*ขอโทษที่หายไปนานนะคะ มีปัญหาทางเทคนิคเเละเรื่องทั่วๆไป เชิญอ่านกันตามสบายเลยจ้า.........
......เอ็ดอัดพลังให้ผลักพวกนั้นออกไป ก่อนจะออกตัววิ่งพลางคิดในใจว่าไม่เคยเจออะไรที่เร็วขนาดนี้มาก่อน
ความเร็วที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่าตามมาอย่างไม่ลดละ เขาหลุดเข้ามาในป่าลึกและมีต้นไม้ที่เยอะขึ้นมากกว่าเดิมบดบังแสงอาทิตย์และให้ความรู้สึกหวาดหวั่น เขาเรียกธาตุลมผลักดันให้เขาลอยขึ้นพลางตั้งหลักก่อนจะโถมตัวลงมาใส่บางสิ่งที่กำลังพยายามจะฆ่าเขา
เขาใช้ฝ่ามือโถมไฟเข้าใส่และเอี้ยวหลบกรงเล็บใช้ข้อศอกกระแทกอกอีกฝ่าย ซึ่งอาจจะซื้อเวลาให้เขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะสวนหมัดเข้าใส่ที่หน้า เมื่ออีกฝ่ายล้มลงเขาจึงรีบกระชากโดยใช้แขนรัดคอและออกแรงรัดแน่นยิ่งขึ้นขณะที่อีกฝ่ายดิ้นรน นัยน์ตาเขาลุกเป็นไฟเพราะเขาทนกับสิ่งพวกนี้ไม่ได้อีกแล้ว พอกันที
ปัง เสียงปืนดังขึ้นก่อนความรู้สึกของเขาจะเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด แขนที่เขาใช้รัดคออีกฝ่ายคลายลงแล้วพยายามทรงตัวแต่ไม่เป็นผลเมื่อสายตาที่พร่าเลือนเหมือนตาบอดไปชั่วขณะ
เอ็ดหน้าถอดสีอย่างควบคุมไม่ได้ ฝ่ามือของเขาพยายามกุมเศษดินก่อนจะถ่ายทอดพลังเพื่อให้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่อยู่รอบข้าง พวกมันต่างเดินล้อมตัวเขาเป็นวงเขาใช้กำลังเท่าที่มีใช้ธาตุลมเพื่อสร้างเป็นเกราะกันบังที่โปร่งใส
“แกเป็นใคร” เอ็ดไม่สามารถควบคุมเสียงที่กำลังสั่นด้วยความโกรธได้ ดวงตาเขาถูกปกคลุมด้วยเยื่อบุขนาดใสเหมือนตาของเขากลายเป็นสีหมอก
“มันไม่สำคัญหรอก เพราะฉันจะฆ่าแกแล้วตัดหัวไปเสียบไว้ โทษฐานที่แกยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เสียงที่ถูกใช้โดยเครื่องแปลงเสียง ไม่สามารถแยกเสียงจริงได้ ทำให้เขาแปลกใจ
ปัง ปัง เสียงปืนดังขึ้นรัวเมื่อพวกมันไม่สามารถยิงผ่านทะลุเข้ามาได้ ถึงแม้มันจะทำให้พลังของเขาต้องใช้มันมากขึ้นเท่านั้น แต่ทว่า
กรรร์ เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับร่างมนุษย์หมาป่าที่ยกพวกกันมาแทบครึงฝูง ไทเลอร์คำรามอีกครั้งเป็นคำสั่งก่อนฝูงจะกระโจนเข้าใส่พวกมันที่รัวปืนใส่ เอ็ดรู้สึกได้ว่าพวกเขาแกร่งจนน่ากลัวเมื่ออยู่รวมกัน เขากัดฟันแน่นเมื่ออยู่เบื้องหลังฝูงหมาป่าที่ได้มาช่วยชีวิตไว้พยายามที่จะยืนหยัดให้ได้
แวมไพร์หนุ่มสามารถลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ เมื่อเห็นว่ามีมนุษย์หมาป่าบางคนถูกสอยร่วงไปคนหนึ่ง เขาจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาตายแทนเขาอีกต่อไป ดวงตาที่กำลังคุกกรุ่นไปด้วยความโกรธชายแววให้เห็นได้เด่นชัดก่อนจะรวบรวมกำลังที่มีคำรามพร้อมกับเขี้ยวแหลมคมที่ค่อยๆงอกออกมา นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงสภาพของเขาดูไม่ต่างไปจากแอลที่เคยโกรธ แล้วมันคือสัญญาณอันตรายชนิดหนึ่ง ฉะนั้นอย่าทำให้แวมไพร์โกรธเด่นขาด
พวกมันทั้งสาม ต่างตกอยู่ในอาการตกตะลึงเนื่องจากไม่เคยเห็นแวมไพร์ตนไหนน่ากลัวเท่านี้มาก่อน ก่อนจะคำรามพร้อมใช้ธาตุลมผลักกระเด็นกระแทกมาอยู่รวมกัน พลางเอี้ยวตัวเรียกธาตุไฟที่ถูกปล่อยออกมาจากมือทั้งสองข้างอย่างเต็มกำลังพร้อมกับสร้างเกราะเพื่อไม่ให้พวกมันหลบหนีไปไหนได้
วินาทีนี้ เสียงร้องโหยหวนเพื่ออ้อนวอนขอชีวิตของพวกมันยังดังก้องอยู่ในหัว สายตาที่แทบจะหลุดออกมาจากข้างนอกเบ้าเหลือบมามองเขาก่อนที่จะสิ้นใจ แม้แต่วิญญาณเขาก็จะให้มันจดจำเขาไว้ ร่างที่มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำล้มลงแล้วแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
“เอ็ด” เสียงเรียกที่แผ่วเบา เพราะเขาพบแต่เพียงเสียงดังอื้ออึงที่ยังอย่างต่อเนื่องแล้วมันจะไม่หยุด แต่ทว่าเลือดดังกล่าวที่ไหลผ่านทางจมูกดันเรียกสติเขากลับมา ชายหนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะใช้มือปาดมันทิ้ง เขาค่อยๆหันไปหาต้นเสียงที่กำลังพยายามจะดึงสติเขากลับมาด้วยสายตาที่ยังคงแฝงแววกังวลพร้อมกับทุกคนที่ยืนนิ่ง ทุกสายตาต่างจดจ้องมายังเขาแต่เพียงผู้เดียว
“เพื่อน ตาของนาย” รองจ่าฝูงยกมือทั้งสองขึ้นราวกับพยายามห้ามปรามไม่ให้ทำสิ่งเลวร้ายไปกว่านี้อีก คลินท์มาถึงพร้อมกับผงะไปสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพลางมองมายังเขาซึ่งเป็นต้นเหตุ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพวกมัน”
คลินท์เดินมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางมองหนุ่มแวมไพร์ที่กำลังสับสนกับสิ่งที่กำลังครอบงำเขา ดวงตาของเอ็ดกลายเป็นสีดำทั้งเบ้า ก่อนจะพูดเพื่อให้หนุ่มแวมไพร์หายกังวล
“เฮ้ ถ้านายไม่ฆ่าพวกมัน เราทุกคนก็คงไม่รอด” หนุ่มนักล่าแวมไพร์ยื่นมือให้เอ็ด
“นายเจ๋ง เพื่อน” ไทเลอร์เดินเข้ามาตบบ่าเบาๆเมื่อเอ็ดลุกขึ้นยืนโดยมีคลินท์ช่วยพยุงอยู่ข้างๆ สังเกตได้ว่านัยน์ตาดังกล่าวนั้นได้จางหายไปแล้ว
โรงเรียนมัธยมจอห์นพีท
คำสาปอย่างนั้นเหรอ ฉันแทบจะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติจะเกิดมาพร้อมกับคำสาป นับตั้งแต่ฉันได้ซื้อหนังสือมาจากร้านนั้น ความรู้สึกก็แปลกไป เกิดภาพต่างๆขึ้นมาในหัวฉายซ้ำไม่หยุด ภาพของบุคคลที่กำลังถูกบูชายันต์ ภาพของคนที่กำลังกรีดร้องตื่นตระหนกด้วยความกลัว
แล้วโรสเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อฉันเลยสักนิดว่า สิ่งที่พูดกันไปในร้านวันนั้นที่เห็นเรเนสกำลังไปได้สวยกับไซม่อนเป็นเรื่องจริง ซึ่งมันก็ฟังดูใช่ แต่ใครจะอธิบายมันได้ล่ะ ภาพหลอนต่างๆผุดขึ้นมาในหัวฉันอย่างไม่ทราบสาเหตุ และผู้ชายคนนั้นเขาก็ห่างเหินฉันไปเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร
นิโคลนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องนอนที่ตกแต่งแบบสบายๆซึ่งมีหนังสือมากมายถูกเปิดค้างไว้หลายเล่ม หนึ่งในนั้นก็มาจากร้านผีสิงที่เธอตั้งฉายาไว้ ปลายเล็บของหญิงสาวพยายามจิกรอยแผลบนนิ้วมือที่ปรากฏรอยหกเหลี่ยมซึ่งมันเกิดขึ้นเองตั้งแต่ตอนที่เริ่มสงสัยว่าแอลนั้นมีความผิดปกติ
การเสิร์ชหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตไม่ช่วยอะไรเธอได้สักนิดเพราะไม่สามารถรู้ได้ว่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือสิ่งที่แปลงปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกล่อคนอื่น สิ่งที่ช่วยได้จริงๆคือหนังสือเท่านั้น แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการงมเข็มในจักรวาลเพราะหนังสือเหล่านั้นถูกทำขึ้นตั้งมากมาย หญิงสาวคิดก่อนจะพลิกหน้ากระดาษที่มีสัญลักษณ์แปลกๆระบุไว้เต็มไปหมด
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนเธอจะเห็นแม่เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งเธอก็ลุกขึ้นเอนหลังพิงหัวเตียงก่อนจะยิ้มตอบขณะที่แม่ของเธอนั่งลงข้างปลายเตียง
“นิค….แม่ว่าลูกควรจะออกมาพบปะโลกภายนอกบ้างนะ…นี่ ลูกอ่านหนังสือพวกนี้ด้วยหรือเนี่ย ลูกควรจะ”
นิโคลรีบแย่งหนังสือในมือมาพลางวางมันไว้ข้างตัว “ก็แค่อยากหาอะไรอ่านเท่านั้นคะแม่” หลังจากที่เธอตอบกลับไปก็เห็นแม่ทำสีหน้าตะลึงพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆเตียงที่มีหนังสือวางอยู่เกลื่อนกลาดพลางวาดมือไปมาก่อนจะพูด
“มันก็ใช่…แต่ อย่าว่าแม่เลยนะ มันดูหมกหมุ่นเกินไป แม่จำครั้งสุดท้ายที่ลูกสับสนกับแฟนคนแรก…ลูกแทบจะกินกระดาษพวกนี้เป็นอาหารเย็นตลอดเวลา” คำตอบนั้นทำให้ทั้งสองสาวต่างวัยพยายามกลั้นยิ้มแต่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกันเพราะสิ่งที่แม่เธอกล่าวมานั้นมันตลกสิ้นดีเมื่อนึกถึงเวลาที่เธอมีปัญหากังวลในใจเธอชอบที่จะหาอะไรอ่านเพื่อที่จะลืมสิ่งนั้นหรือกำลังสืบเรื่องๆนั้นอยู่
“นี่…มีคนมาหาลูกด้วยแหละ” แม่หยุดหัวเราะก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เขาอยากจะมาขอโทษลูก ซึ่งแม่ก็ไม่อยากให้คนที่ลูกรัก ทำให้ลูกเป็นแบบนี้”
“โธ่ แม่คะ หนูยังไม่ได้รักใครทั้งนั้นเลยคะ” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง เคียร์ร่ามองกองหนังสือที่เปิดค้างไว้หลายเล่มด้วยสายตาเป็นห่วง
“แอรอน….เข้ามาเลยจ้ะ” นิโคลตกใจเมื่อแม่พูดชื่อนั้นขึ้นมา ก่อนจะจูบหน้าผากเธอเพื่อแสดงความเป็นห่วงก่อนจะยิ้มแล้วเดินผ่านเขาคนนั้นออกไปพลางหันตัวมาโบกมือให้กับทั้งสองจากนั้นก็ปิดประตูลง นิโคลจึงกัดฟันยับยั้งความโกรธที่แม่จงใจอยากทำให้เธอได้เคลียร์ทุกอย่างกับคนตรงหน้า
หลังจากที่แอรอนยิ้มตอบให้กับแม่ของเธอซึ่งเดินออกไปพลางกับปิดประตูให้ก่อนจะค่อยเดินเข้ามาหาเธอที่ปลายเตียงซึ่งเธอก็ปฏิกิริยาเหมือนเกรงกลัวเพราะเธอเขยิบถอยให้ห่างจากเขาไปให้ที่สุดไปอีกฟากนึงของเตียง
“นายต้องการอะไร…จะมาฆ่าปิดปากฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันแค่อยากจะมาขอโทษ กับทุกสิ่งที่ได้ทำลงไป”
หนุ่มแวมไพร์กล่าวด้วยแววตาที่สำนึกผิดภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย แล้วเหมือนมีความรู้สึกเจ็บแปล๊บๆเมื่อหญิงสาวมีทีท่าว่าจะให้อภัยแต่อย่างใด ใบหน้าสวยหวานปรากฏให้เห็นเพียงแต่ความเฉยชาก่อนจะสะบัดหน้าหันไปทางอื่น
“การที่นายดูดเลือดออกไปจากตัวฉันแล้วปล่อยให้ฉันเคว้งอยู่คนเดียวบนทางเดินในคืนนั้น ดูเหมือนจะให้อภัยง่ายสินะ”
อาจใช่ เขาคิดในใจ มันเป็นคืนที่ปั่นป่วนจนยากที่จะหาคำอธิบายมาเพื่อบอกเธอว่า มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกมาเผชิญกับมนุษย์ตัวเป็นๆ แวมไพร์ใช้เวลาปรับตัวนานโขจนกว่าจะสามารถมีสมาธิอยู่กับตัวเองเพื่อไม่ให้ฆ่าคนในที่สาธารณะ
รวมถึงพลังเขาด้วยเช่นกัน บางทีพลังเขามันกำลังดึงดูดให้จมดิ่งลงสู่ความมืดทุกชั่วขณะ เวลาใดที่เขายอมสิโรราบ เวลานั้นคงเป็นเวลาที่เขาได้ปิดความเป็นตัวตนของมนุษย์ไปแล้ว ถามว่าทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้อย่างงั้นเหรอ บันทึกของแวมไพร์ช่วยได้มากกว่าที่เขาไตร่ตรองไว้ซะอีก
“แวมไพร์จะไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อเหลือซากแม้แต่เศษผม ถ้าฉันไม่ทิ้งเธอไว้ เธอก็คงตกลงไป กลายเป็นศพในป่าแล้วล่ะ”
เขาว่าพลางเดินไปหยิบหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นห้องมาพลิกอ่าน พลางเอ่ยว่า “เธอเป็นคนต้องการให้ฉันบอกความจริงกับเธอ แล้วนั่นคือความจริงจากปากฉัน แม้กระทั่งเลือดของเธอก็ยังฝังอยู่บนปลายลิ้น ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนฉันก็ตามหาเธอพบ”
“นายมัน…ปีศาจ”
“ข้อนั้นฉันรู้ตัวดี แม้แต่เพื่อนของเธอก็ไม่ต่างอะไรไปจากฉันหรอก” คำพูดออกจากปากคนร้ายกาจทำให้หญิงสาวมีแววตาสั่นระริก พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด นิโคลไม่เคยพานพบความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากปากของเขาเลยซักครั้ง ระงับจิตใจไม่ให้เตลิดไปไกลเพราะเขาเป็นปีศาจที่จำแลงมาในร่างของชายรูปงามที่มีประกายออร่าความแบดบอยออกมาอย่างชัดเจน
“นายหมายความว่ายังไง”
“ก็ หมายความว่า เพื่อนชายของเธอก็ไม่ได้ดีเลิศไปกว่าฉันหรอก หมอนั่นน่ะ พยายามจะฆ่าฉันมานานแล้ว” ใบหน้าของเขามีท่าทางไม่แยแสก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นลงบนเตียงก่อนจะนั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง
“ไซม่อน งั้นเหรอ”
เธอพูดชื่อนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ พยายามจะประติดประต่อเรื่องราว แต่ไซม่อนเองก็มีอะไรบางอย่างจะบอกเธอมาตลอดแต่เพราะเขาอยู่ใกล้เธอได้เพียงไม่นาน
“แล้วนายกลับมาทำไม” เธอถาม ขณะที่เขาละสายตาหันมามองเธอด้วยแววตาที่เปลี่ยวเหงา “ฉันแค่อยากมาบอกให้เธอได้รู้ว่า ชีวิตเธอมีความสำคัญกับฉันมาก และเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ถ้าไม่มีฉัน…และไม่อยากจะจากเธอไปไหนด้วยซ้ำ”
“เอ่อ คือ” แอลเค้นคำพูดออกมาเพื่อหมายความไปตามที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่
ชายหนุ่มแวมไพร์รอฟังคำตอบจากหญิงสาวที่กำลังกัดปากตัวเอง ด้วยความประหม่าเพราะเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงกับมันดี สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อกี้เธอเองก็แทบจะควบคุมตัวเอง รวมถึงชายหนุ่มที่นั่งจ้องเธออยู่ตรงหน้าซึ่งเธอก็ต้องการคำอธิบายจากปากเขามากมายมหาศาล
“ฉันไม่รู้ว่าอะไรมันคือเรื่องจริง แต่จะดีกว่านี้ถ้านายมาพูดกับฉันตั้งแต่ทีแรก”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่มีอาการสั่นๆเพราะเธอไม่รู้ว่าเขากำลังจะมาไม้ไหน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเขาเคลื่อนที่จากอีกที่หนึ่งมานั่งอยู่ข้างเธอพร้อมกับสัมผัสมือเธอเพียงพริบตาเดียว ลมหายใจเธอติดขัดเมื่อใบหน้าที่ซีคเซียวไม่มีสีเลือดค่อยเลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงตาที่หลายเฉดสีกลายเป็นสีนิลทันทีเมื่อริมฝีปากของเขาสัมผัสเข้าที่ริมฝีปากของเธอ
ร่างกายของเธอไม่สามารถขยับได้เลยสักนิดเมื่อเธอได้รับรู้ถึงความโหยหาจากเขา เขาใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาแสนน่าหลงไหลของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน พลางใช้มืออีกข้างสัมผัสเอวบางแล้วเลื่อนมันไปลูบไล้ที่แผ่นหลัง
ก่อนจะตอบรับสัมผัสเธอเมื่อเธอเองก็จูบตอบเขาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอเขาเพื่อขยับเข้าใกล้มากขึ้น เพราะเธอไม่สามารถปกปิดความรู้สึกดีๆแบบนี้ได้อีกต่อไป ขณะที่แอลค่อยๆถอนริมฝีปากออกเขารับรู้ได้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้าเองก็มิอาจลืมเขาได้ ไม่ว่าเขาจะทำกับเธอไว้มากแค่ไหน
The Vampire powers. [บทที่ 28]
......เอ็ดอัดพลังให้ผลักพวกนั้นออกไป ก่อนจะออกตัววิ่งพลางคิดในใจว่าไม่เคยเจออะไรที่เร็วขนาดนี้มาก่อน
ความเร็วที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่าตามมาอย่างไม่ลดละ เขาหลุดเข้ามาในป่าลึกและมีต้นไม้ที่เยอะขึ้นมากกว่าเดิมบดบังแสงอาทิตย์และให้ความรู้สึกหวาดหวั่น เขาเรียกธาตุลมผลักดันให้เขาลอยขึ้นพลางตั้งหลักก่อนจะโถมตัวลงมาใส่บางสิ่งที่กำลังพยายามจะฆ่าเขา
เขาใช้ฝ่ามือโถมไฟเข้าใส่และเอี้ยวหลบกรงเล็บใช้ข้อศอกกระแทกอกอีกฝ่าย ซึ่งอาจจะซื้อเวลาให้เขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะสวนหมัดเข้าใส่ที่หน้า เมื่ออีกฝ่ายล้มลงเขาจึงรีบกระชากโดยใช้แขนรัดคอและออกแรงรัดแน่นยิ่งขึ้นขณะที่อีกฝ่ายดิ้นรน นัยน์ตาเขาลุกเป็นไฟเพราะเขาทนกับสิ่งพวกนี้ไม่ได้อีกแล้ว พอกันที
ปัง เสียงปืนดังขึ้นก่อนความรู้สึกของเขาจะเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด แขนที่เขาใช้รัดคออีกฝ่ายคลายลงแล้วพยายามทรงตัวแต่ไม่เป็นผลเมื่อสายตาที่พร่าเลือนเหมือนตาบอดไปชั่วขณะ
เอ็ดหน้าถอดสีอย่างควบคุมไม่ได้ ฝ่ามือของเขาพยายามกุมเศษดินก่อนจะถ่ายทอดพลังเพื่อให้รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่อยู่รอบข้าง พวกมันต่างเดินล้อมตัวเขาเป็นวงเขาใช้กำลังเท่าที่มีใช้ธาตุลมเพื่อสร้างเป็นเกราะกันบังที่โปร่งใส
“แกเป็นใคร” เอ็ดไม่สามารถควบคุมเสียงที่กำลังสั่นด้วยความโกรธได้ ดวงตาเขาถูกปกคลุมด้วยเยื่อบุขนาดใสเหมือนตาของเขากลายเป็นสีหมอก
“มันไม่สำคัญหรอก เพราะฉันจะฆ่าแกแล้วตัดหัวไปเสียบไว้ โทษฐานที่แกยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เสียงที่ถูกใช้โดยเครื่องแปลงเสียง ไม่สามารถแยกเสียงจริงได้ ทำให้เขาแปลกใจ
ปัง ปัง เสียงปืนดังขึ้นรัวเมื่อพวกมันไม่สามารถยิงผ่านทะลุเข้ามาได้ ถึงแม้มันจะทำให้พลังของเขาต้องใช้มันมากขึ้นเท่านั้น แต่ทว่า
กรรร์ เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับร่างมนุษย์หมาป่าที่ยกพวกกันมาแทบครึงฝูง ไทเลอร์คำรามอีกครั้งเป็นคำสั่งก่อนฝูงจะกระโจนเข้าใส่พวกมันที่รัวปืนใส่ เอ็ดรู้สึกได้ว่าพวกเขาแกร่งจนน่ากลัวเมื่ออยู่รวมกัน เขากัดฟันแน่นเมื่ออยู่เบื้องหลังฝูงหมาป่าที่ได้มาช่วยชีวิตไว้พยายามที่จะยืนหยัดให้ได้
แวมไพร์หนุ่มสามารถลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ เมื่อเห็นว่ามีมนุษย์หมาป่าบางคนถูกสอยร่วงไปคนหนึ่ง เขาจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาตายแทนเขาอีกต่อไป ดวงตาที่กำลังคุกกรุ่นไปด้วยความโกรธชายแววให้เห็นได้เด่นชัดก่อนจะรวบรวมกำลังที่มีคำรามพร้อมกับเขี้ยวแหลมคมที่ค่อยๆงอกออกมา นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงสภาพของเขาดูไม่ต่างไปจากแอลที่เคยโกรธ แล้วมันคือสัญญาณอันตรายชนิดหนึ่ง ฉะนั้นอย่าทำให้แวมไพร์โกรธเด่นขาด
พวกมันทั้งสาม ต่างตกอยู่ในอาการตกตะลึงเนื่องจากไม่เคยเห็นแวมไพร์ตนไหนน่ากลัวเท่านี้มาก่อน ก่อนจะคำรามพร้อมใช้ธาตุลมผลักกระเด็นกระแทกมาอยู่รวมกัน พลางเอี้ยวตัวเรียกธาตุไฟที่ถูกปล่อยออกมาจากมือทั้งสองข้างอย่างเต็มกำลังพร้อมกับสร้างเกราะเพื่อไม่ให้พวกมันหลบหนีไปไหนได้
วินาทีนี้ เสียงร้องโหยหวนเพื่ออ้อนวอนขอชีวิตของพวกมันยังดังก้องอยู่ในหัว สายตาที่แทบจะหลุดออกมาจากข้างนอกเบ้าเหลือบมามองเขาก่อนที่จะสิ้นใจ แม้แต่วิญญาณเขาก็จะให้มันจดจำเขาไว้ ร่างที่มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำล้มลงแล้วแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
“เอ็ด” เสียงเรียกที่แผ่วเบา เพราะเขาพบแต่เพียงเสียงดังอื้ออึงที่ยังอย่างต่อเนื่องแล้วมันจะไม่หยุด แต่ทว่าเลือดดังกล่าวที่ไหลผ่านทางจมูกดันเรียกสติเขากลับมา ชายหนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะใช้มือปาดมันทิ้ง เขาค่อยๆหันไปหาต้นเสียงที่กำลังพยายามจะดึงสติเขากลับมาด้วยสายตาที่ยังคงแฝงแววกังวลพร้อมกับทุกคนที่ยืนนิ่ง ทุกสายตาต่างจดจ้องมายังเขาแต่เพียงผู้เดียว
“เพื่อน ตาของนาย” รองจ่าฝูงยกมือทั้งสองขึ้นราวกับพยายามห้ามปรามไม่ให้ทำสิ่งเลวร้ายไปกว่านี้อีก คลินท์มาถึงพร้อมกับผงะไปสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพลางมองมายังเขาซึ่งเป็นต้นเหตุ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพวกมัน”
คลินท์เดินมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางมองหนุ่มแวมไพร์ที่กำลังสับสนกับสิ่งที่กำลังครอบงำเขา ดวงตาของเอ็ดกลายเป็นสีดำทั้งเบ้า ก่อนจะพูดเพื่อให้หนุ่มแวมไพร์หายกังวล
“เฮ้ ถ้านายไม่ฆ่าพวกมัน เราทุกคนก็คงไม่รอด” หนุ่มนักล่าแวมไพร์ยื่นมือให้เอ็ด
“นายเจ๋ง เพื่อน” ไทเลอร์เดินเข้ามาตบบ่าเบาๆเมื่อเอ็ดลุกขึ้นยืนโดยมีคลินท์ช่วยพยุงอยู่ข้างๆ สังเกตได้ว่านัยน์ตาดังกล่าวนั้นได้จางหายไปแล้ว
โรงเรียนมัธยมจอห์นพีท
คำสาปอย่างนั้นเหรอ ฉันแทบจะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติจะเกิดมาพร้อมกับคำสาป นับตั้งแต่ฉันได้ซื้อหนังสือมาจากร้านนั้น ความรู้สึกก็แปลกไป เกิดภาพต่างๆขึ้นมาในหัวฉายซ้ำไม่หยุด ภาพของบุคคลที่กำลังถูกบูชายันต์ ภาพของคนที่กำลังกรีดร้องตื่นตระหนกด้วยความกลัว
แล้วโรสเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อฉันเลยสักนิดว่า สิ่งที่พูดกันไปในร้านวันนั้นที่เห็นเรเนสกำลังไปได้สวยกับไซม่อนเป็นเรื่องจริง ซึ่งมันก็ฟังดูใช่ แต่ใครจะอธิบายมันได้ล่ะ ภาพหลอนต่างๆผุดขึ้นมาในหัวฉันอย่างไม่ทราบสาเหตุ และผู้ชายคนนั้นเขาก็ห่างเหินฉันไปเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร
นิโคลนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องนอนที่ตกแต่งแบบสบายๆซึ่งมีหนังสือมากมายถูกเปิดค้างไว้หลายเล่ม หนึ่งในนั้นก็มาจากร้านผีสิงที่เธอตั้งฉายาไว้ ปลายเล็บของหญิงสาวพยายามจิกรอยแผลบนนิ้วมือที่ปรากฏรอยหกเหลี่ยมซึ่งมันเกิดขึ้นเองตั้งแต่ตอนที่เริ่มสงสัยว่าแอลนั้นมีความผิดปกติ
การเสิร์ชหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตไม่ช่วยอะไรเธอได้สักนิดเพราะไม่สามารถรู้ได้ว่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือสิ่งที่แปลงปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกล่อคนอื่น สิ่งที่ช่วยได้จริงๆคือหนังสือเท่านั้น แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการงมเข็มในจักรวาลเพราะหนังสือเหล่านั้นถูกทำขึ้นตั้งมากมาย หญิงสาวคิดก่อนจะพลิกหน้ากระดาษที่มีสัญลักษณ์แปลกๆระบุไว้เต็มไปหมด
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนเธอจะเห็นแม่เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งเธอก็ลุกขึ้นเอนหลังพิงหัวเตียงก่อนจะยิ้มตอบขณะที่แม่ของเธอนั่งลงข้างปลายเตียง
“นิค….แม่ว่าลูกควรจะออกมาพบปะโลกภายนอกบ้างนะ…นี่ ลูกอ่านหนังสือพวกนี้ด้วยหรือเนี่ย ลูกควรจะ”
นิโคลรีบแย่งหนังสือในมือมาพลางวางมันไว้ข้างตัว “ก็แค่อยากหาอะไรอ่านเท่านั้นคะแม่” หลังจากที่เธอตอบกลับไปก็เห็นแม่ทำสีหน้าตะลึงพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆเตียงที่มีหนังสือวางอยู่เกลื่อนกลาดพลางวาดมือไปมาก่อนจะพูด
“มันก็ใช่…แต่ อย่าว่าแม่เลยนะ มันดูหมกหมุ่นเกินไป แม่จำครั้งสุดท้ายที่ลูกสับสนกับแฟนคนแรก…ลูกแทบจะกินกระดาษพวกนี้เป็นอาหารเย็นตลอดเวลา” คำตอบนั้นทำให้ทั้งสองสาวต่างวัยพยายามกลั้นยิ้มแต่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกันเพราะสิ่งที่แม่เธอกล่าวมานั้นมันตลกสิ้นดีเมื่อนึกถึงเวลาที่เธอมีปัญหากังวลในใจเธอชอบที่จะหาอะไรอ่านเพื่อที่จะลืมสิ่งนั้นหรือกำลังสืบเรื่องๆนั้นอยู่
“นี่…มีคนมาหาลูกด้วยแหละ” แม่หยุดหัวเราะก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เขาอยากจะมาขอโทษลูก ซึ่งแม่ก็ไม่อยากให้คนที่ลูกรัก ทำให้ลูกเป็นแบบนี้”
“โธ่ แม่คะ หนูยังไม่ได้รักใครทั้งนั้นเลยคะ” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง เคียร์ร่ามองกองหนังสือที่เปิดค้างไว้หลายเล่มด้วยสายตาเป็นห่วง
“แอรอน….เข้ามาเลยจ้ะ” นิโคลตกใจเมื่อแม่พูดชื่อนั้นขึ้นมา ก่อนจะจูบหน้าผากเธอเพื่อแสดงความเป็นห่วงก่อนจะยิ้มแล้วเดินผ่านเขาคนนั้นออกไปพลางหันตัวมาโบกมือให้กับทั้งสองจากนั้นก็ปิดประตูลง นิโคลจึงกัดฟันยับยั้งความโกรธที่แม่จงใจอยากทำให้เธอได้เคลียร์ทุกอย่างกับคนตรงหน้า
หลังจากที่แอรอนยิ้มตอบให้กับแม่ของเธอซึ่งเดินออกไปพลางกับปิดประตูให้ก่อนจะค่อยเดินเข้ามาหาเธอที่ปลายเตียงซึ่งเธอก็ปฏิกิริยาเหมือนเกรงกลัวเพราะเธอเขยิบถอยให้ห่างจากเขาไปให้ที่สุดไปอีกฟากนึงของเตียง
“นายต้องการอะไร…จะมาฆ่าปิดปากฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันแค่อยากจะมาขอโทษ กับทุกสิ่งที่ได้ทำลงไป”
หนุ่มแวมไพร์กล่าวด้วยแววตาที่สำนึกผิดภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย แล้วเหมือนมีความรู้สึกเจ็บแปล๊บๆเมื่อหญิงสาวมีทีท่าว่าจะให้อภัยแต่อย่างใด ใบหน้าสวยหวานปรากฏให้เห็นเพียงแต่ความเฉยชาก่อนจะสะบัดหน้าหันไปทางอื่น
“การที่นายดูดเลือดออกไปจากตัวฉันแล้วปล่อยให้ฉันเคว้งอยู่คนเดียวบนทางเดินในคืนนั้น ดูเหมือนจะให้อภัยง่ายสินะ”
อาจใช่ เขาคิดในใจ มันเป็นคืนที่ปั่นป่วนจนยากที่จะหาคำอธิบายมาเพื่อบอกเธอว่า มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกมาเผชิญกับมนุษย์ตัวเป็นๆ แวมไพร์ใช้เวลาปรับตัวนานโขจนกว่าจะสามารถมีสมาธิอยู่กับตัวเองเพื่อไม่ให้ฆ่าคนในที่สาธารณะ
รวมถึงพลังเขาด้วยเช่นกัน บางทีพลังเขามันกำลังดึงดูดให้จมดิ่งลงสู่ความมืดทุกชั่วขณะ เวลาใดที่เขายอมสิโรราบ เวลานั้นคงเป็นเวลาที่เขาได้ปิดความเป็นตัวตนของมนุษย์ไปแล้ว ถามว่าทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้อย่างงั้นเหรอ บันทึกของแวมไพร์ช่วยได้มากกว่าที่เขาไตร่ตรองไว้ซะอีก
“แวมไพร์จะไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อเหลือซากแม้แต่เศษผม ถ้าฉันไม่ทิ้งเธอไว้ เธอก็คงตกลงไป กลายเป็นศพในป่าแล้วล่ะ”
เขาว่าพลางเดินไปหยิบหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นห้องมาพลิกอ่าน พลางเอ่ยว่า “เธอเป็นคนต้องการให้ฉันบอกความจริงกับเธอ แล้วนั่นคือความจริงจากปากฉัน แม้กระทั่งเลือดของเธอก็ยังฝังอยู่บนปลายลิ้น ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนฉันก็ตามหาเธอพบ”
“นายมัน…ปีศาจ”
“ข้อนั้นฉันรู้ตัวดี แม้แต่เพื่อนของเธอก็ไม่ต่างอะไรไปจากฉันหรอก” คำพูดออกจากปากคนร้ายกาจทำให้หญิงสาวมีแววตาสั่นระริก พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด นิโคลไม่เคยพานพบความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากปากของเขาเลยซักครั้ง ระงับจิตใจไม่ให้เตลิดไปไกลเพราะเขาเป็นปีศาจที่จำแลงมาในร่างของชายรูปงามที่มีประกายออร่าความแบดบอยออกมาอย่างชัดเจน
“นายหมายความว่ายังไง”
“ก็ หมายความว่า เพื่อนชายของเธอก็ไม่ได้ดีเลิศไปกว่าฉันหรอก หมอนั่นน่ะ พยายามจะฆ่าฉันมานานแล้ว” ใบหน้าของเขามีท่าทางไม่แยแสก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นลงบนเตียงก่อนจะนั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง
“ไซม่อน งั้นเหรอ”
เธอพูดชื่อนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ พยายามจะประติดประต่อเรื่องราว แต่ไซม่อนเองก็มีอะไรบางอย่างจะบอกเธอมาตลอดแต่เพราะเขาอยู่ใกล้เธอได้เพียงไม่นาน
“แล้วนายกลับมาทำไม” เธอถาม ขณะที่เขาละสายตาหันมามองเธอด้วยแววตาที่เปลี่ยวเหงา “ฉันแค่อยากมาบอกให้เธอได้รู้ว่า ชีวิตเธอมีความสำคัญกับฉันมาก และเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ถ้าไม่มีฉัน…และไม่อยากจะจากเธอไปไหนด้วยซ้ำ”
“เอ่อ คือ” แอลเค้นคำพูดออกมาเพื่อหมายความไปตามที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่
ชายหนุ่มแวมไพร์รอฟังคำตอบจากหญิงสาวที่กำลังกัดปากตัวเอง ด้วยความประหม่าเพราะเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงกับมันดี สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อกี้เธอเองก็แทบจะควบคุมตัวเอง รวมถึงชายหนุ่มที่นั่งจ้องเธออยู่ตรงหน้าซึ่งเธอก็ต้องการคำอธิบายจากปากเขามากมายมหาศาล
“ฉันไม่รู้ว่าอะไรมันคือเรื่องจริง แต่จะดีกว่านี้ถ้านายมาพูดกับฉันตั้งแต่ทีแรก”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่มีอาการสั่นๆเพราะเธอไม่รู้ว่าเขากำลังจะมาไม้ไหน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเขาเคลื่อนที่จากอีกที่หนึ่งมานั่งอยู่ข้างเธอพร้อมกับสัมผัสมือเธอเพียงพริบตาเดียว ลมหายใจเธอติดขัดเมื่อใบหน้าที่ซีคเซียวไม่มีสีเลือดค่อยเลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงตาที่หลายเฉดสีกลายเป็นสีนิลทันทีเมื่อริมฝีปากของเขาสัมผัสเข้าที่ริมฝีปากของเธอ
ร่างกายของเธอไม่สามารถขยับได้เลยสักนิดเมื่อเธอได้รับรู้ถึงความโหยหาจากเขา เขาใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาแสนน่าหลงไหลของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน พลางใช้มืออีกข้างสัมผัสเอวบางแล้วเลื่อนมันไปลูบไล้ที่แผ่นหลัง
ก่อนจะตอบรับสัมผัสเธอเมื่อเธอเองก็จูบตอบเขาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอเขาเพื่อขยับเข้าใกล้มากขึ้น เพราะเธอไม่สามารถปกปิดความรู้สึกดีๆแบบนี้ได้อีกต่อไป ขณะที่แอลค่อยๆถอนริมฝีปากออกเขารับรู้ได้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้าเองก็มิอาจลืมเขาได้ ไม่ว่าเขาจะทำกับเธอไว้มากแค่ไหน