เรือนไม้ใต้ถุนสูง ท้ายหมู่บ้านห่างไกลผู้คน ข้างกอไผ่ใบหนา ริมลำธารกว้าง สายลมเย็นพัดโชย สายน้ำไหลเอื่อยไม่ขาดตอน
คืนมืดมิดไร้แสงจันทร์ บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงดนตรีของสรรพสิ่งธรรมชาติ จิ้งหรีด จักจั่น เรไร ขับกล่อมเจ้าของบ้านที่ยังอยู่ในภวังค์นิทราแสนสบาย
บันไดของเรือนไม้ ไม่ได้เก็บขึ้นในยามค่ำคืนเฉกเช่นปกติวิสัย ชาวบ้านมักเก็บบันไดขึ้นเรือนในยามกลางคืนเพื่อป้องกันผู้ปองร้ายที่จะแอบเข้ามาในยามวิกาล
ทอดสายตาต่อไป เห็นร่างดำตะคุ่มค่อยๆ ย่องอย่างระมัดระวังลงจากเรือนไม้แบบไร้สรรพเสียง พอคะเนได้ว่าเป็นหญิงสาวแต่งกายทะมัดทะแมง สะพายถุงผ้าใบย่อมไว้ข้างกาย
"พ่อกับแม่...หนูขอโทษ แล้วหนูจะพาลูกกลับมาขอขมานะจ๊ะ"
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ก้มลงกราบ หันหน้าไปในทิศที่เป็นห้องนอนของบุพการี จากนั้นใช้มือลูบเบาๆ ตรงหน้าท้องที่โป่งนูนเพียงเล็กน้อยที่แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น
นั่งนิ่งอยู่สักพัก ให้เวลากับการตัดสินใจครั้งสุดท้าย จากนั้นลุกขึ้นหันหลัง เดินอย่างรวดเร็วไปตามทางเดินดินอัดแน่นแข็งแรง ที่ผู้คนใช้สัญจรไปมาในเวลากลางวัน แต่บัดนี้ว่างเปล่าและมืดมิด เส้นทางทอดยาวไปอีกด้านของหมู่บ้าน
ณ ตรงนั้น เรือลำน้อย จอดพรางสายตาอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ครึ้ม เงาร่างของชายหนุ่มนั่งรออย่างร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่หญิงสาวปรากฏกายก้าวเท้าลงในลำเรือ ไม้พายก็วาดลงในน้ำอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา พาเรือน้อยค่อยๆ หายลับไปในความมืดและเงียบสงบของสายน้ำ
ถ้าเพียงหญิงสาวหันกลับมามองในทิศทางของเรือนไม้.....
...........................
กลุ่มชายฉรรจ์ สามคนเดินมาตามทางเดินดินอัดแน่นสายนั้น จุดหมายคือเรือนไม้ข้างกอไผ่ท้ายหมู่บ้าน พวกเขามองไปเห็นบันไดเรือนวางทอดลงมา
"โชคดีจังโว้ย! เจ้าของเรือนวางบันไดไว้ต้อนรับ" หนึ่งในพวกเขาเอ่ยขึ้น อีกสองคนพยักหน้ารับอย่างลิงโลด
ทั้งสามก้าวขึ้นเรือน เดินตรงไปยังห้องที่เจ้าของเรือนนอนหลับสบายอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง
ไม่นานนัก มีเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังขึ้น เสียงโครมครามหลายเสียง ฟังไม่ได้ศัพท์
จากนั้น ชายทั้งสามวิ่งลงเรือนมาพร้อมสัมภาระหอบใหญ่ หนึ่งในนั้นมุดไปใต้ถุนเรือน คว้าภาชนะบรรจุน้ำมัน เทราดรอบบ้าน จุดไฟเผาทันที
เรือนไม้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับเปลวไฟ
สายลมยามค่ำคืนช่วยพัดกระพือเปลวไฟสีส้มให้ลุกโชนสูง เรือนไม้ทั้งหลังพร้อมเจ้าของเรือนทั้งสองถูกเผาวอดวายเหลือเพียงเถ้าถ่าน
ในเวลาไม่นาน ความเงียบสงัดและความมืดกลับคืนมาอีกครั้ง
กว่าที่จะมีใครรู้เรื่อง ก็เป็นเวลารุ่งสางท้องฟ้าเริ่มมีแสงสลัว
เสียงดนตรีจากแมลง เปลี่ยนเป็นเสียงนกกา ที่เริ่มบินออกหากินในยามเช้า
เสียงไก่ขัน นาฬิกาปลุกตามธรรมชาติ ร้องรับแสงอรุณ
"เมื่อคืนที่ท้ายหมู่บ้านมีเหตุปล้นฆ่ายกครัว พวกมันเผาบ้านพร้อมเจ้าของเสียไม่เหลือซาก"
"ฉันตื่นมาเห็นเปลวไฟอยู่ลิบๆ นึกว่าท้ายหมู่บ้านเผาป่าเตรียมที่ทำนาเสียอีก"
นั่นคือข่าวร้ายยามเช้าที่ชาวบ้านเล่าให้กันฟังอย่างตื่นตระหนก
................
ถ้าเพียงหญิงสาวหันกลับมามองในทิศที่เรือนไม้ตั้งอยู่ เธอจะเห็นเปลวไฟสีส้มลุกโชนในความมืดจากระยะไกลๆ
...ในวันนั้นไม่รู้ว่าเธอโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่...
เรื่องสั้นวันละเรื่อง: พ.ศ2523
คืนมืดมิดไร้แสงจันทร์ บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงดนตรีของสรรพสิ่งธรรมชาติ จิ้งหรีด จักจั่น เรไร ขับกล่อมเจ้าของบ้านที่ยังอยู่ในภวังค์นิทราแสนสบาย
บันไดของเรือนไม้ ไม่ได้เก็บขึ้นในยามค่ำคืนเฉกเช่นปกติวิสัย ชาวบ้านมักเก็บบันไดขึ้นเรือนในยามกลางคืนเพื่อป้องกันผู้ปองร้ายที่จะแอบเข้ามาในยามวิกาล
ทอดสายตาต่อไป เห็นร่างดำตะคุ่มค่อยๆ ย่องอย่างระมัดระวังลงจากเรือนไม้แบบไร้สรรพเสียง พอคะเนได้ว่าเป็นหญิงสาวแต่งกายทะมัดทะแมง สะพายถุงผ้าใบย่อมไว้ข้างกาย
"พ่อกับแม่...หนูขอโทษ แล้วหนูจะพาลูกกลับมาขอขมานะจ๊ะ"
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ก้มลงกราบ หันหน้าไปในทิศที่เป็นห้องนอนของบุพการี จากนั้นใช้มือลูบเบาๆ ตรงหน้าท้องที่โป่งนูนเพียงเล็กน้อยที่แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น
นั่งนิ่งอยู่สักพัก ให้เวลากับการตัดสินใจครั้งสุดท้าย จากนั้นลุกขึ้นหันหลัง เดินอย่างรวดเร็วไปตามทางเดินดินอัดแน่นแข็งแรง ที่ผู้คนใช้สัญจรไปมาในเวลากลางวัน แต่บัดนี้ว่างเปล่าและมืดมิด เส้นทางทอดยาวไปอีกด้านของหมู่บ้าน
ณ ตรงนั้น เรือลำน้อย จอดพรางสายตาอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ครึ้ม เงาร่างของชายหนุ่มนั่งรออย่างร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่หญิงสาวปรากฏกายก้าวเท้าลงในลำเรือ ไม้พายก็วาดลงในน้ำอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา พาเรือน้อยค่อยๆ หายลับไปในความมืดและเงียบสงบของสายน้ำ
ถ้าเพียงหญิงสาวหันกลับมามองในทิศทางของเรือนไม้.....
...........................
กลุ่มชายฉรรจ์ สามคนเดินมาตามทางเดินดินอัดแน่นสายนั้น จุดหมายคือเรือนไม้ข้างกอไผ่ท้ายหมู่บ้าน พวกเขามองไปเห็นบันไดเรือนวางทอดลงมา
"โชคดีจังโว้ย! เจ้าของเรือนวางบันไดไว้ต้อนรับ" หนึ่งในพวกเขาเอ่ยขึ้น อีกสองคนพยักหน้ารับอย่างลิงโลด
ทั้งสามก้าวขึ้นเรือน เดินตรงไปยังห้องที่เจ้าของเรือนนอนหลับสบายอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง
ไม่นานนัก มีเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังขึ้น เสียงโครมครามหลายเสียง ฟังไม่ได้ศัพท์
จากนั้น ชายทั้งสามวิ่งลงเรือนมาพร้อมสัมภาระหอบใหญ่ หนึ่งในนั้นมุดไปใต้ถุนเรือน คว้าภาชนะบรรจุน้ำมัน เทราดรอบบ้าน จุดไฟเผาทันที
เรือนไม้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับเปลวไฟ
สายลมยามค่ำคืนช่วยพัดกระพือเปลวไฟสีส้มให้ลุกโชนสูง เรือนไม้ทั้งหลังพร้อมเจ้าของเรือนทั้งสองถูกเผาวอดวายเหลือเพียงเถ้าถ่าน
ในเวลาไม่นาน ความเงียบสงัดและความมืดกลับคืนมาอีกครั้ง
กว่าที่จะมีใครรู้เรื่อง ก็เป็นเวลารุ่งสางท้องฟ้าเริ่มมีแสงสลัว
เสียงดนตรีจากแมลง เปลี่ยนเป็นเสียงนกกา ที่เริ่มบินออกหากินในยามเช้า
เสียงไก่ขัน นาฬิกาปลุกตามธรรมชาติ ร้องรับแสงอรุณ
"เมื่อคืนที่ท้ายหมู่บ้านมีเหตุปล้นฆ่ายกครัว พวกมันเผาบ้านพร้อมเจ้าของเสียไม่เหลือซาก"
"ฉันตื่นมาเห็นเปลวไฟอยู่ลิบๆ นึกว่าท้ายหมู่บ้านเผาป่าเตรียมที่ทำนาเสียอีก"
นั่นคือข่าวร้ายยามเช้าที่ชาวบ้านเล่าให้กันฟังอย่างตื่นตระหนก
................
ถ้าเพียงหญิงสาวหันกลับมามองในทิศที่เรือนไม้ตั้งอยู่ เธอจะเห็นเปลวไฟสีส้มลุกโชนในความมืดจากระยะไกลๆ
...ในวันนั้นไม่รู้ว่าเธอโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่...