เสียมไร้เงา.........1

กระทู้สนทนา
หมอลืมให้ยา เลยเขียนเรื่องนี้ได้^^


เสียมไร้เงา.........1



             ตะวันเคลื่อนคล้อย เวิ้งฟ้าเงียบขรึม แต่งแต้มสีคราม ไร้เมฆแซมซอน สายลมอบอ้าว ข้าวเพิ่งเก็บเกี่ยว ตอข้าวเรียงราย ผืนดินแห้งแล้ง คันนาเงียบเหงา หัวใจเดียวดาย

             คนผู้หนึ่ง ควายตัวหนึ่ง เสียมเล่มหนึ่ง   เสียมอยู่ในมือคน  คนอยู่บนหลังควาย  ควายเดินกลางทุ่งนา

             ย่านนั้นขอเพียงรู้จักใช้หูให้เป็นประโยชน์ ย่อมต้องเคยได้ยินฉายา นักฆ่า “เสียมไร้เงา”  กับภาพบุรุษหนุ่มรูปร่างบึกบึนราวกับไม่รู้จักคำว่า อ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง อยู่ในสารบบของวิถีชีวิต อาวุธหากินข้างกายแทบตลอดเวลาคือเสียมด้ามไม้ปลายเหล็กเล่มหนึ่ง   คนกับเสียมคล้ายหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว เสียมไร้เงาสะบัดร้อยครั้ง ถูกเป้าหมายร้อยครา ต่อให้กะปู หอย  กุดจี่  บึ้ง  เขียดจำศีล หลบลี้หนีหน้าตัดขาดกิเลสตัณหาภายใต้ผืนปฐพีแน่นหนาลี้ลับปานใด ขอเพียงวิชาเสียมไร้เงาทำงาน ก็มิอาจมีตัวใดสิ่งใดหลุดรอดปลอดโปร่ง

             เพียงวันนี้หัวใจของเสียมไร้เงาไม่ปลอดโปร่ง กลับหนักอึ้งราวโลกทั้งใบกำลังเกาะเกี่ยวเหนี่ยวลากลงก้นบึ้งหนักอึ้งมืดดำ สองไหล่เคยยืดเหยียดตรงมั่นคงดั่งขุนเขา ยามนี้กลับงองุ้มลงเป็นกุ้งแห้ง เนื่องเพราะการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางเที่ยวเดียว  สิ่งรออยู่ข้างหน้ามีแต่ความพินาศ และความตาย  หัวใจยังคงสถิตร่างกาย แต่จิตใจติดปีกโบยบินไร้ทิศไร้ทาง

             พลังอำนาจใด ทำให้คนผู้หนึ่งกลับกลายสุดขั้ว   ในโลกนี้ยังจะมีอะไรทรงพลังอานุภาพเร้นลับพิสดารรุนแรงเท่าความรัก

             ความรัก...สองพยางค์ธรรมดาสามัญสุดแสนมิว่าผู้ใดก็สามารถเอื้อนเอ่ย แต่บางครั้งกลับกลายเป็นสิ่งพิสดารล้ำลึกสุดขั้ว  บางครั้งบันดาลให้ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสจนปากแทบฉีกถึงใบหู  บางครั้งบันดาลให้ผู้คนคร่ำครวญหวนไห้ปริเวทนาการวันสิ้นโลก   แต่จะแน่ใจอย่างไรว่า นั่นเป็นพลานุภาพแห่งความรักแท้จริง พูดง่ายมิใช่หมายถึงเข้าใจง่าย พูดว่าเข้าใจอาจมิใช่เข้าใจอย่างแท้จริง  บางคนเพียงเก็บเกี่ยวอารมณ์บางอย่างแล้วเชื่อมั่นว่านั่นคือความรัก  ทั้งที่ความจริงยังห่างไกลเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก  ยังมิอาจบ่งบอกความจริงอันยิ่งใหญ่ได้

             แม่นางส้มปลาน้อย  ชื่อธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คนรักของนักฆ่าเสียมไร้เงา ผู้เคยคบหากันมาเนิ่นนาน   อยู่ดีไม่ว่าดี พลันพลิกพลิ้วผละห่างจากไปเพื่อแต่งงานกับ คุณชายเห็ดฟาง ทายาทคนเดียวของตระกูลมั่งคั่งแห่งตำบล  ผู้มาก่อนมิใช่คำตอบถูกต้องเสมอไป ผู้มาหลังก็มิใช่ถูกสลัดตัดรอน ผู้มากลางมิใช่ตาอยู่ทุกครั้งครา แม่นางส้มปลาน้อยคล้ายคนทำข้อสอบเลือกตอบ  ย่อมเลือกคำตอบถูกต้องสำหรับตัวเองมากที่สุด  หากเลือกนักฆ่าเสียมไร้เงา อนาคตคงกินแดดแผดเผาไร้เงากลางทุ่งร้อน   เลือกคุณชายเห็ดฟาง  อนาคตข้างหน้าตำแหน่ง “คุณนายเห็ดฟาง”  รออยู่ข้างหน้าอย่างกระจ่างสดใส ทั้งยังอาจได้ตำแหน่ง คุณนายเห็ดหูหนู ในอนาคตเมื่อมีการขยายกิจการ

             ภาพบุรุษหนุ่มบนหลังควายเหยาะย่าง ไหนเลยจะทัดเทียมภาพบุรุษหนุ่มบนเกวียนกว้างเทียมโครุ่นใหม่   สัญญารักใต้ต้นกระโดนศักดิ์สิทธิ์บนจอมโพนปลวกใหญ่ สลายไปกับลมร้อนหน้าแล้งกับน้ำตาผ่าสุราและพี่เมาวันเขาหมั้น

             คืนเพ็ญเพิ่งผ่านพ้น เสียมไร้เงายังจดจำราวภาพเกิดในอึดใจที่แล้ว ยามเย็นลงทุนลงหนองเหวี่ยงแหจับปลาช่อนตัวเขื่องท้องโตมาได้ตัวหนึ่ง คนแรกที่นึกถึงคือแม่นางส้มปลาน้อย ดังนั้นรีบรุดไปยังบ้านสาวคนรักด้วยหัวใจปลาบปลื้มพองโตเพราะรู้ว่านางคนรักชอบปลาช่อนมากที่สุด  ถ้าเหลือก็เอาลงไหทำปลาร้า บางส่วนลงเตาปิ้งย่างหอมกรุ่นอบร่ำจิตวิญญาณ บางส่วนลงหม้อแกงใส่สารพัดผัก อร่อยชนิดกินแล้วดึงลากกระชากหูก็ไม่ยอมออกจากวงข้าว  แต่วันนั้นสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบพลิกฟ้ากลับแผ่นดิน

             ชานเรือนของนางในดวงใจกำลังต้อนรับอาคันตุกะหน้าใหม่ ฟังว่าเป็นคนของตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งสองหนุ่มสาวพร้อมว่าที่พ่อตาแม่ยายนั่งล้อมวงทานข้าวกันอย่างสนุกสนานมิลืมหูลืมตา  กระทั่งแม่นางส้มปลาน้อยหันมาคว้าขันจ้วงลงในถังน้ำใบสวยแปลกตา  นางจึงเห็นผู้มาเยือนไร้เสียง

             “อ้าว  ท่านพี่เสียม   มาทานข้าวด้วยกัน”  นางเอ่ยปากเชิญชวน  แต่น้ำเสียงดูห่างเหินจนน่าประหลาดใจ

             “ข้า....เอาปลาช่อนมาฝาก  ท่าทางมีไข่เต็มท้องด้วย   เจ้าคงชอบ”

             สายตาของนางมองปลาช่อน  เปลี่ยนมาเป็นมองคนถือ พลันส่ายหน้าแล้วบอกด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชาว่า

             “โอ...นั่นปลาช่อนตั้งท้อง   ข้ามิอาจกิน  ปลาช่อนตั้งครรภ์แก่ขนาดนั้น ตายไปเกรงว่าจะกลายเป็นผีปลาช่อนตายท้องกลม  มาหลอกหลอนยามค่ำคืน เอาไปปล่อยลงน้ำเสียเถิดเพื่ออนุรักษ์พันธ์ปลาช่อนไว้ และมิให้เป็นภูตผี”

             “นั่นสินะ....”    เสียงของว่าที่มารดายายเสริมขึ้นหลังจากหันหน้าออกมาจากวงข้าว  สายตามีแววห่างไกลเช่นกันกับคำพูดของลูกสาว    “ปลาช่อนตั้งท้องแก่ ตายทั้งกลมวิญญาณจะดุร้ายมาก  เอาไปทำปลาร้าก็จะกลายเป็นปลาร้าผีสิง   ทำแกงปลาก็จะกลายเป็นแกงปลาตายทั้งกลม ทำปลาร้าหลนก็จะกลายเป็นปลาร้าหลอน  ค่ำคืนคงมีเสียง...  เอาไข่ข้าคืนมา......เอาไข่ข้าคืนมา......ลูกข้าอยู่ไหน...โอย  แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว ว่าไหมพ่อ”

             ประโยคหลังหันไปถามสามีผู้กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายกับการมีคนมาขัดจังหวะในการจะได้มีว่าที่ลูกเขยใหม่ ขัดจังหวะในการหยิบหัวปลา  คำตอบก็ออกมาในแนวเดียวกันว่า

             “ใช่แล้วแม่...ปลาช่อนตายทั้งกลมผีดุชะมัด คงไม่มีหมอผีปลาคนไหนปราบได้ อย่ากระนั้นเลย ไอ้เสียม  เอาปลาตั้งท้องกลับไปเสียเถอะบาปกรรมเปล่าๆ  และตอนนี้พวกข้ากำลังกินปลาพิสดารแนวใหม่ ไม่ต้องฆ่าไม่ต้องแกงให้เสียเวลา  จริงไหมพ่อหนุ่มเห็ดฟาง”

             ประโยคหลังตาเฒ่าโยนลูกไปให้บุรุษหนุ่มหล่อแต่งกายดีเกินหน้าเกินตาคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่เสียมเห็นมารความรัก และเห็นแล้วก็พลันเจ็บวูบขึ้นมาในหัวใจ  ด้วยหนุ่มคนนั้นดูดีมีสง่าราศีเหลือเกิน  คำพูดก็สุภาพเรียบร้อยเหลือเกิน

             “แม่นแล้วพ่อ  ปลากระป๋องกินง่ายไม่ต้องต้มต้องแกง   อ้อ...ไยไม่วางปลาช่อนผู้น่าสงสารแล้วมาสะแตกปลาป๋องด้วยกัน”

             บุรุษหนุ่มท่าทางดียังมีน้ำใจเอ่ยปากชักชวน ก่อนหันไปสบตากับแม่นางส้มปลาน้อยพร้อมรอยยิ้มเบ่งบานออกจากตัวและหัวใจมิอาจบิดบัง เสียมรู้สึกว่านอกชานกำลังถล่มทลายลงจนหมุนเคว้งคว้างลงไปไร้ทิศไร้ทาง ลางสังหรณ์อัปมงคลบอกทันทีว่าคนรักกำลังถูกบิดเบือนเปลี่ยนทิศเส้นทางรักเสียแล้ว ไม่ทราบว่าลงจากเรือนเมื่อใด จำได้เพียงว่าเอาปลาช่อนไปปล่อยคืนหนองน้ำตามเดิม เมื่อวาสนาเจ้าไม่ถูกปากใครก็กลับไปหาครอบครัวพี่น้องเจ้าเสียเถิด....   ปลาช่อนแหวกว่ายห่างไปราวพาหัวใจปลิดปลิวไปด้วย  หลังจากนั้นไม่กี่วันข่าวกันหมั้นหมายวันวิวาห์ก็ประกาศครืน

             ความรักเป็นพิษ ความคิดครุ่นหมกหม่นกลับกลายเป็นความรุ่มร้อนราวเพลิงนรกเผาผลาญ   มีทางเดียวคือ สังหารคุณชายเห็ดฟางก่อนวันวิวาห์
ดังนั้นทั้งคนทั้งควายออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเห็ดฟาง

             ควายมีชื่อเล่นว่าเจ้าทุย ตอนแรกตั้งชื่อมันว่าเจ้าตูบ ฟังไปคล้ายหมาตัวหนึ่ง แต่มีคนสังเกตว่าควายตัวนี้รูปร่างท่าทางนิสัยใจคอไม่เหมือนหมาและไม่เคยเห่าเลยแม้แต่น้อย จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าทุยเพื่อความเป็นศิริมงคล แต่ไมมีน้องเอี้ยงหรือน้องเรียมเหลือทนแล้วนั่น มาเลี้ยงควายเฒ่าจนนกเอี้ยงหัวโตเหมือนในนิยาย  แต่มันก็เป็นสหายผู้สัตย์ซื่อของนักฆ่าเสียมไร้เงาตลอดมา

             ยามความรักสดใส  สองใจประคองอิงแอบขี่หลังควายชมทุ่ง  ขับขานบทเพลงบรรเลงใจ ยามเศร้าหมองกอดคอเจ้าทุยผ่าเหล้าผ่ารัก มิตรภาพคนกับควายมั่นคงไม่คลอนแคลน

             ข้างทางมีหนองน้ำชราภาพใกล้แห้งขอด สตรีนางหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆ อยู่ในหนองน้ำความลึกระดับเข่าจนมอมแมมไปทั้งเนื้อตัวเสื้อผ้า  มองปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือ แม่นางมอมแมม  หญิงสาวในชุดผ้าซิ่นทะมัดทะแมงเสื้อชุดชาวนาสีเข้มและหมวกฟางปิดโฉมหน้ามอมแมม  นางไม่ใช่หญิงงามล่มเมือง มิใช่หญิงทรงเสน่ห์ทำให้บุรุษเพศมองแล้วจับไข้ล้มประดาตาย แต่คนเป็นขยันขันแข็งทำไร่ทำไร่ทำนามิขาดตอน คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย   เสียมไร้เงาทำท่าเหมือนดึงบังเหียนไร้เงาหยุดฝีเท้าพาหนะคู่ใจ จ้องมองเหม่อลอย อีกฝ่ายยืดตัวเงยหน้าขึ้นมามองพอดี

             “เป็นท่านพี่เสียม”  นางเอ่ยปากทักทายสั้นๆ  บุรุษหนุ่มยิ้มเล็กหน้าพยักหน้าตอบ

             “เป็นข้า”

             “เป็นท่านพี่เสียมจริงๆ”

             “ย่อมเป็นข้าจริงๆ ว่าแต่มาทำอะไรอยู่กลางหนองกลางบึง บ่ายจัดแล้วควรกลับบ้านได้แล้วนะ”    ประโยคหลังของเสียมไร้เงากระด้างขึ้นเล็กน้อยเพราะถือว่าเกิดก่อนหลายปี บ้านอยู่ในหมู่บ้านละแวกเดียวกัน แต่ไม่ว่าพบพานคุ้นเคยกันมากเพียงใด ระยะห่างของทั้งสองไม่เคยล่วงล้ำกล้ำเกินขอบเขตคำว่าพี่น้องเลยสักน้อย

             “ข้ามาหาปลาซิวอ้าวไปทำอาหารเย็น”    ว่าพลางนางยกสวิงในมือให้ดู ในสวิงมีปลาซิวปลาสร้อยอยู่หลายตัวกำลังกระโดดโลดเต้นดิ้นไปมา บุรุษหนุ่มได้แต่ถอนใจ เข้าใจว่าสรรพสัตว์เป็นอาหารมนุษย์แต่อดสงสารไม่ได้รู้สึกว่าการเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตและอยู่รอดได้ต้องแลกกับสิ่งมีชีวิตอื่นเสมอหลายชีวิตดับหายเพื่อต่อชีวิตหนึ่ง เช่นนี้จะบอกว่าชีวิตเป็นสิ่งดีได้อย่างไร

             “เจ้าไม่กลัวปลิงเหรอ”   

             “ข้าเอาฝูงเป็ดลงหนองน้ำได้สองสามวันแล้ว”

             เป็นที่รู้กันว่า หนองน้ำมีปลิง เอาฝูงเป็ดมาลงเล่นน้ำ บรรดาปลิงจะหายเรียบกลายเป็นอาหารของเป็ดไปจนหมดสิ้น วัฏจักรธรรมชาติวนเวียนไล่เรียงลำดับขั้นการถ่ายทอดพลังงานอย่างน่าทึ่ง

             แม่นางมอมแมมจ้องมองคนบนหลังควายแน่นิ่ง ใบหน้าเปื้อนโคลนตมแต่สายตายังกระจ่างสุกใส ถามอีกว่า

             “ท่านพี่ไม่ไปได้หรือไม่”

             “ข้ามิอาจไม่ไป”      คำตอบของเสียมไร้เงายังหนักแน่นมิกลับกลาย ประกายตาของคนถามคล้ายมีหมอกม่านชนิดหนึ่งมาบดบังกางกั้น  คนอยู่บนหลังควายราวไม่ใช่คนผู้หนึ่ง  แต่เป็นตัวโง่งมตัวหนึ่ง เป็นตัวโง่งมที่ควรให้ควายขึ้นไปขี่หลังแทนจึงจะสาสม ความจริงควายมิใช่สัญลักษณ์ของความโง่งมแต่ควรเป็นตัวแทนของความอดทนอดกลั้นสัตย์ซื่อมั่นคง ดังนั้นหลายครั้งดูสูงล้ำกว่าคนหลายคนหลายกลุ่มที่ประพฤติตัวเลวร้าย มิว่าผู้ใดก็ไม่เคยเห็นควายกัดกันหรือทะเลาะกัน ไม่เคยใช้กำลังกลุ้มรุมทำร้ายควายอ่อนแอกว่า หรืออิจฉาริษยากันแน่นอน

             แม่นางมอมแมมถอนลมหายใจยาว  มองข้ามศีรษะเสียมไร้เงาไปยังเวิ้งฟ้าไกล นางฉลาดพอจะรู้ว่าคนเฉกเช่นนี้ ทัดทานห้ามสมปรามก็ไร้ผล เพราะแรงขับเคลื่อนภายในใจคือพลังของความรักและความแค้น ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นมากเท่าใดเปลวไฟยิ่งลุกโชนร้อนแรง

             “เอาเถิด  ข้ารู้ว่าท่านพี่ต้องไป”   นางหมายความคำพูด บางทีค่ำคืนนี้อาจกลับบ้านปรึกษาท่านยายเรื่องเตรียมงานศพให้แก่บุรุษหนุ่มผู้กำลังกระตุ้นให้เจ้าทุยเดินต่อไป

             “เอาล่ะ...ข้ารู้ว่าข้าต้องไป”  เสียมไร้เงาก็หมายความตามนั้นจริงๆ  แม้จะรู้ว่าวันพรุ่งนี้อาจเป็นวันแรกของการจัดงานศพ  แต่อย่างไรก็มิอาจไม่ไป เพราะมิไปเชื้อไฟในใจย่อมไม่อาจสงบลง ต่อให้ไปแล้วร่างกายจะถูกเผาผลาญด้วยไฟร้อนแรงบนกองฟอนก็ต้องไป เพราะไฟในใจร้อนรุ่มเผาผลาญวิญญาณทุกลมหายใจ

               “ถ้าข้าไม่ตายข้าจะเก็บดอกกระเจียวมาฝากเจ้า”


.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่