หมอลืมให้ยา เลยเขียนเรื่องนี้ได้^^
เสียมไร้เงา.........1
ตะวันเคลื่อนคล้อย เวิ้งฟ้าเงียบขรึม แต่งแต้มสีคราม ไร้เมฆแซมซอน สายลมอบอ้าว ข้าวเพิ่งเก็บเกี่ยว ตอข้าวเรียงราย ผืนดินแห้งแล้ง คันนาเงียบเหงา หัวใจเดียวดาย
คนผู้หนึ่ง ควายตัวหนึ่ง เสียมเล่มหนึ่ง เสียมอยู่ในมือคน คนอยู่บนหลังควาย ควายเดินกลางทุ่งนา
ย่านนั้นขอเพียงรู้จักใช้หูให้เป็นประโยชน์ ย่อมต้องเคยได้ยินฉายา นักฆ่า “เสียมไร้เงา” กับภาพบุรุษหนุ่มรูปร่างบึกบึนราวกับไม่รู้จักคำว่า อ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง อยู่ในสารบบของวิถีชีวิต อาวุธหากินข้างกายแทบตลอดเวลาคือเสียมด้ามไม้ปลายเหล็กเล่มหนึ่ง คนกับเสียมคล้ายหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว เสียมไร้เงาสะบัดร้อยครั้ง ถูกเป้าหมายร้อยครา ต่อให้กะปู หอย กุดจี่ บึ้ง เขียดจำศีล หลบลี้หนีหน้าตัดขาดกิเลสตัณหาภายใต้ผืนปฐพีแน่นหนาลี้ลับปานใด ขอเพียงวิชาเสียมไร้เงาทำงาน ก็มิอาจมีตัวใดสิ่งใดหลุดรอดปลอดโปร่ง
เพียงวันนี้หัวใจของเสียมไร้เงาไม่ปลอดโปร่ง กลับหนักอึ้งราวโลกทั้งใบกำลังเกาะเกี่ยวเหนี่ยวลากลงก้นบึ้งหนักอึ้งมืดดำ สองไหล่เคยยืดเหยียดตรงมั่นคงดั่งขุนเขา ยามนี้กลับงองุ้มลงเป็นกุ้งแห้ง เนื่องเพราะการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางเที่ยวเดียว สิ่งรออยู่ข้างหน้ามีแต่ความพินาศ และความตาย หัวใจยังคงสถิตร่างกาย แต่จิตใจติดปีกโบยบินไร้ทิศไร้ทาง
พลังอำนาจใด ทำให้คนผู้หนึ่งกลับกลายสุดขั้ว ในโลกนี้ยังจะมีอะไรทรงพลังอานุภาพเร้นลับพิสดารรุนแรงเท่าความรัก
ความรัก...สองพยางค์ธรรมดาสามัญสุดแสนมิว่าผู้ใดก็สามารถเอื้อนเอ่ย แต่บางครั้งกลับกลายเป็นสิ่งพิสดารล้ำลึกสุดขั้ว บางครั้งบันดาลให้ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสจนปากแทบฉีกถึงใบหู บางครั้งบันดาลให้ผู้คนคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการวันสิ้นโลก แต่จะแน่ใจอย่างไรว่า นั่นเป็นพลานุภาพแห่งความรักแท้จริง พูดง่ายมิใช่หมายถึงเข้าใจง่าย พูดว่าเข้าใจอาจมิใช่เข้าใจอย่างแท้จริง บางคนเพียงเก็บเกี่ยวอารมณ์บางอย่างแล้วเชื่อมั่นว่านั่นคือความรัก ทั้งที่ความจริงยังห่างไกลเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก ยังมิอาจบ่งบอกความจริงอันยิ่งใหญ่ได้
แม่นางส้มปลาน้อย ชื่อธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คนรักของนักฆ่าเสียมไร้เงา ผู้เคยคบหากันมาเนิ่นนาน อยู่ดีไม่ว่าดี พลันพลิกพลิ้วผละห่างจากไปเพื่อแต่งงานกับ คุณชายเห็ดฟาง ทายาทคนเดียวของตระกูลมั่งคั่งแห่งตำบล ผู้มาก่อนมิใช่คำตอบถูกต้องเสมอไป ผู้มาหลังก็มิใช่ถูกสลัดตัดรอน ผู้มากลางมิใช่ตาอยู่ทุกครั้งครา แม่นางส้มปลาน้อยคล้ายคนทำข้อสอบเลือกตอบ ย่อมเลือกคำตอบถูกต้องสำหรับตัวเองมากที่สุด หากเลือกนักฆ่าเสียมไร้เงา อนาคตคงกินแดดแผดเผาไร้เงากลางทุ่งร้อน เลือกคุณชายเห็ดฟาง อนาคตข้างหน้าตำแหน่ง “คุณนายเห็ดฟาง” รออยู่ข้างหน้าอย่างกระจ่างสดใส ทั้งยังอาจได้ตำแหน่ง คุณนายเห็ดหูหนู ในอนาคตเมื่อมีการขยายกิจการ
ภาพบุรุษหนุ่มบนหลังควายเหยาะย่าง ไหนเลยจะทัดเทียมภาพบุรุษหนุ่มบนเกวียนกว้างเทียมโครุ่นใหม่ สัญญารักใต้ต้นกระโดนศักดิ์สิทธิ์บนจอมโพนปลวกใหญ่ สลายไปกับลมร้อนหน้าแล้งกับน้ำตาผ่าสุราและพี่เมาวันเขาหมั้น
คืนเพ็ญเพิ่งผ่านพ้น เสียมไร้เงายังจดจำราวภาพเกิดในอึดใจที่แล้ว ยามเย็นลงทุนลงหนองเหวี่ยงแหจับปลาช่อนตัวเขื่องท้องโตมาได้ตัวหนึ่ง คนแรกที่นึกถึงคือแม่นางส้มปลาน้อย ดังนั้นรีบรุดไปยังบ้านสาวคนรักด้วยหัวใจปลาบปลื้มพองโตเพราะรู้ว่านางคนรักชอบปลาช่อนมากที่สุด ถ้าเหลือก็เอาลงไหทำปลาร้า บางส่วนลงเตาปิ้งย่างหอมกรุ่นอบร่ำจิตวิญญาณ บางส่วนลงหม้อแกงใส่สารพัดผัก อร่อยชนิดกินแล้วดึงลากกระชากหูก็ไม่ยอมออกจากวงข้าว แต่วันนั้นสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบพลิกฟ้ากลับแผ่นดิน
ชานเรือนของนางในดวงใจกำลังต้อนรับอาคันตุกะหน้าใหม่ ฟังว่าเป็นคนของตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งสองหนุ่มสาวพร้อมว่าที่พ่อตาแม่ยายนั่งล้อมวงทานข้าวกันอย่างสนุกสนานมิลืมหูลืมตา กระทั่งแม่นางส้มปลาน้อยหันมาคว้าขันจ้วงลงในถังน้ำใบสวยแปลกตา นางจึงเห็นผู้มาเยือนไร้เสียง
“อ้าว ท่านพี่เสียม มาทานข้าวด้วยกัน” นางเอ่ยปากเชิญชวน แต่น้ำเสียงดูห่างเหินจนน่าประหลาดใจ
“ข้า....เอาปลาช่อนมาฝาก ท่าทางมีไข่เต็มท้องด้วย เจ้าคงชอบ”
สายตาของนางมองปลาช่อน เปลี่ยนมาเป็นมองคนถือ พลันส่ายหน้าแล้วบอกด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชาว่า
“โอ...นั่นปลาช่อนตั้งท้อง ข้ามิอาจกิน ปลาช่อนตั้งครรภ์แก่ขนาดนั้น ตายไปเกรงว่าจะกลายเป็นผีปลาช่อนตายท้องกลม มาหลอกหลอนยามค่ำคืน เอาไปปล่อยลงน้ำเสียเถิดเพื่ออนุรักษ์พันธ์ปลาช่อนไว้ และมิให้เป็นภูตผี”
“นั่นสินะ....” เสียงของว่าที่มารดายายเสริมขึ้นหลังจากหันหน้าออกมาจากวงข้าว สายตามีแววห่างไกลเช่นกันกับคำพูดของลูกสาว “ปลาช่อนตั้งท้องแก่ ตายทั้งกลมวิญญาณจะดุร้ายมาก เอาไปทำปลาร้าก็จะกลายเป็นปลาร้าผีสิง ทำแกงปลาก็จะกลายเป็นแกงปลาตายทั้งกลม ทำปลาร้าหลนก็จะกลายเป็นปลาร้าหลอน ค่ำคืนคงมีเสียง... เอาไข่ข้าคืนมา......เอาไข่ข้าคืนมา......ลูกข้าอยู่ไหน...โอย แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว ว่าไหมพ่อ”
ประโยคหลังหันไปถามสามีผู้กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายกับการมีคนมาขัดจังหวะในการจะได้มีว่าที่ลูกเขยใหม่ ขัดจังหวะในการหยิบหัวปลา คำตอบก็ออกมาในแนวเดียวกันว่า
“ใช่แล้วแม่...ปลาช่อนตายทั้งกลมผีดุชะมัด คงไม่มีหมอผีปลาคนไหนปราบได้ อย่ากระนั้นเลย ไอ้เสียม เอาปลาตั้งท้องกลับไปเสียเถอะบาปกรรมเปล่าๆ และตอนนี้พวกข้ากำลังกินปลาพิสดารแนวใหม่ ไม่ต้องฆ่าไม่ต้องแกงให้เสียเวลา จริงไหมพ่อหนุ่มเห็ดฟาง”
ประโยคหลังตาเฒ่าโยนลูกไปให้บุรุษหนุ่มหล่อแต่งกายดีเกินหน้าเกินตาคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่เสียมเห็นมารความรัก และเห็นแล้วก็พลันเจ็บวูบขึ้นมาในหัวใจ ด้วยหนุ่มคนนั้นดูดีมีสง่าราศีเหลือเกิน คำพูดก็สุภาพเรียบร้อยเหลือเกิน
“แม่นแล้วพ่อ ปลากระป๋องกินง่ายไม่ต้องต้มต้องแกง อ้อ...ไยไม่วางปลาช่อนผู้น่าสงสารแล้วมาสะแตกปลาป๋องด้วยกัน”
บุรุษหนุ่มท่าทางดียังมีน้ำใจเอ่ยปากชักชวน ก่อนหันไปสบตากับแม่นางส้มปลาน้อยพร้อมรอยยิ้มเบ่งบานออกจากตัวและหัวใจมิอาจบิดบัง เสียมรู้สึกว่านอกชานกำลังถล่มทลายลงจนหมุนเคว้งคว้างลงไปไร้ทิศไร้ทาง ลางสังหรณ์อัปมงคลบอกทันทีว่าคนรักกำลังถูกบิดเบือนเปลี่ยนทิศเส้นทางรักเสียแล้ว ไม่ทราบว่าลงจากเรือนเมื่อใด จำได้เพียงว่าเอาปลาช่อนไปปล่อยคืนหนองน้ำตามเดิม เมื่อวาสนาเจ้าไม่ถูกปากใครก็กลับไปหาครอบครัวพี่น้องเจ้าเสียเถิด.... ปลาช่อนแหวกว่ายห่างไปราวพาหัวใจปลิดปลิวไปด้วย หลังจากนั้นไม่กี่วันข่าวกันหมั้นหมายวันวิวาห์ก็ประกาศครืน
ความรักเป็นพิษ ความคิดครุ่นหมกหม่นกลับกลายเป็นความรุ่มร้อนราวเพลิงนรกเผาผลาญ มีทางเดียวคือ สังหารคุณชายเห็ดฟางก่อนวันวิวาห์
ดังนั้นทั้งคนทั้งควายออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเห็ดฟาง
ควายมีชื่อเล่นว่าเจ้าทุย ตอนแรกตั้งชื่อมันว่าเจ้าตูบ ฟังไปคล้ายหมาตัวหนึ่ง แต่มีคนสังเกตว่าควายตัวนี้รูปร่างท่าทางนิสัยใจคอไม่เหมือนหมาและไม่เคยเห่าเลยแม้แต่น้อย จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าทุยเพื่อความเป็นศิริมงคล แต่ไมมีน้องเอี้ยงหรือน้องเรียมเหลือทนแล้วนั่น มาเลี้ยงควายเฒ่าจนนกเอี้ยงหัวโตเหมือนในนิยาย แต่มันก็เป็นสหายผู้สัตย์ซื่อของนักฆ่าเสียมไร้เงาตลอดมา
ยามความรักสดใส สองใจประคองอิงแอบขี่หลังควายชมทุ่ง ขับขานบทเพลงบรรเลงใจ ยามเศร้าหมองกอดคอเจ้าทุยผ่าเหล้าผ่ารัก มิตรภาพคนกับควายมั่นคงไม่คลอนแคลน
ข้างทางมีหนองน้ำชราภาพใกล้แห้งขอด สตรีนางหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆ อยู่ในหนองน้ำความลึกระดับเข่าจนมอมแมมไปทั้งเนื้อตัวเสื้อผ้า มองปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือ แม่นางมอมแมม หญิงสาวในชุดผ้าซิ่นทะมัดทะแมงเสื้อชุดชาวนาสีเข้มและหมวกฟางปิดโฉมหน้ามอมแมม นางไม่ใช่หญิงงามล่มเมือง มิใช่หญิงทรงเสน่ห์ทำให้บุรุษเพศมองแล้วจับไข้ล้มประดาตาย แต่คนเป็นขยันขันแข็งทำไร่ทำไร่ทำนามิขาดตอน คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เสียมไร้เงาทำท่าเหมือนดึงบังเหียนไร้เงาหยุดฝีเท้าพาหนะคู่ใจ จ้องมองเหม่อลอย อีกฝ่ายยืดตัวเงยหน้าขึ้นมามองพอดี
“เป็นท่านพี่เสียม” นางเอ่ยปากทักทายสั้นๆ บุรุษหนุ่มยิ้มเล็กหน้าพยักหน้าตอบ
“เป็นข้า”
“เป็นท่านพี่เสียมจริงๆ”
“ย่อมเป็นข้าจริงๆ ว่าแต่มาทำอะไรอยู่กลางหนองกลางบึง บ่ายจัดแล้วควรกลับบ้านได้แล้วนะ” ประโยคหลังของเสียมไร้เงากระด้างขึ้นเล็กน้อยเพราะถือว่าเกิดก่อนหลายปี บ้านอยู่ในหมู่บ้านละแวกเดียวกัน แต่ไม่ว่าพบพานคุ้นเคยกันมากเพียงใด ระยะห่างของทั้งสองไม่เคยล่วงล้ำกล้ำเกินขอบเขตคำว่าพี่น้องเลยสักน้อย
“ข้ามาหาปลาซิวอ้าวไปทำอาหารเย็น” ว่าพลางนางยกสวิงในมือให้ดู ในสวิงมีปลาซิวปลาสร้อยอยู่หลายตัวกำลังกระโดดโลดเต้นดิ้นไปมา บุรุษหนุ่มได้แต่ถอนใจ เข้าใจว่าสรรพสัตว์เป็นอาหารมนุษย์แต่อดสงสารไม่ได้รู้สึกว่าการเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตและอยู่รอดได้ต้องแลกกับสิ่งมีชีวิตอื่นเสมอหลายชีวิตดับหายเพื่อต่อชีวิตหนึ่ง เช่นนี้จะบอกว่าชีวิตเป็นสิ่งดีได้อย่างไร
“เจ้าไม่กลัวปลิงเหรอ”
“ข้าเอาฝูงเป็ดลงหนองน้ำได้สองสามวันแล้ว”
เป็นที่รู้กันว่า หนองน้ำมีปลิง เอาฝูงเป็ดมาลงเล่นน้ำ บรรดาปลิงจะหายเรียบกลายเป็นอาหารของเป็ดไปจนหมดสิ้น วัฏจักรธรรมชาติวนเวียนไล่เรียงลำดับขั้นการถ่ายทอดพลังงานอย่างน่าทึ่ง
แม่นางมอมแมมจ้องมองคนบนหลังควายแน่นิ่ง ใบหน้าเปื้อนโคลนตมแต่สายตายังกระจ่างสุกใส ถามอีกว่า
“ท่านพี่ไม่ไปได้หรือไม่”
“ข้ามิอาจไม่ไป” คำตอบของเสียมไร้เงายังหนักแน่นมิกลับกลาย ประกายตาของคนถามคล้ายมีหมอกม่านชนิดหนึ่งมาบดบังกางกั้น คนอยู่บนหลังควายราวไม่ใช่คนผู้หนึ่ง แต่เป็นตัวโง่งมตัวหนึ่ง เป็นตัวโง่งมที่ควรให้ควายขึ้นไปขี่หลังแทนจึงจะสาสม ความจริงควายมิใช่สัญลักษณ์ของความโง่งมแต่ควรเป็นตัวแทนของความอดทนอดกลั้นสัตย์ซื่อมั่นคง ดังนั้นหลายครั้งดูสูงล้ำกว่าคนหลายคนหลายกลุ่มที่ประพฤติตัวเลวร้าย มิว่าผู้ใดก็ไม่เคยเห็นควายกัดกันหรือทะเลาะกัน ไม่เคยใช้กำลังกลุ้มรุมทำร้ายควายอ่อนแอกว่า หรืออิจฉาริษยากันแน่นอน
แม่นางมอมแมมถอนลมหายใจยาว มองข้ามศีรษะเสียมไร้เงาไปยังเวิ้งฟ้าไกล นางฉลาดพอจะรู้ว่าคนเฉกเช่นนี้ ทัดทานห้ามสมปรามก็ไร้ผล เพราะแรงขับเคลื่อนภายในใจคือพลังของความรักและความแค้น ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นมากเท่าใดเปลวไฟยิ่งลุกโชนร้อนแรง
“เอาเถิด ข้ารู้ว่าท่านพี่ต้องไป” นางหมายความคำพูด บางทีค่ำคืนนี้อาจกลับบ้านปรึกษาท่านยายเรื่องเตรียมงานศพให้แก่บุรุษหนุ่มผู้กำลังกระตุ้นให้เจ้าทุยเดินต่อไป
“เอาล่ะ...ข้ารู้ว่าข้าต้องไป” เสียมไร้เงาก็หมายความตามนั้นจริงๆ แม้จะรู้ว่าวันพรุ่งนี้อาจเป็นวันแรกของการจัดงานศพ แต่อย่างไรก็มิอาจไม่ไป เพราะมิไปเชื้อไฟในใจย่อมไม่อาจสงบลง ต่อให้ไปแล้วร่างกายจะถูกเผาผลาญด้วยไฟร้อนแรงบนกองฟอนก็ต้องไป เพราะไฟในใจร้อนรุ่มเผาผลาญวิญญาณทุกลมหายใจ
“ถ้าข้าไม่ตายข้าจะเก็บดอกกระเจียวมาฝากเจ้า”
.
เสียมไร้เงา.........1
เสียมไร้เงา.........1
ตะวันเคลื่อนคล้อย เวิ้งฟ้าเงียบขรึม แต่งแต้มสีคราม ไร้เมฆแซมซอน สายลมอบอ้าว ข้าวเพิ่งเก็บเกี่ยว ตอข้าวเรียงราย ผืนดินแห้งแล้ง คันนาเงียบเหงา หัวใจเดียวดาย
คนผู้หนึ่ง ควายตัวหนึ่ง เสียมเล่มหนึ่ง เสียมอยู่ในมือคน คนอยู่บนหลังควาย ควายเดินกลางทุ่งนา
ย่านนั้นขอเพียงรู้จักใช้หูให้เป็นประโยชน์ ย่อมต้องเคยได้ยินฉายา นักฆ่า “เสียมไร้เงา” กับภาพบุรุษหนุ่มรูปร่างบึกบึนราวกับไม่รู้จักคำว่า อ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง อยู่ในสารบบของวิถีชีวิต อาวุธหากินข้างกายแทบตลอดเวลาคือเสียมด้ามไม้ปลายเหล็กเล่มหนึ่ง คนกับเสียมคล้ายหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว เสียมไร้เงาสะบัดร้อยครั้ง ถูกเป้าหมายร้อยครา ต่อให้กะปู หอย กุดจี่ บึ้ง เขียดจำศีล หลบลี้หนีหน้าตัดขาดกิเลสตัณหาภายใต้ผืนปฐพีแน่นหนาลี้ลับปานใด ขอเพียงวิชาเสียมไร้เงาทำงาน ก็มิอาจมีตัวใดสิ่งใดหลุดรอดปลอดโปร่ง
เพียงวันนี้หัวใจของเสียมไร้เงาไม่ปลอดโปร่ง กลับหนักอึ้งราวโลกทั้งใบกำลังเกาะเกี่ยวเหนี่ยวลากลงก้นบึ้งหนักอึ้งมืดดำ สองไหล่เคยยืดเหยียดตรงมั่นคงดั่งขุนเขา ยามนี้กลับงองุ้มลงเป็นกุ้งแห้ง เนื่องเพราะการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางเที่ยวเดียว สิ่งรออยู่ข้างหน้ามีแต่ความพินาศ และความตาย หัวใจยังคงสถิตร่างกาย แต่จิตใจติดปีกโบยบินไร้ทิศไร้ทาง
พลังอำนาจใด ทำให้คนผู้หนึ่งกลับกลายสุดขั้ว ในโลกนี้ยังจะมีอะไรทรงพลังอานุภาพเร้นลับพิสดารรุนแรงเท่าความรัก
ความรัก...สองพยางค์ธรรมดาสามัญสุดแสนมิว่าผู้ใดก็สามารถเอื้อนเอ่ย แต่บางครั้งกลับกลายเป็นสิ่งพิสดารล้ำลึกสุดขั้ว บางครั้งบันดาลให้ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสจนปากแทบฉีกถึงใบหู บางครั้งบันดาลให้ผู้คนคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการวันสิ้นโลก แต่จะแน่ใจอย่างไรว่า นั่นเป็นพลานุภาพแห่งความรักแท้จริง พูดง่ายมิใช่หมายถึงเข้าใจง่าย พูดว่าเข้าใจอาจมิใช่เข้าใจอย่างแท้จริง บางคนเพียงเก็บเกี่ยวอารมณ์บางอย่างแล้วเชื่อมั่นว่านั่นคือความรัก ทั้งที่ความจริงยังห่างไกลเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก ยังมิอาจบ่งบอกความจริงอันยิ่งใหญ่ได้
แม่นางส้มปลาน้อย ชื่อธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คนรักของนักฆ่าเสียมไร้เงา ผู้เคยคบหากันมาเนิ่นนาน อยู่ดีไม่ว่าดี พลันพลิกพลิ้วผละห่างจากไปเพื่อแต่งงานกับ คุณชายเห็ดฟาง ทายาทคนเดียวของตระกูลมั่งคั่งแห่งตำบล ผู้มาก่อนมิใช่คำตอบถูกต้องเสมอไป ผู้มาหลังก็มิใช่ถูกสลัดตัดรอน ผู้มากลางมิใช่ตาอยู่ทุกครั้งครา แม่นางส้มปลาน้อยคล้ายคนทำข้อสอบเลือกตอบ ย่อมเลือกคำตอบถูกต้องสำหรับตัวเองมากที่สุด หากเลือกนักฆ่าเสียมไร้เงา อนาคตคงกินแดดแผดเผาไร้เงากลางทุ่งร้อน เลือกคุณชายเห็ดฟาง อนาคตข้างหน้าตำแหน่ง “คุณนายเห็ดฟาง” รออยู่ข้างหน้าอย่างกระจ่างสดใส ทั้งยังอาจได้ตำแหน่ง คุณนายเห็ดหูหนู ในอนาคตเมื่อมีการขยายกิจการ
ภาพบุรุษหนุ่มบนหลังควายเหยาะย่าง ไหนเลยจะทัดเทียมภาพบุรุษหนุ่มบนเกวียนกว้างเทียมโครุ่นใหม่ สัญญารักใต้ต้นกระโดนศักดิ์สิทธิ์บนจอมโพนปลวกใหญ่ สลายไปกับลมร้อนหน้าแล้งกับน้ำตาผ่าสุราและพี่เมาวันเขาหมั้น
คืนเพ็ญเพิ่งผ่านพ้น เสียมไร้เงายังจดจำราวภาพเกิดในอึดใจที่แล้ว ยามเย็นลงทุนลงหนองเหวี่ยงแหจับปลาช่อนตัวเขื่องท้องโตมาได้ตัวหนึ่ง คนแรกที่นึกถึงคือแม่นางส้มปลาน้อย ดังนั้นรีบรุดไปยังบ้านสาวคนรักด้วยหัวใจปลาบปลื้มพองโตเพราะรู้ว่านางคนรักชอบปลาช่อนมากที่สุด ถ้าเหลือก็เอาลงไหทำปลาร้า บางส่วนลงเตาปิ้งย่างหอมกรุ่นอบร่ำจิตวิญญาณ บางส่วนลงหม้อแกงใส่สารพัดผัก อร่อยชนิดกินแล้วดึงลากกระชากหูก็ไม่ยอมออกจากวงข้าว แต่วันนั้นสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบพลิกฟ้ากลับแผ่นดิน
ชานเรือนของนางในดวงใจกำลังต้อนรับอาคันตุกะหน้าใหม่ ฟังว่าเป็นคนของตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งสองหนุ่มสาวพร้อมว่าที่พ่อตาแม่ยายนั่งล้อมวงทานข้าวกันอย่างสนุกสนานมิลืมหูลืมตา กระทั่งแม่นางส้มปลาน้อยหันมาคว้าขันจ้วงลงในถังน้ำใบสวยแปลกตา นางจึงเห็นผู้มาเยือนไร้เสียง
“อ้าว ท่านพี่เสียม มาทานข้าวด้วยกัน” นางเอ่ยปากเชิญชวน แต่น้ำเสียงดูห่างเหินจนน่าประหลาดใจ
“ข้า....เอาปลาช่อนมาฝาก ท่าทางมีไข่เต็มท้องด้วย เจ้าคงชอบ”
สายตาของนางมองปลาช่อน เปลี่ยนมาเป็นมองคนถือ พลันส่ายหน้าแล้วบอกด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชาว่า
“โอ...นั่นปลาช่อนตั้งท้อง ข้ามิอาจกิน ปลาช่อนตั้งครรภ์แก่ขนาดนั้น ตายไปเกรงว่าจะกลายเป็นผีปลาช่อนตายท้องกลม มาหลอกหลอนยามค่ำคืน เอาไปปล่อยลงน้ำเสียเถิดเพื่ออนุรักษ์พันธ์ปลาช่อนไว้ และมิให้เป็นภูตผี”
“นั่นสินะ....” เสียงของว่าที่มารดายายเสริมขึ้นหลังจากหันหน้าออกมาจากวงข้าว สายตามีแววห่างไกลเช่นกันกับคำพูดของลูกสาว “ปลาช่อนตั้งท้องแก่ ตายทั้งกลมวิญญาณจะดุร้ายมาก เอาไปทำปลาร้าก็จะกลายเป็นปลาร้าผีสิง ทำแกงปลาก็จะกลายเป็นแกงปลาตายทั้งกลม ทำปลาร้าหลนก็จะกลายเป็นปลาร้าหลอน ค่ำคืนคงมีเสียง... เอาไข่ข้าคืนมา......เอาไข่ข้าคืนมา......ลูกข้าอยู่ไหน...โอย แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว ว่าไหมพ่อ”
ประโยคหลังหันไปถามสามีผู้กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายกับการมีคนมาขัดจังหวะในการจะได้มีว่าที่ลูกเขยใหม่ ขัดจังหวะในการหยิบหัวปลา คำตอบก็ออกมาในแนวเดียวกันว่า
“ใช่แล้วแม่...ปลาช่อนตายทั้งกลมผีดุชะมัด คงไม่มีหมอผีปลาคนไหนปราบได้ อย่ากระนั้นเลย ไอ้เสียม เอาปลาตั้งท้องกลับไปเสียเถอะบาปกรรมเปล่าๆ และตอนนี้พวกข้ากำลังกินปลาพิสดารแนวใหม่ ไม่ต้องฆ่าไม่ต้องแกงให้เสียเวลา จริงไหมพ่อหนุ่มเห็ดฟาง”
ประโยคหลังตาเฒ่าโยนลูกไปให้บุรุษหนุ่มหล่อแต่งกายดีเกินหน้าเกินตาคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่เสียมเห็นมารความรัก และเห็นแล้วก็พลันเจ็บวูบขึ้นมาในหัวใจ ด้วยหนุ่มคนนั้นดูดีมีสง่าราศีเหลือเกิน คำพูดก็สุภาพเรียบร้อยเหลือเกิน
“แม่นแล้วพ่อ ปลากระป๋องกินง่ายไม่ต้องต้มต้องแกง อ้อ...ไยไม่วางปลาช่อนผู้น่าสงสารแล้วมาสะแตกปลาป๋องด้วยกัน”
บุรุษหนุ่มท่าทางดียังมีน้ำใจเอ่ยปากชักชวน ก่อนหันไปสบตากับแม่นางส้มปลาน้อยพร้อมรอยยิ้มเบ่งบานออกจากตัวและหัวใจมิอาจบิดบัง เสียมรู้สึกว่านอกชานกำลังถล่มทลายลงจนหมุนเคว้งคว้างลงไปไร้ทิศไร้ทาง ลางสังหรณ์อัปมงคลบอกทันทีว่าคนรักกำลังถูกบิดเบือนเปลี่ยนทิศเส้นทางรักเสียแล้ว ไม่ทราบว่าลงจากเรือนเมื่อใด จำได้เพียงว่าเอาปลาช่อนไปปล่อยคืนหนองน้ำตามเดิม เมื่อวาสนาเจ้าไม่ถูกปากใครก็กลับไปหาครอบครัวพี่น้องเจ้าเสียเถิด.... ปลาช่อนแหวกว่ายห่างไปราวพาหัวใจปลิดปลิวไปด้วย หลังจากนั้นไม่กี่วันข่าวกันหมั้นหมายวันวิวาห์ก็ประกาศครืน
ความรักเป็นพิษ ความคิดครุ่นหมกหม่นกลับกลายเป็นความรุ่มร้อนราวเพลิงนรกเผาผลาญ มีทางเดียวคือ สังหารคุณชายเห็ดฟางก่อนวันวิวาห์
ดังนั้นทั้งคนทั้งควายออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเห็ดฟาง
ควายมีชื่อเล่นว่าเจ้าทุย ตอนแรกตั้งชื่อมันว่าเจ้าตูบ ฟังไปคล้ายหมาตัวหนึ่ง แต่มีคนสังเกตว่าควายตัวนี้รูปร่างท่าทางนิสัยใจคอไม่เหมือนหมาและไม่เคยเห่าเลยแม้แต่น้อย จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าทุยเพื่อความเป็นศิริมงคล แต่ไมมีน้องเอี้ยงหรือน้องเรียมเหลือทนแล้วนั่น มาเลี้ยงควายเฒ่าจนนกเอี้ยงหัวโตเหมือนในนิยาย แต่มันก็เป็นสหายผู้สัตย์ซื่อของนักฆ่าเสียมไร้เงาตลอดมา
ยามความรักสดใส สองใจประคองอิงแอบขี่หลังควายชมทุ่ง ขับขานบทเพลงบรรเลงใจ ยามเศร้าหมองกอดคอเจ้าทุยผ่าเหล้าผ่ารัก มิตรภาพคนกับควายมั่นคงไม่คลอนแคลน
ข้างทางมีหนองน้ำชราภาพใกล้แห้งขอด สตรีนางหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆ อยู่ในหนองน้ำความลึกระดับเข่าจนมอมแมมไปทั้งเนื้อตัวเสื้อผ้า มองปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือ แม่นางมอมแมม หญิงสาวในชุดผ้าซิ่นทะมัดทะแมงเสื้อชุดชาวนาสีเข้มและหมวกฟางปิดโฉมหน้ามอมแมม นางไม่ใช่หญิงงามล่มเมือง มิใช่หญิงทรงเสน่ห์ทำให้บุรุษเพศมองแล้วจับไข้ล้มประดาตาย แต่คนเป็นขยันขันแข็งทำไร่ทำไร่ทำนามิขาดตอน คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เสียมไร้เงาทำท่าเหมือนดึงบังเหียนไร้เงาหยุดฝีเท้าพาหนะคู่ใจ จ้องมองเหม่อลอย อีกฝ่ายยืดตัวเงยหน้าขึ้นมามองพอดี
“เป็นท่านพี่เสียม” นางเอ่ยปากทักทายสั้นๆ บุรุษหนุ่มยิ้มเล็กหน้าพยักหน้าตอบ
“เป็นข้า”
“เป็นท่านพี่เสียมจริงๆ”
“ย่อมเป็นข้าจริงๆ ว่าแต่มาทำอะไรอยู่กลางหนองกลางบึง บ่ายจัดแล้วควรกลับบ้านได้แล้วนะ” ประโยคหลังของเสียมไร้เงากระด้างขึ้นเล็กน้อยเพราะถือว่าเกิดก่อนหลายปี บ้านอยู่ในหมู่บ้านละแวกเดียวกัน แต่ไม่ว่าพบพานคุ้นเคยกันมากเพียงใด ระยะห่างของทั้งสองไม่เคยล่วงล้ำกล้ำเกินขอบเขตคำว่าพี่น้องเลยสักน้อย
“ข้ามาหาปลาซิวอ้าวไปทำอาหารเย็น” ว่าพลางนางยกสวิงในมือให้ดู ในสวิงมีปลาซิวปลาสร้อยอยู่หลายตัวกำลังกระโดดโลดเต้นดิ้นไปมา บุรุษหนุ่มได้แต่ถอนใจ เข้าใจว่าสรรพสัตว์เป็นอาหารมนุษย์แต่อดสงสารไม่ได้รู้สึกว่าการเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตและอยู่รอดได้ต้องแลกกับสิ่งมีชีวิตอื่นเสมอหลายชีวิตดับหายเพื่อต่อชีวิตหนึ่ง เช่นนี้จะบอกว่าชีวิตเป็นสิ่งดีได้อย่างไร
“เจ้าไม่กลัวปลิงเหรอ”
“ข้าเอาฝูงเป็ดลงหนองน้ำได้สองสามวันแล้ว”
เป็นที่รู้กันว่า หนองน้ำมีปลิง เอาฝูงเป็ดมาลงเล่นน้ำ บรรดาปลิงจะหายเรียบกลายเป็นอาหารของเป็ดไปจนหมดสิ้น วัฏจักรธรรมชาติวนเวียนไล่เรียงลำดับขั้นการถ่ายทอดพลังงานอย่างน่าทึ่ง
แม่นางมอมแมมจ้องมองคนบนหลังควายแน่นิ่ง ใบหน้าเปื้อนโคลนตมแต่สายตายังกระจ่างสุกใส ถามอีกว่า
“ท่านพี่ไม่ไปได้หรือไม่”
“ข้ามิอาจไม่ไป” คำตอบของเสียมไร้เงายังหนักแน่นมิกลับกลาย ประกายตาของคนถามคล้ายมีหมอกม่านชนิดหนึ่งมาบดบังกางกั้น คนอยู่บนหลังควายราวไม่ใช่คนผู้หนึ่ง แต่เป็นตัวโง่งมตัวหนึ่ง เป็นตัวโง่งมที่ควรให้ควายขึ้นไปขี่หลังแทนจึงจะสาสม ความจริงควายมิใช่สัญลักษณ์ของความโง่งมแต่ควรเป็นตัวแทนของความอดทนอดกลั้นสัตย์ซื่อมั่นคง ดังนั้นหลายครั้งดูสูงล้ำกว่าคนหลายคนหลายกลุ่มที่ประพฤติตัวเลวร้าย มิว่าผู้ใดก็ไม่เคยเห็นควายกัดกันหรือทะเลาะกัน ไม่เคยใช้กำลังกลุ้มรุมทำร้ายควายอ่อนแอกว่า หรืออิจฉาริษยากันแน่นอน
แม่นางมอมแมมถอนลมหายใจยาว มองข้ามศีรษะเสียมไร้เงาไปยังเวิ้งฟ้าไกล นางฉลาดพอจะรู้ว่าคนเฉกเช่นนี้ ทัดทานห้ามสมปรามก็ไร้ผล เพราะแรงขับเคลื่อนภายในใจคือพลังของความรักและความแค้น ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นมากเท่าใดเปลวไฟยิ่งลุกโชนร้อนแรง
“เอาเถิด ข้ารู้ว่าท่านพี่ต้องไป” นางหมายความคำพูด บางทีค่ำคืนนี้อาจกลับบ้านปรึกษาท่านยายเรื่องเตรียมงานศพให้แก่บุรุษหนุ่มผู้กำลังกระตุ้นให้เจ้าทุยเดินต่อไป
“เอาล่ะ...ข้ารู้ว่าข้าต้องไป” เสียมไร้เงาก็หมายความตามนั้นจริงๆ แม้จะรู้ว่าวันพรุ่งนี้อาจเป็นวันแรกของการจัดงานศพ แต่อย่างไรก็มิอาจไม่ไป เพราะมิไปเชื้อไฟในใจย่อมไม่อาจสงบลง ต่อให้ไปแล้วร่างกายจะถูกเผาผลาญด้วยไฟร้อนแรงบนกองฟอนก็ต้องไป เพราะไฟในใจร้อนรุ่มเผาผลาญวิญญาณทุกลมหายใจ
“ถ้าข้าไม่ตายข้าจะเก็บดอกกระเจียวมาฝากเจ้า”
.