บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36428832
สองยอดฝีมือหากรวมกำลังกันว่ากันว่าไม่มียอดฝีมือคนใดต้านทานได้
เสียมไร้เงามองเห็นแต่ไกล แต่เมื่อมาแล้วก็ไม่อาจถอยหลัง ดังนั้นกัดฟันขับเคลื่อนเจ้าทุยอสูรสงครามตรงไปอย่างไม่รั้งรอ
.
สายลมผ่านพลิ้ว ม่านฝุ่นฟางลิ่วลมร้อนกระพือเสื้อพัดไหว สองนักฆ่าจ้องมองคนและควายด้วยสายตากระด้างเยียบเย็น กระด้งและไม้คานในมือคล้ายวางท่วงท่าตามสบาย แต่แฝงด้วยท่วงท่าสอดคล้องประสานจิตใจชนิดหนึ่ง
กระด้งและไม้คานผิดแผกรูปแบบแตกต่างวิถีทาง ความจริงมีส่วนประสานต่อกันได้อย่างล้ำลึก กระด้งเอาไว้ฝัดข้าวตากมัจฉาแห้งหรือพืชพรรณ เช่น ปลาหนึ่งแดด เนื้อแห้ง พริกแห้งหอมกระเทียม ไม้คานยิ่งเป็นอาวุธอาถรรพ์พิสดาร การใช้งานยิ่งพิสดาร ใช้ในการหาบสิ่งของ การหาบเป็นศิลปะชั้นสูง จังหวะการก้าวเดิน สะบัดเอวงดงามต้องสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับการสะท้านไหวของไม้คาน มิเช่นนั้นสิ่งของในถังปลายไม้คานต้องกระเด้ง กระดอนกระเด็น ออกมาหมดสิ้น นับวันจะหาคนใช้ไม้คานได้ยากยิ่งทุกที จนน่าหวั่นว่าวันข้างหน้าไม้คานจะสูญพันธุ์ไปจากยุทธภพ อนาคตกาลจะมีสตรีกี่คนสามารถใช้ไม้คานได้ช่ำชอง บุรุษเพศมักไม่ยอมใช้ไม้คานเพราะคิดว่าเป็นหลักวิชาของสตรี ทั้งที่มีคำกล่าวว่า “ชายหาบหญิงคอน” มิใช่ “ชายคอนหญิงหาบ” บุรุษเวลาเคลื่อนย้ายสิ่งของมักใช้วิชาพลังแกร่งหิ้วด้วยมือทั้งสองข้างแทน ดูแล้วเลวร้ายหยาบกร้านขาดศิลปะกว่าวิชาไม้คานมากมาย
เจ้าทุยหยุดฝีเท้า สองฝ่ายจ้องมองกัน ในที่สุดคนบนขี่หลังควายเริ่มเอ่ยปากถามก่อน
“ท่านทั้งสองเป็นคู่รักกัน”
สมควรถามเช่นนั้น เพราะกระด้งไร้เทียมทานและไม้คานคะนองรำ ออกสู่ยุทธภพนับสิบปีเคียงคู่กันเสมอมา กระด้งปรากฏไม้คานปรากฏ กระด้งไปไม้คานไป
“ผายลมบิดาเจ้า” นักฆ่ากระด้งเอ่ยปากอย่างเย็นชา มันมิพอใจทุกครั้งเมื่อถูกมองเข้าใจว่าเป็นคู่รัก “เรานางต่างป็นมิตรสนิทสหายคุ้นเคยกัน ไม่ใช่คู่รัก ยิ่งไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวกันให้อัปยศเสื่อมเสียชื่อเสียง”
“บิดาข้ามิอาจผายลม” เสียมไร้เงาเอ่ยเสียงหนักแน่นจริงจัง
“ทำไมบิดาเจ้ามิอาจผายลม”
“เนื่องเพราะท่านสู่สัมปรายภพแล้ว”
“ก็ได้...ก็ได้...เช่นนั้น ข้าเปลี่ยนคำพูดเป็น ผายลมมารดาเจ้า”
ประกายตาของบุรุษหนุ่มวาววับทันที ทำท่ารั้งบังเหียนเจ้าทุยขยับมาสองก้าว แค่นเสียงห้าวหนักว่า
“มารดาข้าไม่ว่าผายลมหรือไม่ ท่านไม่ควรเอาเรื่องลี้ลับพิสดารส่วนตัวมาเอ่ยอ้าง ข้าเพียงสงสัยความสัมพันธ์สองท่านเท่านั้น มิพาดพาดพิงถึงคนอื่น”
“กล่าวถูกต้อง” แม่นางคานทองเอ่ยบ้างขึ้นมาบ้าง สายตาของนางเย็นชาคล้ายคำพูดรวบรัดชัดเจน
“ว่าคนไม่อาจว่าถึงบิดามารดา ฆ่าใครก็เป็นรายคน มิอาจล่วงล้ำกล้ำเกินไปถึงบิดามารดา จะฆ่าคนก็ไม่ควรพร่ำเพ้อพิไร ท่านมีสองทางคือเข้ามาตายหรือถอยหลังออกไปมีชีวิต”
เสียมไร้เงายิ้มเล็กน้อย กระโดดปราดขึ้นราวพลุไฟ ก่อนพลิ้วกายลงข้างหน้าควายคู่ใจ การต่อสู้ควรลงจากพาหนะ เป็นการให้เกียรติฝ่ายตรงกันข้าม
“อา”
สองนักฆ่าหลุดปากอุทานพร้อมกัน แก้วตาหดวูบลงทันที เมื่อท่วงท่าวิชากระโดดจากหลังควายเป็นเคล็ดวิชาขั้นเทพเนรมิต ควรทราบว่าการกระโดดจากหลังควายมิใช่เรื่องง่ายดาย เพราะหากกระโดดลงมาเร็วเกินไปก็จะดูเร่งร้อน ช้าเกินไปก็จะดูอ่อนล้าขี้เกียจ ลงพื้นแรงเกินไปก็จะดูก้าวร้าว แผ่วเบาเกินไปก็จะดูอ่อนแอ แต่เสียมไร้เงากระทำทุกอย่างได้เหมาะเจาะสุดแสนสายกลาง ทำให้อีกฝ่ายตะลึงลาน หลังการยืนหยัดมั่นคงเสียมไร้เงาพลันส่งยิ้มให้
“อา ยิ้มไร้ใจ”
สองนักฆ่าหลุดปากอุทานพร้อมกัน แก้วตาขยายวูบขึ้นทันทีปฏิกิริยาต่อสู้ตื่นตัวฉับพลัน ควรทราบว่ารอยยิ้มเป็นวิชาสุดร้ายกาจชนิดหนึ่ง เพราะรอยยิ้มไม่เพียงยิ้มใส่หน้าท่าน ยิ้มยังทะลุทะลวงเข้าไปในหัวใจท่านจนสะท้านไหวหัวใจปลิดปลิว ดังนั้นหลายคนสามารถใช้รอยยิ้มให้เป็นประโยชน์ ดั่งคำที่กล่าวว่า “เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าที่ดีที่สุดคือรอยยิ้ม” โดยไม่ต้องเสาะหาปลาร้าหิมะพันปีมาแต่งแต้มผิวหน้าให้สิ้นเปลือง
สองนักฆ่าส่งเสียงร้องกึกก้องพากันกระโดดม้วนตัวตีลังกาขึ้นไปในอากาศหนึ่งรอบก่อนพลิ้วกายลงพื้น กระนั้นยังพากันเซตึงๆถอยหลังไปคนละหลายก้าว เสื้อผ้าโบกสะบัดพัดไหวไม่หยุดยั้ง กระด้งไร้เทียมทานข่มใจผนึกลมปราณสะกดอาการสั่นไหวของอาวุธคู่กายจนสงบนิ่ง ส่วนแม่นางคานทองปอยผมยาวหลุดกระจายสยายออกมาส่วนหนึ่งจนต้องยกมือบังใบหน้า
ยิ้มไร้ใจคือเช่นไร ยิ้มไร้ใจคือการยิ้มโดยปราศจากจิตใจแท้จริง ยิ้มโดยไม่มีเหตุผลไร้วิญญาณ ยิ้มเหมือนผีบ้าไร้อนาคต จึงนับว่าอำมหิตสุดแสนเพราะไม่อาจเดาทางได้ มีคนยิ้มหวานใส่ท่าน อย่างน้อยเดาทางว่าคนนั้นชื่นชอบท่าน มีคนยิ้มลามกใส่ท่าน อย่างน้อยเดาได้ว่าคนนั้นเป็นคนหื่นอุบาทว์ มีคนยิ้มแล้วทำให้อยากสะบัดแข้งขาใส่ ยังพอเดาทางได้ว่าคนนั้นยิ้มกวนบาทา แต่ยิ้มไร้ใจยากต่อการคำนวณยิ่งกว่าเลขท้ายสองตัว
ทันใดนั้นเองเสียมไร้เงาพลันส่งเสียงร้องกราดเกรี้ยวกระโดดขึ้น รอยยิ้มค้างคา มีความผิดพลาดประการใด....ช่องว่างป้องกันพลันเปิดเผยหมดสิ้น นั่นเป็นจังหวะของสองนักฆ่าลงมือ กระโดดปราดขึ้นเช่นกัน
กระด้งไร้เทียมทานกระแทกออกไปในกระบวนท่า กระหังถลาลม พลังกระด้งครืนครั่นสะท้านสะเทือนราวขุนเขาถล่มทะลาย ส่วนแม่นางคานทองสะบัดไม้คานในมือออกไปรวดเดียวสิบเก้าครั้งวูบวาบดุดันแหลมคมราวสายฟ้าคะนองฝน ในกระบวนท่าเซิ้งสวิง หนึ่งแข็งแกร่งหนึ่งรวดเร็วทั้งสองต่างแนวต่างทิศทางแต่หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว
เสียมไร้เงาร่างยังไม่ถึงพื้น พลังจู่โจมของฝ่ายตรงกันข้ามก็เข้าถึงตัว
ความจริงแล้ววิชายิ้มไร้ใจยังใช้ไม่หมดสิ้น พอยิ้มไร้ใจผ่านพ้นจะต้องตามด้วยวิชา ยิ้มสยอง ซึ่งอำมหิตไปอีกรูปแบบหนึ่ง ทว่าบังเอิญช่วงกระโดดลงจากหลังควาย สองเท้าเหยียบใส่รังมดแดงบนพื้นดินอย่างจัง ทำให้มดแดงคันไฟกรูกันออกมากัดเท้าทันที จึงต้องกระโดดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งใจ แต่ถึงจะมีรอยยิ้มค้างคา เสียมด้ามไม้ปลายเหล็กในมือไม่ค้างคา สะบัดออกไปในวิชาทุยใจดำ หมุนคว้างเป็นกังหันนรก กระด้งไร้เทียมทาน ไม้คานคะนองรำและเสียมไร้เงาบรรจบกัน
เสียงระเบิดถี่ยิบประกายไฟแตกกระจายเป็นพลุพะเนียง เศษไม้ใบไม้ถูกพลังไร้สภาพกระแทกฟุ้งพุ่งกระจายขึ้นจากพื้น ก่อนบดขยีเแหลกแตกสลายกลายเป็นจุลรายโรยปรายโปรย
สองทั้งฝ่ายกระเด็นกลับไปทางใครทางมัน แต่เท้าของสองนักฆ่าลงแตะถึงพื้นก่อนและพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง ขณะอีกฝ่ายยังคงหมุนคว้างกลางอากาศอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้จากการกระแทกด้วยพลังมหาศาล
มาก่อนคือไม้คานทอง ตามหลังคือกระด้ง
โป๊กๆๆ...!
ไม้คานกระหน่ำใส่ศีรษะของเสียมไร้เงาผู้ยังยิ้มค้างคาอย่างแม่นยำ เห็นชัดว่าถ้ากระด้งถึงตัว คงต้องไปยิ้มค้างต่อไปจนถึงในยมโลก
เงาทะมึนพลันพุ่งวูบโถมขัดขวาง แม่นางคานทองสายตาเฉียบคมและมองเห็นก่อน นางใจหายวาบรีบหมุนตัวกลางอากาศตีลังกากลับไปทางด้านหลังสุดชีวิต แต่กระด้งไร้เทียมทานผู้ตามมาเบื้องหลังหลบไม่ทัน เพราะมัวแต่มองบั้นท้ายคนข้างหน้า ดังนั้นยามคับขันจวนตัวได้แต่สะบัดกระด้งลงมาปะทะอย่างหักโหม
ตูม...!
เสียงระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่น ร่างของนักฆ่ากระด้งลอยลิ่วปลิวกลับไปด้านหลัง กระด้งในมือฉีกขาดกระจัดกระจายปลิวว่อน ท่ามกลางเศษไม้ใบหญ้ามีเจ้าควายทุยสะบัดหัวแกว่งเขาทรงพลังโง้งยาวไปมาอย่างอาจหาญทะยานฟ้า
เจ้าทุยนี่เองเข้ามาปะทะคนช่วยเจ้าของมันไว้อย่างไม่คาดฝัน
เจ้าของควายร่วงลงฟาดพื้นแน่นิ่ง
ส่วนนักฆ่ากระด้งกระอักน้ำลายออกมาเป็นฟูฝอยกำลังร่วงลงพื้นเช่นกัน แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งหมุนคว้างหลายตลบจากพื้นพลิกวูบรับร่างไว้ในอ้อมแขนฉิวเฉียด จะเป็นใครอื่นไปได้ แม่นางคานทองนั่นเองประคองรับคู่หูไว้อย่างหวุดหวิด ทำให้แทนที่จะฟาดลงพื้นแข็ง กลับหล่นลงในอ้อมแขนอ้อมอกนุ่มอุ่นละมุน พริบตานั้นฟ้าดินกลับกลาย เศษไม้ใบหญ้าพลิกพลิ้วอ้อยอิ่งร่วงหล่นวนหมุนเรียงรายแช่มช้า ละอองฝุ่นดินกระจายในสายลมหวนเป็นหมอกควันม่านบังประดับฉาก บรรยากาศสงบนิ่งลงทีละน้อย
นักฆ่ากระด้งสมองยังคงปั่นป่วนอึงอลจากแรงกระแทก แต่หูยังได้ยินเสียงระฆังเงินสดใสแว่วมาจากแสนไกล
“ท่านกระด้ง”
กัดฟัดฝืนใจลืมตาขึ้น สิ่งแรกพบพานคือสายตาคู่หนึ่ง เป็นสายตาคุ้นเคยอย่างยิ่งแต่แววตาเช่นนี้กลับมิคุ้นเคยเอาเสียเลย เพราะเป็นสายตาห่วงหาอาทรไม่คาดฝัน นักฆ่ากระด้งความจริงตั้งใจจะลุกขึ้น ทว่าพลันเปลี่ยนใจทำตัวอ่อนระทวยตามเดิม มีโอกาสล้มลงในอ้อมแขนอบอุ่นห่วงไยไฉนจะดิ้นรนลุกขึ้นอีก ล้มลงในสวรรค์สุขสบายแล้วใยจะดิ้นรนขึ้นไปหานรกเร่าร้อน เปลี่ยนจากกระด้งไร้เทียมทานเป็นกระด้งสำออยในฉับพลัน
ความจริงสองคนเป็นคู่หูฝ่าฟันผ่านยุทธภพมานับสิบปี แต่กลับไม่เคยมีอารมณ์ซึ้งเลยแม้แต่น้อย เนื่องเพราะการต่อสู้มักเป็นฝ่ายมีชัยมาตลอด ทำให้หมดโอกาสแสดงออก ความจริงต่างมีใจให้กันและกันแต่สงวนท่าทีเสมอมา บัดนี้กำแพงใจทลายลงหมดสิ้น ในช่วงอันตรายเป็นตายมักพิสูจน์จิตใจผู้คน เพียงอึดใจสองนักฆ่าคล้ายถ่ายทอดความในใจไปมาหาสู่กันจนหมดสิ้นราวกับฝูงวิหคในกรงขัง พอประตูเปิดออกต่างพากันเบียดเสียดโบยบินออกมาไม่คิดชีวิต
บางครั้งถ้าเสี้ยวพริบตาพิสูจน์ความเป็นตายชัยชนะพ่ายแพ้ เสี้ยวอึดใจสามารถพิสูจน์ความรักได้เช่นกัน โดยไม่ขึ้นกับระยะทางและกาลเวลา บางครั้งแค่กะพริบตาแรกเราเพิ่งพบพานคนรัก กะพริบตาครั้งที่สองคนรักเราวิวาห์กับคนอื่นเสียแล้ว สองนักฆ่าคล้ายลืมเลือนหน้าที่หมดสิ้น หนึ่งนอนหนึ่งนั่งประคองค้างคาเป็นรูปสลักหินเนิ่นนาน
“เรียกข้าว่าด้ง ก็ได้ ไม่ต้องเรียกกระด้ง”
“ท่านด้ง” วจีหวานแว่วแผ่วกระซิบข้างหู “กระด้งไร้เทียมทานท่านพังพินาศแล้ว ท่านจะทำเช่นไรต่อไป”
ทำเช่นไรต่อไปกระนั้นฤา....มือกระบี่ขาดกระบี่จะเป็นเช่นไร มือกระบี่ความจริงต้องมีกระบี่ กระบี่อยู่คนอยู่ มือสุราในมือควรมีจอกสุรา จอกอยู่คนอยู่ จอกหายคนเมา จอกแตกคนหลับ มือกระด้งควรมีกระด้ง กระด้งอยู่คนอยู่ กระด้งหายฝัดข้าวไม่ได้ นับว่าเลวร้ายสุดแสน ความฝันในการไปถึงหลักวิชากระหังสุดขอบฟ้ามลายหาย
แต่ต่อให้ในมือไร้กระบี่ ในมือไร้จอกสุรา ในมือไร้กระด้ง ขอเพียงมีหัวใจ หัวใจมีความรู้สึก รู้สึกถึงความรัก ชีวิตก็ไม่ว่างเปล่าอ้างว้าง ดังนั้นนักฆ่าไร้กระด้งพลันรู้สึกถึงสายใยพิสดารก่อตัวขึ้นอย่างแช่มช้าหล่อหลอมใจและใจให้เป็นใจเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอ้อนอ้อยอิ่งชั่วชีวิตไปถึงชาติหน้า ดังนั้นยันกายขึ้นทีละน้อยอย่างเสียดายกึ่งขวยเขิน มือน้อยปล่อยวางแต่สายตายังคงเป็นห่วง
“กระด้งพัง มิเป็นไร สร้างใหม่ได้ น้องคานไปกับข้าหรือไม่”
“ข้าจะไปกับท่านด้ง”
“เรียกว่าพี่ด้งก็ได้”
“พี่ด้ง” นางหมายความเช่นนั้นจริง เพราะท่านพี่ด้งอายุมากกว่านางหลายปี สมควรเรียกพี่ด้งจึงถูกต้อง
เสียมเพิ่งลุกขึ้นได้ ศีรษะแตกเลือดอาบเพราะฤทธิ์คานทองคะนองรำ สมองพองโตมึนงงปวดหนึบหน่วง สองเท้ายังคันยิบยับเพราะการเหยียบขวยมดแดง แต่การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น ฝืนใจกายลุกขึ้นเซซวนไปมาหลายอึดใจจึงตั้งหลักได้ แต่ภาพมองเห็นตรงหน้ากลับเป็นบุรุษสตรีคู่หนึ่งยืนกุมมือกันประสานตาประสานใจไม่แยแสสิ่งอื่นใด ภาพนอกเหนือการคาดคิดสุดขั้ว อะไรกันทำให้คนเราแปรเปลี่ยนไปได้รวดเร็วขนาดนี้ ความงุนงงสงสัยทำให้ท่วงท่าชะงักค้าง
.
เสียมไร้เงา.........2
https://ppantip.com/topic/36428832
สองยอดฝีมือหากรวมกำลังกันว่ากันว่าไม่มียอดฝีมือคนใดต้านทานได้
เสียมไร้เงามองเห็นแต่ไกล แต่เมื่อมาแล้วก็ไม่อาจถอยหลัง ดังนั้นกัดฟันขับเคลื่อนเจ้าทุยอสูรสงครามตรงไปอย่างไม่รั้งรอ
.
สายลมผ่านพลิ้ว ม่านฝุ่นฟางลิ่วลมร้อนกระพือเสื้อพัดไหว สองนักฆ่าจ้องมองคนและควายด้วยสายตากระด้างเยียบเย็น กระด้งและไม้คานในมือคล้ายวางท่วงท่าตามสบาย แต่แฝงด้วยท่วงท่าสอดคล้องประสานจิตใจชนิดหนึ่ง
กระด้งและไม้คานผิดแผกรูปแบบแตกต่างวิถีทาง ความจริงมีส่วนประสานต่อกันได้อย่างล้ำลึก กระด้งเอาไว้ฝัดข้าวตากมัจฉาแห้งหรือพืชพรรณ เช่น ปลาหนึ่งแดด เนื้อแห้ง พริกแห้งหอมกระเทียม ไม้คานยิ่งเป็นอาวุธอาถรรพ์พิสดาร การใช้งานยิ่งพิสดาร ใช้ในการหาบสิ่งของ การหาบเป็นศิลปะชั้นสูง จังหวะการก้าวเดิน สะบัดเอวงดงามต้องสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับการสะท้านไหวของไม้คาน มิเช่นนั้นสิ่งของในถังปลายไม้คานต้องกระเด้ง กระดอนกระเด็น ออกมาหมดสิ้น นับวันจะหาคนใช้ไม้คานได้ยากยิ่งทุกที จนน่าหวั่นว่าวันข้างหน้าไม้คานจะสูญพันธุ์ไปจากยุทธภพ อนาคตกาลจะมีสตรีกี่คนสามารถใช้ไม้คานได้ช่ำชอง บุรุษเพศมักไม่ยอมใช้ไม้คานเพราะคิดว่าเป็นหลักวิชาของสตรี ทั้งที่มีคำกล่าวว่า “ชายหาบหญิงคอน” มิใช่ “ชายคอนหญิงหาบ” บุรุษเวลาเคลื่อนย้ายสิ่งของมักใช้วิชาพลังแกร่งหิ้วด้วยมือทั้งสองข้างแทน ดูแล้วเลวร้ายหยาบกร้านขาดศิลปะกว่าวิชาไม้คานมากมาย
เจ้าทุยหยุดฝีเท้า สองฝ่ายจ้องมองกัน ในที่สุดคนบนขี่หลังควายเริ่มเอ่ยปากถามก่อน
“ท่านทั้งสองเป็นคู่รักกัน”
สมควรถามเช่นนั้น เพราะกระด้งไร้เทียมทานและไม้คานคะนองรำ ออกสู่ยุทธภพนับสิบปีเคียงคู่กันเสมอมา กระด้งปรากฏไม้คานปรากฏ กระด้งไปไม้คานไป
“ผายลมบิดาเจ้า” นักฆ่ากระด้งเอ่ยปากอย่างเย็นชา มันมิพอใจทุกครั้งเมื่อถูกมองเข้าใจว่าเป็นคู่รัก “เรานางต่างป็นมิตรสนิทสหายคุ้นเคยกัน ไม่ใช่คู่รัก ยิ่งไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวกันให้อัปยศเสื่อมเสียชื่อเสียง”
“บิดาข้ามิอาจผายลม” เสียมไร้เงาเอ่ยเสียงหนักแน่นจริงจัง
“ทำไมบิดาเจ้ามิอาจผายลม”
“เนื่องเพราะท่านสู่สัมปรายภพแล้ว”
“ก็ได้...ก็ได้...เช่นนั้น ข้าเปลี่ยนคำพูดเป็น ผายลมมารดาเจ้า”
ประกายตาของบุรุษหนุ่มวาววับทันที ทำท่ารั้งบังเหียนเจ้าทุยขยับมาสองก้าว แค่นเสียงห้าวหนักว่า
“มารดาข้าไม่ว่าผายลมหรือไม่ ท่านไม่ควรเอาเรื่องลี้ลับพิสดารส่วนตัวมาเอ่ยอ้าง ข้าเพียงสงสัยความสัมพันธ์สองท่านเท่านั้น มิพาดพาดพิงถึงคนอื่น”
“กล่าวถูกต้อง” แม่นางคานทองเอ่ยบ้างขึ้นมาบ้าง สายตาของนางเย็นชาคล้ายคำพูดรวบรัดชัดเจน
“ว่าคนไม่อาจว่าถึงบิดามารดา ฆ่าใครก็เป็นรายคน มิอาจล่วงล้ำกล้ำเกินไปถึงบิดามารดา จะฆ่าคนก็ไม่ควรพร่ำเพ้อพิไร ท่านมีสองทางคือเข้ามาตายหรือถอยหลังออกไปมีชีวิต”
เสียมไร้เงายิ้มเล็กน้อย กระโดดปราดขึ้นราวพลุไฟ ก่อนพลิ้วกายลงข้างหน้าควายคู่ใจ การต่อสู้ควรลงจากพาหนะ เป็นการให้เกียรติฝ่ายตรงกันข้าม
“อา”
สองนักฆ่าหลุดปากอุทานพร้อมกัน แก้วตาหดวูบลงทันที เมื่อท่วงท่าวิชากระโดดจากหลังควายเป็นเคล็ดวิชาขั้นเทพเนรมิต ควรทราบว่าการกระโดดจากหลังควายมิใช่เรื่องง่ายดาย เพราะหากกระโดดลงมาเร็วเกินไปก็จะดูเร่งร้อน ช้าเกินไปก็จะดูอ่อนล้าขี้เกียจ ลงพื้นแรงเกินไปก็จะดูก้าวร้าว แผ่วเบาเกินไปก็จะดูอ่อนแอ แต่เสียมไร้เงากระทำทุกอย่างได้เหมาะเจาะสุดแสนสายกลาง ทำให้อีกฝ่ายตะลึงลาน หลังการยืนหยัดมั่นคงเสียมไร้เงาพลันส่งยิ้มให้
“อา ยิ้มไร้ใจ”
สองนักฆ่าหลุดปากอุทานพร้อมกัน แก้วตาขยายวูบขึ้นทันทีปฏิกิริยาต่อสู้ตื่นตัวฉับพลัน ควรทราบว่ารอยยิ้มเป็นวิชาสุดร้ายกาจชนิดหนึ่ง เพราะรอยยิ้มไม่เพียงยิ้มใส่หน้าท่าน ยิ้มยังทะลุทะลวงเข้าไปในหัวใจท่านจนสะท้านไหวหัวใจปลิดปลิว ดังนั้นหลายคนสามารถใช้รอยยิ้มให้เป็นประโยชน์ ดั่งคำที่กล่าวว่า “เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าที่ดีที่สุดคือรอยยิ้ม” โดยไม่ต้องเสาะหาปลาร้าหิมะพันปีมาแต่งแต้มผิวหน้าให้สิ้นเปลือง
สองนักฆ่าส่งเสียงร้องกึกก้องพากันกระโดดม้วนตัวตีลังกาขึ้นไปในอากาศหนึ่งรอบก่อนพลิ้วกายลงพื้น กระนั้นยังพากันเซตึงๆถอยหลังไปคนละหลายก้าว เสื้อผ้าโบกสะบัดพัดไหวไม่หยุดยั้ง กระด้งไร้เทียมทานข่มใจผนึกลมปราณสะกดอาการสั่นไหวของอาวุธคู่กายจนสงบนิ่ง ส่วนแม่นางคานทองปอยผมยาวหลุดกระจายสยายออกมาส่วนหนึ่งจนต้องยกมือบังใบหน้า
ยิ้มไร้ใจคือเช่นไร ยิ้มไร้ใจคือการยิ้มโดยปราศจากจิตใจแท้จริง ยิ้มโดยไม่มีเหตุผลไร้วิญญาณ ยิ้มเหมือนผีบ้าไร้อนาคต จึงนับว่าอำมหิตสุดแสนเพราะไม่อาจเดาทางได้ มีคนยิ้มหวานใส่ท่าน อย่างน้อยเดาทางว่าคนนั้นชื่นชอบท่าน มีคนยิ้มลามกใส่ท่าน อย่างน้อยเดาได้ว่าคนนั้นเป็นคนหื่นอุบาทว์ มีคนยิ้มแล้วทำให้อยากสะบัดแข้งขาใส่ ยังพอเดาทางได้ว่าคนนั้นยิ้มกวนบาทา แต่ยิ้มไร้ใจยากต่อการคำนวณยิ่งกว่าเลขท้ายสองตัว
ทันใดนั้นเองเสียมไร้เงาพลันส่งเสียงร้องกราดเกรี้ยวกระโดดขึ้น รอยยิ้มค้างคา มีความผิดพลาดประการใด....ช่องว่างป้องกันพลันเปิดเผยหมดสิ้น นั่นเป็นจังหวะของสองนักฆ่าลงมือ กระโดดปราดขึ้นเช่นกัน
กระด้งไร้เทียมทานกระแทกออกไปในกระบวนท่า กระหังถลาลม พลังกระด้งครืนครั่นสะท้านสะเทือนราวขุนเขาถล่มทะลาย ส่วนแม่นางคานทองสะบัดไม้คานในมือออกไปรวดเดียวสิบเก้าครั้งวูบวาบดุดันแหลมคมราวสายฟ้าคะนองฝน ในกระบวนท่าเซิ้งสวิง หนึ่งแข็งแกร่งหนึ่งรวดเร็วทั้งสองต่างแนวต่างทิศทางแต่หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว
เสียมไร้เงาร่างยังไม่ถึงพื้น พลังจู่โจมของฝ่ายตรงกันข้ามก็เข้าถึงตัว
ความจริงแล้ววิชายิ้มไร้ใจยังใช้ไม่หมดสิ้น พอยิ้มไร้ใจผ่านพ้นจะต้องตามด้วยวิชา ยิ้มสยอง ซึ่งอำมหิตไปอีกรูปแบบหนึ่ง ทว่าบังเอิญช่วงกระโดดลงจากหลังควาย สองเท้าเหยียบใส่รังมดแดงบนพื้นดินอย่างจัง ทำให้มดแดงคันไฟกรูกันออกมากัดเท้าทันที จึงต้องกระโดดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งใจ แต่ถึงจะมีรอยยิ้มค้างคา เสียมด้ามไม้ปลายเหล็กในมือไม่ค้างคา สะบัดออกไปในวิชาทุยใจดำ หมุนคว้างเป็นกังหันนรก กระด้งไร้เทียมทาน ไม้คานคะนองรำและเสียมไร้เงาบรรจบกัน
เสียงระเบิดถี่ยิบประกายไฟแตกกระจายเป็นพลุพะเนียง เศษไม้ใบไม้ถูกพลังไร้สภาพกระแทกฟุ้งพุ่งกระจายขึ้นจากพื้น ก่อนบดขยีเแหลกแตกสลายกลายเป็นจุลรายโรยปรายโปรย
สองทั้งฝ่ายกระเด็นกลับไปทางใครทางมัน แต่เท้าของสองนักฆ่าลงแตะถึงพื้นก่อนและพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง ขณะอีกฝ่ายยังคงหมุนคว้างกลางอากาศอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้จากการกระแทกด้วยพลังมหาศาล
มาก่อนคือไม้คานทอง ตามหลังคือกระด้ง
โป๊กๆๆ...!
ไม้คานกระหน่ำใส่ศีรษะของเสียมไร้เงาผู้ยังยิ้มค้างคาอย่างแม่นยำ เห็นชัดว่าถ้ากระด้งถึงตัว คงต้องไปยิ้มค้างต่อไปจนถึงในยมโลก
เงาทะมึนพลันพุ่งวูบโถมขัดขวาง แม่นางคานทองสายตาเฉียบคมและมองเห็นก่อน นางใจหายวาบรีบหมุนตัวกลางอากาศตีลังกากลับไปทางด้านหลังสุดชีวิต แต่กระด้งไร้เทียมทานผู้ตามมาเบื้องหลังหลบไม่ทัน เพราะมัวแต่มองบั้นท้ายคนข้างหน้า ดังนั้นยามคับขันจวนตัวได้แต่สะบัดกระด้งลงมาปะทะอย่างหักโหม
ตูม...!
เสียงระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่น ร่างของนักฆ่ากระด้งลอยลิ่วปลิวกลับไปด้านหลัง กระด้งในมือฉีกขาดกระจัดกระจายปลิวว่อน ท่ามกลางเศษไม้ใบหญ้ามีเจ้าควายทุยสะบัดหัวแกว่งเขาทรงพลังโง้งยาวไปมาอย่างอาจหาญทะยานฟ้า
เจ้าทุยนี่เองเข้ามาปะทะคนช่วยเจ้าของมันไว้อย่างไม่คาดฝัน
เจ้าของควายร่วงลงฟาดพื้นแน่นิ่ง
ส่วนนักฆ่ากระด้งกระอักน้ำลายออกมาเป็นฟูฝอยกำลังร่วงลงพื้นเช่นกัน แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งหมุนคว้างหลายตลบจากพื้นพลิกวูบรับร่างไว้ในอ้อมแขนฉิวเฉียด จะเป็นใครอื่นไปได้ แม่นางคานทองนั่นเองประคองรับคู่หูไว้อย่างหวุดหวิด ทำให้แทนที่จะฟาดลงพื้นแข็ง กลับหล่นลงในอ้อมแขนอ้อมอกนุ่มอุ่นละมุน พริบตานั้นฟ้าดินกลับกลาย เศษไม้ใบหญ้าพลิกพลิ้วอ้อยอิ่งร่วงหล่นวนหมุนเรียงรายแช่มช้า ละอองฝุ่นดินกระจายในสายลมหวนเป็นหมอกควันม่านบังประดับฉาก บรรยากาศสงบนิ่งลงทีละน้อย
นักฆ่ากระด้งสมองยังคงปั่นป่วนอึงอลจากแรงกระแทก แต่หูยังได้ยินเสียงระฆังเงินสดใสแว่วมาจากแสนไกล
“ท่านกระด้ง”
กัดฟัดฝืนใจลืมตาขึ้น สิ่งแรกพบพานคือสายตาคู่หนึ่ง เป็นสายตาคุ้นเคยอย่างยิ่งแต่แววตาเช่นนี้กลับมิคุ้นเคยเอาเสียเลย เพราะเป็นสายตาห่วงหาอาทรไม่คาดฝัน นักฆ่ากระด้งความจริงตั้งใจจะลุกขึ้น ทว่าพลันเปลี่ยนใจทำตัวอ่อนระทวยตามเดิม มีโอกาสล้มลงในอ้อมแขนอบอุ่นห่วงไยไฉนจะดิ้นรนลุกขึ้นอีก ล้มลงในสวรรค์สุขสบายแล้วใยจะดิ้นรนขึ้นไปหานรกเร่าร้อน เปลี่ยนจากกระด้งไร้เทียมทานเป็นกระด้งสำออยในฉับพลัน
ความจริงสองคนเป็นคู่หูฝ่าฟันผ่านยุทธภพมานับสิบปี แต่กลับไม่เคยมีอารมณ์ซึ้งเลยแม้แต่น้อย เนื่องเพราะการต่อสู้มักเป็นฝ่ายมีชัยมาตลอด ทำให้หมดโอกาสแสดงออก ความจริงต่างมีใจให้กันและกันแต่สงวนท่าทีเสมอมา บัดนี้กำแพงใจทลายลงหมดสิ้น ในช่วงอันตรายเป็นตายมักพิสูจน์จิตใจผู้คน เพียงอึดใจสองนักฆ่าคล้ายถ่ายทอดความในใจไปมาหาสู่กันจนหมดสิ้นราวกับฝูงวิหคในกรงขัง พอประตูเปิดออกต่างพากันเบียดเสียดโบยบินออกมาไม่คิดชีวิต
บางครั้งถ้าเสี้ยวพริบตาพิสูจน์ความเป็นตายชัยชนะพ่ายแพ้ เสี้ยวอึดใจสามารถพิสูจน์ความรักได้เช่นกัน โดยไม่ขึ้นกับระยะทางและกาลเวลา บางครั้งแค่กะพริบตาแรกเราเพิ่งพบพานคนรัก กะพริบตาครั้งที่สองคนรักเราวิวาห์กับคนอื่นเสียแล้ว สองนักฆ่าคล้ายลืมเลือนหน้าที่หมดสิ้น หนึ่งนอนหนึ่งนั่งประคองค้างคาเป็นรูปสลักหินเนิ่นนาน
“เรียกข้าว่าด้ง ก็ได้ ไม่ต้องเรียกกระด้ง”
“ท่านด้ง” วจีหวานแว่วแผ่วกระซิบข้างหู “กระด้งไร้เทียมทานท่านพังพินาศแล้ว ท่านจะทำเช่นไรต่อไป”
ทำเช่นไรต่อไปกระนั้นฤา....มือกระบี่ขาดกระบี่จะเป็นเช่นไร มือกระบี่ความจริงต้องมีกระบี่ กระบี่อยู่คนอยู่ มือสุราในมือควรมีจอกสุรา จอกอยู่คนอยู่ จอกหายคนเมา จอกแตกคนหลับ มือกระด้งควรมีกระด้ง กระด้งอยู่คนอยู่ กระด้งหายฝัดข้าวไม่ได้ นับว่าเลวร้ายสุดแสน ความฝันในการไปถึงหลักวิชากระหังสุดขอบฟ้ามลายหาย
แต่ต่อให้ในมือไร้กระบี่ ในมือไร้จอกสุรา ในมือไร้กระด้ง ขอเพียงมีหัวใจ หัวใจมีความรู้สึก รู้สึกถึงความรัก ชีวิตก็ไม่ว่างเปล่าอ้างว้าง ดังนั้นนักฆ่าไร้กระด้งพลันรู้สึกถึงสายใยพิสดารก่อตัวขึ้นอย่างแช่มช้าหล่อหลอมใจและใจให้เป็นใจเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอ้อนอ้อยอิ่งชั่วชีวิตไปถึงชาติหน้า ดังนั้นยันกายขึ้นทีละน้อยอย่างเสียดายกึ่งขวยเขิน มือน้อยปล่อยวางแต่สายตายังคงเป็นห่วง
“กระด้งพัง มิเป็นไร สร้างใหม่ได้ น้องคานไปกับข้าหรือไม่”
“ข้าจะไปกับท่านด้ง”
“เรียกว่าพี่ด้งก็ได้”
“พี่ด้ง” นางหมายความเช่นนั้นจริง เพราะท่านพี่ด้งอายุมากกว่านางหลายปี สมควรเรียกพี่ด้งจึงถูกต้อง
เสียมเพิ่งลุกขึ้นได้ ศีรษะแตกเลือดอาบเพราะฤทธิ์คานทองคะนองรำ สมองพองโตมึนงงปวดหนึบหน่วง สองเท้ายังคันยิบยับเพราะการเหยียบขวยมดแดง แต่การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น ฝืนใจกายลุกขึ้นเซซวนไปมาหลายอึดใจจึงตั้งหลักได้ แต่ภาพมองเห็นตรงหน้ากลับเป็นบุรุษสตรีคู่หนึ่งยืนกุมมือกันประสานตาประสานใจไม่แยแสสิ่งอื่นใด ภาพนอกเหนือการคาดคิดสุดขั้ว อะไรกันทำให้คนเราแปรเปลี่ยนไปได้รวดเร็วขนาดนี้ ความงุนงงสงสัยทำให้ท่วงท่าชะงักค้าง
.