจากหมอกสีดำของแอลที่รัดแน่น
เอ็ดเดินเข้ามาพลางจับไหล่ทำนองว่าค่อยลองใหม่อีกครั้ง ดวงตาสองสีของแอลค่อยๆกลายมาเป็นปกติ เมื่อถูกปลดปล่อยเป็นอิสระไรอันก็ทรุดตัวเองลงกับพื้นดินพลางพยายามใช้มือยันพื้นไว้ ตรงข้ามกับแวมไพร์หนุ่มที่ถูกพลังของตัวเองมีผลตรงข้ามกับผู้ที่ยังไม่ชำนาญพออย่างเขาต้องรีบหาที่ยึดไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองเซล้มลง
ก่อนจะมองเอ็ดที่หันมาพยักหน้าว่าควรไปได้แล้ว พลางเดินตามไปเมื่อไรอันถูกเอ็ดพยุงไว้ วินาทีนี้เขานั้นอยากจะหาอาหารมาดับกระหายเขาซะเหลือเกินแม้จะได้กลิ่นมนุษย์ที่ห่างไปจากจุดพวกเขาเพียงไม่กี่กิโลเมตร
เสียงเหยียบกิ่งไม้ที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ เอ็ดรอคอยดูปฏิกิริยาของเพื่อนรักที่เริ่มจะเข้าสู่โหมดแวมไพร์ผู้กระหายเลือด นับตั้งแต่วันที่แอลถูกเปลี่ยนจากระยะเวลาที่ต่างกันฟื้นตัวยากกว่าเขามากๆและก็เซอร์ไพรส์เขาด้วยการออกอาการอาละวาดซึ่งดูเหมือนไม่ใช่ตัวตนของเขาอีกต่อไป
เมื่อสามหนุ่มแวมไพร์เดินพ้นออกมาจากเขตของป่าแล้วก็ต่างแยกตัวกันออกไปราวกับไม่เกิดอะไรขึ้นเพราะเขาทั้งสามต้องทำตัวให้เป็นปกติเหมือนกับวัยรุ่นที่มั่วสุมกันทั่วไป ไรอันเลือกที่จะกลับที่พักเพราะต้องการความสงบเสียงต่างๆทั่วทุกสารทิศเร่งเร้าให้เขาหัวสมองเกือบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
ผิดไปจากแอลที่เลือกจะเดินเข้าเมืองเพื่อพยายามควบคุมอารมณ์สองขั้วของเขาให้ได้ ชายหนุ่มอีกคนที่เห็นเพื่อนๆต่างแยกกันไปหมดแล้วจึงเดินกลับไปที่โรงเรียนเมื่อเพื่อนของเขาคลาดสายตาไปแล้วราวกับมีความลับ
เวลาในช่วงเย็นๆของวันนี้ ชายหนุ่มผู้มีพลังพิเศษธาตุดินน้ำลมไฟบวกกับเป็นแวมไพร์ที่มีเสน่ห์น่าค้นหาและขี้เล่นที่สุดเดินกลับมาที่โรงเรียนเป้าหมายเดียวของเขาคือผู้หญิงสวยหวานซ่อนเปรี้ยวอย่างเรเนสซึ่งรอคอยเขามานานพอสมควรผุดลุกยืนจากบริเวณที่จอดรถเมื่อเห็นหนุ่มหล่อเดินล้วงกระเป๋าเข้ามา
“นายหายไปไหนมากัน”
“ธุระ”
“โอเค ฉันแค่อยากจะให้นายทำตามที่ฉันบอกนายก่อนหน้านี้”
“เธอนี่ ร้ายใช่ย่อยเลยนะ”
“ช่วยไม่ได้ เมื่อฉันอยากจะได้อะไรก็ต้องทำให้มันสำเร็จ”
“แต่ฉันว่าคราวนี้ เธอควรลองทบทวนใหม่ดีกว่านะ เผื่อเธออยากจะถอนตัวขึ้นมากลางคัน”
“ฉันคิดมาดีแล้วต่างหากละ” เรเนสสังเกตท่าทีที่ค่อนข้างกรุ้มกริ่มของเขาเพราะดูยังไงซะเขาก็มีเลศนัย
“ผู้หญิงก็อย่างนี้สินะ” เสียงราบเรียบเปรยออกมาเบาๆ ดูเหมือนหญิงสาวอย่างหล่อนกำลังทำข้อตกลงกับซาตานอยู่รำไรและดูเหมือนว่าเธอชักอยากจะถอนตัวขึ้นมาซะแล้ว
“ถ้าเกิดอยากหาที่ซบอกใครสักคน ฉันยังว่าง” เขาพูดแบบทีเล่นทีจริงพลางปรากฏรอยยิ้มมุมปากดูเหมือนเสือร้ายที่กำลังจะวางแผนจ้องตะครุบเหยื่ออย่างเธอ
“บ้าน่า” เธอมีอาการรู้สึกขวยเขินขึ้นมาแต่ก็สามารถมันไว้ได้ทันเมื่ออีกฝ่ายกำลังเสนอตัวของเขาเองระหว่างที่เธอกำลังจะเดินหนีนั้น เขาได้กระชากแขนเธอไว้ แรงกดของเขาแทบจะทำให้เธอนิ่วหน้าออกมาเล็กน้อยแต่ก็ต้องกัดฟันเงยหน้ามองคนที่สูงกว่าและพละกำลังเยอะกว่าหลายเท่า
“เธอไม่รู้ ว่าเธอกำลังจะเล่นกับอะไร” เสียงของเอ็ดดูจริงจังมากขึ้นพร้อมกับใบหน้าแปลกใจที่ยังเห็นเธอยิ้มหวานตอบแบบฝืนๆ
“ถ้านายหมายถึงไฟละก็ ยากแค่ไหนฉันก็เจอมาแล้ว” เรเนสยื้อแขนตัวเองออกจากมือที่ร้อนแทบจะลุกเป็นไฟของเขาออกพลางเดินผ่านหน้าเขาไปเมื่อเธอต้องพยายามควบคุมไม่ให้เขามาจ้องจะกลืนกินหัวเธอราวกับเขากำลังพยายามกันเธอออกไปจากพวกเขา
“เธอกำลังเล่นกับความตายอยู่ต่างหากล่ะ” เอ็ดเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังจะจบอนาคตตัวเองด้วยความท้าทายกับสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน เดินห่างออกไปก่อนจะก้มหน้าเดินหันหลังกลับโดยไม่รู้ตัวเลยว่าหญิงสาวก็หันมามองเขาเช่นกันความสับสนในแววตาของเธอว่าเขากำลังพยายามจะสื่ออะไรกับเธออยู่กันแน่
ร้านอาหารxxx
สาวผู้ที่มีสีผมไฮไลท์กันอย่างเป็นเอกลักษณ์เดินข้ามถนนมายังถนนที่มีทางแยกออกเป็นสามแยก เมื่อถึงหัวมุมเธอจึงเลี้ยวขวาแต่ทว่า
“โอ้พระเจ้า” นิโคลอุทานเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่คุ้นเคยเป็นอย่างนี้ยืนพิงกำแพงรออยู่ตรงหัวมุมที่ที่เธอกำลังจะไปอย่างตกใจ
“ไง” ไซม่อนผู้ที่มีลุคแบดบอยเหลือร้ายยิ้มมุมปากเจื่อนๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตานิโคลให้ชัดขึ้น
“นายชอบทำให้ฉันตกใจอยู่เรื่อย”
“เฮ้ ฉันแค่อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้นเอง” หนุ่มหล่อเดินตามหญิงสาวที่เดินเลี่ยงเขาไปเพื่อที่จะไปเข้าร้านอาหารของครอบครัวเธอ
“ฉันไม่อยากเป็นที่รองรับอารมณ์ของนาย…ให้นายไปปรับเปลี่ยนอารมณ์ซะใหม่ แล้วค่อยมาคุยกัน” นิโคลหันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความไม่พอใจก่อนจะพยายามเดินหนีเมื่อพักหลังๆมานี้เขามีอาการแปลกพิกลและไม่น่าไว้ใจ แต่ให้ตายสิ ยังไงซะเธอก็หนีเขาไม่พ้น
หมับ เขากระชากข้อมือเธอได้ทันพลางทำสีหน้านิ่งเรียบ นั่นเป็นสัญญาณว่าเขาเริ่มจะโมโหแล้ว
“โอเค แต่ขอเถอะ วันนี้ฉันต้องไปช่วยงานที่ร้าน” นิโคลยอมอ่อนข้อเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่มีต่อกัน
“แต่…ฉันมีเรื่องที่จะบอกเธอ” ไซม่อนยังคงรั้งที่จะขอคุยกับเธอให้ได้
“ไว้วันหลังแล้วกันนะ” นิโคลหลังจากที่พูดจบประโยคก็รีบสาวเท้าเดินหนีแต่อีกฝ่ายยังคงกระชากแขนเธอไว้ เธอจึงยื้อแขนตัวเองเข้าหาตัวเองเมื่อเขากำลังทำตัวไร้เหตุผลจนเธอเสียหลักล้มลงพื้น
ไซม่อนเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยแต่ถ้าไม่มีใครอีกคนที่เขาเกลียดขี้หน้าเดินเข้ามาพยุงนิโคลลุกขึ้น เขาคงจะเป็นคนที่ยังคอยห่วงใยในสายตาของเธอบ้าง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันโอเค” นิโคลตอบ ทันทีที่แอลโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ได้มากู้สถานการณ์เพื่อช่วยชีวิตเธอเอาไว้จากสายตาคาดคั้นของไซม่อน หญิงสาวมองหนุ่มหล่ออีกฝ่ายที่มีรอยนูนบนกรามเป็นสันจากการระงับอารมณ์และเธอรู้ดีว่าไซม่อนคงโมโหมาก เขาหันหลังเดินจากไปแววตาของเขาเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม ว่าแต่เรื่องอะไรกันที่เขาพยายามจะบอกเธอ
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”
“ไม่รู้สิ ฉันแค่อยากจะมาทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น” แอลตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบใบหน้าที่ซีดเผือดแบบผิดปกติของเขาทำให้เธอมีข้อสงสัยเล็กน้อยผุดขึ้นในหัว
นิโคลคลี่ยิ้มก่อนจะเดินนำเขาไป พร้อมกับยืนรอขณะที่มีประตูถูกเปิดจากชายหนุ่มที่มาในลุคแปลกๆแบบไม่ทันตั้งตัวแต่เธอก็รู้สึกดี
เมื่อสองหนุ่มสาวก้าวเท้าเข้าไปในร้านก็คงไม่รอดพ้นจากสายตาของผู้อาวุโสที่กำลังลงมือทำเมนูอาหารให้แก่ลูกค้าด้วยตัวเองในวันสุดสัปดาห์
“ไอ้หนุ่มนี่ก็ไม่เลวนี่”
“ปล่อยให้เด็กๆเขาศึกษากันด้วยตัวเองเถอะคะ นีล” ภรรยาผู้เป็นที่รักบอกสามีของตนพลางยิ้มกริ่มเมื่อลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจะได้ออกไปผจญโลกภายนอกซะที จะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้โหดร้ายเสมอไป
“เคียร์ร่า คุณก็รู้ใจผมอยู่นะ” นีลถามเสียงเชิงล้อเมื่อเคยเห็นลูกสาวอยากจะเป็นลุกชายมากกว่าลูกสาว ทั้งสองกันอย่างเบาๆเพราะเห็นร่างบอบบางของลูกสาวเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์
“เม้าท์อะไรกันคะ”
“เปล่าเลยจ้ะ ลูกจะทำอะไรก็ทำ เอ้ย ลูกอยากจะขอพักวันนี้ก็ได้ พ่อแม่อยากให้ลูกผ่อนคลายบ้าง” เคียร่าบอกลูกสาวพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับสามีที่โอบไหล่เธอ
“ใช่ วันนี้พ่อแม่อยากให้ลูก พักจริงๆ” นีลเสริมด้วยอีกแรงพลางยิ้มให้แก่นิโคล
“นี่พ่อแม่คิดว่า…ไม่ใช่นะคะ” บทสนทนาทั้งหมดที่พูดไปในเชิงอ้อมค้อมคงไม่พ้นหูของชายผู้ถูกเม้าท์ที่นั่งรออยู่ตรงมุมที่เป็นส่วนตัวและรอยยิ้มก็ปรากฏตรงริมฝีปากก่อนเขาจะลุกขึ้นยืน
“พ่อแม่คะ นิคแค่…”
“แอรอน ซันไชน์ครับ” ประโยคของเธอถูกขัดขึ้นโดยชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับยื่นมือไปเขย่ากับบุพการีของเธอซึ่งๆหน้า
“ตามสบายเลยพ่อหนุ่ม” เคียร่ากระซิบข้างหูเขาพร้อมกับเดินไปพร้อมกับสามีเพื่อเข้าครัวไปสั่งงานให้พนักงานเสริฟ์ของ จงใจทิ้งระเบิดให้กับลูกสาวจอมห้าวที่นับวันยิ่งเหมือนไม่เข้าใกล้คำว่าผู้หญิงอ่อนหวานเลยซักนิด
“ลองไปเดินเล่นข้างนอกไหม” แอลเอ่ยชวนพร้อมยื่นมือเพื่อให้หญิงสาวจับ
“ได้สิ” รอยยิ้มของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มจิตใจอ่อนระทวยพลางเดินจูงมือเธอเพื่อออกไปเดินเล่น วินาทีนี้เขาอยากจะทำตามใจตัวเองมากกว่าภารกิจที่ต้องเผชิญ