The Vampire Powers. [บทที่19] 50%

ไรอันหมุนตัวตลอดเวลาแทบทุกย่างก้าว เขายังไม่สามารถฝึกประสาทตัวเองได้ดีเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยยังควบคุมสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญ ท่ามกลางเสียงต่างๆที่ถาโถมเข้ามาในหูราวกับพลุแตก ใบหน้าเยาว์วัยของเขามีแววกังวลเมื่อเห็นคู่กรณีเดินผ่านเขาไปแต่อีกฝ่ายไหวตัวทันเอี้ยวตัวมาทางเขา
เขารีบหลบไปยืนพิงผนังอีกฝั่งตรงข้าม ข้อเสียของคฤหาสน์นี้คือห้องทุกห้องเชื่อมต่อกันให้เห็นอย่างปลอดโปร่งแค่เพียงก้าวเดียวพวกมันคงจะรู้ตัวแน่ ด้วยความว่องไวของเขาที่เป็นทุนเดิมจึงสามารถหลบหลีกได้ทัน

ร่างกำยำของอีกคนยืนนิ่ง ก่อนจะยิ้มมุมปากชั่วร้าย นัยน์ตาสีดำรัตติกาลของเขามีแววเจ้าเล่ห์พลางก้าวเท้าเดินผ่านไป

“โอ พระเจ้า” ไรอันพึมพำขณะย่องเบาเดินทะลุไปอีกห้องสู่อีกห้องเรื่อยๆ

ทางเดินที่ถอดยาวเข้าไปสู่ความมืดนั้นมันดูเหมือนเขากำลังเดินเข้าสู่ปากประตูนรก และนัยน์ตาเขาตอนนี้ก็เปรียบเสมือนนัยน์ตาของสัตว์ที่สามารถมองเห็นได้ชัดแจ๋วฝ่าความมืดเหล่านั้น

อ้ากกกก!!!!
เสียงคำรามดังลอดผ่านมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ดูเหมือนคงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน กลิ่นแปลกๆคละคลุ้งแทบทั่วทั้งคฤหาสน์ขนาดนี้ พวกมันคงจะรู้ตัวซะแล้ว

หนุ่มหล่อคิดขณะใช้มือไล้ผนังตามทางเดินไปเรื่อย ระวังตัวอยู่ตลอดเวลา มันคงเป็นความรู้สึกที่บ้ามากเพราะมีสายเลือดของท่านลูคัสอยู่คนหนึ่งอยู่ภายในที่นี้

“โอ้ ตายละ”

ไรอันสบถพลางก้าวถอยหลังเมื่อแวมไพร์กลุ่มหนึ่งเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเขาราวๆสิบคน

ย้ากก แวมไพร์ตนหนึ่งพุ่งจู่โจมเขาอย่างรวดเร็ว แต่ไร้วิชาการต่อสู้โดยสิ้นเชิง เขาใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่หน้าพลางใช้เท้าปัดขาให้เสียหลักก่อนจะใช้มือกระชากหัวใจออกมาจากร่างนั้น เขาดึงมีดออกมาก่อนจะปามันใส่ทีละตนที่เข้ามาอย่างแม่นยำเพื่อซื้อเวลาพลางวิ่งผ่านร่างพวกนั้นไปอย่างว่องไวเพราะยังไงมันก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ถ้าหากต้องฆ่าพวกนั้นทุกคน

ไรอันหยุดอยู่ที่ห้องรับประทานอาหาร เขาตรงเข้าไปจับกระแทกโต๊ะไม้พลางหักมันให้เท่าขนาดพอดีมือปลายของมันแหลมๆเข้าไว้สองสามอันก่อนจะตามแกะรอยกลิ่นสายเลือดของท่านลูคัสไป

เสียงฝีเท้าที่แสนเบาดังเกรียวกราวภายในประสาทสัมผัสการได้ยินของเขา พวกมันกำลังจะแยกกำลังออกตามล่าผู้บุกรุก

“เอ็ด ช่วยฉันด้วย” เครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋วที่ติดบริเวณหูขาดการติดต่อ ฝ่ามือแกร่งกระชับไม้ไว้แน่น

‘แกทำไปอย่างนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก’ เสียงของชายหนุ่มปริศนาดังขึ้นอีกครั้งกอปรกับเสียงเดิมที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้

เสียงดังสะท้อนริบหรี่ขนาดนั้นคิดว่าคงจะไม่ใช่อยู่บนพื้นดิน มันคงต้องเป็นห้องชั้นใต้ดิน ฝีเท้าไรอันย่องเบาๆสม่ำเสมอขณะจับทิศทางกับสิ่งที่เขาได้ยินเพื่อนำพาเขาไปยังต้นตอของเสียงถึงแม้จะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

“เพื่อนเธอคงทุ่มจ่ายเงินค่าจัดงานไปไม่น้อย” เอ็ดดึงขวดแอลกอฮอลล์ชนิดหนึ่งมารินใส่แก้วส่งต่อให้เรเนส

“หมอนั่น ไม่มีเวลาที่จะมาคิดว่าเงินที่เสียไปมากน้อยแค่ไหน” มือเล็กรับมาพลางชนแก้วกับเขา

“งั้นเหรอ”

“คุณมาได้ยังไง” สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไปเพื่อความสุภาพทำให้สายตาแพรวพราวของเขาเหลือบมามองเธอตรงหน้า ทั้งที่ปกติเขาไม่ค่อยชอบจ้องตาของผู้หญิง

“เรียกฉันว่าเอ็ดเถอะ”

“ได้ เอ็ดดี้เป็นไง” คนตัวสูงหัวเราะในลำคอ

“ตามแต่ที่เธอต้องการ” เขาขยับเข้ามาใกล้ตัวเธอพร้อมกับสายตาที่ราวกับจะสะกดเธอทุกอย่างให้มันหยุดลง

“อย่ามาหว่านเสน่ห์กับฉันให้เสียเวลาเลย ไม่ได้ผลหรอก” หญิงสาวเอ่ยอย่างเขินอายทั้งๆที่พูดกับเขาเสียงแข็ง

“เพื่อนนาย แอล เขามีใครคนนั้นแล้วเหรอ” เอ็ดผงะออกด้วยสีหน้าหมดอารมณ์ เมื่อเธอถามถึงผู้ชายคนอื่นที่มันไม่ได้เป็นแค่เพื่อนเขาธรรมดา สายตาคมเข้มเลื่อนสายตามองไปทางอื่น เหอะ ถามหาผู้ชายอีกคนทั้งๆที่เธออยู่กับอีกคน นี่เขากำลังคิดบ้าบออะไรกันแน่!!

“ก็ไม่รู้สิ ฉันไม่มีสิทธ์ก้าวก่ายความส่วนตัว แต่ที่แน่ๆการที่จะมีใครสักคนเคียงข้างมันเป็นเรื่องยากสำหรับเรา”

“พูดอย่างกับรักสนุกไม่ผูกพันอย่างงั้นแหละ” เรเนสสงสัยกับคำพูดเป็นเชิงเตือนของเขา

“แล้วแต่จะคิด” เสียงราบเรียบของเขาแฝงความบันดาลโทสะของผู้ฟัง

“คือว่า ฉันไม่ได้อยากจะก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของนายหรือใคร แต่ก็แค่อยากถามให้มันกระจ่างเฉยๆ” หญิงสาวผมบลอนด์กล่าวตอกกลับ สายตามองดูคนสองคนที่กำลังสนุกกับการเต้นด้วยกัน

“โอ สาวน้อยที่รัก หลงรักซานตานอย่างนั้นเหรอ”

“เข้าใจเปรียบเทียบนะ แต่เมื่อฉันสนใจใครบางคนฉันก็ต้องการอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาเป็นธรรมดา”

ความรู้สึกอ้างว้างของเขาทำหน้าที่ได้ดีเมื่อหญิงสาวแทบมองไม่เห็นเงาหัวของเขาเลย

“ฉันชอบความตรงไปตรงมาของเธอดีนะ” เสียงที่เอ่ยเบาๆของเขายังคงได้ยินในระยะใกล้ตัวจนทำให้เรเนสยิ้มหวานใส่เขาพลางพูดว่า

“ฉันก็ชอบความยียวนกวนประสาทของนายเหมือนกัน” ทั้งคู่หัวเราะด้วยกันสองคน ขณะที่อีกคู่หนึ่งกำลังอยากจะทำสงครามต่อกัน

“นายไม่น่าทำอย่างนั้น”

“ฉันทำอะไร” แอลถามขณะยืนโยกตามจังหวะเพลงข้างตัวนิโคล

“ก็การที่นายทำเหมือนจะประกาศเป็นศัตรูกับไซม่อน” นิโคลบอกขณะหมุนตัวเมื่อเพลงที่เปลี่ยนเป็นจังหวะช้าเพื่อให้ผู้คนที่กำลังสนุกกันได้พักแรงกันชั่วครู่

“ฉันว่าไม่หรอก” แอลรู้สึกถึงความผิดปกติขณะที่สายตากวาดหาเพื่อนรัก ปรากฏว่ากำลังยืนคุยกับเพื่อนสาวของนิโคล เขาเลื่อนสายตามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ฉันว่าเราพอแล้วก็ได้ เพื่อจะไม่ได้ขัดใจกับเพื่อนเธอ” แอลบอกเพื่อจะต้องรีบไปช่วยไรอัน

“เฮ้ อย่าน้อยใจกันน่า” เธอเอ่ยพลางถูกดึงตัวออกไป

แอลก้าวเดินเข้าไปหาเอ็ดเพื่อจะต้องรีบไปจากตรงนี้ เขารู้สึกได้เลยว่าไรอันกำลังจะมีปัญหา เมื่อจบการสืบสาวเรื่องราวของคนที่นี่แล้วพวกเขาจะได้ออกไปจากถิ่นของแวมไพร์ต่างกลุ่มพวกนี้ซะที

“เฮ้ พวกเขาจะรีบไปไหนกันนะ” นิโคลมองตามชายหนุ่มสองเพื่อนรักเดินตามกันคลาดสายตาไป

เรเนสยักไหล่ใช้มือดึงถาดเครื่องดื่มยกมันขึ้นวางบนบ่าอย่างมืออาชีพแล้วเดินลับหายไปด้วยอีกคน

หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของแอล พร้อมกับนัยน์ตาหลายเฉดสี หันมาเพื่อที่จะตกลงแผนกับคนข้างตัวเมื่อไม่เห็นใครเดินผ่านมาทางตรงหัวมุมก่อนจะเข้าถ้ำพวกแวมไพร์เจ้าถิ่น

“ไรอัน พยายามจะติดต่อนายหรือเปล่า”
คำถามของเพื่อนตรงหน้าทำให้เอ็ดฉุกใจคิดเมื่อได้ยินเสียงเหมือนสัญญาณติดขัดฟังไม่ได้ศัพท์ตอนที่เขาอยู่ในงานแต่ก็ตัดใจเพราะอาจจะคิดว่า….

“ฉันว่า สัญญาณถูกรบกวน…..นั่นนายจะทำอะไร” เอ็ดเอ่ยท้วงเมื่อเห็นแอลเอนหลังพิงกำแพง สีตาของเพื่อนรักเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำตัวสั่นเทิ้ม

แอลกำมือแน่นพยายามกระพริบตาก่อนจะกระตุกกับภาพของไรอันปรากฏสู่สายตาและดูเหมือนกำลังหนีจากพวกการ์ดรับใช้ตัวใหญ่ยักษ์ แอลสำรวจมองพื้นที่รอบๆที่ไรอันซ่อนอยู่ก่อนจะกระตุกตัวสุดแรงอีกครั้งนัยน์ตาสีเลือดจางหาย
พยักหน้าให้กับเพื่อนรักที่มีแววตากังวลกับสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่ ตัวเองเองแทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อครู่ที่เขาเห็นภาพไรอันมันเป็นเหมือนจีพีเอสนำทางชั้นดี

ตึง เสียงบางอย่างวิ่งผ่านใบหูไรอันไปอย่างเฉียดฉิวมองวัตถุแหลมที่เป็นไม้ปักอยู่ตามขอบผนัง ถึงมันจะเป็นแค่ไม้แต่มันสร้างความเจ็บให้กับเขาไม่น้อย พร้อมกับใช้มือสัมผัสบริเวณด้านหลังที่มีสิ่งนั้นปักอยู่เต็มไปหมด ดีหน่อยที่มันไม่ได้ใหญ่มากถ้าหากวิ่งผ่านทะลุหัวใจเขาคงเป็นเรื่อง

‘หามันให้เจอแล้วฆ่าซะ’  เสียงสั่งการที่คุ้นหูสำหรับดังขึ้นห่างไปจากเขาไปเพียงไม่กี่ห้อง

ไรอันเห็นพวกมันหนึ่งในนั้นกำลังตรงมาทางจุดที่เขายืนอยู่ อาวุธที่ถืออยู่ในมือเป็นวัตถุที่ไม่ต่างจากที่เขาโดนหลังเมื่อครู่เลยแต่สภาพมันเหมาะสำหรับการปลิดชีพแวมไพร์เกิดใหม่เช่นเขาพร้อมกับขนาดพอดีมือ

เขารีบก้าวถอยหลังกร่น เมื่อมันเดินใกล้เข้ามาแล้ว ภายในหัวพยายามจะเลิกคิดถึงการฝึกฝนจากถิ่นที่จากมาอย่างประหม่า

หมับ เขาดึงแขนซ้ายมันออกมากระแทกด้วยเข่าและดึงเอี้ยวรัดคอจากซ้ายไปขวาพลางจับศีรษะกระตุกสุดแรงหักกระดูกต้นคอ ร่างนั้นทรุดตัวลงแต่เขารีบประคองมันลงบนพื้นให้เบาที่สุดก่อนจะรีบหนีไปตามเสียงเรียกปริศนาดังกล่าวที่ไม่ว่ายังไงเขาก็จำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งนั้นกำลังต้องการขอเรียกร้องความช่วยเหลือหรือว่าเป็นหลุมพราง

“พวกมันกล้ามาก” ไซม่อนพึมพำ นี่เป็นครั้งแรกที่พี่สาวของเขาปล่อยให้เขาจัดการกับแวมไพร์ต่างกลุ่มด้วยตัวเองโดยไม่มีการมาขัดขวางเหมือนครั้งก่อน เพราะพ่อของเขายังต้องการให้เขาอยู่แบบมีชีวิตต่อไป

ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกว่าเป็นลูกแหง่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นซูซานผู้ที่เข้าอกเข้าใจพ่อเป็นอย่างดีให้โอกาสเขาจัดการพวกนั้นอาศัยช่วงที่พ่อไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นเรื่องที่แปลกใจอยู่ตะหงิดๆแต่เขาก็ไม่สนใจ

“นายน้อย…เกรงว่าพวกมันมากันสามคน กระผมได้จับตาเฝ้าดูพวกมันตั้งแต่ก้าวเข้ามาในงาน” คนรับใช้ที่เป็นเหมือนการ์ดไปในตัวรายงานขณะเดินเคียงคู่พร้อมกับนายของตนที่ถูกล้อมไปด้วยสมุนจำนวนหนึ่งเป็นวงใหญ่

“นายคิดไม่ผิด พวกมันไม่ธรรมดา ระวังตัวไว้ด้วย” ไซม่อนตอบด้วยสีหน้าเดาอารมณ์ไม่ถูกก่อนจะพูดว่า

“จัดการพวกมันและอย่าทำให้มนุษย์แตกตื่น” เสียงขานรับจากสมุนที่รายล้อมรอบตัวเขารับทราบคำสั่งอย่างเข้าใจ แววตาของไซม่อนแสยะยิ้มอย่างมาดร้ายเมื่อกำลังจะได้กำจัดศัตรูที่บังอาจมายุ่งวุ่นวายกับคนของเขา!!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่